พระเยซูตรัสว่า "จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน"

<<
มกราคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
21 มกราคม 2551
 

มาร์ติน ลูเธอร์ นักปฏิรูปศาสนาคริสต์ นิกาย โปรแตสแตนท์(ตอน1)

มาร์ติน ลูเธอร์

นักปฏิรูปศาสนาคริสต์ นิกาย โปรแตสแตนท์

มาร์ติน ลูเธอร์ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1483 และตายในปี ค.ศ. 1546 แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่ชีวประวัติของเขาก็ยังไม่หมดความซาบซึ้ง และน่าตื่นเต้นไปเลย เขาเกิดมาในฐานะเป็นบุตรของกรรมกร บ่อถ่านหินที่ยากจน แต่กลับกลายเป็นคนมีชื่อเสียงเด่นของชาติ และเป็นคริสตศาสนิกชนชั้นผู้นำ อิทธิพลของเขาไม่เพียงแต่ทำให้ทวีปยุโรป ในสมัยของเขาตื่นเต้นเท่านั้น แต่ยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ เขาเป็นผู้นำคนแรกของการปฎิรูปฝ่ายโปรแตสเเตนท์ ทั้งนี้เพราะเขาได้รับการศึกษาสูง ประกอบกับมีความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในศาสนา หนังสือของเขาซึ่งผลิตออกจากเครื่องพิมพ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ๆ ในสมัยนั้น จึงได้แพร่หลายไปทั่วภาคตะวันตก กล่าวกันว่าเขาทำงานมากเท่ากับงานของคนห้าคนรวมกัน

เขามีชื่อเสียงเด่นเพราะทำงาน 4 อย่างสำเร็จ
1.เขาแปลพระคัมภีร์ออกเป็นภาษาเยอรมัน หนังสือที่เขาแต่งขึ้นเป็นแบบฉบับ และมาตรฐานของ
การประพันธ์ในภาษาเยอรมันแตกฉานและเป็นผู้วาง หลักเกณฑ์การประพันธ์ของภาษานั้น เหมือนกับเชคสเปียร์วางหลักเกณฑ์ในภาษาอังกฤษ
2.อิทธิพลของเขาที่มีอยู่กับครอบครัวของชาวเยอรมัน ไม่อาจลบเลือนไปเสียได้ เขาได้วางตัวอย่างการเป็นสามีที่ดี และการเป็นบิดาที่เต็มไปด้วยความรัก ความพอใจในการอบรมเลี้ยงดูบุตรของเขา
3.เขานิยมการเล่นดนตรี เขียนบทเพลงสรรเสริญ และส่งเสริมให้ใช้บทเพลงในการนมัสการของศาสนาคริสเตียน
4.งานชิ้นสำคัญที่สุดก็คือการปฏิรูปความเชื่อและพิธีนมัสการในคริสตจักร เขาเป็นผู้ตั้งนิกายโปรเเตสแตนท์คนสำคัญ คือได้เป็นผู้นำเอาการนมัสการและการปฏิบัติเกี่ยวกับความเชื่อของคริสเตียนสมัยแรกกลับมาใช้อีกโดยมีแนวความคิดสำคัญ 2 ประการคือ
(ก)มนุษย์ทุกคนเข้าเฝ้าพระเจ้าได้โดยตรงไม่จำเป็นต้องมีพระหรือคนกลางติดต่อให้ และ
(ข)มนุษย์จะได้รับความชอบธรรมเพราะความเชื่อ

มาร์ติน ลูเธอร์เป็นบุคคลที่มีความสามารถรอบด้าน มีความกล้าหาญอย่างยอดเยี่ยม เป็นนักโต้วาทีที่เผ็ดร้อน เข้มงวดต่อศัตรู และยังใจเมตตาต่อบุคคลธรรมดาสามัญและต่อเด็กเล็กๆ เขามักจะชอบร้องเพลงคริสต์มาสเพราะๆ ที่แต่งขึ้นเองให้เด็กฟ้ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำที่สามารถกล้าแกร่งและอดทน เอาชนะอุปสรรคนานาประการจนประสบผลสำเร็จในการปฏิรูปศาสนา มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก


...............................................................................


มาร์ติน ลูเธอร์
บุตรของกรรมกรเหมืองแร่ถ่านหิน


ลมหนาวจากภูเขาสูงในประเทศเยอรมนี พัดไปกระทบกระเบื้องสีแดงบนหลังคาบ้านที่ตั้งอยู่ตามถนนแคบๆ ในเมืองไอส์เลเบน ทำให้ชาวเมืองที่แข็งแรงต้องหนีเข้าไปผิงไฟในบ้าน
ลมพัดจัดจนเสื้อนอกของพวกที่กลับจากโบสถ์กระพือแรง ชายที่อุ้มทารกน้อยมาก็เอาผ้าคลุมเด็กไว้แน่นพลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
เหตุการณ์ที่กล่าวถึงนี้คือวันที่ 11 พฤศจิกายนปี ค.ศ. 1483 ทารกน้อยนั้นคือบุคนชายหัวปีของนายแฮนส์และนางมากาเร็ต ลูเธอร์ เด็กผู้นี้เกิดในตอนกลางคืนก่อนวันนั้น แฮนส์และสหายของเขาอุ้มเด็กนี้กลับบ้าน เขาเดินก้มศีรษะเพื่อมิให้ลมปะทะแรงเกินไป เมื่อถึงบ้านแล้วก็ปิดประตู พากันขึ้นไปชั้นบนแฮนส์วางลูกลงข้างๆ ภรรยาของเขา
“มากาเร็ตร์ ! เราตั้งชื่อลูกของเราว่า มาร์ติน เถอะ เพราะแกรับบัพติศมาในวันที่ระลึกของนักบุญ มาร์ติน”
“ดีแล้ว แฮนส์ ขอให้วิญญาณของนักบุณมาร์ตินปกป้องรักษาตลอด อายุยืนนานของแกเถิด”
ครั้นแล้วแฮนส์และสหายก็กลับลงไปผิงไฟที่ชั้นล่าง ต่างก็ยินดีในการเกิดของลูกของเขามาก ฝ่ายมากาเร็ตมองดูลูกซึ่งกำลังหลับอยู่และคิดในในว่า ลูกของตนจะเป็นอะไรหนอในอนาคต แฮนส์และมากาเร็ตเป็นคนสามัญ แฮนส์เป็นชาวนาอิสระ พ่อของเขามีนาแปลงย่อมๆ อยู่แปลงหนึ่ง เขาผู้เป็นลูกของครอบครัวนี้ไปไหนมาไหนก็ได้โดยเสรี นับว่าโชคดีกว่าพวกทาสในสมัยนั้น ซึ่งตามกฎหมายแล้วพวกทาสจะต้องทำนาให้พวกขุนนางเป็นประจำ จะไปไหนไม่ได้และไม่มีค่าจ้างด้วย

เพราะพ่อเป็นคนยากจน แฮนส์จึงต้องไปทำงานรับจ้างขุดถ่านหินที่ในเมืองไอส์เลเบน มากาเร็ต
มองดูลูกน้อยพลางก็คิดในใจว่า บางทีเมื่อแกโตขึ้นคงจะเป็นกรรมกรบ่อถ่านหินกระมัง แต่เธอก็บ่นเบาๆ ว่า “ใครจะล่วงรู้ได้ว่าพระผู้เป็นเจ้าอาจจะทรงให้แกทำการสำคัญอะไรบ้างก็ได้”
วันนี้ลมแรงมาก พัดมากระทบหลังคา จนดูประหนึ่งว่าจะทลายบ้านให้พังลง เสียงลมนี้นครางเหมือนเสียงแม่มดหมอผีที่ดังมาจากดงภูเขาใหญ่ และพัดมากระทบเด็กน้อยด้วย คนในสมัยนั้นยังเชื่อในเรื่องภูติผีปีศาจอยู่มาก แม้มากาเร็ตเองจะเป็นคนที่เคร่งในศาสนาแต่ก็เชื่อในเรื่องผีอยู่มาก รุ่งขึ้นเธอจึงต้องเอาเงินไปจ้างบาทหลวงให้สวดอ้อนวอนนักบุญมาร์ตินเพื่อให้คุ้มครองเด็ก


เมื่อมาร์ตินอายุได้ 6 เดือน พ่อแม่ได้อพยพไปอยู่ยังเมืองแมนส์เฟลด์ เพราะแฮนส์เห็นว่าทำงานอยู่ที่เมืองไอส์เลเบนได้เงินน้อย จึงตั้งใจจะลองไปหางานที่เมืองแมนส์เฟลด์ดู อาจได้รายได้ดีกว่านี้
ที่แมนส์เฟลด์ครอบครัวนี้ได้มาอยู่ที่บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งใกล้เหมืองแร่แฮนส์ต้องทำงานหนัก ขุดแร่ได้แล้วยังต้องขนแร่นั้นไปยังเตาถลุงแร่ด้วย มากาเร็ตต้องทำงานบ้านตลอดวันเพราะครอบครัวมีลูกเพิ่มขึ้น อาหารก็แทบจะไม่พอรับประทาน
มาร์ตินช่วยแม่ทำงานบ้าง เล่นกับน้องเล็กๆ บ้าง บางวันก็เข้าป่าหาฟืนกว่าจะกลับบ้านก็เป็นเวลาพลบค่ำ เขาหอบฟืนเดินตามมารดา ซึ่งแบกฟืนเสียจนหลังงอ

แฮนส์กลับถึงบ้านค่ำทุกวัน หน้าตามอมไปด้วยถ่านหิน หลังจากล้างหน้าล้างตาที่ข้างครัวแล้วก็ลงนั่งรับประทานอาหารพร้อมกับครอบครัว ตามปรกติ มีขนมปังดำ ถั่วต้มและหางน้ำนมเท่านั้น นานๆ จึงมีอาหารดีเป็นพิเศษเสียครั้งหนึ่ง เขาใช้มีดตัดก้อนเนยแข็งและไส้กรอกออกเป็นชิ้นบางๆ แจกเด็กคนละชิ้น เขาพอใจที่เห็นพวกลูกๆ ต่างจ้องมองอาหารพิเศษกันตาโพลง
ภายหลังอาหารมาร์ตินก็จะมานั่งอยู่ที่ม้าเตี้ยๆ เพื่อฟังข่าวที่พ่อเล่าแฮนส์นั้นมือถือถ้วยเบียร์มาหนึ่งถ้วยก็นั่งลงใกล้เตาผิงไฟ เล่าเรื่องต่างๆ ที่เขาได้รู้ได้เห็นมา

