1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
สามขาพาทัวร์....ศรีลังกา 10 Visit Nuwara Eliya or Little England
วันที่ 9 Nuwara Eliya หรืออีกชื่อว่า little Englandเช้าวันนี้คณะเราต้องเดินทางต่อไปอีกที่ แต่การเดินทางวันนี้เป็นวันที่แม่บุญตั้งตารอเป็นพิเศษ ด้วยความที่เกิดมาเป็น..ลูกรถไฟ...เมื่อจะได้เดินทางโดยรถไฟมันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความรื่นรมย์ยินดีเป็นพิเศษก็ว่าได้ หลังอาหารเช้า ก็ต้องจ่ายค่าอาหารมื้อเย็นที่พวกเรากินกันมาสองวันแต่ที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ คือ เขาลดราคาค่านวดให้แม่บุญ โดยไม่ให้เพื่อนล่วงรู้เปิดปากกันเงียบสนิท จากนั้นก็มีการถ่ายภาพร่วมกันกับเจ้าของโรงแรมเป็นที่ระลึก ซึ่งก็คงเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต เพราะคงไม่ได้กลับมาอีกแน่ๆ เพราะยังมีที่อื่นอีกมากมายที่อยากจะไปเยือน จากนั้นชามูร์กับคนขับก็ต้อนขึ้นรถแล้วก็ออกเดินทางกันทันที ระหว่างทางก็ได้ดูภาพวิวทิวทัศน์ของหุบเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาแห่งไร่ชาสมชื่อจริงๆ รถวิ่งมาไม่ถึง ๒๐ นาทีก็มาจอดหน้าสถานีรถไฟเล็กๆ ของตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง เวลายังมีเหลือเพราะมาถึงก่อนเวลามาก เนื่องจากคนขับจะขับไปดักรับคณะเราที่ปลายทางสถานีรถไฟ ส่วนชามูร์จะนั่งรถไฟไปกับพวกเราด้วย เสียงสวดมนต์ภาษาบาลีดังแว่วมาแต่ไกล ถามชามูร์ว่าเขามีงานอะไร ได้รับคำตอบว่าวันนี้เป็นวันพระ มีวัดตั้งอยู่ไม่ไกลอยากจะไปชมไหม? ไม่ต้องถามรอบสองพวกเราก็พากันเดินเป็นงูกินหางตามก้นชามูร์ไปทันที เดินผ่านร้านตัดผมเล็กๆ แล้วก็ทุ่งนาให้ความรู้สึกแบบชนบทจริงๆ ไม่นานนักก็พ้นพงหญ้าสูงมองเห็นทางลาดซิเมนต์ไปจบลงที่ปากทางเข้าวัด อาคารชั้นเดียวสีอิฐรายรอบด้วยต้นไม้ให้ร่มเงาเขียวสดชื่น เห็นมีผู้คนแต่งกายด้วยชุดขาวทั้งหญิง ชายและเด็กผู้หญิง ชาย พากันนั่งเงียบๆ ฟังเสียงพระที่เทศน์ผ่านลำโพงออกมาด้านนอก ไม่มีใครขยับเขยื้อนตัวแม้จะเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาภายในวัด ดูพวกเขาช่างมีความตั้งใจในการฟังเทศน์ยิ่งนัก เพื่อนๆ กับมิเชลหยุดอยู่แค่ด้านหน้าไม่เดินตามมา แม่บุญเลยเดินก้มผ่านคนเหล่านั้นไปหยุดอยู่หน้าประตู เมื่อมองเข้าไปข้างใน ภาพที่เห็นคือ มีพระสงฆ์รูปหนึ่งวัยกลางคนนั่งเทศน์ผ่านไมโครโฟนอยู่ตรงกลางติดกับหน้าต่างที่เปิดไว้กว้างให้แสงลอดเข้ามา ภายในห้องรายรอบไปด้วยหญิงชายแต่งชุดสีขาว นั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่มีใครพูดจากันเลย เห็นแล้วเกิดความปิติในใจที่เห็นความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในพุทธศาสนาได้เคร่งครัดต่อการสดับฟังคำสอนของพระพุทธองค์ผ่านพระสงฆ์รูปนั้น แม่บุญหันรีหันขวางอยากจะเข้าไปกราบ และถวายปัจจัยบำรุงวัด ชามูร์ดูเหมือนจะเข้าใจเลยเข้าไปพูดขออนุญาตกับพระท่านและบอกให้แม่บุญเข้าไปได้ พระท่านยังเทศน์ต่อ ส่วนแม่บุญถอดรองเท้าและเดินด้วยเข่าเข้าไปเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์และผู้ที่ถือศีลสูงกว่าตนเอง เมื่อเข้าไปถึงก็ก้มลงกราบสามครั้งและนำปัจจัยไปถวายกับพระท่านๆ เอาสบงวางรับจากนั้นก็เทศน์ต่อ แต่เมื่อแม่บุญหันหลังคลานเข่าจะออกมาจากห้อง พระท่านพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงอนุโมทนา สาธุ ที่ดังขึ้นพร้อมๆ กัน ในวินาทีนั้นความรู้สึกปลื้มปิติที่ไม่เคยเกิดเลยแบบนี้เลยในชีวิตก็ท่วมท้นขึ้นภายในใจ น้ำตาพานเอ่อไหลออกมา ไม่มีคำพูดใดที่จะสามารถอธิบายได้ แม่บุญยกมือท่วมหัวกล่าวสาธุก่อนที่จะก้มใส่รองเท้าที่วางอยู่ด้านนอก พร้อมกับรีบเอาแว่นตากันแดดมาสวมใสเพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ เห็นว่าน้ำตาไหล เพราะคงอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร เพื่อนๆ และมิเชลรอที่จะเดินกลับไปสถานีรถไฟรออยู่แล้ว จึงได้ออกเดินไปกันทันที ภาพภายในโบสถ์ ยังติดตา ไม่มีแม้แต่พระพุทธรูป ไม่มีเครื่องตกแต่งใดๆ ภายในวัดแม้แต่ชิ้นเดียว พระท่านนั่งบนตั่งสูงเพียงตัวเดียวในห้อง คนอื่นๆ นั่งรายรอบ ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีใครใช้โทรศัพท์มือถือ ทุกคนนั่งน้อมตัวลงต่ำเพื่อรับฟังเทศน์ที่พระท่านอบรมสั่งสอน ภาพเช่นนี้ไม่เคยพบเห็นในบ้านเมืองเราที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธเช่นกัน หลายวันที่ผ่านมาได้เดินทางลัดเลาะไปตามท้องถิ่นต่างๆ ระหว่างทางไม่ค่อยเห็นวัด นานๆ จะเห็นสักครั้ง มีเพียงครั้งเดียวที่เห็นวัดไม่ใหญ่มาก มีรูปปั้นของพระพุทธรูปปางห้ามญาติตั้งรายรอบกำแพงวัดครั้งเดียวจริงๆ แอบคิดในใจว่า ไหนว่าเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนาแต่วัดน้อยจัง เมื่อมาเห็นภาพในวันนี้ เกิดความคิดใหม่ในใจว่า ไม่จำเป็นต้องมีวัดใหญ่โตมากมาย แต่ความศรัทธาที่ผู้คนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดนั้นต่างหากที่ทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ครั้งนี้ได้น้อมใส่ใจและเชื่ออย่างแท้จริงว่า ชาวศรีลังกานั้นมีความเคารพนับถือและศรัทธาในพุทธศาสนายิ่งนัก อาจจะมากกว่าคนไทยอย่างแม่บุญด้วยซ้ำไป สาธุ อนุโมทามิ เมื่อเดินมาถึงสถานีก็ได้เวลาที่รถไฟจะมาพอดี พวกเราเริ่มขยับตัวชะโงกคอสูงรอดูตรงทางโค้งที่หัวรถไฟกำลังโผล่มาให้เห็น เมื่อรถไฟจอดก็พากันขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ใครเดาออกมั่งว่า ใครขึ้นเป็นคนแรก ...แม่บุญไง..ลูกรถไฟเก่า รู้จังหวะว่าจะกระโดดขึ้นยังไง ตอนนั้นลืมความเจ็บปวดที่หัวเข่าสนิท เมื่อขึ้นไปก็เริ่มกังวลเพราะจากที่เห็น รถไฟสายสีฟ้านี้วิ่งยาวไปถึงเมืองหลวงโคลัมโบ เห็นนักท่องเที่ยวมากมายนั่งอยู่เต็มไปหมด มีที่นั่งว่างอยู่ไม่กี่ที่ซึ่งไม่พอกับพวกเราอยู่แล้ว อีกโบกี้ถัดไป มีที่นั่งว่างมากมายแต่ถูกปิดกั้นด้วยเชือกเล็กๆ และมีพนักงานยืนอยู่ แม่บุญบอกชามูร์ให้ถามพนักงานว่าจะขอเข้าไปนั่งและยินดีจะจ่ายเงินเพิ่ม