มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 มกราคม 2554
 

เวียดนามเหนือ (ฮานอย ซาปา ฮาลองเบย์ ตามก๊อก เจดีย์หอม) ตอนที่ 5

ฮานอย...เมืองแห่งความวุ่นวาย


เรามาถึงฮานอยเวลาประมาณ 05:00 น. เมื่อลงจากรถไปแล้วจะเห็นว่ามีป้ายเขียนว่าทางออกอยู่ทั้งซ้ายและขวามือ แต่หากสังเกตดีๆ จะพบว่าทางออกทางซ้ายมือจะมีแต่พวกชาวเวียดนามเดินออกไป ส่วนทางออกทางขวามือจะมีนักท่องเที่ยวมากกว่า เราจึงตัดสินใจเดินไปทางขวามือ เมื่อเดินออกมาก็จะพบว่าเรามายืนอยู่ทางด้านหน้าของสถานีรถไฟฮานอย



“จะไปไหนๆ มอเตอร์ไซค์หรือเปล่า” คนขับมอเตอร์ไซค์ถามผม



“เดี๋ยวก่อนขอเข้าห้องน้ำก่อน” ผมตอบพร้อมกับเดินหลบเข้าไปตั้งหลักในสถานีรถไฟฮานอย พร้อมกับเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย ราคาค่าเข้าห้องน้ำที่นี่คิดตั้ง 2000 ดองแนะ เมื่อเราทั้งคู่เสร็จธุระเรียบร้อยก็พร้อมจะออกไปเผชิญกับเหล่ามอเตอร์ไซค์ที่รออยู่ด้านหน้า



“เราเดินไปที่ทะเลสาบกันไหม ดูจากแผนที่แล้วไม่น่าไกลมาก” ผมถามความเห็นน้องพิม
 


“ยังไงก็ได้” น้องพิมบอก ผมเดาไม่ออกครับว่าน้องพิมอยากจะเดินเพื่อความประหยัดหรือว่าอยากเรียกรถไปเพื่อความสะดวก ผมเลยบอกว่าหากได้ราคาไม่เกิน 10000 ดองต่อคน ก็นั่งจะนั่งรถไป
 


“ไปเปล่าๆ” คนขับมอเตอร์ไซค์คนเดินเดินเข้ามาหาผมอีกครั้ง
 


“ไปถนน Hang Bac เท่าไร”
 


“50000 ดอง”
 


“โห้ย....แพง!!” เราทั้งคู่พูดพร้อมกันเพราะได้เตี้ยมกันไว้แล้ว
 


“งั้น 30000 ดอง” คนขับรถลดราคาให้
 


“ไม่เอาอ่ะ ยังแพงอยู่” ผมตอบพร้อมกับแกล้งจะเดินไปหาคันอื่น
 


“งั้นจะเอาเท่าไรบอกมา” เข้าแผนผมเสียแล้วสิ
 


“20000 ดอง” ผมตอบ
 


“โอเค...ขึ้นมาเลย”


เรามาถึงหน้าโรงแรม Prince79 โรงแรมที่นักท่องเที่ยวไทยหลายคนบอกว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เดี๋ยวเราได้พิสูจน์กันว่าดีจริงหรือเปล่าหรือว่ามีแต่แมงโม้บอกต่อๆ กันมา


“อ้าว ยังปิดอยู่เลย” ผมบ่นพึมพัมเพราะว่าโรงแรมยังปิดอยู่ และร้านค้าหรือโรงแรมแถวๆ นั้นก็ยังปิดอยู่เช่นกัน ยกเว้นแต่ร้านขายเบเกอรี่และแบ๋งหมี่ที่อยู่ถัดจากโรงแรมไป 2-3 คูหาเปิดให้บริการแล้ว แต่ว่ามีนักท่องเที่ยวนั่งอยู่เต็มร้านเลย เราจึงนั่งหน้าโรงแรมรอคอยจนกว่าจะเปิด และด้วยความโชคดีของเราที่มีนักท่องเที่ยวต้องออกจากโรงแรมในตอนเช้ามืด ทางโรงแรมจึงต้องลงมาเปิดประตูให้ พอเปิดเสร็จก็จะปิดต่อ ผมจึงรีบวิ่งไปเคาะประตูเหล็กให้เปิดก่อน หลังจากนั้นผมจึงบอกว่าขอฝากกระเป๋าไว้ก่อนตอนค่ำๆ จะมาเช็คอิน



ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท เราค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบฮว่าน-เกี๋ยม แม้ว่าอากาศจะหนาวและท้องฟ้ายังคงมืดมิด แต่ก็ไม่อาจจะสู้ความพยายามของอาซิ่มอาม่าอาแป๊ะอากู๋ชาวเวียดนามที่ต่าง พร้อมใจกันมาออกกำลังกายอยู่บริเวณทะเลสาบเราตัดสินใจหาที่นั่งแถวๆ นั้นเพื่อรอรถเมล์สาย 2 ที่เราคิดว่าจะผ่านตรงที่เรานั่งอยู่เพื่อไปยังสุสานลุงโฮ ระหว่างที่รอเห็นคนขายขนมปังไส้ช็อกโกเลตซึ่งผมเห็นว่ามีฝรั่งกลุ่มหนึ่งอุด หนุนไปแล้วจึงตัดสินใจลองดูบ้าง ราคาก็ไม่ถูกเลย ต่อราคาแล้วก็ไม่ยอมลดให้ ราคาสองชิ้น 25000 ดองแนะ เมื่อมีอาหารตุนเอาไว้แล้ว เราก็นั่งรอจนท้องฟ้าเริ่มสว่าง จึงได้ลุกสะบัดก้นเดินไปที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงข้ามกับ Tourist Information Center