พออายุได้เจ็ดปีมาร์ตินก็เริ่มไปโรงเรียนที่โบสถ์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้าน ครั้งแรกเขาต้องขี่คอเด็กโตๆ ไป ต่อมาก็ขี่ม้าไปเอง แต่ไม่ช้าเขาก็รู้สึกว่าโรงเรียน นั้นไม่ใคร่จะน่าเรียน เพราะนักเรียนจะต้องนั่งเรียนในห้องมืด สกปรก อากาศก็เย็นจัด เด็กก็ท่องบ่นไปตามที่ครูว่านำ โดยครูไม่เอาใจใส่เลยว่าเด็กจะเรียนหรือไม่
พวกบาทหลวงก็มิได้สอน กลับจ้างเด็กนักเรียนจากมหาวิทยาลัยที่เดินท่องเที่ยวไปมาให้มาสอนแทน เงินค่าจ้างก็น้อยไม่เพียงพอที่ครูจะซื้ออาหารรับประทาน การเรียนสมัยนั้นมีเพียง 3 วิชาเท่านั้น คือคณิตศาสตร์ ภาษาลาตินและภาษากรีก

มาร์ตินสนใจการเรียนมาก ในฤดูหนาวเขาตั้งหน้าตั้งตาเรียนตลอดวัน เขาอยากจะเข้าใจภาษาลาตินให้ดีขึ้นเพราะเป็นภาษาที่คนฉลาดและคนสำคัญใช้กัน เป็นภาษาที่ใช้ในมหาวิทยาลัยและในโบสถ์ แต่พอถึงฤดูร้อนเขาก็เพลินดูนกนางแอ่นที่บินออกจากอิตาลี ไปทางภาคเหนือ เพลินอยู่กับธรรมชาติที่เขามองเห็นตามหน้าต่างบ้าง เพลินสูดอากาศกลิ่นไอที่ขึ้นมาจากดินบ้าง
ในขณะที่เขามองออกไปทางหน้าต่างเพลินนั่นเอง ก็มีไม้อันหนึ่งฟาดลงมาบนศีรษะของเขาโดยแรงพร้อมกับเสียงครูพูดอย่างกระโชกกระชากว่า
“มาร์ติน ลูเธอร์ ! จงยืนขึ้น ฉันจะต้องเฆี่ยนเธอ 15 ทีเพราะเกียจคร้าน” แล้วครูก็ใช้แส้หนังหวดที่ขาของเขาเสียงดัง เควี้ยว ! เควี้ยว ! ....โดยปรกติมาร์ตินและสหายของเขากลับไปบ้านค่ำๆ พร้อมกับมีแผลตามหัวและตามขาเสมอ บางคราวครูก็บันทึกความผิดรวมๆ กันไว้หลายๆ วันจึงลงโทษเสียครั้งหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้มีแผลตามร่างกายมาก


มาร์ตินและเพื่อนๆ ไม่ใคร่เอาใจใส่ในแผลที่ถูกเฆี่ยนนัก พอโรงเรียนเลิกเขาก็ออกวิ่งไล่กันกลับบ้าน เพื่อนๆ ตะโกนบอกให้มาร์ตินร้องเพลง มาร์ตินร้องเพลงเยอรมันได้ เด็กอื่นๆ ก็ร้องตามบ้าง เขามีเสียงเพราะ เมื่อพวกบาทหลวงรู้เข้าจึงเอาไปร้องเพลงประจำโบสถ์ เขากับเด็กอื่นๆ ไปร้องเพลงตามบ้านต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนกับอาหารมื้อเย็นสำหรับครูและตัวเอง
เย็นวันหนึ่งมาร์ตินพูดกับบิดาว่า “วันนี้มีครูใหม่คนหนึ่งมาจากกรุงโรม มาสอนที่โรงเรียน ท่านสันตะปาปาที่กรุงโรมเป็นเจ้าใหญ่หรือฮะคุณพ่อ?”
แฮนส์ตอบว่า “สันตะปาปาเป็นใหญ่ฝ่ายศาสนา และจักรพรรดิแมกซิมิเลียนเป็นใหญ่ทางฝ่ายบ้านเมือง”
มาร์ตินพูดขึ้นว่า “แต่มิใช่เป็นใหญ่ทั่วโลกครับ คุณพ่อ ครูสอนว่า ในประเทศอังกฤษก็มีกษัตริย์ปกครอง ประเทศฝรั่งเศสก็มีกษัตริย์ และในประเทศเยอรมนี ก็มีเจ้านายปกครองหลายองค์”
บิดาตอบ “ถูกแล้วมาร์ติน พวกเจ้านายและขุนนางมีปราสาทราชวังและมีกองทหารหนุนหลังการปกครองอยู่ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของสันตะปาปาและมหาจักรพรรดิ์”
ครั้นแล้วมาร์ตินก็ขึ้นไปยังห้องชั้นบน เพื่อไปนอนนึกฝันถึง พวกเจ้านายขุนนางและอัศวินต่อไป

เมื่อมาร์ตินค่อยๆ โตขึ้น ก็ค่อยมีอาหารรับประทานบริบูรณ์ขึ้นด้วย บิดาของเขามีรายได้จาการทำเหมืองแร่ดีขึ้นมาก จึงคิดจะสร้างเตาถลุงแร่ขึ้นเองด้วย เวลานี้มาร์ตินมีเครื่องนุ่งห่มพอเพียง และมารดาของเขาก็ไม่ต้องไปเดิน หลังขดหลังงอขนฟืนอีก เขาซื้อจากพวกที่ตัดฟืนขายแทน

แฮนส์เป็นพ่อที่เข้มงวดและมากาเร็ตก็เป็นแม่ที่กวดข้น ถ้าลูกทำผิดเล็กน้อยก็ลงโทษทันที ครั้งหนึ่งมาร์ตินถูกเฆี่ยนเพราะเอาผลไม้ไปรับประทาน โดยไม่ขออนุญาตจากมารดาเสียก่อน กระนั้นบิดามารดาก็ขยันขันแข็งหาเงินเพื่อส่งลูกไปโรงเรียน ทั้งสองเห็นว่ามาร์ตินเป็นคนมีปัญญาและรักการเรียน จึงไม่ต้องการให้มาร์ตินทำงานหนักในเหมืองแร่ แต่ต้องการให้มาร์ตินเป็นหมอกฎหมาย เพื่อจะได้นำชื่อเสียงเกียรติยศมาสู่ตระกูล


ชีวิตในครอบครัวนี้เต็มไปด้วยหน้าที่ต่างๆ ประการแรกคือหน้าที่ต่อพระเจ้า มาร์ตินได้รับการอบรมว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงยุติธรรมเฝ้ารักษาอยู่และพระเจ้าองค์นี้แหละจะบันดาลฟ้าผ่าเด็กที่ทำบาป แม้แต่เพียงเล็กน้อย มาร์ตินเชื่อว่าแม้เขาจะปฏิบัติตามที่ถูกอบรมมาสักเพียงใดก็ตาม ในสายพระเนตรของพระเจ้าเขายังเป็นคนบาปอยู่ ต้องขอให้นางมาเรียและนักบุญต่างๆ ช่วยเหลือจึงจะได้รับการยกย่องโทษแห่งความผิดบาป ทั้งนี้เพราะคริสตจักรโรมันคาธอลิคสอนดังนั้นและเป็นความเชื่อของคนทั่วๆ ไปด้วย

คนในสมัยนั้นกลัวความชั่วมาก เขาเชื่อว่าตามป่าดงทึบมีผีและหมอผีมาก จนมาร์ตินก็เชื่อว่ามีผีร้ายแอบซ่อนอยู่ในที่มืด ๆ ทั่วไป เขาได้ยินมารดาบ่นเสมอว่าการที่เจ็บแขน ปวดแขนบ่อยๆ เป็นเพราะหมอผีทำให้เป็นอย่างนั้น และหมอผีก็คือเพื่อนบ้านใกล้เคียงคนหนึ่งนั่นเอง
บางวันอากาศแจ่มใสมาร์ตินก็หยอกล้อเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ เขาชอบร้องเพลงมากเป็นพิเศษ เวลาร้องเพลงตาของเขาลุกโพลงด้วยความสุข ลืมความหิว ความหนาว ความบาป เขาร้องเพลงที่ได้เรียนมาจากโบสถ์

......................................................................

