จากนั้นก็ร่ำรากัน...ได้เวลาออกเดินทางต่อเราต้องไปที่เมืองVilleréal ก่อนสิบโมงเช้าเพราะมิเชลนัดบริษัทขายบ้านเอาไว้ จุดมุ่งหมายในการมาเที่ยวที่เขตนี้อีกอย่างคือมิเชลอยากย้ายมาอยู่แถบนี้เพราะอากาศดี มีแสงแดด อาหารการกินก็ดี พูดภาษาเดียวกันแถมราคาบ้านที่นี่ หนึ่งหลัง สอง สามห้องนอน กับสวนอีกกว้างใหญ่ราคาเท่ากับอพาร์ทเม้นท์ที่เราอยู่กันตอนนี้ ซึ่งมีแค่ห้องเดียว แต่ราคาแพงสุดๆ แกอยากมีสวนไว้ปลูกผัก ปลูกดอกไม้เลี้ยงไก่ ตามประสาคนอายุมาก
เราไปถึงเมืองที่ว่าก่อนเวลานัด...ตามเคยเดินดูเมืองเล็ก ๆ แต่น่ารักนี่ก็ไม่เลวยามเช้ามีผู้คนออกมาเดินกันบ้างไม่ถึงกับเงียบเหงาเสียทีเดียว เดินผ่านร้านขายขนมมองเห็น...มาการง...หลากสีนอนรออยู่ มิเชลรู้ใจบอกว่าดูบ้านเสร็จค่อยกลับมาซื้อจากนั้นเราก็เดินไปที่บริษัทขายบ้านซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามนั่นเอง
หนุ่มฝรั่งเศสพูดสำเนียงทางใต้...เป็นคนพาเราไปดูบ้านสอง สามหลังในวันนี้ รถ BMW สีดำของหนุ่มน้อยเป็นพาหนะพาเราไปดูบ้านแห่งแรกบ้านหลังเล็กน่ารัก ตั้งอยู่ห่างไกล แต่ติดถนน มีโรงนาใหญ่ด้านหน้าภายในบ้านมีห้องเล็กห้องน้อยหลายห้อง แต่ขนาดเล็กทั้งนั้น ห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยหนังสือมากมายจัดอย่างเป็นระเบียบ...ภาษาอังกฤษทั้งนั้นเพราะที่นี่เจ้าของเป็นคนอังกฤษที่ซื้อบ้านไว้อยู่เวลาหน้าร้อน เอาไว้หนีหนาวด้วยแม่บุญกับมิเชลไม่ชอบ...มันไม่ใช่บ้านสำหรับอยู่ตลอดชีวิต...อีกอย่างไกลเหลือเกินหากเจ็บไข้ได้ป่วยมายามค่ำคืน ไม่รู้ว่าต้องขับรถไปอีกกี่กิโลจึงจะถึงมือหมอตลาดก็ไกล...เป็นอันตกไป
อีกแห่ง..เมือง Mompazier เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็ก ๆเช่นเคย..นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษมากมาย ที่มาเที่ยวแล้วมาซื้อบ้านที่นี่บ้านที่เราไปดูตั้งอยู่สุดทางของหมู่บ้าน เป็นเนินที่มองเห็นวิวแบบพาโนรามา สวยมากเงียบสงบ..มีสามห้องนอน ห้องกินข้าว ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่น แถมห้องเก็บของและโรงรถอีก ราคาไม่แพงมากนัก แต่...นี่ปาเข้าไปกลางปีแล้ว ยังแทบไม่มีคนบ้านเมืองเงียบเชียบ ร้านอาหารมีนักท่องเที่ยวมานั่งกินอยู่บ้างเราต้องคิดกันหนักอีกรอบ...
