...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
28 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
ขับรถเที่ยวก่อนเหี่ยวตาย ๘

ศิษย์กตัญญู

ไพบูลย์ พันธุ์เมือง


ตอนนี้ผมไม่มีภาพตลาดตะกั่วป่า หรือบ้านคนเลยนะครับ เพราะไม่ได้ถ่ายไว้ จึงเอาภาพบ้าน ๒ นักเขียน(พ่อว่าที่สามีกับว่าที่สะใภ้)มาให้ดูไปเล่น ๆ
ระหว่างที่ผมขับรถมาจากเขาหลักสู่อำเภอตะกั่วป่า อุเทน พรมแดง ได้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนหญิงของเขา ซึ่งผมได้ยินว่าทำงานเป็นพนักงานต้อนรับอยู่ที่รีสอร์ทบนเกาะ แต่ไม่รู้ว่าเกาะอะไรที่ไหน เพราะตอนที่ อุเทนไปหาเธอ ตอนนั้นเธออยู่ที่กระบี่ ต่อมาได้ยินว่ารีสอร์ทบนเกาะคอเขา ทำให้ผมหูผึ่งและรำพึงว่า
“รีสอร์ตบนเกาะคอเขา เอ๊ะ! มีขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นของใครวะ?”


(เอาภาพบ้านปลายฟ้าของนักเขียนอาวุโสมาลงก่อน)

เพราะเกาะคอเขาคือถิ่นเก่าและถิ่นแรกของผม โดยผมได้มาเป็นตัวเป็นตน(เป็นผู้เป็นคน) มายึดอาชีพครูเป็นอาชีพหลัก แทนจอตรกรเร่ร่อน อันทำให้ได้มีหลักมีฐานรองรับชีวิต อยู่มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าปัจจุบันผมจะเกษียณอายุราชการ และย้ายไปอยู่ที่อำเภอปะทิวก็ตาม แต่อดีตการต่อสู้ชีวิตอันยาวนาน มันถูกบันทึกอยู่ในหินผา ป่าไม้ และเมล็ดทรายหลายล้าน ๆ ๆ เม็ดของที่นี่...


(ภาพทิวทัศน์ ที่บ้านปลายฟ้า-วิมานบนดินของนักเขียนที่ไฟดับ แต่อีกคนกำลังลุกโพลง)

เสียงอุเทน พรมแดง โต้ตอบกับเพื่อนหญิงของเขาเรื่องรีสอร์ทบนเกาะคอเขา ทำให้ผมได้ยินว่า เจ้าของรีสอร์ท ชื่อกำนันสุข ตอนแรกผมคิดจะไม่สนใจ คือคิดว่ากำนันสุข คือคนถิ่นอื่นที่เข้าไปซื้อที่บนเกาะแล้วทำธุรกิจโรงแรม แต่ในฐานะที่ผมเคยผูกพันมากับเกาะคอเขา ราวกับถิ่นเกิดครั้งที่ ๒ (เกิดในถนนชีวิตครูที่ไม่เคยคาดฝันว่าจะได้เป็น)ที่เกาะคอเขา ผมจึงอยากทดสอบว่า ถ้ากำนันสุขเป็นคนเกิดบนเกาะก็จะต้องรู้จักผม ผมจึงฝากให้ถามไปว่า

“กำนันรู้จักครูไพบูลย์ พันธ์เมืองไหม” เสียงตอบมาทันทีว่า “นั่นคือผู้มีพระคุณของผม” (หมายถึงกำนัน) และเมื่อกำนันรู้ว่าผมกำลังขับรถจึงขอคุยด้วย ผมจอดรถแล้วถามว่า

(เอาภาพสวย ๆ ที่บ้านปลายฟ้า ของนักเขียนอาวุโส พ่อของภาณุมาให้ดูเล่นๆ ไปก่อนนะครับ)

