...อินเดีย...ไม่ใช่แค่...ทัชมาฮาล 8
"......ระหว่างที่เดินชมวัด..แปลกใจว่าทำไมเรียกวัด พระก็ไม่มี มีแต่เจดีย์ ที่มีรูปแกะสลักเสาหินเป็นท่าทางการร่วมเพศ หรือ กามาสุตา นั่นเอง ดูให้เป็นศิลป์มันก็ศิลป์แหละ คนอินเดียจากรัฐอื่นนั่งรถไฟข้ามวันข้ามคืนมาดูมากมายยืนเรียงแถวยาวหลายกิโลเมตรเพื่อซื้อบัตร ที่รู้เพราะมีชาวอินเดียที่นั่งรถไฟมาจากเดลลี มาคุยด้วย..."แม่บุญเสียรู้แขก..จนได้ ตื่นกันแต่เช้าหกโมงเพราะได้นอนเต็มอิ่ม อยากจะดื่มกาแฟเหมือนที่บ้านแต่ที่นี่ เจ้าของบ้านโฮมสเตย์ที่ธานีบอกว่า คนแถบนี้ทำอะไรช้า ๆ สบาย ๆ ไม่เร่งรีบเพราะไม่รู้จะรีบไปไหน พวกเขาจะตื่นกันประมาณแปดโมง กว่าเราจะได้กินข้าวก็ร่วมเก้าโมง เสียเวลารอ...ไปเดินเล่นริมทะลดูพระอาทิตย์ขึ้นกันดีกว่า เราเดินเล่นไปเรื่อย ๆ เจอกลุ่มชาวประมงที่กลับจากหาปลากำลังยุ่งอยู่กับอวน บางคนก็ซ่อมเรือ มิเชลชอบเลยยืนดูนานปล่อยให้แม่บุญเดินไปเรื่อย ๆ และแล้วก็มีผู้ชายสามคนเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาหา....อย่าคิดว่าหลงเสน่ห์แม่บุญหละ ??? พวกเขาบอกว่าเป็นชาวประมงแต่พูดภาษาอังกฤษชัดเจนราวกับเรียนจบมหาลัย ถามได้ความว่าพูดคุยกับนักท่องเที่ยวบ่อย ๆ เลยพูดกันเก่ง น่าจะฉลาดด้วยหละ แม่บุญว่า เพราะแม่บุญอยู่กับมิเชลมาหลายปี ยังพูดฝรั่งเศสได้งู ๆ ปลา ๆ เลย แสดงว่า...โง่ เข้าขั้นทีเดียวเรา คุยกันสักพักพวกเขาก็ชวนไปดูหมู่บ้านชาวประมงใกล้ ๆ กัน แม่บุญกับมิเชลชอบอยู่แล้วเลยเดินตามกันไป แม้บริเวณรอบ ๆ ก่อนถึงหมู่บ้านจะเต็มไปด้วยขยะ ถุงพลาสติก ขวดต่าง ๆ แต่พอก้าวเขาไปบริเวณหมู่บ้านกลับสะอาดกว่าข้างนอก เพราะพวกเขาช่วยกันรักษาความสะอาด อันนี้แสดงว่ายังมีความสำนึกที่ดีอยู่... เป็นเวลาเช้าที่ทุก ๆ คนตื่นแต่เช้าและต่างทำหน้าที่ของตนเอง เด็ก ๆ ใส่ชุดนักเรียนผูกโบว์แดงที่หางเปียสองข้างเตรียมไปโรงเรียน แม่บ้านบางคนเตรียมหุงข้าว บางคนซักผ้า อีกกลุ่มเทินน้ำไว้บนหัวเพื่อเอาไปใช้ในบ้าน บางคนสาระวนกับปลาเล็กปลาน้อยที่สามีหามาได้กำลังจัดการถอดเกล็ด ควักใส้ทำความสะอาด ปลาตัวโต ๆ เขาเอาไปขาย กินกันตัวเล็กที่แยกไว้ ๆ เท่านั้นเอง กลางหมู่บ้านมีบ้านเล็ก ๆ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ เขาอธิบายว่า....เป็นบ้านพักฉุกเฉินสำหรับคนที่ไม่มีบ้านอยู่ หรือเอาไว้จัดกิจกรรมร่วมกันของคนในหมู่บ้าน ที่ทุกคนร่วมมือ ลงเงินกันสร้างขึ้นมา ได้ยินแล้วก็อดที่จะยินดีกับความคิดดี ๆ ของพวกเขาไม่ได้ ก่อนจากกันเขาขอให้ซื้อสายสร้อยมุก พร้อมต่างหูหนึ่งคู่ในราคา 1,500 รูปี แม่บุญคิดถึงครั้งที่ไป....