อาหารเช้าช่วงฤดูฝน





























... Photography and Vision by MM







ช่วงนี้ฉันมาใช้ชีวิตอยู่ริมทะเล และก็คงจะอยู่ที่นี้จนหมดฤดุฝน
หลายวันมานี้ฝนตกทั้งวันทั้งคืน... ในสัปดาห์หนึ่งจะมีแดดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
ส่วนอาหารเช้าที่ฉันโปรดปรานมากที่สุดคือข้าวต้ม พร้อมต้มจืดร้อนๆ
รองลงมาคือปาท่องโก๋ราดนมทานกับน้ำเต้าหู้
ส่วนขนมปังไข่ดาว แฮม ใส้กรอก นานครั้งจะทานที เพราะเมื่อทานบ่อยๆมันจะรู้สึกเอียน
ก็คงเช่นเดียวกันกับชีวิตคนเราเมื่อทำอะไรจำเจ มันก็รู้สึกเบื่อ..
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย นั้นก็คือ "ความสงบ" ความสุขจากความสงบนี้ละของแท้เลยนะ















Flag Counter




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2556
62 comments
Last Update : 10 กรกฎาคม 2556 10:12:18 น.
Counter : 781 Pageviews.

 

อาหารน่าทานมาก ถ้าได้ทานอาหารทุกมื้อกับคนรู้ใจ
คงจะมีความสุขมาก ทำงานมาเหนื่อย คงหายเหนื่อย ^^

ข้าวต้มนักเลงนั้น น่าทานมากกกกก

 

โดย: virusvan 10 กรกฎาคม 2556 10:26:16 น.  

 

โจ๊กไข่ดาวกับปาท่องโก๋ ก็อร่อยดีเหมือนกันนะคะ

เจ้าของบลอกไปใช้ชีวิตอยู่ริมทะเลนี่เอง เป็นทะเลแถวไหนเหรอคะ เดาว่าภาคตะวันออก

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 10:26:39 น.  

 

: virusvan ... เราไม่มีหวานใจมานั่งทานข้างๆ แต่เราก็มีความสุข
เวลาที่เราอยู่ต่างประเทศนานๆ อาหารที่เราอยากทานมากที่สุดก็คือข้าวต้มกับก่วยเตี๋ยวนะครับ


หนึ่งฤทัย... ชีวิตของเราต้องเดินทางตลอด อยู่ไม่เป็นที่ และในทุกๆคืนก็ต้องสลับเปลี่ยนห้องนอน เป็นอย่างนี้มานานแล้วนะครับ

ปาท่องโก๋นี้ไม่รู้ว่าต้นตำหรับแท้จริงเป็นของชาติไหน สงสัยจะเป็นของจีน
เราชอบนะ ปาท่องโก๋กับซาลาเปาใส้หมู ทานสะดวกในทุกๆที่ ก็คงคล้ายกับแฮมเบอร์เกอร์ของฝรั่งนะครับ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 10:40:15 น.  

 

โห เดินทางบ่อยขนาดนี้นี่ ทำไมถึงยังไม่มีหวานใจนี่ ไม่แปลกใจเลย ก็ขนาดห้องนอนยังต้องเปลี่ยนทุกคืน

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 10:45:55 น.  

 

การเดินทางอยา่งอิสระของเรา คงไม่คิดหาห่วงมาคล้องคอ
จากความสงบก็จะกลายเป็นความวุ่นวาย
เรานอนห้องเดิมที่เดิมไม่ได้ เพราะเดี๊ยวจะมีเหล่านางฟ้าเข้ามาจู่โจม เสร็จเลยทีนี้ แล้วทำไงต่อดีละ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 10:55:41 น.  

 

^^
พักผ่อนเพื่อด้วยนะจ้ะ ^^

 

โดย: I_am_umami 10 กรกฎาคม 2556 11:03:14 น.  

 

เสน่ห์แรงเกินไปก็ทำให้ทุกข์ได้เช่นนี้แหละเนอะ...นี่ขนาดเจ้าของบลอกชอบสันโดษและปลีักวิเวก ไม่ค่อยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการซักเท่าไหร่

เล่นจู่โจมเลยเหรอ นางฟ้ายุคนี้นี่!!!!

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:06:52 น.  

 

^^
พักผ่อนเพื่อด้วยนะจ้ะ ^^


โดย: I_am_umami ...



จ๊ะ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 11:09:01 น.  

 

: หนึ่งฤทัย... อืมม ใช่แล้ว ทั้งชีวิตเราโดนผู้หญิงปล้ำมานับต่อนับ เศร้า!

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 11:10:47 น.  

 

ตอน 1-7 ขวบนี่น่าปล้ำที่สุดเลยล่ะ
เจ้าของบลอกคงจะขาวๆ อวบๆ ดูน่าปล้ำ

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:13:46 น.  

 



รูปตอนเด็กๆของเรา น่ารักเปล่า??

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 11:16:52 น.  

 

ค่่ะ น่ารักมากค่ะ

พิศดูหน้าแล้ว โตขึ้นคงหล่อเหมือน ณเดช

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:19:25 น.  

 



เดี๊ยวเราจะทอยโพสภาพตอนค่อยๆโตขึ้น มาให้ดูกันนะ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 11:22:46 น.  

 

หูยปากสีชมพู เป็นกระจับเชียว
โตขึ้นคุณพ่อ-คุณแม่คงเช็ดหัวกระไดบ้านกันเหนื่อยทีเดียว

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:25:48 น.  

 

โตขึ้นก็เลยต้องอยู่ไม่เป็นที่ ท่องโลกคนเดียวไปตลอดนะครับ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 11:28:23 น.  

 




แล้วตอนโตปากยังเป็นสีชมพูรูปกระจับอีกรึเปล่าคะ?


 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:31:22 น.  

 

อืมม ..

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 11:35:26 น.  

 


ควันบุหรี่ไม่มีผลเลยเหรอคะ?

สุดยอดจริงๆ ^ ^"

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:37:36 น.  

 

จะมีผลได้อย่างไร เราสูบน้อยมากๆ และก็จะเลิกเด็ดขาดในเร็วนี้แล้วนะ
เธอก็อย่าทำให้เราเครียด.. เดี๊ยวขอตัวแป๊ป สักมวนหนึ่ง

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 11:54:08 น.  

 

เชิญค่ะ

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:55:09 น.  

