ดูเหมือนว่า Pattern six month จะทำให้หลินอยากอัพบลอก เป็นพิเศษ เพราะอะไรนะเหรอ คำตอบง่ายๆ ก็เพราะขี้เกียจอ่านหนังสือ อะนะ ห่างหายจากหนังสือ และความรู้มานานถึงหกเดือน ถึงแม้จะรู้ตัวว่าสติปัญญา เริ่มถดถอยลง เพราะลักษณะงานที่ทำ และออกซิเจนที่น้อยเวลาอยู่บนเครื่อง แต่ก็ยังไม่วายขี้เกียจ
จากบลอกที่แล้ว ที่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการช่วยชีวิตผู้โดยญี่ปุ่นรายแรก หลายๆคนอ่าน อาจคิดว่า ไม่เห็นมีไรเลย ในที่สุดก็ไม่ได้ใช้เครื่องปั๊มหัวใจ (AED) แต่ดีแล้วค่ะที่ไม่ได้ใช้ จริงๆแล้วเคสนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องราวอะไรใหญ่โต เพราะผู้หญิงคนนั้นก็อาการดีขึ้น อย่างรวดเร็ว คุณหมอแก่ๆคนนั้นบอกว่า อาจเป็นเพราะดื่มเหล้า จึงทำให้หายใจติดขัด หรือ อีกกรณีหนึ่งผู้หญิงคนนั้นอาจคิดเอาเองว่าตัวเองหายใจไม่ออก ก็เลยเป็นแบบนนั้น เหอๆๆๆ มีแบบนี้ด้วย แต่เรื่องนี้ก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของหลิน ที่ไม่มีทางลืม ถึงแม้มันจะดูตลกเมื่อทุกครั้งที่คิดถึง ภาพที่คุณหมอฟังเสียหัวใจจากหัวนม หรือ จับชีพจรจากตรงนั้นก็ตาม
แต่แล้วเหตุการณ์ระทึกขวัญก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ วันที่ 30 มีนาคม 2008 Flight JO703 จาก Narita กลับ Bangkok Flight วันนั้นเริ่มจาก หลิน และพี่ๆ แอร์ เข้าไป Briefing ตามปกติ ก่อนบินพวกเราจะมีการประชุมกันก่อน ถึงข้อมูลผู้โดยสารวันนี้ มีคนป่วยไม๊ มีผู้โดยสารคนไหนที่ต้องการ การดูแลเป็นพิเศษไม๊ หลินถูกกำหนดให้เป็น Cabin คือ แอร์ที่รับผิดชอบในการเสริฟ์ และดูแลผู้โดยสารเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งส่วนมาก หลินเป็นน้องจูเนียร์ ก็มักจะได้เป็นคนครัว ของ Economic แต่วันนั้น มีน้องรุ่น 94 หลินเลยได้ทำหน้าที่เป็น Cabin
เมื่อทราบแล้วว่าวันนี้ทำหน้าที่อะไร วันนั้นหลินใจขอไม่ค่อยดี และพี่ๆอีกหลายคนเพราะเป็นเครื่องบินลำใหม่ที่หลายๆคนยังไม่เคยบิน โดยเฉพาะหลินที่ปกติเป็น คนครัว พอต้องมาทำเป็น Cabin ก็ยังรู้สึกแปลกๆอยู่ๆ แต่เอาวะสู้ตายปกติแล้ว พวกเราเหล่าแอร์ทุกคน จะต้องคอยดู และศึกษาว่าอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ไหน ปกติด้วยความเคยชิน เราก็มักจะคิดว่ามันอยู่ที่เดิม แต่ไม่รู้อะไรดนใจให้หลิน ดูที่เก็บ AED และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลต่างๆ นะที่ และแอบคิดในใจว่าอืม ดีนะที่ดูเพราะมันไม่ได้อยู่ที่เดิม