ร้องเพลงแลกเปลี่ยนกับอาหาร

เย็นวันหนึ่งหลังจากเลิกทำงานแล้ว บิดาก็นั่งลงที่เก้าอี้พนักสูงเพื่อผิงไฟ และหันมามองบุตรคนหัวปีด้วยความคิดคำนึงบางอย่าง พลางพูดว่า
“มาร์ติน แกก็อายุ 14 ปี เกือบจะเป็นผู้ใหญ่แล้วบางทีเมื่อแกเรียนจบหลักสูตรจากโรงเรียนนี้แล้ว พ่ออยากจะให้แกไปเรียนต่อที่อื่น”
มาร์ตินตอบว่า “ผมจบนานแล้ว เดี๋ยวนี้ผมช่วยสอนบทเรียนให้เด็กอื่นๆ ทำให้เขาไม่ต้องถูกเฆี่ยน”
“พ่อก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน อีกสัก 2-3 ปี พ่อจะส่งแกไปเรียนที่มหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้เงินยังไม่พอ เพราะยังเป็นหนี้ค่าซื้อเตาถลุงเหล็กเขาอยู่ แต่พ่อทราบมาว่าที่เมืองแมกดิเบิร์ก มีโรงเรียนของบาทหลวงฟรานซิสแกน ซึ่งเก็บค่าเล่าเรียนไม่สูงกว่าโรงเรียนที่แกเรียนอยู่เดี๋ยวนี้ พ่อได้ปรึกษากันท่านบาทหลวงและพ่อของเพื่อนแกคือ จอห์น ไรนิเก และจะฝากแกไปพร้อมกับลูกเขาทีเดียว”

มาร์ตินดีใจมากที่จะได้ไปเล่าเรียนที่เมืองแมกดิเบิร์ก เด็กสองคนต่างก็เตรียมตัวจะออกเดินทาง เช้าตรู่วันหนึ่ง มารดาก็ห่ออาหารส่งให้มาร์ตินเพื่อเอาไปรับประทานตามทาง บิดาและน้องซึ่งเตรียมตัวจะไปยังเตาถลุงแร่ก็ได้มาส่งเขาก่อนที่จะออกเดินทาง
เมื่อได้ยินเสียงจอห์นตะโกนร้องเรียก มาร์ตินก็ยังนิ่งอยู่ เขารู้สึกตัวว่ายังเป็นผู้ใหญ่ไม่พอ เพราะยังคิดถึงบ้านอยู่และกลัวว่าอีกนานกล่าจะได้กลับมาบ้าน แต่ก็แข็งใจกล่าวคำอำลาพ่อแม่และน้องๆ เพื่อเดินทางไปศึกษาพร้อมกับเพื่อน


ในใจของเด็กทั้งสองยังคิดถึงบ้านอยู่ตลอดเวลา เมื่อเดินไปได้สักพักใหญ่ แสงแดดก็ร้อนจัดยิ่งขึ้นทุกที มีแต่เสียงนกร้องเพลงอยู่ในกอหญ้าตามทุ่งนา ต่อมาได้ผ่านหมู่บ้านหลายแห่ง ทุกกระท่อมมีรังผึ้งและเรือนนกพิราบเด็กทั่งสองตกใจ เมื่อเดินมาถึงที่แขวนคอคนและทรมานคน ซึ่งมีอยู่ประจำทุกหมู่บ้าน ที่ทรมานนั้นทำเป็นช่องสำหรับใส่แขนและขามิให้คนที่ถูกลงโทษ ดิ้นได้ ส่วนที่แขวนคอนั่นยังมีศพแขวนอยู่เรียงราย เพราะในสมัยนั้นบรรดาคนที่อยู่ในหมู่บ้านเป็นทาสของขุนนาง เมื่อทาสคนใดลักฟืนเพียงดุ้นเดียวก็จะถูกจำจองในที่ทรมานหลายๆ วัน ถ้าทาสคนใดจับกระต่ายในป่า ของขุนนางมากินจะต้องถูกแขวนคอถึงตาย

แม้แดดจะร้อนในวันนั้น เด็กทั้งสองก็ยิ้มต้อนรับเมื่อหญิงชาวนาร้องตะโกนอวยพรว่า “ขอให้พระเจ้าอวยพรให้เจ้าทั้งสองเดินทางไป โดยสวัสดิภาพ”

เมื่อรู้สึกหิวก็หยุดลงริมลำธาร เพื่อพักรับประทานอาหารที่มารดาห่อให้มา มาร์ตินและจอห์นจะต้องเดินทางเป็นระยะทาง 50 ไมล์ กว่าจะถึงเมืองแมกดิเบิร์ก อาหารที่ติดตัวมาจึงไม่พอ จำเป็นต้องไปร้องเพลงตามหมู่บ้านที่ผ่านไป ชาวบ้านก็ชอบใจให้ไส้กรอกและขนมปัง
ระยะทางที่ทั้งสองเดินผ่านมา ได้พบผู้เดินทางอื่นๆ หลายคน มาร์ตินประหลาดใจเมื่อได้เห็นพวกอัศวินขี่ม้าอย่างหรูหราผ่านไป อัศวินคนหนึ่งมีคนใช้ แต่งตัวด้วยชุดสีม่วงสีแดงเข้ม 12 คนเป็นบริวารตามไป เด็กทั้งสองได้พบชายชราถือไม้เท้าเดินกะโผลกกะแผลกมาจึงถามว่าอัศวินนั้นคือใคร ชายชราตอบว่า
“คงจะเป็นเจ้านายผู้หนึ่งที่จะไปเยี่ยมท่านมหาสังฆราชากระมัง หลานเอ๋ย เจ้านายผู้นี้ก็เหมือนกับเจ้านายอื่นๆ เหมือนกัน ท่านมหาสังฆาราชาอยู่ในวังที่เมืองแมกดิเบิร์ก ท่านเป็นคนสำคัญมาก เวลาจะกินอาหารจะต้องมีทหาร 12 คน เป่าแตรบรรเลงด้วย”

บางทีก็มีผู้เดินทางอื่นๆ ร่วมเดินทางไปกับเด็กทั้งสองด้วย เกวียนบางเล่มก็มีบาทหลวงนั่งไปเต็ม พวกพ่อค้าขี่ม้าวิ่งห้อไป บางทีก็มีทหารม้าแต่งตัวสวยๆ สวมหมวกขนนก สามเสื้อกำมะหยี่ นุ่งกางเกงสองสีคือขาข้างหนึ่งสีเขียวใบไม้ อีกข้างหนึ่งลายสีเหลือง
เมื่อทั้งสองคนมาถึงเมืองแมกดิเบิร์ก ก็รู้สึกเมื่อยล้ามากและหิวกระหายเป็นกำลัง เดินไปพลางก็หยุดพักดูอะไรๆ ที่แปลกตา แวะถามชาวเมืองถึงวัดที่ตนจะไป เขายังไม่เคยเห็นเมืองใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย เที่ยวหาอยู่จนดึกจึงได้ไปถึงโรงเรียนที่เขาจะต้องอยู่เล่าเรียนต่อไป จนครบหนึ่งปีเต็ม


การมาอยู่กับพวกบาทหลวงฟรานซิสแกนนี้ก็แสนจะลำบากยากเย็น ดีแต่ว่าครูสอนดีกว่าที่แมนส์เฟลด์ ทั้งสองคนทราบดีว่านักเรียนจะต้องหาเลี้ยงตนเอง ดังนั้นจอห์นและมาร์ตินจึงต้องไปเที่ยวขออาหารตามบ้านในเมือง หรือมิฉะนั้นก็ต้องร้องเพลงตามประตูบ้านเพื่อแลกกับอาหาร
วันหนึ่งอากาศหนาว มาร์ตินกับเด็กอีก 4 คน ยืนตัวสั่นอยู่ที่บันไดประตู เขามองเห็นชายผู้หนึ่งเดินผ่านไป เป็นคนรูปร่างผอมมีแต่กระดูก แต่งตัวอย่างบาทหลวงแบกกระสอบใบหนึ่งจนตัวงอ
มาร์ตินถามว่า “บาทหลวงคนนี้คือใคร ไม่เห็นเหมือนบาทหลวงอื่นๆ ในวัดนี้เลย”
จอห์นตอบว่า “ไม่เคยได้ยินชื่อเจ้าชายแห่งแอนแฮลท์บ้างหรือ ท่านไปเที่ยวขออาหารให้แก่คนอดอยาก ท่านทำเช่นนี้ คงจะได้ไปสวรรค์”
ขณะที่จอห์นพูดอยู่นี้ ท่านบาทหลวงหลังโกงผู้นั้นก็หันมามองดูพวกเด็กๆ แล้วก็เดินต่อไป ต่อมาไม่ช้ามาร์ตินก็ทราบว่าท่านเจ้าชายแห่งแอนแฮลท์ตายเสียแล้ว ทำให้เขารู้สึกเศร้าสลดใจและคิดคำนึงถึงท่านว่า ท่านผู้นี้แหละเป็นผู้ชอบธรรมที่แท้จริง


เมื่อได้เรียนอยู่ที่แมกดิเบิร์กครบหนึ่งปีแล้ว พ่อแม่จะส่งเขาไปเรียนต่อที่ไอเซนนัชเพราะมีญาติข้างแม่อยู่ที่นั่น มาร์ตินจึงเดินทางกลับบ้าน(50ไมล์) แต่เพียงผู้เดียว เมื่อพักอยู่ที่บ้านเพียงพอแล้ว เขาก็เดินทางไปเมืองไอเซนนัช
ไอเซนนัชเป็นเมืองสวยงามและมีชื่อเสียง มีปราสาทหินชื่อ ปราสาทวอทเบิร์ก ตั้งอยู่บนภูเขาเหนือเมือง เป็นที่ๆ นักบุญเอลิซาเบ็ทแจกขนมปังให้คนอนาถา ครั่งหนึ่งมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นในปราสาทนี้ คือเมื่อสามีใจร้ายห้ามมิให้เอลิซาเบ็ทแจกอาหารคนยากจน ขนมปังก็กลายเป็นดอกกุหลาบทำให้เธอไม่ต้องรับโทษจากสามี

ในโรงเรียนที่เมืองนี้ มาร์ตินได้พบครูทีมีลักษณะแตกต่างกับครูที่ตนผ่านมาแล้ว ครูคนนี้ได้ให้ข้อคิดใหม่ๆ แก่มาร์ติน เช้าวันหนึ่งในขณะที่นักเรียนกำลังนั่งคอยอยู่ ครูทรีโบนีอัสผู้นี้ได้เข้ามาในห้องเรียนถอดหมวกออกแล้วก้มศีรษะเคารพนักเรียน เพื่อนครูคนหนึ่งถามว่า “ทำไมท่านก้มหัวให้เด็กโง่ๆ เหล่านี้”
ครูจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าก้มหัวให้นักปราชญ์ในอนาคตของประเทศเยอรมนีต่างหาก”
มาร์ตินยังคงร้องเพลงเพื่อแลกอาหารต่อไป เขาชอบร้องเพลงมาก คว้าถุงมือมาสวมแล้วไปกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน


เย็นวันหนึ่งเมื่อมาร์ตินกับเพื่อนไปร้องเพลงตามบ้านต่างๆ ก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในถนนเซนต์ยอร์ชซึ่งเป็นถนนที่มีบ้านผู้ดีหลายหลัง เด็กๆ ชอบพากันมีที่บ้านนี้ เพราะนายคันซิค๊อตตากับภรรยาเคยให้ขนมปัง ไส้กรอกและเนยแข็งต่อเด็กทุกๆ คนเสมอ วันนี้เมื่อร้องเพลงจบแล้วมาร์ตินก็ยิ้มให้หญิงอ้วนท่าทางร่าเริงผู้หนึ่ง เธอก็ยิ้มตอบพลางถามว่า “พ่อหนุ่ม เธอชื่ออะไร ?”
มาร์ติน “ประทานโทษ ผมชื่อมาร์ติน ลูเธอร์ครับ”
เจ้าของบ้านก็พูดว่า “เข้ามาซิ ทั้งหมดนั่นแหละเข้ามาผิงไฟในบ้านเถอะ”
เด็กๆ เดินเข้าไปอย่างเลียบๆ เห็นเตาไฟสีเขียวคงมีไฟติดอยู่ ได้ กลิ่นเนื้อย่างและขนมปังภายในห้องนั้น ก่อนที่พวกเด็ก ๆ จะลากลับไป นางค๊อตตาได้สนทนากับมาร์ติน เธอทราบจากเพื่อนๆ ของมาร์ตินว่าครูชมเชยเขามาก นางก็เชิญให้มาที่บ้านนางอีก ต่อมาไม่นานนักมาร์ตินก็ได้รับเชิญให้มาพักอยู่กับครอบครัวของค๊อตตา


ตั้งแต่นั้นมาร์ตินก็ค่อยมีความสุขขึ้นในชีวิต นางค๊อตตาคอยเอาใจใส่ให้เขามีเสื้อผ้าที่อบอุ่น มีอาหารเพียงพอบำรุงร่างกาย และมีการเล่นสนุกสนานกับพวกเพื่อนๆ ด้วยการเอาใจใส่ของครูที่แท้จริง การเล่าเรียนของมาร์ตินก็ก้าวหน้าขึ้นโดยรวดเร็ว เขาดีอกดีใจมากที่มีโอกาสได้เล่าเรียน การเรียนก็ดีกว่าเด็กอื่น ครูทรีโบนีอัสก็ยกย่องชมเชยเขามาก
ในไม่ช้ามาร์ตินก็มีเพื่อนหลายคน เขาร่าเริงและสดใส ทั้งยังมีความคิดและความขยันขันแข็งในการศึกษาเล่าเรียนมากขึ้นด้วย เขากับเพื่อนพากันไปชมปราสาทวอทเบิร์ก เที่ยวตกปลาตามลำธารเล่น กีฬาตามถนนหนทาง และร้องเพลงเสมอ เดี๋ยวนี้เขาร้องพลงได้ดีคนหนึ่งในคณะร้องเพลงประจำโบสถ์ ตอนกลางคืนเขาก็สอนเพลงที่เขาจำได้ให้แก่ เฮนรี่ ค๊อตตา บุตรชายของเจ้าของบ้าน

มาร์ตินอยู่ในเมืองไอเซ็นนัช 4 ปี ต่อจากนั้นเขาต้องไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในตัวเมืองเออเฟิดท์ เขาเสียใจที่ต้องจากไป และเลยกล่าวแก่นางค๊อตตาว่า
“เมืองไอเซ็นนัชเป็นเมืองที่ผมชอบมาก ถ้าผมมีอายุถึงร้อยปีก็คงจะชอบอยู่ตามเดิม”

.........................................................................

ศึกษาในมหาวิทยาลัย

มาร์ตินอายุได้ 18 ปีตอนที่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเมืองเออเฟิดท์ พ่อของเขาภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสส่งลูกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เตาถลุงแร่ทำรายได้ให้แก่เขามาก และเขามีความปรารถนาที่จะให้ลูกชายหัวปีเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียง มาร์ตินอาจไม่มีเงินมากมายสำหรับไปใช้จ่ายในมหาวิทยาลัย แต่ก็มีพอที่จะทำให้เขามีความสุขได้
มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ใหม่สำหรับมาร์ติน ดังนั้นตอนแรกจึงรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจ เพราะยังไม่ใคร่รู้จักนักเรียนอื่นๆ เขานอนพักที่หอพักเซนต์ยอร์ช และได้รู้จักกับนักเรียนที่มาจากตูรินเกียบางคน


มาร์ตินเป็นคนเตี้ย ล่ำ มีตาเป็นประกาย แต่งตัวสวยงามเหมือนนักเรียนอื่นๆ เขานำเอาดาบมาฝึกวิธีฟันดาบด้วย หมวกของเขาติดขนนกงามๆ เขาชอบร้องเพลงเสียงดัง และได้ซื้อพิณมาดีดเล่นเวลาร้องเพลง พวกเพื่อนๆ พากันมาร้องเพลงเล่นดนตรีและคุยกันอยู่เสมอ
มาร์ตินใสใจวิชาที่เรียนอยู่มาก พวกอาจารย์ก็รู้ดีว่าไม่มีนักเรียนใดจะโต้แยงกับความเชี่ยวชาญ และความสามารถของมาร์ติน ลูเธอร์ได้เลย ในปีแรกนี้เขาศึกษาหนักไปทางวรรณคดีโรมันและวิชาปรัชญา


วันหนึ่งมาร์ตินและเพื่อนได้เดินไปเที่ยวเล่นในป่าใกล้ปราสาทวอทเบิร์ก เขาร้องเพลงไปพลางรำดาบไปพลาง เผอิญมาร์ตินสะดุดและล้มลงทำให้มีดดาบแทงถูกที่เท้า เข้ารู้สึกเจ็บปวดเป็นกำลัง พวกเพื่อนจึงช่วยกันพยุงเขาขึ้นเกวียน พากลับเข้ามาในเมือง นายแพทย์ได้ทำแผลให้ เท้าของเขาบวมมาก และเจ็บจนเกือบจะสิ้นชีวิต
ในขณะที่เป็นไข้นอนครางอยู่ เขาลืมตาขึ้นก็แลเห็นบาทหลวงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้เขา ท่านยิ้มและพูดค่อยๆ ว่า “จงทำใจให้สบายเถิด ลูกเอ๋ย เธอยังไม่ตายเดี๋ยวนี้หรอก เพราะพระเจ้าจะทรงทำให้เธอเป็นใหญ่เป็นโตต่อไปเพื่อจะได้ช่วยคนอื่นๆ ให้มีความสุข”

หลายวันต่อมาเขาก็หายไข้ ส่วนบาทแผลนั้นหายช้ามาก แล้วเขาก็เริ่มเข้าห้องเรียนตามเดิม แต่ต้องเรียนหนักขึ้นเพราะป่วยไปเสียนาน พอสิ้นปีที่หนึ่งเขาก็ได้รับปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิต

มาร์ตินเริ่มศึกษาสูงขึ้นไปจนได้รับปริญญาโททางอักษรศาสตร์ แต่ขนาดเขาสนใจกับการเรียนถึงขั้นนั้นแล้วก็ยังไม่เป็นที่พอใจ แม้จะได้เล่นดนตรีสนทนากับเพื่อฝูง ก็ยังไม่เป็นที่พอใจอยู่นั่นเอง เขาใช้เวลานานๆ อยู่ในห้องสมุดเสมอเพื่อค้นหาหนังสือใหม่ๆ อ่าน
ตอนนี้มาร์ตินได้รู้ถึงคุณค่าของพระคัมภีร์ เพราะเท่าที่แล้วมาพระคัมภีร์ถูกล่ามโซ่ไว้กับที่วางหนังสือ ไม่มีใครใช้เลย แม้นักเรียนทางศาสนาก็ไม่ได้รับการส่งเสริมให้อ่าน คริสตจักรเองก็มิได้ส่งเสริมการอ่านพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ในสมัยนั้นพิมพ์ไว้เป็นภาษาลาตินทั้งสิ้น


มาร์ตินอ่านเรื่องของซามูเอลจนจบ เขารู้สึกตื่นเต้นและเพลิดเพลินจนแม้ระฆังเช้าเรียนตีแล้ว เขาก็ยังอ่านพระคัมภีร์อยู่ เมื่ออ่านจบแล้วกลับไปนั่งในชั้นเรียนก็ยังคงนึกถึงแต่เรื่องในพระคัมภีร์ เพื่อนๆ ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะตามปรกติแล้วมาร์ตินชอบการถกเถียงปัญหาต่างๆ

เมื่อเลิกเรียนแล้ว เพื่อนคนหนึ่งเดินกลับไปห้องพักพร้อมกับเขาได้เอ่ยถามขึ้นว่า
“มาร์ติน ทำไมแกจึงดูเงียบขรึมเช่นนี้ ไม่เคยเห็นแกเงียบและประหลาดเช่นนี้เลย”
มาร์ตินลืมตาโพลงและยิ้มตอบว่า “ไม่ใช่จะแกล้งนิ่งเงียบดอก วันนี้กันพบพระคัมภร์ ได้อ่านเรื่องซามูเอลและฮันนามารดาของเขา แกก็รู้แล้วว่าทุกวันนี้กันไปที่โบสถ์อ่านหนังสือคำเทศน์ แต่ไม่มีใครสอนพระคัมภีร์ในโบสถ์ กันปรารถนาที่จะมีพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวสักหนึ่งเล่ม”

