สามขาพาทัวร์....ศรีลังกา 11...Horton plains-Udawalawe
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนอื่นต้องกราบขออภัยในการอัพบล็อคช้ามาก เนื่องจากเหตุขัดข้องเรื่องเว๋บที่แม่บุญไปฝากภาพไว้กับเขา เมื่อครบปี เขาไม่บอกกล่าวแต่มาบล็อคขึ้นลายเว็บของเขาเต็มไปหมด จนแม่บุญต้องรีบเผ่นไปจ่ายตังค์ ปีนี้เขาขอขึ้นราคาเป็น ๑๐๐ ดอลล่าร์ค่ะ จ่ายตังค์ไปตั้งแต่วันที่ ๑๑ กรกฏาคม เขาแจ้งมาหนึ่งอาทิตย์ให้หลังว่า ต้องจ่ายเป็นรายเดือนๆ ละ ๔๐ ดอลล่าร์ คราวนี้แม่บุญเต้นเป็นเจ้าเข้าเลยค่ะ เพราะอะไรนะเหรอ ? เพราะหลังจากใช้เว็บฟรีมาสักพัก เขาก็บอกว่าต้องเริ่มจ่ายตังค์เช้าพื้นที่นะ ตอนนั้นเสียปีละ ๕๐ ดอลลาร์ ยังพอรับไหวเพราะมีงานทำ แต่ตอนนี้เดือนละ ๔๐ งานไม่มีทำ ไม่มีรายได้ แถมเขียนฟรีๆ อิ อิ ไม่ได้ค่าโฆษราจากบริษัทใดๆ โรงแรมใดๆ ฯลฯ อย่ากระนั้นเลย เลิกเช่าดีกว่า ต่อแต่นี้ไป หน้าบ้านอาจจะไม่เริ่ดเลอ เหมือนแต่ก่อน แต่รับรองว่าเนื้อหายังแน่นเหมือนเดิมนะคะ ใครที่อยากจะกลับไปอ่านเรื่องเก่าๆ อาจจะต้องทำใจเนื่องจากรูปภาพเขาคงจะลบออกหมด ตามไปแก้ ไปใส่ใหม่ไม่ไหวค่ะ เพราะแต่ละครั้งที่เขียนบล็อค มีภาพไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ภาพ ขืนกลับไปทำย้อนหลัง ต้องตายแน่ๆ ค่ะ ตกลงเอาเป็นว่า ตั้งแต่บล็อคนี้เป็นต้นไป มันจะโล้นๆ หน่อยนะคะ หากผู้ใดมีความเชี่ยวชาญเรื่องการแต่งบล็อคและอยากจะสงเคาระห์ติดต่อหลังบ้านได้เลยค่ะ จะขอบพระคุณสุดๆ ว่าแล้วก็ไปเที่ยวต่อกันเลย วันที่ 10 Horton Plains-Udawalawe เช้าวันนี้ตื่นกันด้วยความสดชื่นเพราะได้นอนที่นอนอันนุ่มสบาย สะอาดสะอ้าน จากนั้นก็เดินไปที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของตึก อาหารก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรพิเศษ กินกันให้อิ่มท้องเท่านั้นเอง วันนี้เราต้องเดินทางไกลกันอีก ระยะเวลากว่า ๖ ช.ม. เพื่อไปที่ๆ พักแห่งใหม่ซึ่งพวกเราจะได้ไปซาฟารี นั่งรถจิ๊บชมสัตว์ป่า คืนนี้ต้องนอนเต็นท์ริมแม่น้ำ รายการเขาบอกไว้แบบนั้น ทุกๆ คนต่างใจจดใจจ่อว่าจะเป็นอย่างไร ลืมเล่า...เพื่อนสาวคนที่ได้ห้องดีที่สุด เธอบ่นว่า นอนไม่หลับทั้งคืน เพราะห้องดันอยู่ติดบันไดขึ้นลง เสียงคนเดินขึ้นลงยันเที่ยงคืน เช้ามืดมีแขกเช็คเอ้าท์อีก ตกลงจากที่หน้าบานเมื่อวาน วันนี้เลยหุบเพราะอดนอน จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะได้ห้องนอนแบบไหน จับกุญแจได้ก็เลือกๆ กันไป เอาเป็นว่ามันเรื่องของโชคชะตาก็แล้วกัน ทำบุญมาเยอะก็คงได้อยู่สบายหน่อยเท่านั้นเอง จากนั้นก็ขนของขึ้นรถ แล้วก็เดินทางกันต่อ แต่ก่อนจะจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็ขอชมเมืองกันก่อน คนขับไปจอดรอแล้วให้พวกเราลงเดินไปกันเองเพราะไม่ได้ไกลมากมาย จุดหมายแรกที่โดดเด่นตั้งแต่เมื่อวานคือ ตึกสีแดงรูปทรงแบบยุโรปอันสวยงามซึ่งพอเดินไปเห็น เขาอนุรักษ์ตึกเก่าแบบอังกฤษไว้โดยนำมาทำเป็นไปรษณีย์ คิดได้ไม่เลวเลย แถมปรับปรุงทาสีใหม่ ส่วนข้างในยังแอบซ่อนเครื่องไม้เครื่องมือแบบเดิมที่ยังคงนำมาใช้อยู่จนทุกวันนี้ แม่บุญซื้อโปสการ์ดแล้วส่งให้ตัวเอง ...คนอื่นๆ หัวเราะ แต่..เขาไม่รู้ว่าทำไมทำแบบนี้ ก็จะได้เป็นของที่ระลึกสำหรับตัวเองมั่ง รูปถ่ายก็แทบจะไม่มีเพราะถ่ายแต่วิว ขอส่งให้ตัวเองเป็นหลักฐานหน่อยว่าได้มาเยือนแล้ว จากนั้นก็พากันเดินเป็นงูกินหางตามก้นไกด์หนุ่ม ชามูร์ ของพวกเราไปที่ตลาด ระหว่างทางก็เจอสิ่งละอันพันละน้อย ร้านขายของชำที่แม่บุญชื่นชอบมาก เพราะที่เมืองไทยหาไม่มีแล้วเพราะย้ายไปขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตกันหมด เสน่ห์ของบรรยากาศแบบเก่าๆ คละคลุ้ง ไปทั่วบริเวณ รถบรรทุกที่ใช้ไม้ต่อเติมสีสันสวยงามนั้นเล่า สมัยก่อนที่เมืองไทยมีแต่รถของ รสพ. รับส่งสินค้าและพัสดุพันธ์ ของทางราชการที่วิ่งไปทั่วประเทศ ตอนนี้ก็ไม่มีให้เห็นแล้ว มาเห็นที่นี่ที่เขายังใช้กันอยู่เห็นตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสถ่ายไว้เพราะเป็นเวลาที่รถวิ่งสวนกันนั่นเอง หนุ่มน้อยที่มีรถบรรทุกขนาดเล็กเร่ขายปลาอยู่ข้างถนน รับประกันความสดใหม่ อันนี้เขาพูดนะแม่บุญไม่กล้ารับรอง อีกมุมหนุ่มน้อยหน้าคมผิวเข้มเหมือนกาแฟไม่เติมนม ยืนขายโรตีอยู่ในร้านแคบๆ จากนั้นก็เดินผ่านลังไม้ที่มีไข่ไก่มากมายเอาไว้ขาย แล้วก็พากันเดินเข้าไปในตลาดซึ่งไม่ได้สะอาดมากมาย เต็มไปด้วยผักผลไม้ ปลา พอเหลือบเห็นปลา มีมากมายหลายหลากเลือก แต่ทำไมที่โรงแรมให้เรากินกันแต่ปลาแข็งๆ ทุกวันหนอ? เครื่องเทศมากมายวางเรียงเป็นตับ ครั้งนี้ไม่มีอารมณ์อยากจะซื้อจริงๆ มันเริ่มเป็นมาตั้งแต่เห็นว่าอาหารที่นี่ไม่อร่อยแล้วเลยไม่รู้จะซื้อไปทำอะไร? จากนั้นก็มาเจอแผงล็อตเตอรี่ หน้าตาแปลกๆ แต่ก็น่ารักดี แล้วก็ร้านขายส่าหรีไม่ไกลกันนัก เพื่อนๆ พากันเดินตรงดิ่งเข้าร้านอย่างรวดเร็ว ส่วนแม่บุญยืนรออยู่ข้างนอก หมุนไปหมุนมาสายตาไปเจอกันสาหรีสีเหลืองลวดลายสวยงามไม่เลว คนขายที่เล็งตามสายตาแม่บุญรีบเดินมาเสนอราคาอย่างรวดเร็ว แม่บุญสั่นหน้าบอกว่าไม่รู้จะซื้อไปทำอะไร? เธอบอกลดราคาลงอย่างง่ายๆ เออ..มาเถอะมาดามเข้ามาดูข้างใน เรามาคุยกันก่อน จากนั้นก็เดินต้อนให้เข้าร้าน คราวนี้เจอหมัดเด็ดของไทยมั่ง ฉันไม่อยากจะซื้อเลย อีกอย่างเงินฉันมีไม่พอ ? มาดามมีเท่าไหร่ ? มีเท่านี้แหละ เปิดกระเป๋าตังค์ให้ดูกันจะๆ เดี๋ยวจะว่าโกหก เอางั้นฉันให้ราคาพิเศษเท่าเงินที่มาดามมี อ้าว...