Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
แบกเป้ ลุยเดี่ยวฯ วันที่ 58 ปราสาทนาโกย่า

วันที่ 3 พฤษภาคม

นั่งรถไฟไปสถานีนาโกย่า ซื้อตั๋ว One Day Pass กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคิวรถบัส ใช้นั่งรถบัสได้ไม่จำกัดเที่ยวใน 1 วัน ราคา 500 เยน

ที่แรกที่ไปคือปราสาทนาโกย่า เจอคนเพียบตั้งแต่ที่ขายตั๋ว อุตส่าห์มาเช้าแล้วนะ




เข้ามาข้างในก็เจอต่อคิวถ่ายรูปปกับสัญลักษณ์ของที่นี่




ได้เห็นปราสาทแล้ว




ตัวปราสาทล้อมรอบด้วยคูที่ขุดไว้ ป้องกันการบุกเข้ามาโจมตีของข้าศึก




ฐานปราสาทก่อด้วยหิน ด้านข้างเห็นตึกใหม่สร้างใหม่ดูไม่เข้าบรรยากาศกับปราสาทเท่าไหร่ แต่มันเป็นลิฟท์สำหรับคนพิการ จะได้มาเที่ยวที่นี่ได้สะดวก



เดินดูรอบประสาทจะเจอประตู Fumei-mon ประตูนี้เป็นที่รู้จักอีกชื่อนึง คือ “the gate that never opens”



ที่กำแพงจะมีดาบติดไว้เพื่อป้องกันคนบุกเข้ามาในประสาท กำแพงนี้จึงได้ชื่อว่า “sword wall”



อาคารข้างนอกประสาท จัดแสดงนิทรรศการ ตุ๊กตากระดาษ พับเก่งมาก ดูแล้วไม่นึกว่าเป็นกระดาษเลย



ซามุไรขี่ม้า ดูรายละเอียดใกล้ๆ




มาดูทางฝ่ายหญิงบ้าง สง่างาม




นักดนตรีโบราณ




คิวเข้าชมปราสาทยาวมาก ตอนเช้ายังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนบ่ายคิวยาวไปหลายร้อยเมตร




อาหารกลางวันดิฉันซื้อที่ร้านขายของแถวๆหน้าปราสาทเหมือนคนญี่ปุ่นที่มาเที่ยวนี่แหละ ง่ายและไม่แพง

ตอนแรกว่าจะไม่เข้าไปดูข้างในปราสาทแล้ว คิวยาวเหลือเกิน แต่ตอนนั่งกินอาหารสังเกตว่าแถวเลื่อนไปเร็วเหมือนกัน เลยเอาซะหน่อย ไหนๆก็มาแล้ว

ตั้งแต่ตอนนี้ไปดันทำรูปหาย หายไปจนถึงวันสุดท้ายในญี่ปุ่นเลย หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยต้องพึ่งรูปประกอบจาก google นะคะ

ข้างในปราสาทด้านล่างจะมีสัญลักษณ์ของปราสาท คือ Kinshachi หรือ Golden Dolphins ที่ติดไว้บนหลังคาปราสาทต้้งไว้ให้ดู



ทำจากไม้แกะสลัก ฉาบด้วยตะกั่ว แล้วห่อด้วยทองแดงซึ่งทำมาจากเหรียญ แล้วปิดทองทับ



ปราสาทมีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นจะจัดการแสดงถึงการใช้ชีวิตของคนสมัยนั้น เช่นอาหาร บ้านเรือน อาวุธ ชุดนักรบ



แบบจำลองแสดงโครงสร้างประสาทด้านใน




รูปปั้นจำลองการขนย้ายก้อนหิน เพื่อนำมาสร้างปราสาทในสมัยก่อน




ในนี้มีรูปจำลองปลาสัญลักษณ์ของปราสาทให้ขึ้นไปขี่และถ่ายรูปด้วย ด้านหลังมี background เป็นท้องฟ้า ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่อคิวถ่ายรูปกันเยอะเลย

ออกจากปราสาท นั่งรถเมล์กลับไปลงสถานีนาโกย่า ตอนแรกว่าจะไปดูพิพิธภัณฑ์ Toyota แต่เปลี่ยนใจ วันนี้เพลียๆชอบกล เลยหาร้านกาแฟนั่งที่ JR central Towers แทน

ตึกแฝดนี้เพิ่งสร้างเสร็จปี 1999 ชั้นบนจะมีร้านกาแฟ สปา และร้านเสริมสวยที่สามารถชมวิวพาโนรามาของเมืองนาโกย่าได้



ดิฉันเลยตัดสินใจไปนั่งที่ร้านกาแฟชั้นบนสุดนี่แหละ แต่กว่าจะหาลิฟต์ขึ้นไปได้ เกือบตัดใจซะแล้ว

จากข้างล่างขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 15 แล้วต้องหาลิฟต์อีกตัวเพื่อไปชั้น 51 เดินตามป้ายไปก็หาไม่เจอ เดินวนหานานมาก

ร้านกาแฟที่นี่เปิดวันละไม่กี่ชม. ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะตั้งแต่บ่าย 2 -5 เท่านั้น

คนนิยมพอสมควร ตอนดิฉันไปถึงมีคนรอคิวอยู่ก่อนหน้าแล้วประมาณ 10 คนได้

รอซักครึ่งชม. ก็ได้ที่นั่งริมหน้าต่างวิวดีเลย เลยสั่งไอศรีมมากินชมวิว ราคาก็แพงกว่าปกตินิดนึง

ออกจากคาเฟ่นั่งรถไฟกลับที่พักก่อน แวะซื้อรองเท้าใหม่สำหรับใส่ตอนออกจากญี่ปุ่น รองเท้าแตะพังตั้งแต่อยู่เกาหลีเลยทิ้งไว้ที่นั่น