หลังจากรับปริญญาตรีแล้ว อีก 2 ปีต่อมาเขาก็ได้รับปริญญาโท ในขณะที่เขายืนสวมเสื้อครุยปริญญาโทอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาระลึกถึงมหาวิทยาลัยและระลึกถึงเมื่อครั้งยังเป็นเด็กอยู่ ยังคงจำได้ว่าพ่อของเขาเมื่อกลับจากเหมืองแร่หรือเตาถลุงเหล็กต้องมาล้างหน้าเพื่อจะให้ฝุ่นถ่านหินออกจนหมด เหตุการณ์เหล่านี้ดูเหมือนกับเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ย้อนระลึกไปถึงภาพที่มารดาแบกฟืนจนหลังโกง รวมทั้งภาพนางค๊อตตาและบ้านอันแสนสุขสบายของเธอ ผู้เป็นเสมือนแม่คนที่สองของเขา บัดนี้ตัวเขาซึ่งเป็นลูกกรรมกรเหมืองแร่ที่ยากจน กำลังมายืนรับเกียรติจากบรรดาศาสตราจารย์ทั้งหลาย


พิธีประสาทปริญญาวันนั้น เขาจัดเป็นขบวนคือพวกอาจารย์เดินหน้านักเรียนตามหลัง นักเรียนต่างก็ร้องเพลงและหัวเราะกันตลอดเวลา นักเรียนทั้งหมดรวมทั้งมาร์ตินพากันเดินไปตามถนนต่างๆ ทั่วเมือง พ่อค้าแม่ค้าต่างโบกมือแสดงความยินดีด้วย เด็กๆ เดินตามขบวนไปพลางกระโดดและตะโกนร้องเรียกกันไปพลาง พวกสาวใช้ใช้ผ้าห่มขนนกโบกแสดงความยินดีทางหน้าต่าง

เนื่องจากเขาได้รับปริญญาโททางอักษรศาสตร์แล้ว เขาก็มีสิทธิ์ที่จะสอน ทางมหาวิทยาลัยจึงมอบตำแหน่งครูให้แก่เขา ในขณะเดียวกันก็ศึกษาวิชากฎหมายไปด้วย เพราะความประสงค์ของพ่อต้องการให้เขาเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียง
พ่อของเขามีความภาคภูมิใจในลูกชายคนนี้มาก เมือพบที่ใดก็ยกย่องเสมอ

.......................................................................

รักษาคำมั่นสัญญา

ต้นฤดูใบไม้ผลิตปี 1505 เกิดกาฬโรคขึ้นที่เมืองเออเฟิดท์ ตามห้องเรียนที่มหาวิทยาลัยมีนักเรียนเหลือเพียงครึ่งห้อง เมื่อมาร์ตินเดินไปทางถนนสายต่างๆ ก็เห็นแต่รูปกางเขนดำขีดไว้ตามประตูบ้านเป็นแถว และพวกเกวียนบรรทุกศพไปสู่สุสาน เพื่อนสนิทของมาร์ตินคนหนึ่งได้ตายไปก่อนหน้าจะรับปริญญา มาร์ตินรู้สึกหวาดกลัวและนอนไม่หลับเหมือนคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเสียงระฆังกังวานบอกให้รู้ว่ามีคนตายอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามมาร์ตินก็มิได้อพยพออกนอกเมืองเหมือนคนอื่น

พอถึงเดือนกรกฎาคมกาฬโรคก็ค่อยสงบลง มาร์ตินอยากไปตากอากาศตามบ้านนอกเพื่อไปเยี่ยมบ้านเดิม จึงตกลงใจที่จะเดินทางไปยังแมนส์เฟลด์สัก 2-3 วัน ในขณะที่เขาเดินทางอยู่นั้นก็ระลึกไปถึงเมื่อครั้งเดินทางไปเมืองแมกดิเบิร์กครั้งแรก จำได้ถึงความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นคนและบ้านเมืองใหญ่ๆ บัดนี้เขาเป็นมหาบัณฑิตขึ้นแล้ว อีกไม่ช้าก็จะได้เป็นนักกฎหมายสมใจพ่อ

บ้านเดิมที่แมนส์เฟลด์ดูเล็กลงและโทรมยิ่งกว่าเดิม ครอบครัวต้อนรับเขาอย่างสมเกียรติ พ่อและแม่ได้โค้งคำนับเขาราวกับเขาเป็นคนใหญ่โตเสียแล้ว มาร์ตินจึงหยิบพิณออกมาเล่นเพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นกันเอง ให้ทุกคนร่วมร้องเพลงด้วย โดยมากเป็นเพลงเมื่อครั้งเป็นเด็กนักเรียน เพื่อให้แม่ชอบใจ เขาร้องเพลงต่างๆ ที่ยังจำได้ว่าเคยร้องเพื่อแลกกับอาหารเมื่อสมัยเป็นเด็กนักเรียน


ตอนเดินทางกลับเออเฟิดท์ มาร์ตินรู้สึกเบิกบานใจเพราะได้ร่วมเดินทางมากับบาทหลวง ซึ่งเคยเดินธุดงค์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง ท่านเล่าถึงขีวิตของท่านให้มาร์ตินฟัง ครั้นแล้วก็ได้ร่วมเดินทางกับผู้เดินทางอื่นๆ อีก 3 คนที่กลับจากกรุงโรม มาร์ตินได้ฟังเรื่องที่เขาเล่ากันว่าได้ไปดูกระดูกของพวกนักบุญต่างๆ

คนหนึ่งพูดว่า “ผมได้ไปจับกระดูกของนักบุญแอนโตนี” “ส่วนผมก็ได้ไปดูผ้าคลุมหน้าของนักบุญเวรอนิกา”
อีกคนหนึ่งพูดว่า “ผมได้เห็นกิ่งไม้ที่บังเกิดไฟลุกของโมเสส”
เมื่อคนทั้ง 3 แยกทางไปแล้ว มาร์ตินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย เขากลัวจะได้รับโทษชั่วนิรันดร์ กาฬโรคทำให้เขาสำนึกถึงความตายและมลทินในความผิดบาป ถ้าเขาเป็นกาฬโรคบ้างเขาคงจะไม่ตายหรอก เพราะมีบาปมากต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกนาน พุดตามความจริงแล้วขาไม่อยากเป็นนักกฎหมายเลย เมื่อเขาไปโบสถ์ได้ฟังดนตรีไพเราะก็รู้สึกเป็นสุข เขาอยากจะมีพระคัมภีร์เป็นของส่วนตัวเหลือเกิน คิดว่าของขวัญที่พ่อให้เมื่อได้รับปริญญาควรจะเป็นพระคัมภีร์สักเล่มหนึ่งดีกว่าที่จะเป็นหนังสือกฎหมาย 1 ชุดที่มีราคาแพงมาก


ขณะที่มาร์ตินเดินมาใกล้หมู่บ้านสะทอตเตินไฮม์ก็เห็นเมฆดำมืด ตั้งเค้ามาทางขอบฟ้า มีพายุฝนฟ้าคะนอง เขารู้สึกกลัวเป็นกำลัง ดูโลกนี้น่ากลัวยิ่งนักเมฆลอยมาใกล้ ฟ้าก็แลบและร้องคำราม เมฆก็กำลังลอยมาทางทิศที่มาร์ตินยืนอยู่

ฟ้าได้ผ่าลงมาเปรี้ยงเหมือนกับพิโรธ มาร์ตินล้มคว่ำลง แน่นอนละในเวลาเช่นนี้พวกนักบุญเท่านั้นที่จะช่วยเขาให้รอดได้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นและร้องว่า
“ท่านนักบุญแอนโตนีโปรดช่วยผมเถิด ผมจะไปเข้าเป็นบาทหลวงด้วยทันที”
แล้วก็มีฟ้าผ่าลงมาใกล้ๆ ตัวเขาอีกครั้งหนึ่ง ฝนก็ตกลงมาเหมือนม่านตะกั่ว มาร์ตินลุกขึ้นยืนอยู่นิ่งๆ มองไปรอบตัวหารู้ไม่ว่าฝนตกหนักและมีลูกเห็บตกด้วย เขากดหมวกให้แน่นกับศีรษะและยืนตากฝนอยู่ต่อไป ทันใดนั้นฝนและลูกเห็บก็หยุดทันที แล้วมีรุ้งปรากฎบนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้าน สักครู่หนึ่งก็มีแสงแดดส่องสว่างลงมายังพื้นดินทียังเปียกอยู่

มาร์ตินเดินไปอย่างช้าๆ มุ่งตรงไปยังเมืองเออเฟิดท์ เมื่อเข้าในเมืองก็ยิ้มและโบกมือให้เพื่อนๆ ก็ร้องต้อนรับในการที่เขากลับมาอีก นับตั่งแต่เขาสัญญาว่าจะเป็นบาทหลวงต่อนักบุญแอนโตนี ก็ดูเหมือนว่าเมืองนี้ดูแปลกไปจากเดิมสำหรับเขา

ต่อมาอีก 2-3 วัน เมื่อเขาระลึกถึงคำปฏิญาณนี้ เขาได้ปรึกษากับครูของเขา ทั้งเชิญเพื่อนสนิทมาที่ห้องเพื่อสนุกสนานรื่นเริงกันตามสมควร แล้วเมื่อตอนจะเลิกและลาจากกันไป มาร์ตินก็ประกาศกับพวกเพือนว่าเขาได้ตัดสินใจว่าจะบวชเป็นบาทหลวง พวกเพื่อนจึงตะโกนว่า “มาร์ติน แกพูดเป็นเล่นไปได้ เป็นไปไม่ได้ที่แกจะไปเป็นบาทหลวง”
“กันเลือกแล้วว่าจะต้องเข้าวัดแน่” พวกเพื่อนต่างก็ตั้งปัญหาถกเถียงกันเป็นการใหญ่ว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่คนซึ่งมีอนาคตอันแจ่มใส จะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างไปเข้าวัดเป็นบาทหลวง

การเข้าก็คือการสละทางโลก วัดมีสภาพเป็นหมู่คณะของตนเองต่างหาก จากชุมนุมชนอื่นๆ หลายวัดมีสภาพพร่ำรวยมากเพราะเจ้าอธิการและสังฆราชเก็บภาษีอากรสูง จากชาวนาที่อาศัยทำมาหากินอยู่ในที่ของวัด เงินทองเหล่านี้ก็ตกอยู่แก่เจ้าอธิการสังฆราชและคริสตจักร สังฆราชเหล่านี้อาศัยอยู่ในกุฎฎิที่ทำด้วยหิน บ้างก็ทำมิซา บ้างก็ทำงานและศึกษาเล่าเรียน นอกจากนั้นยังออกไปตามเมืองต่างๆ เพื่อช่วยคนเจ็บป่วย แต่ส่วนมากใช้เวลาเหล่านี้ อดอาหารและอธิษฐานบนพื้นหินที่เย็นเพื่อขอยกโทษความผิดบาปของเขา