 

สวัสดีคะคะ คุณ MM
ยังนึกถึงคุณ MMอยู่เสมอคะ
ชอบอ่านบล็อค ติดตามอยู่เสมอ
ภาพสวย เพลงเพราะ เนื้อหา สอนใจได้เพียบ
อ่านแล้วได้ความรู้สึกดี ขึ้นมาทันทีเลยคะ
อย่างน้อยๆๆ ณ. เวลานี้ที่เรา เหงาๆ ก็ยังมีอีกคนที่เพียบพร้อม ทุกอย่าง
อย่างคุณ MM ก็รู้สึกแบบนี้


ขอบคุณมากค่ะ // ว่างๆ ไล่อ่านบล็อคเก่าๆ เนื้อหาดีจังคะ

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 11:57:08 น.  

 

ทำให้เจ้าของบลอกเครียดนี่้ต้องทำยังไงเหรอ?
ก็เห็นมีความสุขตลอด อิ อิ

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:57:12 น.  

 

ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว มีความสุขมากๆค่ะ

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 10 กรกฎาคม 2556 11:58:44 น.  

 

MM บอกว่าไม่มีหวานใจมานั่งข้างๆ
ไม่ได้แปลว่าไม่มีหวานใจซะหน่อยนะคะ คุณหนึ่งฤทัย

 

โดย: virusvan 10 กรกฎาคม 2556 12:04:46 น.  

 

: M011 .... เธอหายไปนานมากๆๆๆๆๆ พูดตามตรงนะ ท่านใดที่เคยเข้ามาคุยกับเราบ่อยๆแล้วเงียบไป เราก็อดเป็นห่วงไม่ได้

ต่อไปบล๊อคของเราจะมีธรรมะขั้นปฎิบัติอย่างเข้มข้นขึ้น
เราเกรงว่าคนอ่านจะไม่เข้าใจ แต่อย่างไรก็จะพยายามเขียนอย่างค่อยเป็นค่อยไปนะ
และนั้นจะทำให้ทุกคนที่เข้ามาบล๊อคเราบ่อยๆ พากันปิดอบายภูมิ
และสุดท้าย ทุกคนก็จะรู้ว่าใครคือกัลยาณมิตรอย่างแท้จริง

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 12:06:58 น.  

 

: virusvan ..... เอิ๊กๆๆๆ บอกว่าไม่มีก็ไม่มีซิ เธอนิ!!!
ใครเห็นนางฟ้าคนใดคนหนึ่งเข้าใกล้เราได้ เรายกทรัพย์สินมรดกทั้งหมดให้เลยนะ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 12:09:15 น.  

 

ขอบคุณคะที่ยังจำได้
เราก็ยังนึกถึงคุณ MM อยู่เสมอๆ
(เวลาเรา เศร้าๆ เบื่อๆ ชีวิต ประจำวัน)
แล้วนึกถึงบล็อคคุณ MM ขอตอบแบบตรงๆเลยละ
เราได้กำลังจากบล้อคนี้ เสมอๆ แต่บางทีเรายังไม่พร้อมเข้ามาทักทาย

เข้ามาวันนี้ ติดตามอ่านบล็อคเก่าๆที่เราพลาดไป โอ้โห.....มันโดนอะๆๆๆๆๆ
ชอบคะ...และให้กำลังใจคุณ MM..จะได้เขียนเรื่องราวดีๆให้ได้อ่าน

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 12:12:27 น.  

 

วันนี้ว่างๆ
เข้ามา รออ่านธรรมะ คุณMM
ขอบคุณมากน๊าาาา...

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 12:14:33 น.  

 

จ้า...MM เชื่อจ้าว่าไม่มี (มานั่งข้างๆ) จ้าาาา

ท่าทางจะมีเยอะพอดูนะ ทรัพย์สินมรดกของ MM เนี่ย

บร้าาาา เอาทรัพย์มรดกมาหลอกล่อซะด้วย

 

โดย: virusvan 10 กรกฎาคม 2556 12:15:50 น.  

 

: M011 .... อืมม ถ้าอย่างนั้น เมื่อใดที่เราเขียนสาระที่เป็นแก่นแท้ เราจะไปเรียกเธอแล้วกัน จะได้ไม่พลาดเนื้อหาดีๆ

มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะบอกคือ ใครที่มีโอกาสได้เข้ามาคอมเม้นท์ที่นี้บ่อยๆ แค่นี้ คุณก็มีบุญมากพอแล้ว
แล้วขั้นตอนต่อไปก็เรียนรู้ถึงการใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องต่างๆ
และนั้นจะทำให้ทุกคนเห็นความสว่าง ความสงบ ซึ่งเป็นความสุขอย่างแท้จริง

 

โดย: ongchai_maewmong 10 กรกฎาคม 2556 12:21:58 น.  

 

อืมมม...
ขอบคุณสำหรับ น้ำใจ ที่แบ่งปัน...รู้สึกยินดีมากเลย
เราจะได้ เรียนรู้อย่างถูกต้องซะที
เอาคุณ MM เป็นครูสอนคนแรกละกัน อิอิอิ...
ถ้าให้ไปปฏิบัติธรรม ตามวัดไกลๆ เราคงไปไม่ไหว
ยังต้องทำงาน งานๆๆๆๆๆ
ตอนนี้นั่งทำงาน แถมได้เรียนรู้ ธรรมมะแบบถูกต้องไปด้วย

ความดีที่คุณMM ทำ ขอให้ส่งกลับไปให้คุณMM หลายๆเท่าเลย ค่าาาา

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 12:27:38 น.  

 

: virusvan .... เร็วๆนี้ทรัพย์สินมรดกของเราจะบริจากเพื่อการกุศลทั้งหมดเลยนะครับ
จะเหลือไว้นิดหน่อยแบ่งให้กับบรรดาลูกน้องที่ต้องคอยดูแลเจ้านาย

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 12:28:16 น.  

 

M011 .... อืมม แค่เธอมีจิตใจที่จะศึกษาเรียนรู้ ก็เท่ากับเธอมีปัญญาพอเป็นฐานแล้วนะ
และการจะปฎิบัติเจริญภาวนา ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปพักยังสถานปฎิบัติธรรม
เธอสามารถปฎิบัติได้ที่บ้านของเธอ ได้ตลอเวลา ทุกสถานที่นะครับ
เธอจะไปปฎิบัติตามสถานปฎิบัติธรรมต่างๆก็ต่อเมื่อเธอได้ผ่านการฝึกปฎิบัติขั้นพื้นฐานและก็ได้จิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว และนั้นคงถึงเวลาที่เธอจะต้องมีครูบาอาจารย์

เอาว่า เราอยากให้เธอได้อ่าน วิธีการปฎิบัติที่ถูกต้อง ในเร็วๆนี้นะ
และนั้นจะมีน้อยคนที่รู้ว่าเป็นของแท้ไม่มีผิดเพี้ยน
แต่ก่อนอื่นเธอต้องมี ทาน ศิล ซะก่อน เธอรักษาศิล5ให้ได้ครบตลอดเวลานะ
และที่สำคัญที่สุดอันอับแรกก็คือ ศรัทธา นะครับ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 12:37:44 น.  