“เอ...ทำไมไม่เห็นมีรถเมล์หมายเลข 2 เลย มีแต่ 9 และ 14”



“สงสัยไม่มีมั้ง ป้ายที่เขียนเอาไว้ก็ไม่เห็นมีหมายเลข 2 เลย” น้องพิมตั้งข้อสังเกต ซึ่งผมก็คิดว่าข้อมูลที่ได้มาคงจะผิดแหง๋ๆ จึงตัดสินใจไม่ขึ้นรถมันแล้ว เดินชมบรรยากาศดีกว่า ว่าแล้วก็เดินมันซะรอบทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม


หลังจากนั้นเราเดินไปตามถนน Le Thai To จนมาบรรจบกับถนน Hang Khay แล้วเดินเลี้ยวขวาไปตามถนน Trang Thi จนเจอกับ 6 แยกที่ดูสับสนวุ่นวาย เราก็ข้ามถนนไปที่ถนน Dien Bien Phu เพียงแค่อึดใจเดียวก็จะเจอกับพิพิธภัณฑ์สงครามซึ่งอยู่ทางซ้ายมือและ อนุสาวรีย์เลนินตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้าม เวลาที่เดินจากทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมมาที่นี่ก็ประมาณ 30 นาทีสบายๆ ตอนแรกผมว่าจะแวะเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์สงครามแต่ว่ามันยังไม่เปิด จึงตัดสินใจไปดูอย่างอื่นแทน


 


History of military museum


สถานที่ตั้ง: 28A ถนน Dien Bien Phu ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 1958 ภายในมีห้องนิทรรศการณ์อยู่ประมาณ 30 ห้องและมีพื้นที่ทั้งหมด 10000 ตร.ม. ซึ่ง
ได้ รวบรวมเอาประวัติศาสตร์ของชนชาติเวียดนาม รวมทั้งเรื่องราวของสงครามต่อต้านฝรั่งเศสและอเมริกา และยังมีการแสดงอาวุธในสมัยอดีตไม่ว่าจะเป็นรถถัง เครื่องบิน ระเบิดหรือแม้แต่จรวด
เวลาเปิดปิด: 08:00-11:30น. และ 13:00-16:30น. เปิด ทุกวันยกเว้นวันจันทร์และวันศุกร์
ราคา: ค่าเข้า 20000 ดอง, ค่าถ่ายรูป 5000 ดอง
การเดินทาง: รถเมล์หมายเลข 9, 18, 41


 


เราเดินตรงไปอีกนิดเดียวก็เจอกับหอธงกดเก่ อ (Cot Co) ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งของฮานอย สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1812 ในสมัยราชวงค์เหวียน หอคอยนี้มีรูปทรงเป็นแบบหกเหลี่ยมและมีธงชาติเวียดนามอยู่ตรงยอด ความสูงของหอคอยประมาณ 33 เมตร จริงๆ แล้วหอคอยนี้เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการแต่ส่วนอื่นๆ ได้ถูกทำลายไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เหลือเพียงส่วนที่เห็นนี้เท่านั้น เรายืนถ่ายรูปกันแต่ภายนอกเพราะว่าประตูทางเข้าปิดอยู่ ฝั่งตรงข้ามของถนนจะเป็นสวนสาธารณะ ซึ่งมีรูปปั้นสำริดของเลนินยืนเด่นเห็นได้ชัดเจน เลนินใส่สูทยืนมองไปที่พิพิธภัณฑ์ทหารฝั่งตรงข้าม เราเสียเวลาทั้งสองจุดนี้ไม่นาน ก็ตัดสินใจเดินต่อไปตามทาง ซึ่งก็อีกไม่ไกลนักจะเจอกับ Historical Monument and The Art Achitecture อยู่ทางขวามือฝั่งเดียวกับหอธงกดเก่อ



ผมเหลือบดูนาฬิกาพบว่าแปดโมงเช้าพอดีซึ่ง ก็คือเวลาเปิดในช่วงแรกส่วนช่วงที่สองจะเปิดเวลา 14:00-16:30 น. เราเดินเข้าไปพร้อมกับถามว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายไหม ลุงที่เฝ้าประตูส่ายหน้าพร้อมกับชี้ให้เราเข้าไปได้เลยเราเดินเลาะไปกับ กำแพงสีเหลืองที่มีคราบดำๆ บ่งบอกถึงอายุของสถานที่เพียงไม่กี่สิบเมตรก็เจอกับประตูทางเข้าไปข้างใน เราเดินเข้าไปข้างในเจอกับซากปรักหักพังต่างๆ และมีการกั้นไม่ให้เข้าเหมือนกำลังซ่อมแซมกันอยู่ เราจึงเดินขึ้นไปตามบันไดไปชั้นที่สอง เจอกับสวนเล็กๆ ข้างบนและมีอาคารซึ่งดูจากร่องรอยแล้วเหมือนกับว่าเคยเป็นสถานที่จัดแสดง อะไรซักอย่างหรือเป็นพิพิธภัณฑ์โชว์อะไรสักอย่างเพราะว่าเห็นตู้กระจกตั้ง อยู่แต่ว่าไม่มีอะไรข้างในตู้นั้นจากข้างบนทำให้เห็นว่าอาณาบริเวณตรงนี้ กว้างพอสมควรแต่ว่ายังบูรณะไม่เสร็จ เราจึงใช้เวลาไม่นานนักที่นี่


 



 