“กำนันชื่อสุขหรือ แต่ลูกศิษย์ที่ผมเคยสอนเขาชื่อสุดจิตรนะ”
เสียงตอบมาว่า “ชื่อตามบ้านผมชื่อว่าสุข แต่ตอนที่ผมไปเรียนชั้นประถม อาจารย์เป็นคนตั้งชื่อให้ผมใหม่ว่า สุดจิตร เพราะผมเป็นลูกคนเล็กของพ่อแม่ แล้วยังเล่าความหลังระหว่างเขากับผม ที่ผมเคยใช้รถจักรยานยนต์รับส่งเขา....
สรุปว่า เขาเชิญให้ผมไปพักที่เกาะคอเขารีสอร์ต (คืนวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๗) แต่ตอนนั้นยังเช้าอยู่

ผมจึงขอเข้าไปเที่ยวชมเมืองตะกั่วป่าและเยี่ยมเพื่อนฝูงเก่า ๆ ก่อน แล้วจะลงไปเกาะตอนเย็น ๆ ประมาณ ๕ โมงเย็น...

เมื่อเข้ามาในตลาดเก่า หรือตลาดตะกั่วป่า(ปัจจุบันเงียบเหงาเหมือนเมืองร้าง เพราะความเจริญคึกคักไปอยู่ที่ตลาดย่านยาวเกือบหมด) จะต้องผ่านตลาดบน ตลาดบนที่ผมหมายถึงคือตลาดตะกั่วป่า บริเวณที่น้ำไม่เคยท่วมถึง

ส่วนตลาดล่างที่ต่ำอยู่ริมแม่น้ำ น้ำจึงท่วมทั้งหมดทุกปีเมื่อถึงฤดูฝนบริเวณนั้นคือย่านถนนมนตรีตัดกับถนนกลั่นแก้ว อันอยู่ใกล้ตลาดสดและโรงรำวงเก่า(๓ โรงเมื่ออดีต) ผมไปจอดรถในจุดซึ่งมีอยู่ที่เดียว คือบริเวณหน้าร้านขายหนังสือพิมพ์และหนังสือการ์ตูน ชื่อ “เต๊กเฮง” ซึ่งร้านนี้ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานกี่ปี คุณดิลกลูกชายเจ้าของร้าน และตัวอาแปะพ่อคุณดิลก(ผมจำชื่อไม่ได้ เคยเรียกแต่ว่า โก ๆ) แกจะจำผมได้เสมอและเคยทักถามทุกครั้ง ว่าตอนนี้ผมไปทำอะไร อยู่ที่ไหน

นอกนั้นก็ยังมีคนเก่า ๆ ที่เคยเห็นหน้าเห็นตาในตลาดนี้อีกหลายคน คือ บรรดาช่างตัดผม ที่จะจำผมได้และเข้ามาทักทายผมด้วยความคิดถึง ทำให้ผมต้องไปปักหลัก หาที่นั่งคุยกับเขานานทีเดียว แต่วันนี้ผมกลัวสองหนุ่มที่มากับผมจะเบื่อและเซ็ง(หนุ่ม ๆ เซ็งง่าย ถ้าเจออะไรที่ไม่ถูกใจ)

ส่วนผมหากย้อนอดีตลึกลงไป ก่อนจะมาได้เป็นครูอยู่ที่ตะกั่วป่า ผมเคยมาอาศัยขอเช่ามุมร้านซักแห้ง “แสงศิลป์” เปิดเป็นร้านวาดรูปครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ก็คือร้านเต๊กเฮงนี่เอง ส่วนร้านเต๊กเฮงก่อนจะมาเปิดขายพวกเครื่องเขียนและหนังสือ เคยอยู่ที่ใดผมไม่ทราบ