 

โอเค ค่ะ รออ่านนะคะ
พร้อม ศรัทธา เต็มเปี่ยม

อืมมม ศีล5 เรายังทำไม่ได้1ข้อ แต่จะพยายามคะ

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 12:51:59 น.  

 

: M011 ...

ขั้นแรกเธอต้องรู้จักการทำทาน การรักษาศิล และการเจริญภาวนา ก็จะเกิดปัญญา แล้วนำปัญญานั้นไปพิจารณาในเรื่องต่างๆ
ถ้าทางพุทธแล้วก็จะใช้ปัญญานั้นไปพิจารณาเรื่องอริยสัจ4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรค8 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ศิล เป็นเรื่องสำคัญมากๆนะครับพยายามรักษาให้ครบทั้ง5ข้อ ถ้าได้8ข้อได้ก็ยิ่งดีต่อการภาวนา

ก่อนอื่นเธอลองรักษาศิลอย่างเต็มที่ให้ครบห้าข้อ ดูว่าได้กี่วัน
แล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันนะครับ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 13:08:32 น.  

 

โอเคค่าา

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 13:14:14 น.  

 

ลองดูนะ เธอคงไปไวกว่าคนอื่นๆ เราสัมผัสอะไรบางอย่าง
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการรักษาศิลของเธอ เรื่องทานก็อย่าลืมละ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 13:21:35 น.  

 

อนุโมทนาบุญ ด้วยนะ MM

คงเป็นเพราะเธอเป็นคนใจบุญ เลยส่งผลให้เธอมีกำลัง
และความพร้อมที่จะทำมันได้

 

โดย: virusvan 10 กรกฎาคม 2556 13:38:27 น.  

 

จริงๆเราเอง ก็เริ่มสนใจ ทางนี้ ช่วงหลังนี่แหละ
เพราะรู้สึกว่าตัวเอง ถึงจุดๆหนึ้ง ก็จะเริ่ม อิ่มตัวในทางโลก
และอยากจะ ชดเชยในสิ่งที่เราได้ทำมา
แม้ว่ามันจะทดแทนกันไม่ได้
อย่างน้อย เราก็ลดการกระทำของเราไปได้บ้าง...
เราจะพยายามตั้งใจค่ะ

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 13:40:12 น.  

 

: virusvan .... เร็วๆนี้เราจะทำทานครั้งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยมีใครคิดทำมาก่อนนะครับ

M011 ... เธอคิดถูกและมาถูกทางแล้วนะ คนเรามีหลงทาง มีผิดผลาดได้ แต่ไม่ใช่เรื่องซีเรียส หมั่นทำบุญทำทาน เจริญภานาให้มากๆ
บาป บุญแยกกัน เมื่อคิดได้แล้วก็หมั่นทำบุญให้มากๆ เมื่อสุดท้ายแล้วบุญมากกว่าบาป เราก็จะไปรับผลบุญก่อนแล้วจึงไปรับบาป
แต่ทั้งนี้เธอก็ควรอธิษฐานให้ไปรับผลบุญก่อนด้วยนะ ให้จิตใสบริสุทธิขึ้นๆ
และก็พยายามลืมเรื่องที่ไม่ดีนั้นเสีย อย่าได้ไปจดจำมัน ทุกลมหายใจของเธอควรจำแต่เรื่องดีๆที่เป็นกุศลที่ได้ทำมาและทำอย่างต่อเนื่องอย่าหยุดนะ

เธอก็จะรับรู้ถึงความสุขจากความสงบในทันใด ลองพยายามคิดและทำแบบนี้บ่อยๆนะ ให้คิดอยู่เสมอว่า เราเป็นคนดี
เราเป็นคนมีจิตใจดีตลอดเวลา จิตเราก็จะปิติรู้สึกอิ่มเอมนะครับ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 13:51:23 น.  

 

อืมมมมม..........
" เมื่อสุดท้ายแล้วบุญมากกว่าบาป เราก็จะไปรับผลบุญก่อนแล้วจึงไปรับบาป "

เริ่มซึมซับ และ ทึ่ง สงสัยอีก
ว่า คุณMM เป็นใครกันนะ
วิธีการสอน ไม่ค่อยเหมือนใคร แต่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน

เรารู้สึกได้นะ
ง่ายๆ แค่วันนี้ เรารู้สึกเบื่อๆ สับสน ว้าวุ่น
แต่ได้คุยกับ คุณ MM....ความเบา สบาย กลับมาอีกครั้ง
ขั้นต่อไป คือ จดจำ ท่อง และปฏิบัติ ตาม

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 13:59:42 น.  

 

อุ๊ย! โทษที ที่ตอบช้า เมื่อสักครู่เราแอบหนีไปภาวนามานะ อิอิ!

ก็ค่อยเป็นค่อยไปนะ ... แล้วจะลงลึกซึ้งขึ้นที่ละนิด

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 14:56:51 น.  

 

อ๋อ ไม่เป็นไรคะ..
เราตามอ่านบล็อคเก่าๆ ที่คุณ MMเขียนไว้อยู่ด้วยคะ

ยังอ่านไม่ครบเลย เยอะมาก ขยันจริงๆ นับถือเลย

อืมมม แอบหนีไป ภาวนา ยังไงค๊ะ
ภาวนา คืออะไร เรายังไม่รู้เลยคะ รบกวนด้วย

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 15:13:57 น.  

 

อ้าวว ภาวนาสมาธิ ก็ไปนั่งสมาธิมานะครับ เริ่มแรกก็เจริญสติ ภาวนาสมาธิ ภาวนามยปัญญา

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 15:19:16 น.  

 

เธอคุยกับเราบ่อยๆ ก็จะไปได้ไวกว่าคนอื่นมาก
เพราะเธอไม่มีจริต เอากิเลสมาหลอกตัวเอง นี้ละข้อดีของเธอ
ไม่รู้คือไม่รู้ ไม่ใช่ไม่รู้แล้วอาย ไม่กล้าพูดหรือบอกตรงๆว่าไม่รู้

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 15:24:10 น.  