ดานังที่เวียดนาม มีเด็กสาวมาขายสายสร้อยเพื่อเอาเงินไปเรียนแต่ไม่ได้ซื้อ รู้สึกผิดจนทุกวันนี้ ครั้งนี้เลยจะช่วยเต็มที่ อีกทั้งเขาบอกว่าจะเอาไปสร้างอาคารให้เสร็จแม่บุญเลยช่วยซื้อ ท่ามกลางสายตาที่ไม่เห็นด้วยของสามี .....มิเชลส่งค้อนมาวงใหญ่ แต่แม่บุญทำเป็นมองไม่เห็นและควักตังค์จ่ายไป...ด้วยความอิ่มเอิบใจว่าได้ช่วยเหลือพวกเขา กลับมาถึงโรงแรมได้กินอาหารเช้าที่เราได้กินเป็นครั้งแรกเหมือนที่บ้าน มีกาแฟ ขนมปังปิ้ง แยม จริง ๆ แล้วชาวอินเดียนิยมดื่มชา เหมือนชาวอังกฤษ แต่เพราะเป็นโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวหลายชาติ เลยต้องมีกาแฟไว้เสริฟด้วย กินเสร็จเข้าห้องน้ำเรียบร้อยก็พากันเดินไปหาสามล้อไปท่ารถ ความตั้งใจที่จะไปเที่ยวที่ Konark temple หรือ The sun Temple ที่มีชื่อเสียงว่าสวยงามนักโดยเฉพาะเวลาบ่ายเมื่อแสงพระอาทิตย์ทาบทาบนเจดีย์ จะสวยเหมือนที่พุกามของพม่าหรือเปล่ายังไม่รู้ ขอไปดูุให้เห็นกับตาเสียก่อน แม่บุญอยากอุดหนุนสามล้อถีบหน้าโรงแรม ที่เป็นลุงแก่ ๆ ส่งยิ้มให้เราแต่ไกล มิเชลไม่ขัด เพราะท่าทางจะไกลโขอยู่ ...แกถีบผ่านบ้านเรือนมากมาย ทำให้เห็นชีวิตชาวเมืองที่นี่ไปด้วย ที่ท่ารถ....เป็นที่เดียวกันกับตลาดของเมือง ช่างวุ่นวายเสียจริง ทั้งรถ คน วัว ควาย ขี้วัว เต็มไปหมด อากาศร้อนสุด ๆ นี่เดือนพฤศจิกายนยังร้อนขนาดนี้ เหงื่อเราสองคนไหลเป็นน้ำ สามล้อพามาส่งถึงบันไดรถเพราะคงกลัวเราขึ้นรถผิด หลังส่งภาษาฝากฝั่งเราสองคนกับคนขับแล้วก็บอกว่าจะมาคอยรับตอนขากลับ โถ.คุณตาแดดร้อนขนาดนี้ไม่ต้องลำบากมาหรอก แม่บุญให้ค่ารถเกินจนแกยิ้มแก้มปริ .. ระหว่างทางที่รถวิ่งผ่าน....บางช่วงมีต้นไม้มากมาย สลับกับชายหาดยาวหลายกิโลเมตร เรานั่งกันนานร่วมชั๋วโมง แม่บุญเลือกนั่งฝั่งขวาซึ่งคิดผิดถนัดเพราะแดดส่องจ้า ดีแต่กระจกเปิดหมดเลยมีลมพัด ไม่งั้นแม่บุญคงลมใส่เพราะความร้อนแน่นอน ชาวบ้านมองเราสองคนอย่างสนใจ หลาย ๆ คนก็ยิ้มให้ มิเชลกับแม่บุญอดหวาดเสียวกับโชเฟอร์ที่ขับรถราวกับจะไปแข่งกรังส์ปรีด์.... สิบเอ็ดโมงกว่าเราก็มาถึงหน้าวัด กำลังจะเดินเข้าไปก็มีผู้หวังดีมาเสนอเป็นไกด์ บอกให้เราไปซื้อตั๋วก่อน ฝรั่งและไทยคนละ 250 รูปี คนอินเดีย 10 รูปี แหม่อยากกระโดดหาสาหรีมาใส่จริง ๆ ถ้าจะจ่ายถูกแบบนี้ และแล้วคุณไกด์ทั้งหลายก็ระดมคำถาม คุณมาจากที่ไหน ? ชาติอะไร ? หนี่ฮ่าว ? คอนนิจิว่ะ ? เพื่อจะได้อธิบายตามภาษาที่เราพูด แม่บุญเลยพูดภาษาไทย บอกว่าขอให้อธิบายภาษาไทย...แขกเกาหัว พูดไม่ได้นะนายจ๋า ส่ายหัวอีกแล้ว...ๆ ก็ไม่ละความพยายาม แม่บุญทำเป็นหูทวนลม ไม่เข้าใจคำถาม ? มิเชลขำมุกที่แม่บุญงัดมาใช้จนหน้าแดง ในที่สุดก็ไม่มีไกด์มาเดินตื้อ แต่..