ทว่าในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ร้านเต๊กเฮง คือที่ที่ผมอาศัยรับเช็คเงินสดจากสำนักพิมพ์ ค่าต้นฉบับการ์ตูน ผ่านร้านเต๊กเฮงเป็นประจำ โดยทางสำนักพิมพ์จะสั่งมาทางร้านว่า ให้ช่วยหักเงินจากยอดขายหนังสือ มาจ่ายค่าต้นฉบับนิยายการ์ตูนของผมที่ผ่านการตีพิมพ์ และวางจำหน่ายแล้วให้ผมด้วย เพื่อว่าสำนักพิมพ์(สุภา ตราหัวแพะ)จะได้ไม่ต้องส่งเงินทางธนาณัติให้ผมอีก

และชีวิตของผมช่วงที่วาดการ์ตูน คือปี พ.ศ.๒๕๑๙ นับว่ารุ่งเรืองกว่าช่วงต้น ๆ ลิบลับ คือผมได้อาศัยทุนการเป็นครู สามารถไปเรียนต่อจนจบปริญญาตรีมาจากมหาวิทยาลัยได้ (ในตอนที่ผมได้ย้ายขึ้นมาจากเกาะคอเขาราว ๑๐ ปี)

ผมจึงไม่อาจจะลืมสถานที่ทั้ง ๒ แห่งตรงนี้ได้เลย... อ้อ ยังมีที่ ๆ ผมน่าจะระลึกถึงอยู่อีกแห่ง คือโรงรำวง “จันทร์แจ่มฟ้า”(เลิกไปนานก่อนที่ผมจะย้ายขึ้นมาจากเกาะคอเขา) คือตอนที่ผมมาเปิดร้านวาดรูปที่ตะกั่วป่าใหม่ ๆ ผมเคยเข้าไปอาศัย ร้องเพลงเชียร์รำวง เพื่อจะหาทางไต่บันไดดาราไปเป็นนักร้องลูกทุ่ง แต่ไม่สำเร็จเพราะผมดันไปเป็นครูที่เกาะคอเขาเสียก่อน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙

หลังจากมาอยู่ตะกั่วป่าได้ ๓ ปี โรงรำวงที่ว่านั้นอยู่ข้างตลาดสด หลังร้านเต๊กเฮงนี่เอง...(เคยเขียนไว้ในรวมเรื่องสั้น “จิตรกรเร่”)
แต่ผมก็ได้เป็นนักร้องลูกทุ่ง(ที่ค่อนข้างจะสมใจ) ตอนผมไปเรียนที่ มศว.ประสานมิตร เพราะปีนั้นพวกเพื่อนพ้องร่วมห้องเรียนของผมตั้งวง “ลูกทุ่งอาร์ต” ผมเคยมาร้องถึงในโรงภาพยนตร์ที่เพชรบุรี เคยถูกโห่แต่ก็แก้ปัญหาได้(เขียนไว้แล้วในเวบไซต์)

หลังจากโต๋เต๋อยู่ในตลาดตะกั่วป่า ทักทายคนโน้นคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกช่างตัดผม ที่มาจากนครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง ที่ยังไม่ยอมกลับไปสู่ถิ่นฐานเดิม แต่มาได้ลูกได้เมียอยู่ที่นี่...

จากนั้นผมนึกถึงเพื่อนคนสำคัญคนหนึ่ง เพราะเขาเคยเป็นนักเขียน เคยเขียนหนังสือมีชื่อมาก่อนผม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นานกว่าผม ๑๒ ปี เพราะผมมาเขียนหนังสือเรื่องสั้นและนิยายในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ และผมเป็นตัวละครเอกในเรื่องที่เขาเขียน ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร “วิทยาสาร” ชื่อเรื่อง “จิตรกรข้างโลงศพ”