 


ในการที่เราจะปฎิบัติ ก่อนที่เราจะปฎิบัติได้ เราต้องศึกษาวิธีการปฎิบัติก่อน ถ้าเราไม่ได้ศึกษาวิธีการปฎิบัติที่ถูกต้อง เราก็จะปฎิบัติไปแบบผิดๆถูกๆ ก็จะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่จะได้ผลอย่างที่พระพุทธเจ้้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายท่านได้รับผลอย่างนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากใจของปุถุชนนี้ ยังไม่มีสติปัญญา ความรู้ความสามารถที่จะหยั่งเข้าถึงสัจธรรมความจริงที่เป็นเหตุที่ทำให้ สัตว์โลกต้องเวียนว่ายตายเกิด ที่ยังต้องเกิดแก่เจ็บตาย ยังต้องทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ
ไม่มีใครในโลกนี้ที่ใครจะสามารถปฎิบัติได้ด้วยตนเองจนไปถึงพระนิพพานได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว นอกนั้นแล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีผู้สั่งสอน จะไม่สามารถปฎิบัติได้ไปถึงมรรคผลนิพพานได้ ฉะนั้นการศึกษาจากครูบาอาจารย์ จากพระพุทธเจ้า จากพระอริยสาวกทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น เรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ ปฎิบัติเพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
คำว่าสาวกนี้แปลว่าผู้ฟัง ส่วนพระอรหันต์นี้มีสองประเภทด้วยกัน คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ที่ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยตนเอง ส่วนพระอรหันตสาวกนี้ คือพระอรหันต์ผู้ที่ต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าก่อน ถึงจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ดังนั้นในพระพุทธศาสนานี้จะมีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น ที่สามารถปฎิบัติได้โดยที่ไม่ต้องศึกษาจากผู้ใดก่อน สามารถบรรลุมรรคผลนิพานได้ด้วยตนเอง นั้นก็คือพระพุทธเจ้า

หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์จึงนำเอาพระธรรมคำสอน ความจริงที่ได้ตรัสรู้นี้มาเผยแผ่ให้แก่ผู้อื่นต่อไป ผู้ที่รับคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฎิบัติก็จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ และเมื่อบรรลุแล้วก็จะเรียกว่า พระอรหันตสาวก คือไม่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ด้วยตนเอง แต่เป็นพระอรหันต์ด้วยอำนาจของคำสอนของพระพุทธเจ้า พระสาวกจึงแปลว่าผู้ฟัง พวกเราก็เหมือนเป็นสาวก เป็นผู้ฟัง เพราะว่าก่อนที่เราจะปฎิบัติได้ เราต้องฟังก่อน เราต้องรู้จักวิธีของการปฎิบัติที่ถูกต้อง ถ้าเราไม่รู้จักวิธีที่ปฎิบัติที่ถูกต้อง การปฎิบัติของเราก็จะล้มเหลว ก็จะไปไม่ถึงมรรคผลนิพพาน จากที่เราต้องการที่จะไปกัน ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า ขั้นแรกนั้นต้องมีปริยัติธรรมก่อน เพราะว่าปริยัติธรรมก็คือการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีหลายรูปแบบด้วยกัน จะศึกษาจากพระพุทธเจ้าโดยตรงก็ได้ ถ้าเกิดในสมัยที่มีพระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่

ครั้งแรกท่านได้สอนให้แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง5 หลังจากที่ทรงแสดงแล้วก็ปรากฎมีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา บรรลุเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกขั้นที่หนึ่ง และหลังจากนั้นทรงแสดงพระธรรมอีกครั้งสองครั้ง พระปัญจวัคคีย์ทั้ง5 ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน ต่อจากนั้นพระพุทธเจ้าก็สอนให้แก่นักบวชในสำนักต่างๆ ครั้งหนึ่งทรงแสดงให้กับนักบวชที่มีจำนวนประมาณ500รูป หลังจากที่ทรงแสดงเสร็จ นักบวชทั้ง500รูปนั้นก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที

เหตุที่นักบวชบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ทันทีนั้น เนื่องจากมีธรรมที่รองรับไว้ นั้นก็คือมีศิล มีสมาธิ พอได้ฟังธรรมะซึ่งเป็นปัญญา ก็ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ถ้าฟังแล้วยังไม่บรรลุแสดงว่ายังไม่มีสมาธิ และยังไม่มีศิล หรือมีศิลแต่ไม่มีสมาธิ เมื่อไม่มีสมาธิ ฟังอย่างไรก็ไม่สามารถบรรลุได้ อย่างสมัยปัจจุบัน พวกเราฟังเทศน์ฟังธรรมกันหูฉีกแล้ว แต่ใจไม่บรรลุ เพราะใจเราไม่สงบพอ ใจเราไม่ตั้งมั่นพอ ใจเราไม่เป็นกลางพอ ใจเราต้องเป็นอุเบกขา อย่าสักแต่ว่ารู้ ถ้าใจเป็นกลางแล้ว ใจจะมีพลังที่จะต่อสู้กับกิเลสตัณหาที่คอยสร้างความทุกข์ให้แก่ใจ ดังนั้นถ้าเราฟังธรรมแล้วยังไม่บรรลุ ก็แสดงว่าเรายังไม่ได้ปฎิบัติถึงขั้นที่ควรจะบรรลุได้

ก่อนที่เราฟังธรรมแล้วเกิดปัญญาได้ ใจเราต้องสงบเป็นอุเบกขาก่อน ใจเป็นกลางเป็นอุเบกขา มีความอื่ม มีความสุข ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้นก็ต้องพยายามปฎิบัติเพื่อให้ถึงจุดนั้นก่อน และก่อนที่เราจะปฎิบัติขั้นสมาธิได้ เราก็ต้องมีศิลที่สมบูรณ์ คือต้องรักษาศิล5 ศิล8 หรือศิล227ข้อให้ได้ก่อน เพราะว่าถ้าใจยังไม่สามารถรักษาศิลต่างๆได้ ใจจะไม่มีความสงบพอที่จะเจริญสติเพื่อทำใจให้สงบให้เป็นสมาธิได้ และก่อนที่จะรักษาศิลได้ ใจก็ต้องทำบุญให้ทาน ต้องเสียสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองให้ได้ก่อน ต้องไม่ยึดติด ต้องไม่หวงในทรัพย์สมบัติ ต้องไม่หลงในทรัพย์สมบัติว่าเป็นเหตุที่จะนำความสุขมาให้ ต้องเห็นว่าทรัพย์สมบัตินี้เป็นเหตุที่นำความทุกข์มาให้ เป็นเหตุที่ทำให้ไม่สามารถรักษาศิลได้ ผู้ที่ยังโลภยังอยากได้ทรัพย์สมบัติ เงินทอง ยังอยากร่ำอยากรวย จะรู้สึกว่าการรักษาศิลนี้เป็นอุปสรรค เพราะว่าจะไม่สามารถรวยได้อย่างง่ายๆ แต่ถ้าอยากจะรวยอย่างง่ายๆนั้น ก็ต้องไม่รักษาศิล ต้องโกหกหลอกลวงได้ หรือฉ้อโกงได้ถึงจะรวยได้เร็ว ถ้าใจยังอยากได้ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ยังอยากร่ำอยากรวยยัง อยากใช้เงินทองเพื่อซื้อความสุขชนิดต่างๆอยู่ ก็จะรักษาศิลไม่ค่อยได้ เมื่อรักษาศิลไม่ค่อยได้ก็จะภาวนาให้ใจสงบไม่ได้

