Group Blog |
หลังกรุงแตก 2 จากหลักฐานข้อมูลการค้นพบทั้งหมดสามารถจำแนกเครื่องทองที่ขุดได้ จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะได้เป็น ๔ ส่วน ส่วนที่ 1 ทองจากที่คนร้ายขุดได้ จะเป็นทองคำหนักทั้งสิ้น ประมาณ ๗๕ กก. ส่วนที่ 2 เป็นเครื่องทองที่เป็นกองกลาง เนื่องจากเป็นวัตถุสิ่งของขนาดใหญ่ มีน้ำหนักไม่ตำกว่า ๑๐ กก. ส่วนที่ 3 เป็นเครื่องทองที่กรมศิลปากรขุดได้ภายหลังเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๒,๑๒๑ ชิ้น ทั้งที่ทำด้วยทอง นาค เงิน รวมทั้งเพชรนิลจินดามีน้ำหนักรวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๙,000 กรัม พลอยหัวแก้วหัวแหวนและทับทิมหนัก ๑,๘๐๐ กรัม แก้วผลึกชนิดต่าง ๆ หนัก ๑,๐๕๐ กรัม และลูกปัดเงินกับทับทิมปนกันหนัก ๒๕๐ กรัม ส่วนที่ 4 เป็นเครื่องทองส่วนที่ตกสูญหาย ประมาณว่าไม่ต่ำกว่า ๑๐ กก. รวมทั้งเครื่องทองที่ยึดคืนมาได้ ที่ไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ ส่วน จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า เครื่องทองที่บรรจุในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะแห่งเดียว นั้นมีทองคำหนักกว่า ๑๐๐ กก. นอกจากนั้นการที่กรุงศรีอยุธยามี พระปรางค์ เจดีย์ ศาสนวัตถุมากมาย ประกอบกับอดีตนั้นคนกรุงเก่ามีความเชื่อในเรื่อง การสืบอายุพระพุทธศาสนา โดยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลด้วย ทอง เงิน นาค แก้วแหวนต่าง ๆ น่าจะทำให้กรุงศรีอยุธยา เป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ และปัจจัยที่ทำให้ผู้คนในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา มีความพรั่งพร้อมก็คือ ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้ง เนื่องจากกรุงศรีอยุธยา เป็นที่รวมหรือชุมทางของ แม่น้ำลำคลองหลายสิบสาย เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ทั้งที่เป็นธรรมชาติและที่ขุดขึ้นใหม่ภายหลัง ทำให้กรุงศรีอยุธยา เป็นแหล่งชุมชนทางน้ำ ซึ่งพงศาวดารเหนือได้กล่าวไว้ว่า "กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา เป็นเมืองท่าสำเภา และเมืองท่าน้ำ" ส่วนชาวเปอร์เซีย กล่าวว่า "เป็นเมืองแห่งนาวา" ปัจจัยด้านศิลปะวัฒนธรรม เนื่องจากกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ท่ามกลางอาณาจักรเก่าแก่โบราณมากมาย เช่น ทวาราวดี ขอม และสุโขทัย เป็นต้น แม้ว่าบางแห่งจะล่มสลายไปแล้ว แต่แบบอย่างแนวทางในการศึกษาเรียนรู้ในมรดกทางศิลปะวัฒนธรรม ยังคงอยู่ เช่น สุโขทัยจะมีฝีมือเป็นเอกทางด้านงานประติมากรรม ส่วนกรุงศรีอยุธยาเองนั้นจะเป็นเอกในด้านงานประณีตศิลป์ เป็นต้น ปัจจัยทางด้านการปกครองและการเมือง ตามจดหมายเหตุจีนกล่าวว่า "กรุงศรีอยุธยาเกิดขึ้นเพราะเมืองใหญ่ ๒ เมือง รวมกันด้วยการสมรส คือ ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา (เสียนก๊ก หรือ สุพรรณภูมิ) กับ ดันแดนฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา (หลอหู หรือละโว้) โดยรวมกันเมื่อ พ.ศ.