เมื่อมองไปฝั่งตรงข้ามไกลแต่ไม่ริบก็จะเจอ กับสัญลักษณ์ของประเทศเวียดนามเลยทีเดียว นั่นก็คือ ลางจู่ติกโฮจิมินห์ (Lang Chu Tich Ho ChiMinh) หรือสุสานของลุงโฮนั่นเอง เราเดินไปทางด้านขวามือของสนามใหญ่ตรงจัตุรัสบาดิงห์ และเดินไปจนสุดทางเบื้องหน้าของเราจะเป็นทำเนียบประ-ธานธิบดี แต่ว่าเราเข้าไปข้างในไม่ได้เพราะประตูปิด ผมจึงเดินไปถามทหารตรงนั้นว่าจะเข้าไปได้ยังไง คนแรกไม่ยอมตอบสงสัยพูดอังกฤษไม่ได้ ผมเลยต้องไปถามอีกคนที่ยืนป้อมถัดไป ได้คำตอบว่าให้เดินไปฝั่งตรงข้ามของจตุรัสบาดิงห์ ตรงนั้นจะมีทางเข้า



เราจึงต้องเดินอ้อมสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่ตรง เบื้องหน้าเป็นสุสานลุงโฮ สนามหญ้านี้ห้ามคนเดินเข้าไปมีป้ายปักไว้เป็นระยะไกลๆ ผมจึงเห็นว่ามีบางคนคงมองไม่เห็นป้ายจึงเดินเข้าไป ทหารที่ยืนบริเวณนั้นก็จะคอยเป่านกหวีดไล่ให้ไปเข้าตรงประตูทางเข้า


 



เมื่อเดินอ้อมไปอีกทางจะมีทั้งป้ายมีทั้ง ทหารคอยบอกทางอยู่ตลอดจนในที่สุดเราก็มาถึงทางเข้า ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่อคิวยาวเหยียดรอเข้าไปชมข้างใน ภายในนั้นเรียกว่า Ho Chi Minh Complex ซึ่งประกอบไปด้วยสุสานลุงโฮ ทำเนียบประธานาธิบดี บ้านโฮจิมินห์ (ยาเซินบากโฮ) เจดีย์เสาเดียว (จั่วโหมดโกด) และสุดท้ายคือพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (บ่าวตางโฮจิมินห์) มาทีเดียวเที่ยวครบไม่ต้องไปเดินหาให้ยุ่งยาก


ต่อคิวไปพร้อมๆ กับคนอื่น เดินไปสักพักก็จะมีป้ายเขียนเอาไว้ว่าให้ฝากกระเป๋า เราจึงต้องเอากระเป๋าไปฝากเอาไว้โดยไม่ต้องเสียเงินค่าฝาก แต่ผมซื้อโบรชัวร์ของสถานที่มาในราคา 5000 ดอง แล้วผมก็เอากล้องติดตัวเดินต่อไปสักพักก็ต้องฝากกล้องอีกจุดหนึ่งเพราะเค้า ไม่ให้เอากล้องไปถ่ายรูปลุงโฮ


 


Ho chi minh’s mausoleum


สถานที่ตั้ง: No.17 ถนน Ngoc Ha ตำบลบาดิงห์ ตรงจัตุรัสบาดิงห์เป็นที่ที่ลุงโฮอ่านคำประกาศอิสรภาพของเขาในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 สุสานแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1973 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1975 ด้วยการช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต ตัวสุสานนั้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมทำจากหินอ่อนและหินแกรนิต ลุงโฮนอนอยู่ในโลงแก้วข้างใน โดยมีทหารยืนอารักขาอยู่ภายในห้อง
เวลาเปิดปิด: ฤดูร้อน (เมษายน-ตุลาคม) 07:30-10:30น. ฤดูหนาว (พฤศจิกายน-มีนาคม) 08:00-11:00น. เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์และวันศุกร์
(หากเป็นวันหยุดเวลาขยายเวลาเปิดไปอีกครึ่งชั่วโมง)
(ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนจะมีการปิดเพื่อนำร่างของลุงโฮไปชำระล้าง)
ราคา: ไม่เสียค่าเข้า
การเดินทาง: รถเมล์หมายเลข 9


 


เราเดินเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และไม่มีการพูดคุยใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างดูเงียบเชียบ ทุกคนให้ความเคารพต่อสถานที่และต่อลุงโฮ เราเดินขึ้นบันไดไปตามทางเรื่อยๆ จะเจอกับลุงโฮนอนอย่างสงบนิ่งอยู่ในโลงแก้วใส เราก็เดินผ่านออกไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเงียบสงบจนกระทั่งออกมาข้างนอก


เมื่อออกจากสุสานลุงโฮก็ไปรับกล้องถ่ายรูป ตรงป้อมทางออกจากสุสานแล้วก็เดินไปตามทางซึ่งก็มีอยู่ทางเดียว มุ่งหน้าเข้าสู่ทำเนียบประธานาธิบดี ค่าเข้าชม 15000 ดองต่อคนนี้รวมกับการเข้าชมบ้านลุงโฮด้วย ตึกเบื้องหน้าที่ติดๆ กับที่จำหน่ายบัตรก็คือทำเนียบประธานาธิบดี ซึ่งอนุญาติให้แค่ถ่ายรูปแต่เพียงด้านนอกเท่านั้น สถาปัตยกรรมของทำเนียบนี้เป็นแบบสไตล์ฝรั่งเศสโคโลเนียล สร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1901-1906


เมื่อเดินผ่านไปตามเส้นทางจะเจอกับป้าย เขียนบอกทางเอาไว้ว่าไปบ้านลุงโฮซึ่งลุงโฮใช้อยู่อาศัยและทำงานเมื่อปีค.ศ. 1954-1958 เราเดินเข้าไปในส่วนของอาณาบริเวณบ้านจะเจอกับบ้านหลายหลังแต่ส่วนที่เป็น ไฮไลท์มีอยู่สองแห่งติดๆ กันคือ โรงรถของลุงโฮ และบ้านที่ลุงโฮใช้อาศัยและทำงาน