และการที่เรายังมีความผูกพันกับการหาเงินกับการใช้เงินอยู่ มันก็จะทำให้ไม่มีเวลาที่จะมาปฎิบัติธรรม มาเจริญสติ มาภาวนา มานั่งสมาธิ เพราะว่าการจะเจริญภาวนานี้จำเป้นจะต้องอยู่ในที่สงบๆ อยู่ในที่วิเวก ห่างไกลจากแสงสีเสียง ห่างไกลจากรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ที่คอยยั่วยวนกวนใจ หลอกล่อให้ใจเกิดอารมณ์ความอยากต่างๆขึ้นมา ดังนั้นถ้าอยากที่จะปฎิบัติให้มีศิลมีสมาธิเพื่อรองรับปัญญาคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จำเป็นที่จะต้องไม่หาความสุขจากการใช้เงินทองซื้อความสุขต่างๆ เมื่อเราไม่ใช้เงินทองซื้อความสุขต่างๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินทองมามาก เราเพียงแต่หาเพื่อให้ได้ปัจจัยสี่ เพื่อมาจุนเจิอตามอรรถภาพร่างกาย เราก็จะมีเวลาว่างมากพอที่เราจะไปปลีกวิเวก ไปรักษาศิล ไปภาวนาได้ ไปทำใจให้สงบได้ พอใจเราสงบแล้ว และเราได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะโดยทางสื่อใดก็ตาม จะศึกษาจากพระไตรปิฎก หรืออ่านหนังสือของพระปฎิบัติดีปฎิบัติชอบทั้งหลาย หรือฟังเทศน์ฟังธรรมที่ได้บันทึกไว้ในสื่อต่างๆ ถ้าใจมีความสงบมีสมาธิแล้ว ถ้าใจมีความสงบมีสมาธิแล้วธรรมที่แสดงนั้นเป็นธรรมที่ถูกต้อง ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

การฟังเทศน์ฟังธรรมนี้ก็เปรียบเหมือนการศึกษาแผนที่ ดูแผนที่ เราจะเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เราต้องรู้จักทางที่จะพาให้เราไปสู่จุดหมายปลายทาง ถ้าเราไม่มีแผนที่ แล้วเราไม่เคยเดินทางไปที่จุดหมายปลายทางนั้น เราก็จะไม่สามารถเดินทางให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้
การที่เราจะปฎิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพานก็เช่นเดียวกัน เป็นเหมือนการเดินทางที่จำเป็นต้องมีแผนที่ คือต้องมีผู้นำทาง ครูบาอาจารย์ต่างๆท่านก็เปรียบเหมือนแผนที่ เป็นผู้นำทาง ถ้าได้อยู่ได้ศึกษากับท่านก็จะยินได้ฟังวิธีของการปฎิบัติที่ถูกต้อง เมื่อเราปฎิบัติถูกต้องแล้ว เราก็จะได้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่เราต้องการไป

ในทางพุทธศาสนานี้ให้ความสำคัญต่อการศึกษาเป็นอย่างมาก เช่นพระพุทธเจ้าทรงบังคับให้พระที่บวชใหม่นี้ ต้องอยู่กับครูบาอาจารย์อย่างน้อย5พรรษาก่อน เพราะถ้าไม่ศึกษากับครูบาอาจารย์แล้วไปปฎิบัติตามลำพังนี้ จะหลงทางได้ เหมือนกับนักบิน ก่อนที่จะบินได้ ก็ต้องศึกษาวิธีการบินจากผู้ที่รู้จักการบินมาก่อน ถ้าการจะขับเครื่องบินโดยคิดว่าเคยขับรถยนต์มาแล้ว ขับเครื่องบินคงเหมือนกับการขับรถโดยไม่ต้องมีครูสอน ก็คงไม่สามารถนำเครื่องขึ้นบินไปบนอากาศได้ ฉันท์ใดการเป็นฆราวาสก่อนที่จะมาบวช ก็คิดว่ามีความสามารถที่จะทำอะไรต่างๆได้ พอมาบวชแล้วก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องมาศึกษา ไม่ต้องอยู่กับครูบาอาจารย์ก็ได้ สามรถที่จะปฎิบัติได้ด้วยตนเองเลย

สมัยนี้มักมีพระที่บวชแล้วไม่อยู่กับครูบาอาจารย์ บวชแล้วกลายเป็นเจ้าสำนักไป แล้วก็ปรากฎเรื่องราวฉาว นั้นก็เป็นเพราะว่าไม่ได้อยู่ศึกษากับครูบาอาจารย์ที่จะสอนวิธีอยู่แบบพระให้แก่ผู้ที่บวชใหม่ สำหรับผู้ที่บวชใหม่นี้ถือว่ายังไม่ใช่พระจริง เป็นพระเฉพาะรูปร่างเท่านั้น ก็คือได้โดนศรีษะ ได้ห่มผ้าเหลือง แต่ใจนั้นก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ดังที่หลวงตาได้คุยพูดว่า กิเลสมันไม่กลัวผ้าเหลือง มันไม่กลัวการโกนศรีษะ อย่าไปคิดว่าห่มผ้าเหลืองแล้วโกนศรีษะกิเลสมันจะตายไปทันทีทันใด กิเลสมันก็ยังมีอยู่เต็มหัวใจ

เพราะฉะนั้นมันต้องศึกษากับครูบาอาจารย์ถึงวิธีชำระกิเลส ถึงวิธีการอยู่แบบสมณะนักบวชว่าจะต้องอยู่อย่างไร ต้องมีกริยามารยาทอย่างไร ต้องรู้จักพระธรรมวินัย ถือศิล227ข้อก่อน แล้วต้องรู้จักศึกษารู้จักปฎิบัติให้ถูกต้อง จึงต้องใช้เวลานานพอสมควร อย่างน้อยก็5พรรษาด้วยกัน สำหรับหลวงตามหาบัวนี้ ใครไปอยู่เพื่อศึกษากับท่าน ท่านก็จะยังไม่ให้ออกไป ถ้ายังไม่ได้อยู่กับท่านถึง5พรรษา หรือบางองค์ถึงแม้จะอยู่ถึง5พรรษาแล้ว ถ้าท่านเห็นว่ายังไม่พร้อมที่จะออกไปตามลำพัง ท่านก็จะไม่อนุญาติให้ไป เพราะผู้ที่บวชใหม่ก็เหมือนกับเด็กเพิ่งคลอดออกมานี้เอง จึงจำเป็นต้องอยู่กับพ่อแม่ก่อน ให้พ่อแม่สอนวิธีการขับถ่าย วิธีการรับประทานอาหาร วิธีเดิน วิธีนั่ง วิธียืน วิธีทำอะไรต่างๆ จนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่บรรลุนิติภาวะแล้ว ขนาดฆราวาสนี้ก่อนที่จะเป็นตัวของตัวเองได้ก็ต้องอายุ20ปีไปแล้ว การจะเป็นพระก็เช่นเดียวกัน ต้องศึกษาก่อน อันนี้เป็นเพียงศึกษาขั้นธรรมวินัย