จากการ briefing นั้นก็ทราบแล้วว่าวันนี้มีผู้โดยที่ต้องนั่ง Wheel Chair (เก้าอี้รถเข็น) ทางสายการบินของเรามีการให้บริการสำหรับ Wheel Chair ทั้งบนเครื่อง และ ช่วงเวลาที่ผู้โดยสารขึ้นลงเครื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร ที่อาจมีปัญหาด้านสุขภาพต่างๆ ซึ่งเรามีแบ่งรายละเอียดและประเภทของ ผู้โดยสารที่ต้องการใช้ Wheel Chair เอาไว้ แต่ขอไม่พูดถึงนะคะ วันนั้นมีผู้โดย Wheel Chair ถึง สี่คน ซึ่งก็ถือว่าเยอะอยู่ หลินถูกกำหนดให้ไปดูแล ผู้โดยสาร Wheel Chair เก้าอี้ ที่ 47 H เมื่อถึงเวลา Boarding หลินก็ไปรอรับผู้โดยสารหมายเลขนี้ คุณตา ใส่กางเกางขาสั้น เสื้อยืด เก่าๆ ถูกเข็นเข้ามา หลินสังเกตุได้ว่า คุณตาหายใจ เหนื่อยหอบตลอดเวลา ลักษณะเหมือนคนเป็นโรคถุงลมโป่งพอง แต่คุณตา มีคุณยาย และหลานสาว อายุประมาณ 14-15 เดินตามหลังเข้ามา ทั้งสามคนเป็นคนไทย แต่คงไม่ใช่คนกลางเพราะภาษาพูด มันแอบเหน่อๆ นิดๆ หลินเห็นคุณยาย และหลานไม่ได้พูดอะไรกับอาการเหนื่อยหอบของคุณตา ก็เลยคิดว่าคงเป็นเรื่องปกติ (ซึ่งหลินคิดผิดจริงๆ) หลิน กับ คุณลุง Groud Staff ได้ช่วยกันอุ้มคุณลุง ขึ้นไปนั่งบนเก่าอี้ หลินมีหน้าที่อธิบาย ถึงขั้นตอนความปลอดภัยต่างๆ และหลินก็เดินจากไป
ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี Service ต่างๆราบรื่นดี ใจก็คิดว่าอยากให้ถึงบ้านเร็วๆ แถมมีแซวกับรุ่นน้องว่า ถ้ากลับอีกไฟท์หนึ่ง ที่ดึกกว่าจะถึงกรุงเทพประมาณ ห้าทุ่มครึ่้ง หลินจะชอบลุ้นให้ดีเลย์ เพราะจะได้วันหยุดเพิ่ม (แอบเลว ) หลังจากกนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียง Call botton หลินเลยเดินออกไปดู ปรากฎว่าพี่ที่ Dead head (แอร์ที่นั่งเป็นผู้โดยสาร) ที่นั่งบริเวรนั้น เห็นตาอาการไม่ดี ขณะที่หลินเดินไปหาคุณตา ก็มีพี่อีกคนเดินไปแล้ว ภาพที่หลินเห็น คือ คุณตา ไม่มีสติแล้ว หายใจ เหนื่อย หอบมาก หลินไม่รู้จะทำยังไง วิ่งไปเอา เครื่องปั๊มหัวใจด้วยความรวดเร็ว เพราะ คิดได้อยู่อย่างเดียวในตอนนั้น หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียง All Call เพื่อ inform แอร์ทุกคนว่า มีผู้โดยสารป่วย
เมื่อหลินเอาเครื่องปั๊มหัวใจ พร้อมอุปกรณ์ของคุณหมอมาถึง คุณตาก็ถูกอุ้มลงมานอนกับพื้นแล้ว พื้นตรงทางเดินที่แคบมากมาย คนเริ่มมุง โดยเฉพาะคนไทย ที่มีอยู่บนไฟท์นี่ค่อนข้างเยอะ ประเทศเราช่างรักษาเอกลักษณ์ได้ดีจริง 555 ถ้าหน้าตาเอเชียหน่อย ไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นคือ ญี่ปุ่น แต่ถ้าหน้าตาคล้ายกัน