ถึงที่พักอาบน้ำพักผ่อน กะว่ามืดๆค่อยออกไปหาของกิน ที่นี่มีร้านปีกไก่นาโกย่าที่ดังอยู่ร้านนึง มีแผนที่ร้านที่เกสท์เฮ้าสท์ด้วย

กลับมาได้ซักพักเจอ 2 สาว Jennifer กับ Leah ชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ดิฉันก็เลยใจง่ายไปด้วย ไม่ได้มีเพื่อนกินข้าวมานานแล้ว

2 คนนี้ไม่เคยมาเมืองนี้มาก่อน เราก็เลยเดินไปแถวสถานีรถไฟ เลือกได้ร้านนึงเป็นเหมือนบาร์ญี่ปุ่น ขายอาหารญี่ปุ่นแบบกินเล่นแกล้มเหล้า

อาหารที่ 2 คนนี้สั่ง ถ้าดิฉันมาคนเดียว ดิฉันคงไม่สั่งแน่นอน เขาสั่งสลัดหัวไชเท้า โมจิย่าง อีกอย่างจำชื่อไม่ได้ แต่เป็นเหมือนแผ่นปอเปี๊ยะห่อสลัดผัก อาหารลดความอ้วนของสาวๆทั้งนั้น

แต่ขอบอกว่าอร่อยมากกกก แค่สลัดหัวไชเท้า มันไม่น่าอร่อย แต่มันอร่อยอะ สลัดที่เป็นปอเปี๊ยะก็อร่อย เลยสั่งเพิ่มมาแกล้มเบียร์อีกชุด

รูปสลัดหัวไชเท้าจาก google




กินเสร็จ 2 สาวขอเป็นเจ้ามือ เขาบอกว่าดิฉันเป็นแขก และเขาเป็นเจ้าบ้านซะงั้น

เราคุยกันเรื่องคาราโอเกะของที่นี่ ดิฉันบอกว่าอยากจะไปแต่ไปคนเดียวมันไม่สนุกเลยยังไม่ได้ไปเลย 2 สาวเลยอาสาพาไป

มี Karaoke Box ใกล้ๆร้านอาหาร เข้าไปข้างในแล้ว ไปติดต่อที่เค้าน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินก่อน แจ้งเขาว่าจะใช้กี่ชม, แล้วก็จะได้แก้วเปล่ามาคนละใบพร้อมตะกร้าพลาสติก

ตอนจ่ายเงิน 2 สาวก็จะจ่ายให้อีก แต่ดิฉันขอจ่ายด้วยครึ่งนึง ต้องรีบเอาเงินจ่ายให้พนักงานก่อนเลย เขาเลยยอม

เดินขึ้นไปชั้นบน เอาแก้วให้พนักงานที่ชั้น 2 เขาจะเติมเครื่องดื่มให้ แล้วเข้าห้องไปได้เลย

ห้องที่ไปคล้ายๆแบบนี้แหละค่ะ




บนโต๊ะจะเห็นเครื่องสีดำๆสี่เหลี่ยม นั่นไว้สำหรับเลือกเพลง

Jennifer ร้องเพลงเก่งมาก ทั้งเพลงสากล และเพลงญี่ปุ่น

ดิฉันก็แจมเพลงญี่ปุ่นไปด้วย 2 เพลง เลือกเพลงที่เรารู้จักพอดี เลยมั่วไปด้วยได้

ออกจากคาราโอเกะ เที่ยงคืนไปแล้ว ขากลับ Leah บอกเขาไม่เดินกลับนะ เดินไม่ไหว

ก่อนเดินทางมานี่เขาสะดุดพื้นบ้านข้อเท้าแพลง เลยต้องใส่เฝือกอ่อนไว้ เวลาเดินก็เขยกๆไป รองเท้าก็ใส่ไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ยั่น ยังออกมาเที่ยวได้

ขากลับเลยนั่งแท๊กซี่กัน ทีนี้แต่ละคนก็ความจำดีกันมาก จำไม่ได้ว่าที่พักชื่ออะไร

ลืมเอานามบัตรที่พักมา แต่ดิฉันจำทางได้ก็บอกทางแท๊กซี่ไป แต่ก็ยังจำซอยผิด ขับเลยมาแยกนึง เลยต้องขับย้อนกลับไปใหม่

พอลงจากแท๊กซี่ดิฉันก็จะปิดประตู แต่ปิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้มันหนัก

Leah บอกว่าประตูที่นี่มันอัตโนมัติ เดี๋ยวมันปิดเอง เคยนั่งแท๊กซี่ตอนมาครั้งแรก แต่นานมาก จำไม่ได้แล้ว

คืนนี้สนุกมากมาย ต้องขอบคุณ Jennifer กับ Leah เป็นเจ้าบ้านที่น่ารักมากๆ

ค่าใช้จ่ายวันที่ 58 : ค่าอาหาร 650 บาท, โรงแรม 780 บาท, ค่าตั๋ว One day pass 155 บาท, ค่าเข้าชมปราสาท 125 บาท รวมเป็นเงิน 1710 บาท

ยอดรวมทั้งหมด 123,878 บาท


Create Date : 06 สิงหาคม 2554
Last Update : 6 สิงหาคม 2554 17:10:45 น. 2 comments
Counter : 1909 Pageviews.

 
อยากแบกเป้ไปลุยเดี่ยวมั่งจัง ชื่นชมค่ะ


โดย: hellomoto psy IP: 125.24.148.31 วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:21:42:48 น.  

 
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ


โดย: luvreise วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:20:00:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

luvreise
Location :
Norway

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ONLINE COUNTER

VISITOR COUNTER

New Comments
Friends' blogs
[Add luvreise's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.