ถึงคราวจร์แล้วว่า ให้ซื้อตั๋วชั้นสอง แต่เขาบอกว่ามีที่ว่างแน่นอน ประสบการณ์ที่อินเดียสอนให้แม่บุญรู้ว่าอย่าประมาท แต่เมื่อตนเองไม่ได้รู้ภาษาสื่อสารก็ต้องให้ชามูร์จัดการ จึงเป็นดังที่คิด ระหว่างที่ต่อรองกันอยู่ แม่บุญชี้ให้เขาดูหัวเข่าที่พันผ้าไว้ และพูดบอกว่าฉันเจ็บเข่ายืนนานไม่ได้ เขารีบเอาเชือกออกแล้วบอกให้ไปนั่งรอ ส่วนอื่นๆ ยืนรอกันต่อไป ที่ยังไม่ให้คนอื่นๆ นั่งเพราะต้องรอดูว่าสถานีต่อไปมีคนซื้อตั๋วชั้นสองมากหรือเปล่า ถ้ามีที่เหลือจึงจะให้พวกเราเข้าไปนั่งได้ เมื่อรถไปจอดอีกสถานีมีเพียงสองสามีภรรยาที่โชว์ตั๋ว จากนั้นพนักงานก็พยักหน้าให้เพื่อนๆ เข้าไปนั่งได้ แม่บุญโชคดีกว่าคนอื่นๆ ที่ได้ที่นั่งติดหน้าต่างที่เปิดกว้าง คนอื่นๆ นั่งติดหน้าต่างแต่มองวิวได้ครึ่งเดียว ที่เหลือคนอื่นๆ เขาก็นั่งจองที่ดีๆ เต็มหมดแล้ว เพื่อนสาวในกลุ่มดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์นัก นั่งหน้างอเป็นปลาทูคอหัก มิเชลละอายใจบอกให้เขามานั่งแทนที่สลับกัน แต่เธอไม่ยอมมาเพราะทิฐิ ... จริงๆ แล้วเวลารถไฟวิ่ง มันไม่ได้โยกไปมาน่ากลัวอะไร การทรงตัวดีกว่ารถไฟบ้านเราเพราะรางกว้างกว่ามาก ขบวนรถก็กว้าง เพียงแค่เดินออกมาถ่ายภาพตรงประตูก็จะได้ภาพวิวเต็มๆ แต่นี่พากันนั่งไม่ขยับ แล้วจะถ่ายภาพได้ไง จะบอกก็จะหาว่ามาสอน เลยปล่อยให้คิดกันเอาเอง ส่วนแม่บุญเดินถ่ายภาพตรงประตูมั่ง เดินมาถ่ายตรงที่นั่งตัวเองด้วย เมื่อจะสละให้นั่งแล้วไม่มาเองจะให้ทำอย่างไร ? การเดินทางเป็นคณะมันแย่ตรงนี้แหละ เพราะมันไม่มีวันที่จะได้อะไรเหมือนกัน เท่ากันหรอก แม้แต่เรื่องห้องพักนับเป็นข้อเสียของความไม่คล่องตัวที่แม่บุญกับมิเชลชอบที่จะเดินทางกันสองคนมากกว่า วิวข้างนอกสุดสายตาสวยงามสมคำร่ำลือ เพราะที่นี่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ชาวอังกฤษเป็นผู้นำในการปลูกชาจนสืบทอดกันมาพร้อมๆ กับที่เป็นประเทศที่ส่งชาออกขายมากที่สุดในโลก มาเห็นกับตาก็สมแล้วกับที่เขายกย่องอย่างนั้น อากาศที่นี่เย็นสบายเพราะเป็นหุบเขา ไร่ชาสูงต่ำไปตามหุบเขาตัดกับท้องฟ้ามีเข้มจัดและเมฆที่ลอยเป็นระยะๆ บนรถไฟมีแขกมาขายของกินด้วย เป็นสแนคแบบแขกๆ กลิ่นหอมทีเดียวแต่ไม่กล้ากินกลัวท้องเสีย ในที่สุดพวกเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง นับเวลาการเดินทางได้ชั่วโมงกว่าๆ พอดี เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ คนขับได้มารออยู่แล้ว เขาขับมารับและเดินทางต่อเพื่อจะไปชมไร่ชาและโรงงานผลิตชาสำเร็จรูปที่ขายกันในท้องตลาด แต่ท้องที่เริ่มร้องเพราะความหิว นี่บ่ายโมงกว่าเลยไปมากแล้ว เป็นอันว่าขับไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าที่ไหนน่าจะพอฝากท้องได้ถึงค่อยจอดรถกินข้าวกลางวันกัน เป็นเพราะไม่ประทับใจหรืออย่างไรที่แม่บุญไม่เคยจำเลยว่ามื้อเที่ยวเรากินอะไรกัน ซึ่งผิดกับวิสัยที่เป็นคนชอบกิน ชอบลองของแปลกๆ เป็นประเทศเดียวจริงๆ ที่ไม่คิดอยากจะชิมหรือถ่ายภาพใดๆ ในเรื่องอาหารการกินหลังอาหารมื้อเที่ยง