 


Ho chi minh’s vestige


สถานที่ตั้ง: No1 Bach Thao ตำบลบาดิงห์ภายในประกอบไปด้วยทำเนียบประธานาธิบดีซึ่งลุงโฮปฏิเสธที่จะอาศัย อยู่ที่นั่นจึงได้มีการสร้างบ้านชั้นเดียวไม่ไกลไปจากทำเนียบบ้านหลังนั้น ลุงโฮอาศัยอยู่ในช่วงปีค.ศ.1954-1958 ต่อมาได้มีการสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นแต่ก็ไม่ไกลไปจากเดิม บ้านหลังใหม่นี้ลุงโฮอาศัยอยู่จนถึงปีค.ศ. 1969
เวลาเปิดปิด: ฤดูร้อน 07:30-11:00น. และ 14:00-16:00น.  ฤดูหนาว 08:00-11:00น. และ 13:30-16:00น. เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์และวันศุกร์ตอนบ่าย
ราคา: ค่าเข้า 15000 ดอง
การเดินทาง: รถเมล์หมายเลข 9


สถานที่แห่งแรกที่เจอคือโรงจอดรถของลุงโฮ เป็นอาคารเพียงชั้นเดียวทาสีเหลือง มีห้องสองห้องที่ภายในมีรถยนต์ของลุงโฮจอดอยู่ 2 คัน เราสามารถมองทะลุกระจกเข้าไปข้างในได้ รถคันแรกเลขทะเบียน HN158 และอีกคันเป็นรถเปอร์โยต์เลขทะเบียน HNC232 เราเดินออกจากโรงจอดรถแล้วเดินไปทางขวามือจะเจอกับอาคารอีกหลังซึ่งก็คือ บ้านที่ลุงโฮอาศัยอยู่ในช่วงแรกภายในมีพัดลมแขวน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะ เตียง เก้าอี้ไม้ อีกห้องจะเป็นห้องอาหารซึ่งก็มีเพียงโต๊ะอาหารและโต๊ะตัวเล็กๆ ไว้วางนาฬิกาและวิทยุ แลดูเรียบง่ายแบบคนสมถะมากๆ ห้องที่สามเป็นเหมือนห้องทำงานซึ่งก็แทบไม่มีอะไรมากมายนอกจากโต๊ะทำงานและ รูปถ่ายของเลนิน



ออกจากบ้านหลังเก่าเราเดินตามทางไปเรื่อยๆ ไหลไปตามกระแสของฝูงชนผ่านสระน้ำที่โดดเด่นในเรื่องของการออกแบบและสีเหลือง ที่สามารถดึงเอาแบบออกมาได้เด่นชัดมากขึ้น จนกระทั่งถึงบ้านหลังที่สองที่ลุงโฮอาศัยอยู่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นแต่ว่าชั้นล่างเป็นใต้ถุนบ้านซึ่งเหมือนกับบ้าน ไทยโบราณที่ด้านล่างเอาไว้วางแคร่ แต่ของลุงโฮเอาไว้วางเก้าอี้มากมายหลายตัว นับไปนับมาไม่รู้ว่าถึง 12 ตัวหรือเปล่า แต่จากข้อมูลที่ผมทราบมานั้นสาเหตุที่ลุงโฮมีเก้าอี้มากมายก็เพราะว่าลุงโฮ รักเด็ก พวกเด็กๆ ชอบมานั่งเล่นกัน (จะจริงหรือเปล่าไม่รู้เหมือนกันแต่ผมว่าฟังดูแปลกๆ นะ ลิงห์ไกด์สาวคนนึงได้บอกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้)


ส่วนชั้นบนเป็นส่วนของที่อยู่อาศัย เราเดินขึ้นไปตามบันไดทางขวามือ ผ่านทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่ ข้างบนมีเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบเรียบๆ ความเรียบๆ แบบนี้แทบจะไม่แตกต่างจากบ้านหลังเดิมเลยวิถีชีวิตของลุงโฮน่าจะเอาแบบอย่าง แต่คงไม่ง่ายสำหรับชีวิตปัจจุบันที่มีอะไรหลายอย่างเป็นปัจจัยเสริมทำให้ ไม่สามารถทำได้ เราใช้เวลาไม่นานนักกับบ้านหลังนี้เพราะว่าต้องเดินไปตามกระแสของผู้คน จนในที่สุดก็มาโผล่ที่ร้านขายของที่ระลึกมากมายหลายร้าน ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ก็สามารถหาซื้อได้แถวๆ ย่านโอลด์ควอเตอร์ เราเดินไปสักพักก็จะเจอกับจั่วโหมดโกด หรือที่คนไทยเรียกกันว่าเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda)


เจดีย์เสาเดียวนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1049 สมัยราชวงศ์หลี ลักษณะอันโดดเด่นของเจดีย์นี้คือเป็นการสร้างเจดีย์บนเสาขนาดใหญ่ต้นเดียว ตั้งอยู่กลางสระบัว ต่อมาในปีค.ศ. 1954 ได้ถูกทำลายลงโดยฝรั่งเศส แล้วก็ได้บูรณะขึ้นมาใหม่ เดิมชื่อว่า Dien Huu จากตำนานที่เล่าขานกันต่อมาว่าพระเจ้าหลีไทโตมีพระประสงค์อยากได้รัชทายาท และได้ฝันว่าเจ้าแม่กวนอิมได้ประทานบุตรให้แก่พระองค์ ดังนั้นในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีชาวเวียดนามพากันมาไหว้เพื่อขอบุตรกันที่ นี่ (ที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00-17:00น. ค่าเข้าฟรี)