สุดท้าย...ไปอีกเมืองไม่ไกลนักแต่มิเชลไม่ชอบเพราะเป็นบ้านแบบสมัยใหม่ ไม่มีเสน่ห์ เหมือนบ้านโหลแม้ราคาจะเท่ากับแห่งที่สอง หนุ่มน้อยบอกว่าหากมีบ้านน่าสนใจจะส่งทางเมล์มาให้ดู ให้เลือก ...
หลังจากส่งเราเสร็จแม่บุญรีบไปซื้อมาการงมาหกอัน อย่างละสี แล้วก็นั่งรถกลับไปที่เมือง Mompazier อยากดูบ้านอีกรอบและอยากเดินดูรอบ ๆเมืองด้วยนั่งรถไปอดใจไม่ไหวต้องเปิด...มาการง..หลากสีมาแกะแบ่งทีละอันให้มิเชลชิมด้วยจะได้ช่วยกันจำว่ารสชาติเป็นยังไง กินแล้วละลายในปากหรือเปล่าแต่กับมิเชลท่าทางแกจะไม่ใส่ใจนัก พอใส่ปากได้ไม่กี่นาทีก้หายหมด ส่วนแม่บุญค่อย ๆละเลียดกินทีละนิดให้มันซึมเข้าไปในสมอง...ว่าต้องทำแบบนี้นะ
จากนั้นก็ออกเดินทางไปเที่ยวชมสวนอยู่ไกลเหมือนกัน แต่อยากดู ไปแล้วก็ผิดหวังนิดหน่อยสวนทิวลิปที่เนเะอร์แลนด์สวยกว่าเยอะแต่ที่นี่เป็นต้นไม้ที่ตัดและจัดอย่างเป็นระเบียบ เจ้าชองชาโตส์เปิดให้เข้าชมแต่ต้องจ่าย...๑๔ยุโรต่อคน...แพงชิบ นี่ถ้าต้องจ่ายตังค์แบบนี้บ่อย ๆ เราคงไม่รอดถ้าจ่ายแล้วไปชมที่ ๆ มันอลังการณ์อย่างพระราชวังแวร์ซายส์ ..อันนั้นแพงก็ยอมจ่ายเพราะคุ้มค่าเงิน
บ่ายห้าโมงเย็นกลับมาที่เมืองนี้อีกรอบจอดรถแล้วก็เดินสำรวจ บ้านที่มาดูก่อนหน้านี้เราเข้าไปไม่ได้อีก ได้แต่ดูรอบ ๆแล้วก็ถกกันว่าจะเอายังไง มิเชลแกชอบ แต่แม่บุญว่ามันเงียบเหลือเกิน ?? เดินถกกันจนเหนื่อยถึงเวลาต้องหาที่พักสำหรับคืนนี้ เราเดินไปดูห้องพักให้เช่าแห่งแรกที่เมืองนี้แพงจัง 75 ยูโรต่อคืน แกบอกห้องสุดท้ายแล้วนะ ...ไม่เป็นไรแม่บุญบอกเพราะมันเกินราคาของเราที่ตั้งไว้ เขาแนะนำให้ไปอีกที่...
อีกแห่ง..ใกล้ ๆ บ้านที่มาดุกันนั่นแหละเผอิญเหลือบเห็นตอนมาดูบ้านแล้วหยิบโปรชัวร์ติดมือไปด้วยเจ้าของบ้านเป็นหญิงหม้ายชาวอังกฤษ...บอกว่าห้องเต็มแล้ว เธอพูดภาษาฝรั่งเศสแบบติดๆ ขัด ๆ แม่บุญเลยพูดภาษาอังกฤษกับเธอ แล้วก็ถามว่ารู้จักที่อื่นหรือเปล่าเธอแนะนำ..แล้วก็โทรไปจองให้เรียบร้อยน่ารักจริง ๆเราขอเข้าที่พักช้าหน่อยเพราะต้องกินข้าวเย็นก่อน ยืนคุยกันสักพักมิเชลเลยบอกว่ามาดูบ้าน เธอบอกว่ารู้จักกับครอบครัวนั้นอย่างดี แต่แม่บุญถามอีกว่าแล้วเธอคิดยังไงกับการมาอยู่ที่นี่ ??