เพราะคนในท้องถิ่นตะกั่วป่า พอใครตายลงเขาจะต้องมาตามตัวผมไปเขียนลายไทยที่ข้างโลงทุกครั้งไป จนผมออกอาการเหนื่อยและทดท้อ (อยากจะปฏิเสธก็ปฏิเสธไม่ได้) เขาจึงเขียนให้กำลังใจ โดยที่ตอนนั้นผมไม่เคยคิดที่จะเขียนแม้แต่การ์ตูน หรือนิยายภาพเลย ก็ได้เขาคนนี้แหละจุดประกาย(วรรณกรรม)

คือเขารับและอ่านหนังสือพิมพ์วิทยาสาร ที่เขาเขียนเรื่องสั้นลงเป็นประจำ ในนิตยสาร มีคอลัมน์การ์ตูน โดยผู้ควบคุมคอลัมน์และเป็นนักเขียนการ์ตูนล้อเลียนการเมืองด้วย คือ คุณอรุณ วัชระสวัสดิ์ ได้เอาภาพการ์ตูนฝีมือผู้อ่านทางบ้านลงตีพิมพ์ในหน้าที่เขาควบคุม ลงบ่อยจนเขาไม่ต้องเขียนเอง เพื่อนผมคนนี้ก็เอาภาพการ์ตูนในหนังสือวิทยาสาร ที่เขารับเป็นประจำมาให้ผมดูและพูดว่า

“นายดูซิ ภาพพวกนี้ฝีมือไม่เอาไหน(คนทางบ้าน) นายเองน่าจะลองเขียนไปบ้าง”
ซึ่งผมฟังแล้วก็อยากลองเขียนการ์ตูนตลกการเมืองส่งไปให้คุณอรุณ วัชระสวัสดิ์ แล้วก็กลายเป็นว่าได้ลงในวิทยาสารจนแทบจะเป็นขาประจำ ทำให้ต่อมาผมค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเป็นนักเขียนนิยายการ์ตูนเล่มละบาท ควบคู่กับที่เพื่อนคนนี้เขียนเรื่องสั้นลงตีพิมพ์ใน ฟ้าเมืองไทย ฟ้าเมืองทอง ฟ้านารี และวิทยาสาร...

และเพื่อนคนนี้อีกแหละ ที่จุดประกายให้ผมได้ไปเรียนปริญญาตรีที่ มศว.ประสานมิตร โดยที่ผมไม่เคยวางแผนหรือคิดฝันไว้ก่อนอีกเช่นกัน

เพราะพื้นเพของผม คือนักเรียนที่เรียนจบแค่ ม.๓ (เท่า ป.๗) ส่วน ม.๖ ก็จะจบแหล่มิจบแหล่ ต้องไปบวชเณรแล้วเรียนต่อจนจบ ม.๖ เมื่ออายุ ๒๒ ปี พร้อมกันนั้นระหว่างบวชก็โชคดี ได้พบเจอครูจบเพาะช่างที่เก่งทางวาดรูป สอนวาดเขียนแบบติวเข้มให้ฟรี ๆ (คุณครูน้อม ทิชินพงศ์ ที่นครศรีธรรมราช) จนสอบได้วาดเขียนโท และพอสึกก็มาเปิดร้านวาดรูปที่ตะกั่วป่า พอเป็นครูแล้วจึงไปสอบได้วาดเขียนเอก ที่กรุงเทพฯ(ถ้าไม่ได้เป็นครูคงไม่ได้ไปสอบ เพราะไม่มีทุนค่าเดินทาง ค่าไปกินอยู่นาน ๑ เดือนครึ่ง)

แรก ๆ ที่เข้าเป็นครู โดยเฉพาะตอนย้ายมาอยู่โรงเรียนวัดควรนิยม ตำบลตำตัว อำเภอตะกั่วป่า โรงเรียนที่เพื่อนนักเขียนของผมสอนอยู่ ผมมีปัญหาเรื่องการอ่านและเขียนภาษาไทย คืออ่านผิดเขียนผิด เมื่อต้องไปสอนเด็กชั้น ป.๕-๖ ในวิชาวาดเขียนและศีลธรรม ผมถูกครู ๆ ผู้หญิงในโรงเรียน(ครูสอนภาษาไทย)ท้วงติง จนเกิดความอับอายขายหน้าหลายครั้ง ทำให้ผมเกิดมีมานะทิฐิขึ้นมาว่า ผมจะต้องสอบชุดครู พ.ม.ให้ได้...