เดินออกจากเจดีย์เสาเดียวเพียงนิดเดียวก็ จะเจอกับบ่าวตางโฮจิมินห์หรือพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ซึ่งเราต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 15000 ดองด้านหน้าสัญลักษณ์ค้อน เคียวและดาวแปะหลาอยู่หน้าตึก บริเวณทางเข้าจะมีบรรดาตากล้องมืออาชีพติดป้ายประจำตัวประกาศให้ทุกคนรับรู้ กันว่า “ข้าคือมืออาชีพ รับจ้างถ่ายรูป” หากเราไม่ต้องการก็ไม่ต้องสนใจเพราะตากล้องเหล่านี้ก็ไม่ได้มาเซ้าซี้ถ่าย ให้อยู่แล้ว


เมื่อเราเดินเข้าไปข้างในชั้นที่หนึ่งจะ เป็นเรื่องราวประวัติ รูปภาพของลุงโฮ แต่ด้วยความที่เราทั้งสองไม่ได้สนใจในสิ่งเหล่านี้สักเท่าไรจึงตัดสินใจเดิน ขึ้นบันไดอีกหนึ่งชั้นซึ่งก็จะเจอกับรูปปั้นลุงโฮโบกมือทักทายนักท่องเที่ยว ที่มาเข้าชม ในชั้นนี้มีศิลปะ ประติมากรรมต่างๆ เช่นสระบัวทำจากโลหะมีสัญลักษณ์ทางประวัติศาสต์ของชาติเวียดนามเป็นรูปมังกร และม้าเป็นต้น



Ho chi minh museum
สถานที่ตั้ง: 19 ถนน Ngoc Ha ตำบลบาดิงห์อยู่ในเขต Ho Chi Minh Complex เป็นจุดสุดท้ายที่ต้องแวะชมก่อนออก สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1985
แล้ว เสร็จเมื่อปีค.ศ. 1990 ตัวตึกถูกออกแบบเป็นรูปดอกบัวสีขาว ชั้นที่สองเป็นที่แสดงศิลปะและประติมากรรม มีชิ้นงานที่แสดงอยู่ไม่ต่ำกว่า 2000 ชิ้น
เวลาเปิดปิด:08:00-11:30น. และ 14:00-16:00น.  เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์และวันศุกร์ตอนบ่าย
ราคา: ค่าเข้า 15000 ดอง
การเดินทาง: รถเมล์หมายเลข 9


เราใช้เวลาสักครู่ใหญ่ๆ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จนสมควรแก่เวลาที่จะต้องไปสถานที่อื่นๆต่อ เป้าหมายต่อไปคือวันเมียวหรือวิหารวรรณกรรม ซึ่งอยู่
ทางทิศใต้ของ พิพิธภัณฑ์ เราเดินออกมาแล้วเปิดแผนที่เดินไปที่ถนน Doi Can ตัดกับถนน Le Truc เดินไปจนกระทั่งเจอกับสนามกีฬาฮานอยสังเกตง่ายๆคือมีร้านขายอุปกรณ์กีฬาอยู่ หลายร้าน เมื่อเดินต่อไปอีกไม่ไกลก็จะเจอกับวิหารวรรณกรรมซึ่งตั้งอยู่บนถนน Quoc Tu Giam


ก่อนจะเข้าไปเราผ่านประตูทางเข้าเป็นเสา สี่ต้นตั้งอยู่ชิดกับถนน และเมื่อเดินเข้าไปทางซ้ายมือเป็นที่จำหน่ายตั๋ว ต้องจ่ายเงินค่าเข้า 5000 ดองต่อคนและซื้อโบรชัวร์ไว้สำหรับเดินชมวิหารได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ตรงประตูทางเข้าที่มีชื่อเรียกว่า Great Portico นั้นมีลักษณ์แบบสไตล์จีนซึ่งจริงๆ แล้วเหมือนจีนหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจนักแต่ว่าผมเองไม่สามารถแยกแยะได้ว่านี่ คือเวียดนามหรือนี่คือจีน เอาเป็นว่าจีนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและยิ่งใหญ่งั้นผมก็ขอเหมา รวมว่าเป็นสไตล์จีนก็แล้วกัน



ตลอดเส้นทางในส่วนแรกจะเป็นสวนสีเขียวขจี มีทางเดินตรงกลางให้นักท่องเที่ยวได้เดินตรงเข้าไปข้างใน เราจะผ่านพลับพลาเคววันกั๊ก (KhueVan Cac) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1802 เบื้องหน้าจะเป็นสระน้ำใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อเทียนกวางติงห์(Thien Quang Tinh)หรือแปลว่าสระใสสวรรค์ ตรงสองข้างของสระน้ำนี้มีแผ่นหินจารึกบนหลังเต่า แผ่นหินนี้อยู่ใต้หลังคาแต่เดิมนั้นอยู่ตามต้นไม้ต่างๆในบริเวณนี้ เดิมทีมีแผ่นหินอยู่ประมาณ 116 แผ่น แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 82 แผ่น แผ่นหินบนหลังเต่าดังกล่าวนี้มีชื่อของผลงานและประวัติการศึกษาของปราชญ์ จำนวน 1306 คนที่่ผ่านการสอบ ณ ที่แห่ง
นี้เมื่อปีค.ศ. 1484-1779



Temple of literature (Van mieu)


สถานที่ตั้ง: ถนน Quoc Tu Giamวิหารวรรณกรรมแห่งนี้นับว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศเริ่มตั้ง แต่ปีค.ศ. 1076 จนถึงปีค.ศ. 1779 ในช่วงเวลาดังกล่าวมีปราญช์จบการศึกษา 2313 คน
เวลาเปิดปิด:15 เม.ย.-15 ต.ค. 07:30-17:30น.นอกเหนือจากนี้เปิด 08:00-17:00น.
ราคา: ค่าเข้า 5000 ดอง (นักเรียน 2500 ดอง)
การเดินทาง: รถเมล์หมายเลข 38


 


เราเดินผ่านแผ่นศิลาจารึกบนหลังเต่าเข้าไป ด้านในจะเจอกับลานกว้าง เราเดินไปเรื่อยๆ จะเจอกับอาคารสุดท้ายของวิหาร ทางด้านขวามือจะเจอกับกลองขนาดใหญ่ ภายในอาคารจะมีสองชั้นให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปข้างบนได้ ทางขึ้นจะอยู่ฝั่งขวามือ ข้างบนเป็นรูปปั้นของพระเจ้า Le ThanhTong พระเจ้า Ly Thanh Tong และพระเจ้า Ly Nhan Tong อยู่ เราใช้เวลาที่เหลือเดินเล่นในวิหารวรรณกรรมจนกระทั่งเกือบๆ บ่ายโมงจึงต้องออกมาเพราะว่าทนกับความหิวไม่ไหว


เราเดินออกมาทางซ้ายมือของวิหารจะเห็นร้าน อาหารอยู่ 2-3 ร้านซึ่งมีคนกินอยู่มากมายและมีนักท่องเที่ยวฝรั่งหลายคนนั่งกินอยู่ เราจึงตัดสินใจกินที่นี่ เมื่อเข้าไปถามเมนูอาหารทางร้านก็หยิบเมนูภาษาอังกฤษมาให้ราคาที่เห็นก็เป็น ราคานักท่องเที่ยวซึ่งเราก็ยอมรับได้แม้ว่าในใจคิดว่าแพงไปหน่อย มื้อนี้เราสั่งเฝอไก่ 2 ชามและปลาทอด 1 จาน สนนราคารวม 30000 ดอง


เมื่อกินเสร็จเราเดินตามทางไปด้านหลังของ วิหารวรรณกรรมเพื่อไปที่ป้ายรถเมล์ เราตัดสินใจรอรถเมล์สาย 02 เพื่อไปที่โรงละครยาฮัดโลน (Nha Hat Lon) หรือบ้างก็เรียกว่าโอเปร่าเฮ้าส์ ผมบอกกับคนเก็บตั๋วว่าเมื่อไปถึงที่แล้วให้บอกด้วย


เรามาถึง 5 แยกซึ่งด้านหนึ่งจะเป็นตึกรูปทรงตะวันตกทาสีขาวสลับเหลืองตั้งตระหง่าน เยื้องๆ เป็นโรงแรม Hilton เราจึงเดินเข้าไปที่ตึกรูปทรงสวยตึกนั้น ซึ่งก็คือโรงละครนั่นเอง ผมจะเดินเข้าไปด้านข้างเพื่อถ่ายรูปแต่ปรากฎว่ามีชายสองคนเดินมาพร้อมกับ บอกว่าห้ามถ่าย อะไรวุ้ย ห้ามถ่ายรูปด้วย ผมก็ไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียงด้วยจึงเดินออกจากโรงละครไปพิพิธภัณฑ์ประวัติ ศาสตร์แทน แต่ก่อนจะก้าวออกไปผมรีบกดชัตเตอร์ไป 1 ครั้งอย่างน้อยให้มันได้ภาพอะไรมาก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย


เพียงไม่กี่ช่วงตึกเราก็มายืนอยู่ตรงหน้า พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือที่เรียกว่า บ่าวตางหลิกสือ ตัวอาคารมีลักษณะโดดเด่นสีเหลืองอร่ามเดิมมีชื่อเรียกว่า Loius Finot Museum จากประวัติศาสตร์ของทางพิพิธ-ภัณฑ์บอกเอาไว้ว่าในปีค.ศ. 1874 ทางฝรั่งเศสได้มายึดอาคารหลังนี้เอาไว้และเมื่อปีค.ศ. 1910 ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นสถานกงศุลของฝรั่งเศส และต่อมาเมื่อ Ecole francaise d’Extreme Orient (EFEO) ได้ย้ายจากไซง่อนมาฮานอยจึงได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงงานของ EFEO ตัวตึกที่เห็นในปัจจุบันเป็นแบบสไตล์ของอินโดไชน่าซึ่งผสมผสานระหว่างตะวัน ออกและตะวันตก เมื่อฝรั่งเศสแพ้สงครามทางการเวียดนามจึงเปลี่ยนมาเป็นชื่อพิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์เมื่อปีค.ศ. 1954


เราจ่ายเงินคนละ 20000 ดอง และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มคือการนำกล้องเข้าไปถ่ายรูปอีก 15000 ดอง ยังไม่พอเราเสียค่าเอากล้องวิดีโอเข้าไปอีก 30000 ดองเพื่อที่จะได้บรรยากาศครบทั้งแบบภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเมื่อจ่ายเงิน เรียบร้อยแล้วก็เข้าไปในตัวตึกหากใครมีกระเป๋าก็ต้องฝากเอาไว้ที่ล๊อกเกอร์ ด้านซ้ายมือของประตูอาคารโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ


ในโบรชัวร์ที่ได้มานั้นจะบอกวิธีการเดินชม พิพิธภัณฑ์ซึ่งมี 2 ชั้นโดยที่ชั้นล่างเป็นที่สะสมวัตถุโบราณเช่นโลหะสำริดในสมัย 500 ปีก่อนคริสตศักราช เครื่องปั้นดินเผาในสมัย 100 ปีก่อนคริสตศักราช หลุมศพ เหรียญ ถ้วยชามหรือรูปปั้นต่างๆ โดยชั้นล่างนี้จะมีวัตถุโบราณที่สำคัญอยู่ 14 ชิ้นดังในโบรชัวร์ที่แจกเอาไว้



History museum
สถานที่ตั้ง: No.1 ถนน Trang Tien
เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวันเวลา 08:00-16:30น.
ราคา: ค่าเข้า 20000 ดอง (นักเรียน 10000 ดอง) กล้อง 15000 ดองและวิดีโอ 30000 ดอง
การเดินทาง: รถเมล์หมายเลข 2, 9


บนชั้น 2 มีทั้งโลหะสำริด อิฐ รูปปั้น ภาพวาดหรือแม้กระทั้งชุดแต่งกายโบราณ การเข้ามาเยี่ยมชมในนี้ผมเห็นว่านักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งมีไกด์คอย อธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างคล่องแคล่วในแต่ละวัตถุโบราณ ซึ่งผมคิดว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นคงได้ความรู้และข้อมูลมากกว่าที่ผมและ น้องพิมได้รับแน่นอน เพราะเรามีข้อมูลจากโบรชัวร์เท่านั้น เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มๆ แล้วจึงเดินออกไปที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งก็คือพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติ


เพียงแค่ฝั่งตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ประวัติ ศาสตร์เราก็มายืนอยู่ตรงหน้าตึกที่มีปืนใหญ่ตั้งอยู่ที่นี่เรียกว่า บ่าวตางแก๊กหม่าง (พิพิธภัณฑ์ปฏิวัติ) ที่นี่สร้างเมื่อปีค.ศ. 1959 มีงานแสดงมากกว่า 3000 ชิ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเอกสาร ภาพถ่ายและวัตถุโบราณที่เกี่ยวกับทางการทหาร ภายในแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ทั้งหมด 29 ห้องจาก 2 ชั้น


หลังจากจ่ายค่าเข้าคนละ 10000 ดอง เราก็เดินขึ้นไปดูทีละห้องๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือภาพถ่ายและเอกสารที่เล่าเรื่องการปฏิวัติ การเป็นคอมมิวนิสต์ดังนั้นจึงเห็นรูปและข้อความหรือสัญลักษณ์ที่เป็น คอมมิวนิสต์อยู่มาก เราใช้เวลาเพียงสั้นๆ แค่ 30 นาทีก็อำลาจาก เพราะว่าได้เวลาปิดของสถานที่นี้แล้ว



เราเดินมุ่งหน้ากลับสู่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม โดยใช้เส้นทางของถนน Trang Tien เดินไปสักพักจะเจอกับร้านขายไอศรีมชื่อดังที่นักท่องเที่ยวชาวไทยพูดกัน นักหนา...ร้านนี้ชื่อว่า Kem Trang Tien


“ลองกินป่ะ เค้าว่าที่นี่มีชื่อมากเลย” ผมถามน้องพิม


“ลองดูก็ได้ ไหนๆ ก็เดินผ่านมาแล้ว แต่ไหงคนมะค่อยมีเลย ไหนว่าชื่อดัง” น้องพิมตั้งข้อสังเกต


“ฤดูหนาวหรือเปล่า...เอ แต่ก็ไม่น่าใช่ คนเกาหลียังนิยมกินไอศรีมตอนฤดูหนาวเลยนี่นา หรือว่ามันไม่อร่อยจริงๆ อย่างที่บางคนบอก” ผมก็ตอบแบบมั่วๆ ส่งๆ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วลองซื้อสองแท่งก็แล้วกันราคารวม 10000 ดอง


ผมเหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาโลโก้ของร้านเห็น ว่าเปิดตั้งแต่ปี 1958 แน่ะหากไม่แน่จริงคงไม่อยู่นานขนาดนี้หรอกเมื่อให้หนูทดลองได้ลองชิมทั้งสอง ชนิดจากสีหน้าที่ยิ้มๆ ก็...ทำหน้าปุเลี่ยนๆผมก็เลยลองชิมดูบ้าง...อร่อยตรงไหนหว่า ผมว่ารสชาติงั้นๆ นะครับ ไม่ถึงกับอร่อยจนต้องถ่อมากินให้ ได้ ไม่ได้กินก็ไม่เสียหายตรงไหน ว่ากันง่ายๆ เลยคือไอศรีมบ้านเราอร่อยกว่า...เยอะ


เราเดินกลับมาที่โรงแรมอาบน้ำอาบท่าพร้อม ทั้งนอนพักผ่อนเอาแรงประมาณชั่วโมงกว่าๆ จึงออกมาหาข้าวเย็นกิน เราตัดสินใจเดินไปที่ถนน Hang Be เพื่อเดินหาของที่ระลึกไว้ฝากเพื่อนๆ และอาหารค่ำในวันนี้ตรงถนนรอบโอลด์ควอเตอร์นั้นก็จะมีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายอาหาร ขายซีดี สำหรับบริษัททัวร์และโรงแรมเรียกว่ามีแบบเดินสองสามคูหาก็เจอแล้ว ดังนั้นใครคิดจะจองโรงแรมหรือทัวร์ผ่านอินเตอร์เน็ตก็ให้คิดใหม่ได้นะครับ ไม่ต้องกลัวเรื่องโรงแรมเต็มเพราะว่ามันเยอะมากจริงๆ บริษัททัวร์ก็เยอะมากๆ ไม่เห็นกับตาคงไม่เชื่อเลยครับ เดินไปเดินมาน้องพิมไปเจอร้านขายพวงกุญแจไม้อันเล็กๆ เป็นรูปคนเวียดนามใส่งอบเห็นแล้วรู้เลยว่านี่คือเวียดนาม แถมคนขายพูดไทยได้ เราก็เลยได้ของที่ระลึกชนิดนี้กลับไปฝากเพื่อนๆ ที่ทำงาน แต่ท้องของเรายังไม่มีอะไรฝากมาถึงเลย เราก็เดินไปเดินมาจนในที่สุดตัดสินใจซื้อแบ๋งหมี่ (อีกแล้ว) พร้อมกับเดินตรงดิ่งไปที่โรงละครหุ่นกระบอกน้ำซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดหง็อก เซิน