แล้วฉันจะเหลือเงินไปซื้อข้าวกินเหรอ ? งั้นลดให้อีกหน่อยก็ได้ ตกลงแม่บุญเลยได้ส่าหรีสีสวยงามมาในราคาลดลง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เพื่อนกรี๊ดกันสนั่นรถเพราะจ่ายแพงกว่า ..ดวงไง ? ดวงคนจนมันขึ้น...คนรวยต้องจ่ายแพงต่อไป หลังจากนั้นชามูร์ก็เดินนำ.กลับไปขึ้นรถเพราะขื่นให้เดินกลับเองคงแวะรายทางอีกแน่นอน ขาช้อปมาเองสามคน ส่วนแม่บุญนั้นขาแข็ง..เพราะยืนรอ อิ อิ ขึ้นรถเสร็จก็ออกเดินทาง วิวระหว่างทางก็สวยไม่เบาเพราะเลี้ยวโค้งไปตามหุบเขาไร่ชาอีกเหมือนเดิม บ้านเรือนสไตส์อังกฤษยังมีหลงเหลือให้ดูระหว่างทางอีกเยอะ ส่วนมากจะถูกดัดแปลงมาเป็นที่พักให้นักท่องเที่ยวนั่นแหละ รถมาจอดใกล้กับวัดแขกของชาวศรีลังกา พวกเราเลยลงไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ก่อนที่จะเดินทางต่อ เดินทางมาไกลพอสมควร คราวนี้รถมาจอดริมถนนให้ลงไปดูน้ำตก เสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล ดูๆ แล้วสูงจริงๆ มีสองแห่งชื่อ Kirigalpotta (2395 m) Topapola (2359m) ระหว่างนั้นก็มีรถของนักท่องเที่ยวทั้งชาวศรีลังกาและชาวต่างชาติจอดรถลงมาเดินชมกันไม่ขาดสาย แสงแดดอันร้อนแรงไม่ได้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวแต่อย่างใด ยังมีกลุ่มคนขึ้นไปเดินข้างบนเล่นน้ำตกกันอีกด้วย พวกเราเดินทางกันต่อคราวนี้ไม่แวะที่ไหนแล้วเพราะกลัวว่าจะค่ำก่อนไปถึงที่พัก ระหว่างทางที่รถเริ่มวิ่งเข้าเขตวนอุทยานแห่งชาตินั่นเอง ที่คนขับชี้ให้ดูช้างเชือกหนึ่งยืนอยู่ริมรั้ว รอเวลาคนผ่านไปมาเพื่อขออาหาร คงจะเคยมีคนให้และเริ่มเคยชินเลยมายืนรออีกไม่ไปไหน รั้วที่มีกระแสไฟฟ้าทำให้ช้างน้อยเกรงกลัวไม่กล้าผ่านออกมาโดยเพียงยืนเมียงมองอยู่ข้างๆ รั้วนั่นเอง คนขับหยุดรถให้ถ่ายภาพจากนั้นก็เดินทางต่อ ในที่สุดก็มาถึงโรงแรมที่พัก ซึ่งต้องขับรถเข้าไปในซอยเล็กๆ อีกจนสุดซอย จึงได้เห็นอาคารสร้างใหม่สำหรับคนงานและคนขับรถตั้งอยู่ก่อน ผ่านเข้าไปข้างในมีอาคารหลังเตี้ยสร้างด้วยไม้ไผ่ ข้างในมีพนักงานต้อนรับสาวสวยรออยู่ ข้างๆ มีสระว่ายน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีแขกที่มาพักกำลังว่ายน้ำกันอย่างสนุกสนาน หลังจากนั่งรอได้สักพัก เขาก็บอกให้พวกเราไปที่เต้นท์ที่พักได้ ตอนนี้เองที่เริ่มพากันตื่นเต้นว่าจะเป็นอย่างไร ? เดินไปจนสุดทางได้ยินเสียงน้ำไหล มีคนว่ายน้ำในแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านด้านหลัง พอเดินพ้นทางมาโผล่ที่เต้นท์ที่พักกางอยู่ คราวนี้พากันยิ้มออกมาได้ เพราะเต้นท์ที่ว่าแข็งแรงทนทาน ปลูกเรียงกันสี่หลังสำหรับพวกเราพอดี ด้านหน้าหันเข้าหาแม่น้ำ ตรงลานติดกันมีโต๊ะเก้าอี้ที่พิงไว้อย่างเรียบร้อย ที่นี่เองจะเป็นที่เสริฟอาหารเช้า และหากฝนไม่ตกเขาก็จะทำอาหารเย็นเสริฟแขกที่ตรงนี้ด้วย แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะดันมีฝนตกลงมาเลยย้ายไปที่อาคารทรงสูงทันสมัยข้างๆ แทน ภายในเต้นท์มีเตียงสองเตียงเป็นไม้ธรรมดา เอาที่นอนมาวางทับ ข้างล่างโล่งๆ เพราะต้องระวังงูที่อาจจะหลบซ่อนอยู่ มีพัดลมตั้งพื้น และไฟฟ้าดวงไม่ใหญ่นักให้ความสว่างเท่าที่จำเป็น ห้องน้ำกว้าง เปิดโล่ง แม่บุญกลัวงูเลื้อยมาทักทายแต่รอบๆ บริเวณสะอาดมากเลยไม่ต้องคิดเรื่องนี้อีก จากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อน รอเวลาอาหารเย็น เพราะไปไหนไม่ได้รอบๆ บริเวณไม่มีอะไรให้ดู เพราะอยู่กลางป่า เพื่อนๆ พากันสั่งค้อกเทลมาดื่มเรียกน้ำย่อย มิเชลกับแม่บุญนั่งดูเน็ตจากไอแพด มือถือ รอเวลาไปพลางๆ ระหว่างนั้นก็เดินถ่ายรูปก่อนจะค่ำ อาหารเย็นเริ่ม หนึ่งทุ่ม พวกเราเดินตามกันไป มีไฟฉายคนละอัน แต่จริงๆ มันไม่ได้มืดมากมาย เพียงแต่กลัวสัตว์เลื้อยคลานมากกว่า อาหารจานแรกเป็นสลัดเสริฟมาพร้อมกับปอเปี๊ยะแบบศรีลังการสชาติไม่เลว จากนั้นก็เป็นหมูย่าง มีข้าว กับมันฝรั่งทอดวางมาในจานเดียวกัน สังเกตมาตั้งแต่โรงแรมแรก แปลกนะ เขาไม่เสริฟแยกมันฝรั่ง แต่โป๊ะลงมาบนข้าวแบบนี้ทำให้มันฝรั่งอมความชื้นไม่กรอบ ดูเลอะๆ แต่ก็นั่นแหละ ฝรั่งฟาดกันเรียบ ยกเว้นแม่บุญ มิเชลเลยช่วยกินจนหมด เดินกลับมาที่เต้นท์หลังอาหาร ภรรยาเก่าของมิเชลเดินมาเรียกให้ไปดูพัดลม ไฟฟ้าให้ บอกว่ามันไม่ติด ทำไมของคนอื่นติด...อิอิ ก็มันเป็นปุ่มแบบหมุนขึ้นลง ไม่ช่แบบกดแบบทั่วๆ ไป เธอไม่เคยชินกับระบบแบบนี้เลยคิดว่ามันเสีย ตกลงก็เปิดปิดได้เหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ หลายคนบอกว่าแปลกที่เมียแรก เมียใหม่ไปเที่ยวด้วยกัน อ้าว..ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันมาก่อน ต่างคนต่างอยู่ รักกันดีอีกต่างหาก เธอก็เหมือนพี่สาวคนโตของแม่บุญ วันเกิดแม่บุญเธอให้ของขวัญทุกปี ส่วนเวลาแม่บุยกลับเมืองไทยก็มีข้าวของไปฝากเธอเช่นกัน มิเชลสบายใจอีกต่างหากที่รักใคร่กันดี พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้าไปชมสัตว์ป่าที่ซาฟารีกัน...ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
Create Date : 24 กรกฎาคม 2560 |
|
26 comments |
Last Update : 30 กันยายน 2563 12:42:17 น. |
Counter : 2679 Pageviews. |
|
|
|