มาร์ตินต้องการที่จะรักษาคำปฎิญาณที่ให้ไว้ต่อนักบุญแอนโตนี จึงเขียนจดหมายไปถึงบิดาบอกเรื่องที่ตนจะเข้าวัด ก็ได้รับคำตอบจากบิดาที่แสดงว่า โกรธเคืองและไม่ยอมยกโทษให้เลย เพราะบิดาหวังไว้ว่าการที่ส่งเขาไปศึกษาสิ้นเปลืองเงินทองมากนั้น ก็เพื่อจะไห้เขาเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงสำหรับตระกูล แต่บัดนี้ลูกชายกลับละทิ้งอนาคตอันดีเสียเพื่อเข้าเป็นบาทหลวง ข่าวนี้จึงเป็นที่เศร้าโศกและขมขื่นแก่มากาเร็ตและแฮนส์มาก แต่ก็ไม่รู้ที่จะว่าอย่างไร เพราะมาร์ตินก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ

ในการที่จะเข้าเป็นบาทหลวงนั้น มาร์ตินจะต้องเข้าเป็นสามเณรเสียก่อน 1 ปี ตลอดเวลา 1 ปีนี้จะต้องไปอธิษฐานวันละ 7 ครั้ง ต้องตื่นตามเวลาที่เคาะระฆังตั่งแต่สองนาฬิกาตอนเช้าทุกวัน พอระฆังตีครั้งที่สองจะต้องแต่งกายสวมเสื้อคลุมขาวไปยังโบสถ์ พวกบาทหลวงจะประพรมน้ำมนต์แล้ว คุกเข่าลงอธิษฐาน เขาร่วมร้องเพลงกับหมู่คณะในโบสถ์ ถึงสิ้นปี มาร์ตินจึงได้รับการอุปสมบทเป็นบาดหลวงในวันนักบุญออกัสตินที่เมื่องเออเฟิดท์ แล้วเขาก็เริ่มศึกษาเพื่อที่จะเป็นหัวหน้าบาทหลวง เพื่อจะได้ทำพิธีมิซซาต่อไป

โอกาสที่จะเป็นผู้ทำพิธีมิซซาเป็นโอกาสสำคัญ เขาจึงเชิญพ่อมาด้วย เพราะมิได้เขียนจดหมายส่งข่าวมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว เมื่อพ่อเขียนแจ้งมาว่าจะมา มาร์ตินจึงดีใจมาก


เดี๋ยวนี้ แฮนส์ ลูเธอร์ กลายเป็นบุคคลสำคัญยิ่งขึ้นในหมู่บ้านของเขา เตาถลุงเหล็กของเขาก็มีรายได้ดีขึ้น เขากับพวกอีก 20 คนจึงขึ้นม้ามายังเออเฟิดท์อย่างสง่าผ่าเผยเหมือนคนมีอันจะกินบริบูรณ์ดีคนหนึ่งทีเดียว เมื่อมาถึงเรียบร้อยแล้วเขาก็นำเงินมาถวายวัด ภายหลังที่มาร์ตินทำมิซซาเสร็จแล้ว ผู้ที่มาประชุมทั้งหมดก็นั่งลงเพื่อเตรียมกินเลี้ยงเป็นการฉลอง มาร์ตินนั่งใกล้พ่อโดยหวังว่าจะได้รับคำอภัยโทษจากพ่อ มาร์ตินจึงพูดกับพ่อว่า “พ่อครับ ทำไมพ่อจึงไม่เต็มใจให้ผมเป็นบาทหลวง การมีชีวิตเป็นบาทหลวงนั้นสงบและใกล้ชิดพระเจ้ามาก” บิดาผู้ชรานั้นหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความโกรธ สะบัดหน้าหันไปทางอื่นโดยแรง ทิ้งขนมปังและก้อนเนื้อที่อยู่ในมือทันที และได้กล่าวถ้อยคำรุนแรงต่อหน้าบาทหลวงและนักปราชญ์ทั้งหลายที่มาประชุมอยู่ที่นั้นว่า
“เจ้านักปราชญ์เอ๋ย เจ้ามิได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่า เจ้าเป็นลูกจะต้องให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า แต่ที่เจ้ามาทอดทิ้งตัวเราและแม่ของเจ้าให้เลี้ยงตนเองในเวลาแก่เฒ่าสมควรแล้ว กระนั้นหรือ”


เมื่อพ่อกลับไปแล้วมาร์ตินก็กลับไปทำงานและอธิษฐาน งานของเขาไม่ใช่งานสบายนัก เขาจะต้องขัดพื้น กวาดพื้น ต้องไปเที่ยวขออาหารและเลี้ยงดูคนเจ็บป่วย ต้องทำงานที่ไม่ใคร่จะมีคนพอใจทำภายในวัดนั้น บาทหลวงอื่นคิดว่า มาร์ตินคงจะอวดหยิ่งถือตัวว่าเป็นคนมีความรู้สูง ฉะนั้นจึงต้องการจะดัดนิสัยจึงมอบให้ทำงานที่ต่ำเช่นนั้น แต่มาร์ตินทำให้พวกเหล่านั้นแปลกใจมากเพราะไม่ว่าเป็นงานอะไรเขาเต็มใจทำทุกอย่าง เขาทำพิธีอดอาหารหลายวันและอธิษฐานมากขึ้น

ในขณะที่เขาเอาถุงอาหารแบกขึ้นบ่าเดินไป ก็ทำให้เขาระลึกไปถึงเจ้าชายแอนแฮลท์ ที่เขาเห็นเมื่อสมัยเขายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ที่เมืองแมกดิเบิร์ก เขาจึงมานึกถึงตัวเองว่าบางทีจะต้องตายเมื่ออายุยังน้อย ในเวลากลางคืนเขานอนอยู่บนพื้นหินของโบสถ์กางมือเหยียดออกเป็นรูปไม้กางเขน บางทีนอนอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานจนไม่รู้สึกตัว ต้องมีผู้มาช่วยอุ้มไปยังห้องนอน

เขาเริ่มศึกษาพระคัมภีร์อย่างหนักมีพระคัมภีร์เล่มใหญ่วางอยู่ในห้องรับประทานอาหาร เพื่อบาทหลวงคนหนึ่งจะได้อ่านขณะที่คนอื่นรับประทานอยู่มาร์ติน ยืนอ่านพระคัมภีร์อยู่เป็นเวลานานๆ จนพวกบาทหลวงอื่นๆ มอบพระคัมภีร์เย็บปกหนังสีแดงให้เล่มหนึ่ง ในชีวิตของเขาไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาพอใจเท่าพระคัมภีร์


เขาพอใจในชีวิตและความเชื่อของท่านเปาโลเป็นพิเศษ เขาอ่านข้อความที่ว่า “ผู้รักธรรมดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความเชื่อ” ซ้ำบ่อยๆ เขารู้สึกว่าพระเยซูเต็มไปด้วยความกรุณา และเชื่อยิ่งขึ้นว่าความเขื่อในพระเยซูจะได้รับการยกโทษแห่งความผิดบาป มาร์ตินอยู่ที่วัดนี้ได้ 3 ปี ดร.สโตปิต อธิการใหญ่แห่งสำนักบาทหลวงออกัสตินเนียนมาที่เออเฟิดท์ เมื่อได้สนทนากับมาร์ติน ดร.สโตปิตรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่ามาร์ตินมีความรู้ในพระคัมภีร์มาก และยิ่งฉงนใจมากที่เห็นว่าบาทหลวงผู้ผอมซีดนี้มีความรู้สูงยิ่ง ดร.สโตปิตจึงขอร้องเจ้าอธิการผู้ดูแลวัดนั้นตักเตือนให้บาทหลวงมาร์ตินเอาใจใส่ ในเรื่องสุขภาพให้มาก

ต่อมาเมื่อ ดร.สโตปิตมาเยี่ยมเมืองเออเฟิดท์เป็นครั้งที่สอง ก็ได้ขอร้องให้มาร์ตินไปช่วยทำการสอนที่วิทยาลัยใหม่ที่เมื่องวิตเต็นเบิร์ก บาทหลวงอื่นๆ ต่างมองดูหน้ากันเพราะรู้สึกเห็นด้วยว่า บุคคลที่อ่านพระคัมภีร์และศึกษามากๆ ไม่ควรจะมาอยู่ในวัดเช่นนี้ ควรจะไปอยู่ประจำวิทยาลัย


..........................................................................