ส่วนเรื่องศิลเรื่องการปฎิบัติที่เหมาะสมกับการเป็นพระควบคู่กับการปฎิบัติทางด้านจิตใจ คือทางด้านธรรมะ เราจึงได้ยินได้ฟังคำว่าธรรมวินัย คำว่าวินัยก็แปลว่าศิล คำว่าธรรมก็คือคำสอนที่จะทำให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาส ถ้าต้องการจะเข้าสู่ทางของพระพุทธศาสนาก็จำเป็นจำต้องศึกษาด้วยกันทั้งนั้น ฆราวาสก็ต้องศึกษา ต้องมีครูบาอาจารย์ นักบวชก็ต้องมีครูบาอาจารย์เช่นเดียวกัน
พอมีครูบาอาจารย์ มีผู้สั่งสอนแล้ว ก็จะได้ซึมทราบความรู้ต่างๆ และเมื่อได้ความรู้แล้วนำมาปฎิบัติให้ถูกต้อง ผลก็จะปรากฎตามขึ้นมา ในพระธรรมคำสอนท่านจึงสอนว่า..
ขั้นที่หนึ่งก็คือปริยัติธรรม ให้ศึกษาพระธรรมคำสอน
ขั้นที่สองเรียกว่าปฎิบัติธรรมก็คือให้นำเอาสิ่งที่ได้ศึกษามาปฎิบัติ
ขั้นที่สามเรียกว่า ปฎิเวธ คือการบรรลุผล รู้จักวิธีที่จะปฎิบัติตน สามารถบรรลุผลที่ต้องการได้ พอได้ขั้นที่สามแล้วจึงไปสู่ขั้นที่สี่ต่อไป ก็คือการเผยแผ่พระธรรมคำสอนให้แก่ผู้ไม่รู้ต่อไป นี้คือวิธีที่เราพุทธศาสนิกชนสืบทอดแล้วถ่ายทอดพระพุทธศาสนามาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ ต้องถ่ายทอดด้วย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพราะถ้าข้ามขั้นใดขั้นหนึ่งไปแล้ว ก็จะเป็นการปฎิบัติที่ไม่ถูกต้อง

ถ้าศึกษาแล้วไม่ปฎิบัติก็จะไม่รู้จริงเห็นจริง ถ้าจะนำไปเผยแผ่สั่งสอนผู้อื่น ก็จะสั่งสอนแบบงูๆปลาๆ แบบตาบอดคลำช้าง คือรู้บางส่วนบางเรื่อง แต่ไม่รู้ครบทุกเรื่อง เปรียบเหมือนคนตาบอด5คนคลำช้าง แต่ละคนก็รู้ในส่วนที่ตัวเองไปคลำ ใครไปคลำท้องช้างก็นึกว่าช้างเป็นฝาผนัง ใครไปจับงวงก็ว่าช้างนี้เป็นเหมือนงู ใครไปจับหางก็ว่าช้างนี้เป็นเหมือนเชือก ใครไปจับงาก็ว่าช้างนี้เป็นเหมือนหอก ก็ถูกทั้งนั้นแต่ถูกไม่หมด แล้วก็มาถกเถียงกันว่า ช้างนี้เป็นอย่างนั้นช้างนี้เป็นอย่างนี้
ในบรรดาผู้ที่ศึกษาธรรมแต่ไม่ได้ปฎิบัติธรรมมักจะถกเถียงเรื่องธรรมกันมาโดยตลอด ฝ่ายหนึ่งก็ว่าไม่ต้องนั่งสมาธิ ให้เจริญปัญญาเลย อีกฝ่ายหนึ่งก็ว่าให้เจริญสติก่อนถึงจะได้สมาธิ ก็ถูกทั้งนั้น
ฝ่ายที่บอกว่าไม่ต้องนั่งสมาธิก็อ้างว่า ตอนสมัยพระพุทธเจ้าประกาศพระธรรมคำสอน คนฟังเมื่อฟังธรรมแล้วก็บรรลุได้เลย คือใช้ปัญญาเลย แต่พวกเขาไม่รู้ว่า คนที่ฟังนั้นมีศิล สมาธิอยู่แล้ว จิตของเขามีความสงบอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องสอนเรื่องสมาธิ พระพุทธเจ้าก็เหมือนครูอาจารย์ที่ดูเด็ก ก็รู้ว่าเด็กคนนี้จบชั้นไหนมาแล้ว
ถ้าจบชั้นประถมมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องสอนชั้นประถม สอนชั้นมัธยมไปเลย และถ้าจบชั้นมัธยมก็ไม่จำเป็นต้องมาสอนชั้นมัธยม สอนระดับปริญญาไปเลย เวลาที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมให้แก่ใครนั้นทรงดูใจของผู้ฟังก่อน พระองค์ทรงมีญาณที่สามารถดูสมรรถภาพหรือความสามรถของจิตแต่ละดวงได้ว่า จิตดวงนี้มีอะไรอยู่แล้ว มีศิลอยู่หรือยัง มีสมาธิอยู่หรือยัง ถ้ายังไม่มีก็ทรงสอนในสื่งที่ไม่มีก่อน เมื่อสอนฆราวาสท่านก็สอนให้ทำบุญให้ทานก่อน เพราะใจยังไม่เป็นบุญเป็นกุศล เพราะใจยังอยากได้เงินได้ทองอยู่ ก็ต้องสอนให้เสียสละให้บริจาคทรัพย์ พวกที่ไม่มีศิลก็ทรงสอนให้รักษาศิล พวกที่ไม่มีสมาธิก็สอนให้เจริญสมาธิ แต่พวกที่มีศิลมีสมาธิแล้วก็สอนเรื่องปัญญาเลย สอนอริยสัจ 4 สอนมรรค 8 สอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ละคือการสั่งสอนที่ถูกต้อง
ถ้าเป็นหมอก็ให้ยาที่ถูกต้องกับคนไข้ คนไข้ปวดท้องก็ให้ยาแก้ปวดท้อง คนไข้ปวดหัวก็ให้ยาแก้ปวดหัว รักษาอย่างนี้ก็หายได้ นี้ก็คือเรื่องการศึกษา การปฎิบัติ
การสืบทอดพระพุทธศาสนาจำเป็นจะต้องศึกษาให้ละเอียดก่อน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้จักกับมรรค8 ให้รู้ว่านี้คือแก่นของศาสนา แก่นของศาสนาก็คือมรรค8หรือพระอริยสัจ4 คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆคำสอนนี้ ออกมาจากพระอริยสัจ4ทั้งนั้น และพระองค์ทรงตรัสว่า คำสอนของพระตถาคตนี้ถึงจะมีมากมายก่ายกองแต่คำสอนของพระตถาคตนี้มีรสชาติเหมือนรสชาติของน้ำทะเลน้ำมหาสมุทรที่มีจำนวนปริมาณมากมาย แต่มีรสชาติเดียวกันหรือเหมือนกันหมดก็คือรสของความเค็ม ฉันท์ใดคำสอนของพระตถาคตนั้นก็มีอยู่รสเดียว ก็คือการดับทุกข์ สอนให้ดับทุกข์ก็เท่านั้นเอง และวิธีที่จะดับทุกข์ก็คือมรรค มรรคที่เป็นองค์ที่4ของอริยสัจ4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่ทรงสอนทุกข์ สมุทัย ก็เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในใจของสัตว์โลกนั้นเอง