กิจกรรมสุดท้ายของวันนี้คือการเข้าชมหุ่น กระบอกน้ำอันมีชื่อเสียงของประเทศเวียดนาม ราคาค่าเข้าชมมีสองราคาคือ 40000 ดองและ 60000ดอง ยิ่งแพงก็คือได้นั่งข้างหน้า หากต้องการถ่ายรูปต้องเสียเพิ่มอีก 15000 ดองเราเข้าไปนั่งรอรอบเวลาของเราที่ด้านใน ซึ่งจะมีเก้าอี้นั่งให้นั่งอยู่ ผมสังเกตไปรอบๆ จะเห็นว่าเป็นคนไทยเสียเกือบครึ่งของคนที่นั่งในนั้น คนไทยที่มาเที่ยวเวียดนามนี่เยอะมากเลยครับ เจอทุกที่ทุกเวลาผมโชคดีที่ได้นั่งแถว C ซึ่งก็คือแถวที่ 3 นับจากด้านหน้าเวที แถว A ยังไม่มีใครนั่งแต่คาดว่าคงมีคนจองไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนแถว B เป็นฝรั่งชาติอะไรไม่ทราบเหมือนกัน แต่สำเนียงเหมือนพวกยุโรปตะวันออก ส่วนด้านหลังของผมคือแถว D เป็นฝรั่งเศส เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น น้องพิมก็คอยอ่านชื่อในแต่ละการแสดงให้ผมฟัง เพราะว่าโบรชัวร์ที่ผมได้มานั้นดันเป็นภาษาจีน ซึ่งแน่นอนผมอ่านไม่ออก แต่โชคดีที่น้องพิมอ่านออกได้บ้างเพราะน้องพิมเคยอยู่ที่ไต้หวันมา 3 ปี จะอ่านไม่ออกเชียวหรือ


การแสดงนั้นมีทั้งวิถีชีวิตของชาวเวียดนาม เช่นการจับปลา การแข่งเรือ มีเรื่องความเป็นมาของทะเลสาบคืนดาบ เป็นต้น โดยนักแสดงนั้นจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนของการเล่นดนตรีและพากษ์กับส่วน ของการบังคับหุ่นกระบอกซึ่งผู้บังคับจะอยู่ในน้ำตลอดทั้งการแสดง ซึ่งใช้้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงระหว่างที่มีการแสดงอยู่นั้น พวกฝรั่งบางคนได้เขยิบจากแถวด้านหลังลงมานั่งแถว A เพราะว่างอยู่ แต่สักพักใหญ่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของที่นั่งก็มาถึงทั้งแถวเลย แต่พวกฝรั่งก็นั่งเฉยไม่สนใจ และด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ไม่่ค่อยจะทวงสิทธิ์แบบนี้สักเท่าไร พวกเขาก็เลยไปหาที่นั่งที่ว่างๆด้านหลังนั่ง และระหว่างที่น้องพิมคอยบอกชื่อการแสดงให้ผมฟังนั้น ฝรั่งเศสด้านหลังก็มาผลักไหล่ผมและน้องพิมพร้อมกับบอกว่าให้นั่งแยกกันมอง ไม่เห็นอุว่ะ...มีอย่างนี้ด้วย ลองคิดดูนะครับ อย่างเราไปนั่งในโรงหนังแล้วมีคนตัวสูงมานั่งข้างหน้า หัวของเขาก็จะบังบางมุม เราจะเข้าไปบอกเขาหรือไม่ว่าให้เอาหัวลงหรือให้หลบไปทางอื่น...ผมว่าคนไทยคง ไม่มีใครทำแบบนี้เป็นแน่แท้ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ชาวฝรั่งเศส !!!!



Thang long water puppets theatre
สถานที่ตั้ง: 57 ถนน Dinh Tien Hoang
เวลาเปิดปิด: เปิดทุกวันเวลามีรอบเวลา 16:00น. 17:15น. 18:30น. 20:00น. และ 21:15น.
ราคา: ค่าเข้า 40000 และ 60000 ดอง กล้อง 15000 ดองและวิดีโอ 60000 ดอง
การเดินทาง: เดินมาฝั่งตรงข้ามกับวัดหง็อกเซิน
เวปไซต์: //www.thanglongwaterpuppet.org
ข้อแนะนำ:
1. ควรเลือกที่นั่งตอนที่ไปซื้อตั๋ว
2. ควรเข้าไปดูเวปไซต์ของหุ่นกระบอกน้ำก่อน เข้าชมจริงเพื่อดูชนิดของการแสดงจะได้เข้าใจมากขึ้น





Create Date : 04 มกราคม 2554
Last Update : 4 มกราคม 2554 19:54:16 น. 0 comments
Counter : 1810 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Maeil
 
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หากต้องการใช้รูป หรือ เนื้อหา กรุณาสอบถามก่อนนำไปใช้
ห้ามนำไปใช้ก่อนได้รับอนุญาติ
[Add Maeil's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com