เดินทางไปกรุงโรม

ก่อนหน้าที่มาร์ตินจะไปสอนยังเมืองวิตเตนเบิร์ก ดร.สโตปิตได้ให้เขาและบาทหลวงอีกคนหนึ่งถือสาส์นไปถวายสันตะปาปาที่กรุงโรม
มาร์ตินและสหายได้ออกเดินทางด้วยเท้ามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ หนทางไกลก็จริง แต่บาทหลวงทั่งสองนี้เคยชินต่อการเดินทางมาแล้ว ทั้งสองมีความกระหายที่จะเห็นกรุงโรมซึ่งเป็นอาณาจักรสงฆ์ในสมัยนั้น เขาพากันเดินทางไปทางทิศใต้ของประเทศเยอรมนีและต้องปีนป่ายภูเขาในแคว้นบาวาเรียนด้วย ได้ข้ามช่องแคบระหว่างเขาไตโรลีน ผ่านทะเลสาบโคโมที่งดงามและผ่านตลอดประเทศอิตาลี มาร์ตินและสหายไม่มีเงินติดตัวเลยเพราะไม่มีความจำเป็นอะไร เวลากลางคืนก็พักนอนตามวัดต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทาง รุ่งขึ้นเช้าบาทหลวงเจ้าของวัดก็จัดหาอาหารให้

ประเทศอิตาลีนั้นผิดแผกแตกต่างกับประเทศเยอรมนีมาก จริงอยู่ทั้งสองประเทศแบ่งแยกออกเป็นอาณาจักรน้อยๆ หลายอาณาจักรเหมือนกัน แต่พลเมืองของทั้งสองประเทศมีรัฐอิสระและเมืองเล็กเมืองน้อยที่ปกครองโดยเท้าพระยาและเจ้านายและต่างก็ไม่มีการปกครองเป็นรัฐเดียวเช่นประเทศฝรั่งเศส สเปนและอังกฤษในประเทศอิตาลีเมืองฟลอเร็นซ์ เวนิส มิลานและเนเปิลมีเจ้าผู้ครองเมืองซึ่งมัก จะรบพุ่งกันเองเสมอ กรุงโรมเป็นเมืองที่มีสันตะปาปาปกครอง นอกจากจะเป็นใหญ่ทางศาสนาแล้ว ยังมีกำลังกองทัพอีกด้วย

มาร์ตินรู้สึกทันทีว่าอิตาลีแตกต่างกับเยอรมนีมาก และยากที่จะเข้าใจกันได้ ในเยอรมนีผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ทุกคนเคร่งศาสนาและดำเนินชีวิตอย่างง่ายๆ แต่ในประเทศอิตาลีคนกลับเยาะเย้ยความเชื่อเคร่งครัด และหัวเราะเยาะสิ่งซึ่งเป็นที่เคารพในศาสนา บาทหลวงหนุ่มชาวเหนือได้จ้องดูหมาวิหารใหญ่ในกรุงมิลาน ซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่ในเวลานั้นด้วยความประหลาดใจ เข้าไปดูภาพ “การเลี้ยงอาหารครั้งสุดท้าย” ที่เขียนไว้บนเพดาน และฝาผนังโดยลีโอนาโด ดาวินชี ณ โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชานเมือง


ออกจากเมืองมิลานแล้วก็ได้ข้ามภูเขาทัสส์แกนเดินมุ่งไปทางภาคใต้ จนถึงเมืองฟรอเร็นซ์ ได้ไปชมวังของเจ้าตระกูลเมดิซี แกะสลักเป็นรูปดอกพลับพลึงและสิงห์โตซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งนครใหญ่ นอกจากนี้ยังได้ไปยังลานจตุรัสที่ซึ่งบาทหลวงซาโอนาโรลา ได้ถูกมัดติดกับเสาเผาไฟทั้งเป็น ด้วยเหตุที่ไม่ยอมเชื่อฟังสันตะปาปา
ต่อจากนั้นก็ตรงไปยังกรุงโรม ตามทางเดินมีคนมากขึ้น บ้างก็เดิน บ้างก็ขี่ม้า บ้างก็ใช้ไม้เท้ายันเดินกะโผลกกะเผลกไป พอเห็นกรุงโรมแต่ไกลๆ ก็คุกเข่าลงกับถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น มาร์ตินชูแขนทั้งสองตะโกนว่า “ไชโยกรุงโรม”

บาทหลวงทั้งสองก็ตรงไปยังวังวาติกันซึ่งเป็นที่อยู่ของสันตะปาปา มาร์ตินได้นำเอาสาส์นไปมอบแก่เลขานุการของสันตะปาปา แล้วก็ออกไปเที่ยวเดินดูบ้านเมืองต่อไป เขาไม่ได้ไปชมวังใหญ่ๆ หรืออาคารสาธารณะที่มีรูปเขียนและรูปปั้นประดับ ทั้งมิได้ไปดูโบราณสถานที่สลักหักพังในสมัยโรมันเลย แต่เขาไปตามโบสถ์ต่างๆ เพื่อจะอธิษฐาน

เมื่ออยู่ในประเทศเยอรมนี มาร์ติน คิดว่าโรมเป็นอาณาจักรสงฆ์ที่สะอาดบริสุทธิ์สมกับที่จะเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อได้เดินท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ตามถนนที่สกปรกในโรม เขาอดที่จะเป็นความแตกต่างระหว่างความฝุ่มเฟือยไม่ได้ ไปที่ไหนก็มีคนโลภและก่ออาชญากรรม เดินผ่านเจ้าพนักงานของโบสถ์ต่างๆ ที่แต่งกายสวมเสื้อคลุมกำยะหยี่ มีองครักษ์ถืออาวุธติดตามเสมอ พวกเหล่านี้เป็นพวกรับจ้างฆ่าคน เขาเดินไปตามถนนต่างๆ เมื่อไปทางทิศไหนก็ได้ยินแต่ข่าวฆ่ากันและวางยาพิษกัน มาร์ตินรู้สึกสลดใจที่เห็นว่ากรุงโรมนี้ไม่มีความบริสุทธิ์เอาเสียเลย เขาคิดในใจว่าบางทีอาจจะเป็นเมืองที่ชั่วร้ายที่สุดในยุโรปก็เป็นได้


มีมุมถนนแห่งหนึ่งมีบาทหลวงผู้หนึ่งเอากระดูกมาขายประชาชน โดยบอกว่าเป็นกระดูกของนักบุญต่างๆ ในโบสถ์ มาร์ตินรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินบาทหลวงทำพิธีมิซซา โดยกล่าวเร็วจนทำให้คนฟังไม่มีความรู้สึกเคารพอะไรเลย เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของสันตะปาปา ยิ่งทำให้มาร์ตินไม่สบายใจมากขึ้น บาทหลวงที่เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฟังถึงกับยักไหล่แล้วพูดว่า “มันเป็นเรื่องเลวน่าบัดสีมาก แต่สันตะปาปาผู้มีอำนาจทุกอย่างเขาจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบ”

มาร์ตินได้ขึ้นไปบนบันไดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งซึ่งเลื่องลือกันว่า พระเยซูได้ใช้สำหรับก้าวเดินขั้นไปสู่ไม้กางเขน คนที่จะขึ้นบันไดนี้จะต้องคลานขึ้นไปและต้องจูบและอธิษฐานทุกๆ ขั้นบันได มาร์ตินก็ทำตาม เชื่อว่าการทำเช่นนี้จะช่วยให้ปู่ที่ตายไปแล้วพ้นจากการทรมานในเมืองนรก มาร์ตินก็เชื่อเหมือนกับชาวคาธอลิคอื่นๆ ว่าวิญญาณจะต้องไปสู่ที่ทรมานเสียก่อนชั่วขณะหนึ่งจึงจะไปสวรรค์

เมื่อมาร์ตินไปถึงยอดของบันไดแล้วก็ยืนขึ้น และเกิดความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสงสัย ทันใดนั้นก็พูดด้วยเสียงอันดังว่า “จะเป็นจริงตามที่เชื่อกันหรือ ?” ทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ประหลาดใจมาก

เมื่อมาร์ตินและสหายกลับประเทศเยอรมนีแล้ว เขาก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจหลายอย่าง เขาไม่เชื่อว่าคนเราจะช่วยตัวเองให้รอดได้โดยวิธีเหล่านี้เลย เขาเชื่อว่าด้วยการมีความเชื่อในองค์พระคริสต์ และโดยการศึกษาพระดำรัสของพระเจ้าตามที่ปรากฎในพระคัมภีร์เท่านั้นแหละจึงจะพบความรอดได้
หลังจากกลับจากกรุงโรมแล้ว มาร์ตินก็ออกจากวัดที่เมืองเออเฟิดท์แล้วย้ายไปยังเมืองวิตเตนเบิร์ก ตามที่ ดร.สโตปิต จัดแจงไว้แล้ว เมืองนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนภูเขาทรายสีขาวใกล้กับฝั่งแม่น้ำเอลป์ที่ไหลช้าๆ มหาวิทยาลัยแห่งนี้แม้จะไม่เก่าและสำคัญเท่ากับมหาวิทยาลัยเออเฟิดท์ก็จริง แต่อยู่ใต้ความคุ้มกันของเจ้าเฟรดเดอริค ผู้ฉลาด เจ้าผู้ครองนครแซกโซนี

เจ้าเฟรดเดอริกได้เก็บวัตถุสำคัญทางศาสนาไว้ที่โบสถ์เมืองวิตเตนเบิร์กเป็นจำนวนมาก เมื่อใครเสียเงินแล้วก็อาจได้ลดหย่อนโทษที่ทางฝ่ายวัดจะกระทำแก่ผู้นั้นสำหรับความผิดบาปของเขาได้ และอาจลดโทษในเมืองนรกได้ด้วยหรือไม่ก็อาจเข้าดูฟันของนักบุญเยอโรม เส้นผมที่เก็บเอามาจากศีรษะของพระนางมาเรียน ผ้าห่มของเธอ หญ้าประมาณหนึ่งกำมือที่เก็บเอามาจากรางหญ้าของพระเยซู นอกนั้นก็ยังมีวัตถุในทางศาสนาต่างๆ อีกมากมาย วัตถุเหล่านี้คือ หญ้า ผ้า เส้นผม ฟัน เก็บไว้ ในกล่องทองคำและเงิน สิ่งที่มีค่ายิ่งก็คือ หนามที่เก็บเอาจากมงกุฎหนาม ที่ใช้สวมศีรษะพระเยซู

เงินที่เก็บได้จากผู้ที่มาดูวัตถุสำคัญเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้จ่ายในมหาวิทยาลัยที่มาร์ตินสอน มาร์ตินเองได้กล่าวประณามการแสดงวัตถุเหล่านี้อย่างยิ่ง ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ ทางวัดยอมให้มีการขายเศษกระดาษชนิดหนึ่งเรียกว่า ใบอนุญาตพิเศษ เป็นหนังสือมีลายเซ็นของสันตะปาปา อนุญาตให้ไม่ต้องปฏิบัติการทรมานตนเอง เพื่อลบล้างความผิดบาปที่ทางวันสั่งให้ทำ ใครมีเงินก็อาจซื้อการล้างบาปของตนเสียได้ และสามารถที่จะซื้อการล้างบาปให้แก่ญาติพี่น้องที่ตายไปนานๆ แล้วได้