* เดี๊ยวเราจะรวบรวมนำคำเทศน์ำคำสอนของครูบาอาจารย์มาเรียบเรียงตามความเข้าใจ เพื่อให้ได้อ่านกันต่อเรื่อยๆนะ...

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 10 กรกฎาคม 2556 16:03:46 น.  

 

ขอบคุณค่าา
เดี๋ยว ว่างๆ จะมานั่งอ่าน ให้แจ่มแจ้งคะ

 

โดย: M011 10 กรกฎาคม 2556 16:11:23 น.  

 

ข้าวต้มน่ากินจริงๆ ค่ะ เห็นด้วยนะคะว่าถ้าเวลาไม่ได้อยู่เมืองไทย อาหารที่นึกถึงคือ ข้าวต้มกับก๋วยเตี๋ยว สำหรับเรา ขอผัดผักบุ้งไฟแดง ก็อร่อยแล้วววววววว

 

โดย: ทะเลน้ำแข็ง IP: 88.83.7.234 11 กรกฎาคม 2556 6:15:13 น.  

 

โอ..บทเรียนวันนี้ยาวมาก คงต้องหาเวลาอ่าน อ่านเเบบสแกน คงไม่ค่อยได้อรรถรสเท่าไหร่

ที่ไม่ถามเนี่ยไม่ใช่ว่าเพราะคิดว่าตัวเองรู้แล้ว อวดรู้ หรือว่าอายกลัวคนจะหาว่าไม่รู้หรอกค่ะ เราเองก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อจะเป็นคนฉลาด คนดีหรอกค่ะ แค่อยากเห็นสัจธรรมไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเรื่องความโง่หรือไม่รู้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเรา แบบว่าให้อภัยตัวเองได้เสมอ อิ อิ

แต่ที่ไม่ถามนั้นคือยังไม่มีจังหวะที่จะถาม ยังไม่รู้ว่าจะถามอะไร จริงๆ เราก็เจอคำถามมาตลอดนะในการปฏิบัติแต่เนื่องจากเป็นคนที่ไม่จดบันทึกและขี้ลืม พอนานไปก็จะลืม หรือบางครั้งคำถามนั้นก็ไม่ได้อยู่ในจังหวะขณะที่คุยกับท่าน อีกอย่างช่วงนี้ยุ่งกับภาระการงานทางโลกมากด้วย วุ่นวายเกินไป คือเราไม่สามารถคิดอ่านอะไรหลายเรื่องได้ในเวลาเดียวกันนะคะ

เจ้าของบลอกอาจคิดว่าเป็นข้ออ้าง เพราะท่านสามารถที่จะคิดอ่านอะไรหลายๆ เรื่องได้พร้อมกัน คิดไปได้หลายร้อยสเตป ของอย่างนี้คงเอามาเทียบวัดกันไม่ได้ เพราะความสามารถของคนเราไม่เท่ากันนะคะ

 

โดย: หนึ่งฤทัย.. IP: 118.174.132.182 11 กรกฎาคม 2556 9:16:17 น.  

 

ทะเลน้ำแข็ง .... อืมม ผมคิดว่าไม่ใช่แม้แต่คนไทยที่คิดเช่นนี้
แต่คนหลายประเทศจากเอเชียก็คงคิดเช่นกัน ยิ่งคนจีนด้วยแล้ว เห็นข้าวต้มเป็นไม่ได้เลย

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 11 กรกฎาคม 2556 9:36:02 น.  

 

ใครจะคิดอะไรก็เขียนออกมามากๆนะ แล้ววันหนึ่งข้างหน้าลองย้อนกลับมาอ่านที่เขียนไว้ดูอีกที

วันนี้มีสุขภาพแข็งแรง ส่วนวันหน้าอาจจะนอนบนเตียงอ้าปากพะงาบ รอหยอดยาหยอดอาหารทางสายยางก็เป็นได้
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ เธอก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าะไม่เกิด และนั้นคำพูดจากความคิดของเธอก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง
เช่นกัน เมื่อเราไม่รู้ว่าในอนาคตภายหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันต้องเกิดขึ้นแน่ๆไม่ช้าก็เร็วนั้นคือ ความตาย แล้วยังประมาทไม่เตรียมการตั้งแต่ในวันนี้
ผู้มีปัญญาจะเตรียมใจฝึกจิตให้ใสบริสุทธิ์ล่วงหน้า แยกจิตออกจากกาย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เมื่อจิตใสก็ไปอย่างสงบสายใจ
ส่วนคนที่ไม่ได้เตรียมตัว ก่อนจะจากไป ก็มีอาการทุลนทุลาย หวงโน้น หวงนี้ ยังคิดว่ากายเป็นของเราตัวเรา แต่หารู้ไม่ว่าไม่นานมันก็เน่าเฟะกันเหมือนทุกคน

คำพูดที่เที่ยงแท้ที่น่าฟังนั้นคือคำพูดที่ผู้ฟังแล้วมันถูกต้องทุกเวลา ไม่ว่าจะฟังในอดีต ในปัจจุบันหรือในอนาคต
ส่วนคำพูดที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หาได้มีสาระไม่ ไม่พูดซะยังดีกว่า!!