ขบวนการคนขายของที่ระลึกยังไม่ย่อท้อ..ที่สำคัญ..สายสร้อยแบบเดียวกันกับที่แม่บุญถอย มาเมื่อเช้าราคาบอกผ่านที่นี่สองร้อย...ยังไม่ได้ต่อเลย ...มิเชลหัวเราะดังกว่าเดิมหลายเท่า คงสมน้ำหน้าแม่บุญนั่นเอง...ในที่สุดก็โดนจนได้....จนแขกต้มจนเปื่อย... ระหว่างที่เดินชมวัด..แปลกใจว่าทำไมเรียกวัด พระก็ไม่มี มีแต่เจดีย์ ที่มีรูปแกะสลักเสาหินเป็นท่าทางการร่วมเพศ หรือ กามาสุตา นั่นเอง ดูให้เป็นศิลป์มันก็ศิลป์แหละ คนอินเดียจากรัฐอื่นนั่งรถไฟข้ามวันข้ามคืนมาดูมากมายยืนเรียงแถวยาวหลายกิโลเมตรเพื่อซื้อบัตร ที่รู้เพราะมีชาวอินเดียที่นั่งรถไฟมาจากเดลลี มาคุยด้วย...ผู้ที่มารอเข้าชม ไม่รู้มาดูความอลังการณ์ของเสาหินแกะสลักหรือมาดูภาพแกะสลัก...ตอนที่เราสองคนไปถึงแดดเปรี้ยงเลยไม่ได้เห็นความงามตอนพระอาทิตย์คล้อยในตอนบ่ายเพราะเราต้องนั่งรถกลับโรงแรม ไม่อยากอยู่จนค่ำมืดเพราะกลัวไม่ปลอดภัย มาดูกันว่าเขาอธิบายไว้คร่าว ๆ ว่ายังไง แม่บุญไม่ขอแปลเพราะอาจจะไม่สละสลวย ที่นี่เขาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว เขาอธิบายว่า..The Sun Temple Built by Raja Narsimhadeva of the Ganga dynasty, in the 13th century AD, the temple is a pageant of human grandeur, in its perception, and in the execution of even the finest details. It resembles a colossal chariot, with 24 wheels, pulled by seven straining horses, and has a three-tiered pyramidal roof topped off by a fine spire. The Sun - God's chariot, also represents the seven days of the week, and the 24 hours of the day, in its concept. The temple is a brilliant chronicle in stone, with impressive sculptures. Every aspect of life is represented here, and the erotic imagery, depicts the sublimation of human love manifested in countless forms. Scenes from court, civic life and war are also done with great precision. Unlike the other temples of the Bhubaneswar-Konark-Puri region, the Konark temple had two smaller outer halls, completely separate from the main structure. The assembly-hall and the tower were built on an imposing platform, which were carved into meticulously crafted twelve pairs of decorated wheels, each 10 feet in diameter. The entrance is reached by a broad flight of steps, flanked on either side by prancing horses, the whole representing the chariot, in which the Sun-God rides across the heavens. The court of the temple, was decorated with large free-standing sculptures of great strength and beauty. Now protected under the World Heritage List, the temple's interior was filled - up in 1903 A.D., by the then British Lt. Governor of Bengal, to save it from deterioration.