มาร์ติน ลูเธอร์ กับบาทหลวงอื่นๆ ที่สอนในมหาวิทยาลัย อาศัยอยู่ในตึกหินใหญ่เรียกว่ากุฏิดำ
เขามีหน้าที่สอนพระคัมภีร์และปรัชญา ในเวลาที่ไม่ได้สอน เขาก็ศึกษาด้วยตนเองในห้องของเขา หรือมิฉะนั้นก็ไปเดินเล่นในสวนของวัด เขาใช้เวลาส่วนมากในการอธิษฐาน เอาใจใส่ในการกินการนอนน้อยและวิตกอยู่แต่ในความผิดบาปของตนเอง จนร่างกายซีดเซียวซูบผอมขี้ตกใจง่ายและประหม่า



วันหนึ่งขณะที่มาร์ติน ลูเธอร์ นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในสวน ดร.สโตปิตเข้ามานั่งลงใกล้เขา ท่านพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “คุณมาร์ติน ผมอยากให้คุณทำงานใหม่สักอย่างหนึ่งคืองานเทศนา”
มาร์ตินจึงร้องตอบว่า “ทำไมล่ะครับ ผมไม่เคยเทศเลย ผมคงตายแน่ๆ เทียวถ้าจะต้องไปทำ”
แต่ ดร.สโตปิตกล่าวต่อไปว่า “นั่นเป็นการดีแล้วพระเจ้ามีงานไว้มาก สำหรับให้คนฉลาดทำในสวรรค์”
มาร์ตินหัวเราะและตกลงว่าจะลองพยายามทำดู เขาเทศน์ให้พวกบาทหลวงฟังในห้องรับประทานอาหารของวัด ต่อมาก็กลายเป็นนักเทศน์ประจำโบสถ์ปราสาทวิตเตนเบิร์ก ทำให้เขามีหน้าที่เพิ่มขึ้น เมื่อเป็นบาทหลวงประจำแขวงก็ต้องมีหน้าที่ตรวจตราวัดวาอารามต่างๆ และทำงานเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ รับฟังคำสารภาพบาป เยี่ยมคนป่วย ปลอบใจคนที่อยู่ในความทุกข์ ต้องตอบจดหมายจำนวนมาก มาร์ตินเคยพูดว่ามีงานมาก ถ้าใช้เลขานุการสัก 2 คนจึงจะทำหมด

งานหน้าที่ใหม่ทำให้เปลี่ยนนิสัยบาทหลวงผู้เงียบเหงานี้ เขาเริ่มเขียนความคิดเห็นใหม่เพื่อเอาไปเทศนา เขียนความเชื่อมั่นของตนเองแสดงให้ผู้อื่นรู้
เขายิ่งเชื่อตัวเองมากขึ้น ในสิ่งที่เขาสอนและเทศนานับเป็นการย่างเข้าสู่การเป็นผู้นำ


............................................................................

.......................................................................

เรื่องราวชีวะประวัติและประวัติศาสตร์ของท่านลูเธอทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อในอดีต มิได้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ระหว่าง นิกายคาธอลิก กับ นิกายโปรแตสแต้นท์ ในปัจจุบัน ครับ

พระเจ้าอวยพระพรครับ


Create Date : 21 มกราคม 2551
Last Update : 21 มกราคม 2551 15:52:38 น. 15 comments
Counter : 4457 Pageviews.  
 
 
 
 
ดีครับ
 
 

โดย: ธนพล IP: 125.26.183.242 วันที่: 26 มิถุนายน 2551 เวลา:17:06:49 น.  

 
 
 
ดี
 
 

โดย: 031038 IP: 118.172.61.88 วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:12:12:10 น.  

 
 
 
ขอบคุณสำหรับข้อมูล
ขอพระอวยพร
 
 

โดย: note IP: 125.24.42.80 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:36:15 น.  

 
 
 
โดย: f IP: 202.149.24.161 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:34:55 น.
คุณเขียนอย่างนี้ได้อย่างไร....
ถ้าพระเจ้าสถิตย์อยู่กับคุณ คุณคงไม่เขียนเช่นนี้
คุณดูถูกพี่น้องต่างนิกาย คุณก็ดูถูกพระเยซูเจ้าด้วย
 
 

โดย: สันติ IP: 125.24.42.80 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:45:56 น.  

 
 
 
การปฏิรูปศาสนาของลูเธอร์เกิดจากหลายหลายสาเหตุ แต่ที่สำคัญนั้นมี 3 ข้อ
1. ระบบการเงินของสันตปาปา
- ตำแหน่งทางศาสนาสามารถประมูลซื้อขายกันได้
. การขายไปไถ่บาปขูดรีดทรัพย์จากผู้ศรัทธาเพื่อสร้างวิหารเซนต์ปีเตอร์นอกกรุงโรม
2. สภาพความเป็นนักบวช
- นักบวชสั่งสอนผู้คนให้ไม่ยึดติดกับร่างกาย และทรัพย์ แต่นักบวชกลับประพฤติตนตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้สั่งสอน
3. การพิมพ์พระคัมภีร์ใหม่
- ผู้คนสามารถอ่านพระคัมภีร์ได้เนื่องจากการแปลหลายภาษานักนักปราชญ์ นักปฏิรูป ทำให้รู้ว่านักบวชส่วนใหญ่ที่เทศนานั้นมีความรู้ไม่จริง
 
 

โดย: ฟื้นฟูศิลปวิทยาการ [Renaisance] IP: 202.57.153.83 วันที่: 8 ธันวาคม 2551 เวลา:13:55:18 น.  

 
 
 
แฟนผมเป็นโปรแตสแตนท์ครับ
ผมเป็นพุทธ เต๋า
 
 

โดย: kia IP: 124.157.236.139 วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:37:30 น.  

 
 
 
อยากถามว่านิกายโปรแตสแตนท์มีข้อปฏิบัติยังไงบ้างค่ะ
ต้องทำยังไงบ้างหลังจากนับถือ
 
 

โดย: ตุ๊ก IP: 124.157.169.139 วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:7:09:50 น.  

 
 
 
เนื้อหาเหล่านี้มาจากหนังสือที่ชื่อว่า "มาร์ติน ลูเธอร์" เป็นของสำนักพิมพ์สุริยบรรณ(สภาคริสตจักร) ปัจจุบันไม่มีพิมพ์ขายแล้ว หาอ่านได้เฉพาะในห้องสมุดของสถาบันพระคริสตธรรม(เก่ามากกกก)

ขอบคุณเจ้าของบล็อกที่นำมาพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะชนค่ะ
 
 

โดย: Deo Gratias IP: 124.120.34.192 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:3:59:03 น.  

 
 
 
อยากถามบาทหลวงหรือนักเทวศาสตร์ทั้งหลายคราบว่าศาสนาคริสต์ส่งเสริมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างไร? กระผมใครรู้ กรุณาตอบไปที่เมลนี้ด้วยคราบ
samniang999@hotmail.com
จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
 
 

โดย: Sam IP: 202.149.25.241 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:10:20:49 น.  

 
 
 
อันทีจริงคาทอลิคกับโปแตสแตนท์ก็เชื่อในพระเจ้าเหมือนกันเชื่อพระเยซูเหมือนกันไม่เห็นต้องมาทะเลาะกันเลยนะเนี่ย
 
 

โดย: Hanajang IP: 203.144.144.165 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:50:23 น.  

 
 
 
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him
 
 

โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:23:09:04 น.  

 
 
 
ขอบคุณสำหรับสิ่งนี้ที่คุณให้ความรู้กับเราขอพระเจ้าอำนวยพระพรทุกประการกับคุณ
 
 

โดย: อ็อด IP: 111.84.52.190 วันที่: 27 ตุลาคม 2553 เวลา:16:20:15 น.  

 
 
 
ถ้าท่านทั้งหลายได้อ่านพระคัมภีร์ทั้งเก่า-ใหม่ ท่านทั้งหลายจะทราบดีคะว่าความจริงเป็นเช่นไร ถ้าอยากทราบลองอ่านดูสิคะ แต่ต้องใช้เวลาหน่อยนะคะ แต่รับลองคะว่าไม่เวลาเปล่าแน่นอนคะ แล้วทุกสิ่งสรรพในชีวิตท่านทั้งหลายจะดีขึ้นอย่างหาที่เปรียบมิได้ ปล.อ่านภาคใหม่ก่อนนะคะแล้วค่อยอ่านภาคเก่า ท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของโมเลสทั้งนั้นคะ พระเจ้ารักท่านนะคะ พระเจ้าอวยพรคะ
 
 

โดย: ปูน IP: 182.232.26.85 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:1:54:17 น.  

 
 
 
สุดยอด
 
 

โดย: ิิิิbb IP: 125.26.162.34 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:34:12 น.  

 
 
 
คุณ bb และ อ๊อด เป็นคริสต์รึเปล่าคะ แล้วรู้โบสถ์ไหนคะ
ข้าพเจ้าอยู่คริสตจักรความหวังคะ ที่นี่ทำให้ข้าพเจ้าเติบโต
มากทีเดียว จริงๆข้าพเจ้าลองมาเกือบทุกอย่างแล้ว มีอะไรหลายๆอย่างทำให้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีดีมากๆเลยทีเดียว ขอหนุนใจคะ ขอพระคุณของพระคริสต์สถิตกับท่านทั้งหลาย พระเจ้าอวยพรคะ
 
 

โดย: ปูน IP: 182.232.185.208 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2553 เวลา:0:39:05 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ศรัทธาพลัง
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า `ตาแทนตา และฟันแทนฟัน'
ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย
ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะริบเอาเสื้อของท่าน ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาด้วย
ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน
ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า `จงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู'
ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน จงอวยพรแก่ผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน
จงทำดังนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์
[Add ศรัทธาพลัง's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com