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 11 กรกฎาคม 2556 9:56:57 น.  

 

ขอพูดหน่อยน่าาาา...ถ้าเราไม่พูดแล้วจะรู้ได้ไงละว่า ศิษย์คนนี้มีอะไรควรชี้แนะได้บ้าง..จริงป่าว?

 

โดย: หนึ่งฤทัย... IP: 118.174.132.182 11 กรกฎาคม 2556 10:09:35 น.  

 

ทักทาย ยามเช้าค่ะ คุณ MM
แวะมาอ่านและฟังเพลงเพราะๆ

ใช่คะ ตอนนี้เรา สติยังดี รับรู้และเข้าใจได้....
ฝึกจิต ภาวนา ตามคุณ MM
เตรียมพร้อม เพื่อความไม่ประมาท
ไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดกับเรา ตอนไหน...เมื่อไหร่.
คนที่เตรียมตัวพร้อมเสมอ.........นั้นได้เปรียบมากมายคะ

 

โดย: M011 11 กรกฎาคม 2556 12:08:59 น.  

 

อืมม ...ถ้าอย่างนั้นก็ต้องฝึกการเจริญสติ
ขั้นแรกเธอกำหนดคําบริกรรม พุท โธ คือหายใจเข้าก็พุท หายใจออกก็ โธ ทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่
และเมื่อใดที่ต้องใช้ความคิด เธอก็ปล่อยเป็นตามธรรมชาติ และหลังจากที่ใช้ความคิดเรื่องงานการต่างๆแล้ว เธอก็พุท โธ ตลอดนะ

เมื่อใดที่สติตั้งมั่นจากการฝึกฝนบ่อยๆ เธอก็ลองนั่งสมาธิ โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกพุทโธเช่นเคย
ลองทำดูนะ วันละ5-10นาทีก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้น
ในระหว่างเจริญสติ เธอก็อย่าไปคิดเรื่องอื่นๆ วันหนึ่งเธอก็จะได้สมาธิ แล้วจะแนะนำขั้นต่อไป
เมื่อใดที่มีสมาธิ จิตรวมเป็นหนึ่ง ก็ฝึกให้สมาธิแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทีนี้ก็จะถึงขั้นใช้ปัญญา
นำปัญญานั้นมาคิดในเรื่อง มรณานุสติ คนเราไม่มีอะไรแน่นอนจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อจากไปแล้วก็เหมือนกันทุกคน เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ

ถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว ในทางโลก เธอก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด เธอจะมีสติ ไม่ว่าจะคิด พูด หรือทำอะไรก็จะสุขุมและลึกซึ้งขึ้นมาก
และที่สำคัญเธอก็จะรู้สึกถึงความสุขจากความสงบ จากการปล่อยวางในเรื่องต่างๆ
และนั้น ตัวรู้ที่เธอสัมผัสมันมาจากความจริง ไม่ใช่ความจำที่ไปเที่ยวอ่านไปเที่ยวฟังจากใครต่อใคร
มันเป็นความรู้จากความจริงที่ได้ปฎิบัติด้วยตนเอง...

วันนี้ลองสัก5นาทีดูนะ แต่ถ้าไม่ได้ทดลอง เราก็ไม่มีอะไรที่จะแนะนำต่อได้แล้วนะครับ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 11 กรกฎาคม 2556 12:40:55 น.  

 

โอ...ขอบคุณคะ คุณ MM
เราจะเริ่มลองดูวันนี้เลยคะ
อย่าพึ่งเบื่อน๊าาา
เราสัญญา จะตั้งใจอ่านที่คุณMMแนะนำ
และปฏิบัติตาม ตั้งแต่นาทีนี้เลย

...ขอบคุณ ในน้ำใจมากคะ.......

 

โดย: M011 11 กรกฎาคม 2556 13:29:03 น.  

 

โทษที เราออกไปทำธุระเพิ่งกลับมา ไปเซ็นต์สัญญาทางธุรกิจนะครับ
เดินทางไปกลับร่วม100กิโล ไวเปล่า อิอิ!

อืมมม เยี่ยมมาก! เธอเริ่มฝึกตอนนี้เลยนะ แค่เพียง5นาทีเอง
ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็สามารถฝึกฝนได้เลย
หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ
ได้ผลอย่างไรบอกด้วยนะ

ส่วนเรากำหนดคำบริกรรมตลอดเวลาทุกลมหายใจ
และเมื่อทำได้อย่างนี้แล้ว เวลานั่งสมาธิ จิตจะรวมไวมากครับ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 11 กรกฎาคม 2556 15:17:38 น.  

 

พี่MM นั่งสมาธอทุกวันเลยเหรอคะ

 

โดย: เฆมฝน-ฝุ่นฝน 11 กรกฎาคม 2556 19:46:52 น.  

 

รู้จัก พูดคุยกันมาตั้งนาน ... เพิ่งจะมารู้วันนี้หรอกเหรอ เหอๆ
อืมม แต่ไม่เป็นไร เมื่อรู้แล้ว ก็จงเงียบไว้ อิอิ!

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 11 กรกฎาคม 2556 19:51:36 น.  

 

เห็นบล๊อคนี้มีภาพถ่ายสวยๆจากหลากหลายสถานที่
ก็อย่าไปคิดสรุปว่าเจ้าของบล๊อคจะยึดติดในโลกียะ
กามารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสง หรือกาม ตัณหา ทิฏฐิ อวิชชา เอาเชียวนะ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 11 กรกฎาคม 2556 20:03:32 น.  

 

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=maewmong&group=799

^

อ้าว ได้เรียนรู้บทเรียนเบื้องต้นจากลิ้งค์ข้างบนนี้มาแล้วไม่ใข่เหรอ???
ลองไปอ่านและทำความเข้าใจใหม่อีกครั้งนะ

 

โดย: MM (ongchai_maewmong ) 11 กรกฎาคม 2556 20:35:52 น.  

 

รู้จัก พูดคุยกันมาตั้งนาน ... เพิ่งจะมารู้วันนี้หรอกเหรอ เหอๆ
อืมม แต่ไม่เป็นไร เมื่อรู้แล้ว ก็จงเงียบไว้ อิอิ!

^
โอเค ตามนั้น...

 

โดย: เฆมฝน-ฝุ่นฝน 11 กรกฎาคม 2556 20:40:15 น.  

 

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=maewmong&group=799

^

ขอทบทวนทำความเข้าใจก่อนนะ

 

โดย: เฆมฝน-ฝุ่นฝน 11 กรกฎาคม 2556 20:44:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


MM Story
Location :
Singapore / Bangkok / Sapporo - Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




free counters
New Comments
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
10 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add MM Story's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.