ปี พ.ศ.๒๕๑๕ -๒๕๑๗ (หลังจากมาอยู่โรงเรียนวัดควรนิยม โรงเรียนที่มีนักเขียน) ผมจึงไปสมัครสอบชุดครู พ.ม.และผมก็สอบ พ.ม.ได้ ๓ ชุด คือวิชาครู สังคมศึกษา จากนั้นก็สมัครเข้าอบรมวิชาภาษาไทย ที่วิทยาลัยครูภูเก็ต เพื่อจะเอาความรู้มาแก้ไขการอ่านเขียนผิดของผม และอาจารย์ท่านหนึ่งที่สอนผม

(ภาพสวย ๆ บริเวณบ้านปลายฟ้า ที่นักเขียนใหม่นามปลายแปรงอาศัยอยู่)

ปัจจุบันท่านเป็นอาจารย์ ม.บูรพา และเป็นนักเขียนชื่อดังในนิตยสารต่วยตูน คืออาจารย์อัครา บุญทิพย์ จากนั้นผมเหลือชุดสุดท้าย ผมอยากเลือกวิชาบรรณารักษ์ เพราะชอบอ่านและเขียน แต่วิชาที่จะสอบเขาไม่เปิดให้สอบ มีแต่ต้องสมัครเข้าอบรมที่กรุงเทพฯ แห่งเดียว

ปี พ.ศ.๒๕๑๘ ผมเตรียมตัวไปอบรมวิชาบรรณารักษ์ศาสตร์ แต่เพื่อนนักเขียนรู้เข้า เขามาต่อว่าผมทันทีว่า “นายจะไปอบรมบรรณารักษ์เอาวุฒิ พ.ม.มาทำไมอีกวะ มันได้อะไรขึ้นมา”

“ก็ได้ความรู้ไง” ผมตอบ

“ตอนนี้ความรู้นายก็ได้มาแล้ว นายผ่านการอบรมภาษาไทย จะเอาอะไรอีก?”

“แต่พวกครูยังไม่ยอมรับเรา หาว่าเรามีความรู้พื้นฐานแค่ ม.๖ เพราะเราไม่เคยผ่านวิทยาลัยครู” ผมแย้งอย่างน้อยใจ เพื่อนนักเขียนพยักหน้าว่าเข้าใจความรู้สึกของผม แต่เขาเองไม่เคยดูถูกผม มีแต่แนะนำและให้กำลังใจตลอด และเขาพูด

“ก็นายนะจบวาดเขียนเอก ฐานะของนายเทียบเท่า พ.ม.อยู่แล้ว นายสอบได้ พ.ม.มา เงินเดือนก็เท่าเดิม เราว่านายโง่นะ เสียเวลาเปล่า ๆ ด้วย...” ผมอึ้งเขาจึงพูดต่อ “แต่ถ้านายอยากเลื่อนวิทยฐานะ เราขอแนะนำ...นายไปสอบเข้าเรียนต่อปริญญาตรี วิชาเอกศิลปะ ที่ประสานมิตรโน่น ถ้านายสอบได้แล้วได้เรียน นายกลับมานายดังเด่นกว่าใครหมด เงินเดือนก็เพิ่ม ชั้นซีก็เพิ่ม...”

(ภาพบริเวณสวนที่จัดโดยอาจารย์ประสิทธิ์ ศรีหะรัญ-นักเขียนที่หมดไฟ)

ผมจึงเปลี่ยนฐานะไปอีกครั้งเพราะเพื่อนคนนี้จุดประกาย...
ครับ ผมไปสอบเข้าเรียนได้ แถมได้เกียรตินิยม...