เราก็ไปถึงโรงงานผลิตชา ระหว่างทางมีฝนโปรยปรายมาพอให้เย็นชื่นฉ่ำแล้วก็หยุดไปเฉยๆ จากนั้นก็เดินไปเลือกที่นั่งด้านนอกที่มองเห็นวิวท้องทุ่งไร่ชาอยู่ด้านหน้า นั่งสักพักก็มีพนักงานมาเสริฟชาพร้อมกับบราวนี่ชิ้นกำลังดีแถมอร่อยเสียด้วย ชิมกันเสร็จชามูร์ก็เดินนำเพื่อไปดูโรงงานผลิตชา แม่บุญขอตัวไม่ไปด้วยเพราะเคยชมที่บ้านเราที่เชียงใหม่มาหมดแล้ว ขั้นตอนก็ คงไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก เมื่อแยกตัวมาคนเดียวก็เดินไปที่ๆ เขาถ่ายรูปกันมากๆ ตรงระเบียงที่ยื่นออกไปในหุบเขา แอบยิ้มเมื่อมองเห็นนักท่องเที่ยวถ่ายเซลฟี่กันมากมาย ไกลออกไปมีหญิงชาวศรีลังกาสองคนยืนกวักมือเรียกแม่บุญให้ลงไปถ่ายภาพข้างล่าง แถมใส่สาหรีสีเหลืองสดซะด้วย แม่บุญเดินตามมือที่กวักเรียกไปจนถึงๆ ได้รู้ว่าเธอขอเงินเป็นค่าถ่ายภาพด้วย คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้วและตั้งแต่มายังไม่มีภาพสวยๆ ที่เห็นในโฆษณาเลย เอาเสียหน่อย ถ่ายไปสองสามภาพสองคุณยายก็เรียกร้องเอาเงิน เลยต้องให้ จากนั้นคุณยายก็ไปยืนกวักเรียกคนอื่นต่อ มันกลายเป็นกลวิธีการทำงานหาเงินอีกแบบหนึ่งไปแล้ว ทำไงได้เมื่อความจนมันไม่เข้าใครออกใคร? จากนั้นแม่บุญก็เดินกลับไปรอเพื่อนๆ ที่รถ ไม่นานนักพวกเขาก็เดินมาขึ้นรถพร้อมกับถุงช้อปปิ้งคนละใบ คงจะซื้อกันเยอะทีเดียว มิเชลซื้อชามาให้แม่บุญด้วยแหม่ใจดีจริง จากนั้นเราก็เดินทางต่อจนในที่สุดก็มาถึงโรงแรมที่พัก ระหว่างทางฝนตกลงมาอีกเลยไม่ค่อยได้เห็นอะไร รู้แต่ว่าเมืองเล็กๆ นี้มีเสน่ห์ไม่น้อย จากภาพบ้านเรือนทรงสวยแปลกตา มีสนามตีก๊อฟใหญ่โตใจกลางเมืองด้วย ถึงได้ชื่อว่า อังกฤษน้อย อีกอย่างสมัยก่อนคนอังกฤษนิยมมาปลุกบ้านเรือนที่นี่เพราะอากาศดีนั่นเอง โรงแรมที่เราจะพักกันคืนเดียวแม้จะไม่ใหญ่โต แต่เป็นบูติคโฮเทลที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ชามูร์เอากุญแจมาให้เลือก แม่บุญเลือกเบอร์ ๑ คนอื่นได้ไปตามลำดับ ห้องที่ได้อยู่ชั้นล่างติดกับทางเข้าออกซึ่งมีเสียงดังพอสมควร สาวคนที่นั่งหน้างอคอหักเหมือนปลาทู ได้ห้องที่สี่ซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่โต มีเตียงสองเตียงขนาดใหญ่ในห้องเป็นห้องครอบครัวกระมัง หน้าตาเธอสดชื่นขึ้นเมื่อพวกเราเดินไปชมว่าห้องใหญ่สวยมาก เธอเดินไปชมห้องคนอื่นๆ แล้วก็เดินยิ้มกลับห้องอย่างพอใจ แม่บุญแอบอมยิ้มในใจไม่พุดอะไร นี่ถ้าได้ห้องแรกเธอคงโกรธหน้าดำหน้าแดงแน่ๆ จากนั้นก็พากันแยกย้ายไปอาบน้ำ นัดแนะกันไปเดินเล่นในตัวเมืองก่อนอาหารเย็น แต่ฝนตกลงมาอีกเลยไม่ออกไปไหน ลืมบอกไปว่า ห้องที่พักดูเหมือนจะดีที่สุดตั้งแต่ได้พักที่นี่มาหลายคืน มื้อเย็นเป็นอาหารบุฟเฟย์ แต่ที่พิเศษคือมีปูผัดผงกระหรี่ด้วย งานนี้แม่บุญขอกินให้สะใจ แต่ขอบอกว่าเผ็ดชะมัด กินไปน้ำตาไหลไป ไม่รู้ดีใจหรือเพราะความเผ็ดกันแน่ ? จากนั้นก็ได้เวลาพักผ่อนค่ะ
Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 25 กรกฎาคม 2560 23:36:37 น.