๑๘๙๒ จนกลายเป็นอาณาจักรใหญ่ที่เข้มแข็ง มีกำลังทัพใหญ่ และคนหลายเชื้อชาติด้วยปัจจัยนี้ กรุงศรีอยุธยาจึงมั่งคั่งด้วยสมบัติ เพราะทองคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด และการถวายบรรณาการในการติดต่อสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ มักใช้ทองเป็นเครื่องประสาน การให้บำเหน็จรางวัล เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย หรือข้าวของที่ถวายเป็นพุทธบูชา ล้วนทำจากทองทั้งสิ้น จะเห็นได้ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ทองคำจะนิยมมาใช้งานใน ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. เครื่องราชูปโภค เป็นเครื่องใช้สิ่งของต่าง ๆ ของพระมหากษัตริย์ เครื่องต้น เครื่องทรงเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชกุธภัณฑ์ จารึกพระสุพรรณบัฎ เครื่องประดับสำหรับเกียรติยศหรือเครื่องราชูปโภค พระพิชัยสงคราม เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อาทิ เช่น พระสังวาลย์นพรัตน์ สร้อยอ่อน และอื่น ๆ ๒. เครื่องประดับ เครื่องประดับโดยทั่วไป ได้แก่ สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไลแขน กำไลเท้า ตุ้มหู แหวน ปิ่นปักผม จี้ เข็มขัด ลูกปัด ลูกกระพรวน เข็มกลัด เป็นต้น และเนื่องจากกรุงศรีอยุธยา มีคนจีนแล่นเรือมาติดต่อค้าขายมากกว่าชาติอื่น บางอย่างจึงได้รับอิทธิพลจากจีนและมีตลาดค้าขายทอง เรียกว่าย่านป่าทอง ซึ่งเป็นแหล่งขายทองคำเปลว และเครื่องทองรูปพรรณ ตลอดจนเครื่องเงิน นาค และย่านนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตลาดถนนตีทอง" และแก้วแหวนเงินทองที่พบจากซากโบราณสถาน เจดีย์วิหาร มีไม่น้อยที่เป็นของพลเมืองทั่วไปที่ถวายเป็นเครื่องอุทิศบูชาแด่พระศาสนาที่ตนศรัทธา ๓. รูปเคารพในทางศาสนา เนื่องจากความศรัทธาอันแรงกล้าของพลเมืองต่อพระศาสนา จึงได้นำทองคำมาสร้างงานประติมากรรม หรือรูปเคารพในทางศาสนาเป็นอันมาก เช่น พระพุทธรูป เทวรูป พระโพธิสัตว์ พระพิมพ์ พระพุทธบาทจำลอง สถูป เครื่องอลังการ เครื่องพลีกรรม ตั้งแต่สมัยทวาราวดี ลพบุรี สุโขทัย และอยุธยา ๔. เครื่องสถาปัตยกรรมและศิลปะกรรม สมัยโบราณนิยมนำทองคำมาประกอบตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้วิจิตรงดงาม โดยใช้เป็นทองคำเปลว และจากการตรวจสอบพบว่าทองคำเปลวนั้นรู้จักทำ และใช้กันแพร่หลายตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖)ในจดหมายเหตุจีนกล่าวไว้ว่า "บัลลังก์บ้าง มณฑปบ้าง ปราสาทราชวัง และคานหามบ้าง รวมทั้งเครื่องใช้อื่น ๆ ของกษัตริย์ในดินแดนเอเซียอาคเนย์ ล้วนทำด้วยทองคำ" อาณาจักรทวาราวดี หรือศูนย์กลางของดินแดนที่ชาวอินเดียโบราณขนานนามว่า"สุวรรณภูมิ" (หมายถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด) จะเป็นถิ่นที่มีทองคำหรือโภคทรัพย์อุดมสมบูรณ์มาก และกรุงศรีอยุธยา หรือ"กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา" ซึ่งตั้งขึ้นภายหลัง น่าจะมีทองมาก เพราะทั้งชื่อกรุงและปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนากรุง ล้วนเกี่ยวข้องกับทองทั้งสิ้น WOW สวยจริงๆครับ
โดย: fedexfc วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:16:34 น.
อาณาจักรแห่งความร่ำราย
โดย: เจ้าไร้แผ่นดิน IP: 118.173.250.186 วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:14:14:09 น.
ขอบคุณมากที่ได้เข้ามาอ่านทุกความรู้ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่อยากรู้เรื่อง บรรดาศักดิ์ที่พวกเค้าใช้แทนตำแหน่งต่างๆในแต่ละรัชกาลจังค่ะ
โดย: สร้อยชบา IP: 58.8.244.74 วันที่: 30 มกราคม 2552 เวลา:18:00:14 น.
|
Taeng_Ph
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] "เหรียญยังมีสองด้าน มนุษย์เราก็เช่นกัน" Friends Blog
|