คราวนี้ได้ร่ายกันยาวสรุปแล้วคือ...มันจะสดชื่นระรื่นใจอยู่สามเดือนในหน้าท่องเที่ยวหลังจากนั้นเงียบเหมือนเป่าสาก...หรือป่าช้า..ด้วยผู้คนไม่ค่อยออกมาเดินทักทายกินข้าวเย็นด้วยกันเหมือยชนบทบ้านเรา คนที่นี่มีความเป็นส่วนตัวสูงมากไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเหมือนวิถีชีวิตของผู้คนทางเอเชีย หรือบ้านเราอยู่บ้านใครบ้านมันเธอรู้จักคนเยอะเพราะเป็นอาสาสมัครสอนภาษาอังกฤษฟรีให้คนในหมู่บ้านไม่งั้นก็ไม่รู้จะพูดกับใครเธอเองก็อาศัยเรียนพูดกับชาวบ้านที่มาเรียนกับเธอเช่นกัน
คราวนี้เราสองคนต้องคิดหนักเพราะเคยชินกับชีวิตชาวเมือง ๆ ที่คึกคักเช่น กทม. และเมืองมหาลัยที่เราอยู่แม้ตอนปิดเทอมจะเงียบเหงาบ้างแต่ก็เพียงระยะสั้น ๆ อีกอย่างเมืองที่อยู่มีพร้อมทุกอย่าง แถมไม่ต้องขับรถ ต่อรถ เพราะสามารถเดินไปได้สบาย ๆแค่กิโลเมตรเดียว ออกกำลังกายไปด้วย ยังมีทะเลสาลสวยงามให้ไปเดินชมมีร้านค้าให้เดินช้อปปิ้ง...แต่ที่นี่ไม่มีอะไรที่ว่ามาสักอย่าง...
หลังอาหารค่ำ ที่มาดามชาวอังกฤษแนะนำให้ไปกินเสียดายตังค์จัง อาหารมันดูดี..ราคาพอสมควรแต่ปลาที่สั่งนึกว่าจะมาแบบเป็นครึ่งตัว มันมาแค่ในบล็อคสี่เหลี่ยมเป็นชั้น ๆสลับกับแครอทหั่นชิ้นเล็ก นี่มันอาหารจานแรก ไม่ใช่จานหลัก แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลยมิเชลสั่งเป็ด ค่อยยังชั่วที่มาครึ่งซีก ..
ไปถึงบ้านที่โทรมาจองไว้เจ้าของบ้านรอรับอยู่แล้ว เชิญเราเข้าบ้านไปดูห้อง จากนั้นก็คุยกัน แม่บุญเหลือบไปเห็นไข่ไก่ ที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้เองอดไม่ไหวพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า มาดามจ๋า...ฉันหิวข้าว ฉันกินมาแล้วแต่มันไม่อิ่มและฉันคงจะนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ ๆ ขอกินไข่ ออมเล็ต ได้ไหม ?
มิเชลกับเจ้าของบ้านพากันหัวเราะก๊ากกกก..ขำแม่บุญ แกอายนิดหน่อยที่แม่บุญขอดื้อ ๆ อ้าว ...ไม่ขอจะได้กินเหรอ ?มัวแต่อายมันจะนอนไม่หลับ ..ท้องคงประท้วงทั้งคืนตกลงเจ้าของบ้านรีบเอาไข่ฟองสุดท้ายมาทอดให้กินกันตาย พร้อมขนมปังทำไปหัวเราะแม่บุญไปบอกว่าจะไม่ลืมแขกพิเศษที่มาขอให้ทอดไข่ตอนดึกคนนี้เลย .. นี่ทำขายหน้าประเทศไทยหรือเปล่าไม่รู้นะ?? จากนั้นก็เข้าห้องอาบบน้ำนอน..
ขอนอนก่อนนะ....