31 comments
Counter : 2673 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณmambymam , คุณคนผ่านทางมาเจอ , คุณไวน์กับสายน้ำ , คุณกะว่าก๋า , คุณtuk-tuk@korat , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณmoresaw , คุณสาวไกด์ใจซื่อ , คุณClose To Heaven , คุณRain_sk , คุณALDI , คุณกิ่งฟ้า , คุณSweet_pills , คุณsecreate , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณKavanich96 , คุณอาจารย์สุวิมล , คุณnewyorknurse , คุณสองแผ่นดิน , คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน
โดย: mambymam วันที่: 25 มิถุนายน 2560 เวลา:6:14:36 น.
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 25 มิถุนายน 2560 เวลา:7:01:23 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 มิถุนายน 2560 เวลา:16:02:25 น.
โดย: moresaw วันที่: 25 มิถุนายน 2560 เวลา:20:17:23 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 มิถุนายน 2560 เวลา:7:22:16 น.
โดย: หนี่งหน่อง วันที่: 26 มิถุนายน 2560 เวลา:17:38:10 น.
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 27 มิถุนายน 2560 เวลา:23:21:12 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 มิถุนายน 2560 เวลา:6:40:21 น.
โดย: หนุ่มร้อยปี (หนุ่มร้อยปี ) วันที่: 28 มิถุนายน 2560 เวลา:11:03:07 น.
โดย: secreate วันที่: 28 มิถุนายน 2560 เวลา:12:22:21 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 มิถุนายน 2560 เวลา:15:09:25 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 29 มิถุนายน 2560 เวลา:4:16:25 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 มิถุนายน 2560 เวลา:6:32:21 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 มิถุนายน 2560 เวลา:20:19:09 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:42:22 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:22:47:00 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:27:56 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:8:25:52 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:21:54 น.
Location :
กรุงเทพฯ Belgium
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 87 คน [? ]
แม่บุญ..เป็นหญิงไทยอายุเลยวัยรุ่นไปไกล จับพลัดจับพลูได้สามีเป็นฝรั่งแล้วก็หอบผ้าตามกันไปอยู่เมืองนอกเมืองนา พอได้เวลาหยุดงานก็กระเตงกันไปเที่ยวตามประสาตายาย ไม่มีลูกกวนตัวกวนใจ แม่บุญนั้นชอบเขียน ชอบเล่า ชอบถ่ายรูป เป็นที่สุด จะเก็บไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เอามาแบ่งบันกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้อ่าน ได้ดูกันดีกว่า ส่วนฝีมือด้านอื่น ๆ นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่น ทำอาหาร ก็เอามาแบ่งปันกันอีกนั่นแหละ ค่อย ๆ รู้จักกันไป รู้จักกันแล้วก็อย่าลืมเข้ามาคุยกันนะ ปล....รูปภาพต่าง ๆ หากต้องการนำไปใช้ช่วยบอกที่มาที่ไปด้วยนะคะ เป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งสังคมไทยเราค่อนข้างมองข้ามในเรื่องนี้ค่ะ
ดรงแรมห้องพักก็ดูดีนะคะ
จริงอย่างแม่บุญว่าค่ะไปเที่ยวสองคนดีกว่าและสะดวกกว่าไปเป็นคณะมากเลย
เจอมากับตัวเหมือนกันค่ะ