ระหว่างเดินย้อนกลับมีร้านขายของที่ระลึกตลอดทางเหมือนทั่วๆ ไป เราเลือกดื่มน้ำมะพร้าวจากลูกสด ๆ แทนน้ำเปล่า ที่เห็นคนอินเดียชอบกินอีกอย่างคือ แตงกวาปลอกเปลือก ผ่าสี่แล้วโรยด้วยเกลือและพริกบ่นเหมือนบ้านเราเลย เขากินกันเอร็ดอร่อย ช่างฉลาดเสียจริง เพราะแตงกวามีฤทธิ์เย็นเวลาร้อน ๆ ช่วยคลายร้อนได้ดีไม่แพ้แตงโมเลยแถมมีวิตามินเพียบ เราได้แต่ดูแต่ไม่กล้ากิน อะไร ๆ ก็ต้องระวังโดยเฉพาะเวลาอากาศร้อนมาก ๆ เชื้อโรคมันออกมาทำงานกันเต็มที่ เกิดท้องไส้เสียขึ้นมาจะลำบาก เรามายืนรอรถกันสักพัก รถยังไม่มาร้อนเหลือเกิน มิเชลอยากดื่มเบียร์ ถามเจ้าของร้านว่ารถจะมากี่โมงเขาบอก โอ้ย..อีกนานมานั่งดื่มเบียร์ก่อนเถอะ นั่งให้สบายใจ เราดื่มเบียร์ยังไม่ถึงครึ่งแก้วรถก็มา วิ่งกับตับแล็บ ....เสียค่าเบียร์แพงอีกแล้ว...ช่างไม่ใช่วันของแม่บุญเลย ถูกหลอกเช้ายันบ่าย..โถแขกทำกันได้ รถมาถึงท่ารถ มองหาคุณตา..ไม่มาแฮะ ไม่มีร่องรอย เดินเล่นไปเรื่อย ๆ รอเผื่อแกจะมา จนเดินมาได้ครึ่งทางต้องตัดใจนั่งสามล้อคันอื่นกลับเพราะทั้งร้อนทั้งเหนื่อย กลับถึงโรงแรม กระโดดอาบน้ำกันเลย นั่งสักพักฝนทำท่าเหมือนจะตกเลยนั่งเขียนบันทึก พอเงยหน้า..พระอาทิตย์ตกแสงสีแดงสวยงามเหมือนภาพวาด คว้ากล้องได้แม่บุญกระโจนออกจากห้องมีมิเชลตะโกนตามหลังถามว่าจะไปไหน ไม่มีเวลาอธิบายแล้ววิ่งสุดชีวิตจะไปชายหาด...พอไปถึง แสงอาทิตย์ลับไปหมดแล้ว เลยเดินคอตกกลับโรงแรม ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พอดีเจอเชฟโรงแรมบอกว่ามีล็อบสเตอร์ตัวใหญ่จะกินไหม เลยเปลี่ยนใจกินที่โรงแรมไม่ไปที่อื่นแล้ว ขี้เกียจเดิน เย็นนั้นเราดินเนอร์ท่ามกลางแสงไฟริบรี่ กับกลิ่นยากันยุงและยุงรอบตัว เป็นมื้อแรกของเราที่หรูสุด ๆ แม่บุญไม่อยากอธิบายให้อิจฉา หลังอาหารเราพอมีเวลาเลยเดินไปหาเอเย่นต์ทัวร์ สอบถามราคาเช่ารถ พร้อมคนขับ และไกด์ ระยะเวลา 5 คืน 6 วัน เพื่อไปดูชาวเขาตามหมู่บ้านต่าง ๆ ที่เราวางแผนไว้ แต่ยังไม่ตัดสินใจ พนักงานหนุ่มหน้าตาคมเข้ม เดินตามแม่บุญออกมา บอกว่า มีเพื่อนอีกคนทำทัวร์ สนใจไหม ? เราเลยให้เขาพาไปพบ หลังจากคุยรายละเอียดกัน เขาคิดราคา 25,000 รูปี สำหรับค่าเช่ารถ พร้อมคนขับและไกด์ พร้อมอาหารสามมื้อ และโรงแรมที่พัก ให้อีกด้วย ราคาถูกกว่าที่แรก เราเลยตกลง แต่ยังไม่ได้จ่ายตังค์ ให้เขาไปรับเงินที่โรงแรมตอนค่ำ พอหาเงินที่มี กลับไม่พอ พี่แขกใจดีบอกว่า จ่ายมาเท่าที่มีก่อน ที่เหลือค่อยจ่ายผ่านไกด์ หลังจบทัวร์ เอาเป็นว่า เราตกลงตามนั้น คืนนี้เราต้องแพ็คกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางไกลกันอีกแล้ว ขอนอนก่อนนะ...ราตรีสวัสดิ์
Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 30 กันยายน 2563 13:40:35 น.
21 comments
Counter : 3759 Pageviews.
โดย: panwat วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:1:19:03 น.
โดย: เนินน้ำ วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:10:37:52 น.
โดย: ทองกาญจนา วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:20:58:16 น.
โดย: หมุยจุ๋ย วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:21:04:12 น.
โดย: หมุยจุ๋ย วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:21:04:12 น.
โดย: หมุยจุ๋ย วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:21:06:05 น.
โดย: บ่งบ๊ง วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:9:50:43 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:19:22:17 น.
โดย: IndyLand วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:23:26:15 น.
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:8:13:56 น.
โดย: Tristy วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:9:12:02 น.
โดย: phunsud วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:17:18:02 น.
Location :
กรุงเทพฯ Belgium
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 87 คน [? ]
แม่บุญ..เป็นหญิงไทยอายุเลยวัยรุ่นไปไกล จับพลัดจับพลูได้สามีเป็นฝรั่งแล้วก็หอบผ้าตามกันไปอยู่เมืองนอกเมืองนา พอได้เวลาหยุดงานก็กระเตงกันไปเที่ยวตามประสาตายาย ไม่มีลูกกวนตัวกวนใจ แม่บุญนั้นชอบเขียน ชอบเล่า ชอบถ่ายรูป เป็นที่สุด จะเก็บไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เอามาแบ่งบันกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้อ่าน ได้ดูกันดีกว่า ส่วนฝีมือด้านอื่น ๆ นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่น ทำอาหาร ก็เอามาแบ่งปันกันอีกนั่นแหละ ค่อย ๆ รู้จักกันไป รู้จักกันแล้วก็อย่าลืมเข้ามาคุยกันนะ ปล....รูปภาพต่าง ๆ หากต้องการนำไปใช้ช่วยบอกที่มาที่ไปด้วยนะคะ เป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งสังคมไทยเราค่อนข้างมองข้ามในเรื่องนี้ค่ะ
ผมเคยได้ยินครับว่า
เจองู กะเจอแขก
ให้ตีแขกก่อนไงครับ