ลุกขึ้นยืน มองดูด้วยความสนใจ นั่นคือคนไทย 555 ดีที่วันนั้นมีหมอ ทั้ง ไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง และยังมีนางพยาบาล ช่วยกัน ยื้อชีวิตคุณตา เอาไว้ คุณยายได้ให้การณ์ว่า คุณตาเป็นแบบนี้บ่อย พอดีมาเยี่ยมลูกสาวที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่น ซึ่งก่อนเดินทางก็ได้ไปหาหมอและได้ใบรับรองแพทย์มาแล้วว่า สามารถเดินทางได้ปกติ แต่ช่วงสองสามวันนี้ยา หมด และคุณตาก็มีไข้ หลานสาวได้แต่ร้องไห้อยู่ข้างๆ และพร่ำบอกว่า "ตาจ๋า อยู่นิ่งๆ นะ เค้าจะช่วยตา" เห็นภาพสลดขนาดนั้น หลินก็ได้แต่ยืนมองห่างๆ และลุ้นให้คุณตาปลอดภัย ร่างกายของคุณตา กระตุกตลอดเวลา เหมือนปลาที่ขาดน้ำใกล้ตาย คุณตาพยายามกัดลิ้นตัวเองเพราะอาการชัก พวกเราต้องหาช้อนเหล็กมาให้คุณตากัดตลอดเวลา หมอเริ้มโต้เถียงกันเพราะหมอหลายเชื้อชาติเกินไป ในที่สุดก็ยกให้เป็นหมดญี่ปุ่นสุดหล่อคนนั้นเป็นคนดูแล
และไม่นาน กัปตันก็ตัดสินใจลง Emergency Landing คือการลงฉุกเฉิน เนื่องจากมีสาเหตุต่างๆ เช่น เครื่องยนต์มีปัญหา เกิดการจี้เครื่องบิน หรือ มีผู้ป่วยฉุกเฉิน ในกรณีนี้ คือ เรามีผู้ป่วยฉุกเฉินที่ต้องการ การช่วยเหลือด่วน ระหว่างเดินทางไปโอกินาว่า เพื่อลงฉุกเฉิน คุณตา ก็หัวใจหยุดเต้นไปสองครั้ง และได้ทำการช่วยชีวิตกลับมาได้ และเมื่อลงจอดได้ที่โอกินาว่า คุณตา และครอบครัวก็ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันที มันเหมือนในหนังมาก แต่มันเกิดขึ้นจริง ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวน แต่พวกเราก็เป็น team work กันมากๆ พยายามช่วยชีวิตคุณตาไว้อย่างสุดความสามารถ ในที่สุดคุณตาก็ปลอดภัย เย้ๆๆ
จากเหตุการณ์นี้ หลินและเพื่อนๆ พี่ๆ ในไฟท์นั้นได้ ประกาศนียบัตร Shinning star และgift voucher เป็นรางวัล แต่มันก็เป็นคนของเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ช่วยคุณตาคนนั้นไว้ได้ มันเป็นเครื่องตอกย้ำให้หลินรู้ว่า อาชีพของเรามันช่างน่าภาคภูมิใจขนาดไหน มันไม่ใช่แค่คนเสริฟ์ข้าว เสริฟ์น้ำเท่านั้น เรามีบทบาทมากกว่านั้น ความรู้ที่เราเรียนมามันสามารถช่วยคนได้จริงๆ
กว่าจะเขียนเรื่องนี้เสร็จแอบกินเวลานะเนี่ย เพราะอยู่ระหว่างสอบ Six month พอดีแต่ตอนนี้สอบผ่าน แล้ว (มั้ง) ก็สบายใจได้แล้ว ไว้จะมาเขียนเล่าให้ฟังว่าเค้า Six กันยังไงน้า เอาเป็นว่าขอบคุณทุกๆคนที่มาเมนต์ นะค่ะ แล้วก็เป็นกำลังใจให้ทุกคุนที่กำลังสอบสัมภาษณ์ แจลนะ สู้ๆๆ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