ครั้งนี้ เพื่อนของผมคนนี้เกษียณอายุราชการแล้ว ผมอยากทำหน้าที่ทดแทนคุณเพื่อนบ้าง ผมอยากจะดึงเขากลับมาสู่เส้นทางนักเขียน เขาเขียนได้แน่ ๆ
ผมไปหาเขา บ้านเขาอยู่ในป่า ชื่อบ้านปลายวา เขาต้อนรับขับสู้พวกเราด้วยอาหารมื้อเที่ยงอย่างดี แม้จะฉุกละหุกเพราะต้องปรุงรีบ ๆ ระหว่างที่พวกเด็ก ๆ ๒ คน อุเทน พรมแดง กับ แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า ไปเที่ยวเก็บภาพสวย ๆ ในสวนทั้งไม้ประดับและไม้ผลใส่กล้อง ก็ภาพที่ผมเอามาลงนี่แหละ

ผมก็นั่งพูดจาหว่านล้อมให้เพื่อนเก่า คืออาจารย์ประสิทธิ์ ศรีหะรัญ กลับมาเขียนหนังสือต่อ ผมหวังว่าเขาจะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตเหมือนผม....

(ภาพสวย ๆ จากบริเวณบ้านนักเขียนเก่า พ่อของคุณภาณุมาศ ศรีหะรัญ ครับ ซึ่งท่านอาจจะเห็นด้วยกับผมว่า อาจารย์ประสิทธิ์ ศรีหะรัญ นามปากกา สิงขร บอระเพ็ด และ มานพ มโนรมย์ นั้นมีฝีมือจัดสวนที่เยี่ยมมาก)

ผมพูด ๆ ๆ ๆ แต่เขาเอาแต่ยิ้ม ทว่าระหว่างที่ผมมานั่งพูด ๆ ๆ ๆ อยู่นั่น ผมจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่า ในบ้านของเขามีนักเขียนรุ่นใหม่(สำนวนภาษาเฉียบคม ลูกเล่นแพรวพราว) ซ่อนตัวอยู่ในคราบของสาวชาวบ้านซอมซ่อ และเธอคือลูกสะใภ้ของเพื่อนนั่นเอง

บ้านเพื่อนของผมคนนี้ (เดิมเขาอยู่บ้านพักครูที่ตำตัว) ผมชอบตั้งแต่ที่ขับรถมาครั้งแรกกับภรรยา ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ผมเออร์ลี่ออกมาจากระบบราชการ ส่วนเขายังทำต่ออีก ๔ ปี บ้านของเขาราวแดนสวรรค์ มีไม้ดอกไม้ประดับ มีบ่อเลี้ยงปลาสวยงาม มีสวนผลไม้เล็ก ๆ มังคุด เงาะ ทุเรียน และลองกอง

(ไม่บรรยาแล้วครับ ให้ภาพบรรยายเอง)

ที่ตั้งบ้านเป็นเนินสูง เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ เขามีหัวทางศิลปะ (ลูกชาย ภาณุมาศ จึงเรียนศิลปะ เขาเองตกแต่งบ้านและสวนเอง ใครมาเห็นแล้วที่จะไม่ติดใจในภูมิทัศน์นั้นไม่มี...


แต่ไหนแต่ไรมา บ้านของเขาเป็นบ้านตัวอย่างของข้าราชการ ของบุคคลผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตราชการและส่วนตัวมากที่สุด (ตำแหน่งสุดท้าย คือ ผอ.โรงเรียนอนุบาลพังงา) จนผมซึ่งชอบบรรยากาศแบบนี้มาก แต่ไม่อาจจะมีเวลาจัดหรือทำได้แม้ ๑ ใน ๑๐๐ ของเขา และนักเขียนดังอีกคนหนึ่งในเวบนี้ โดม วุฒิชัย ก็เคยไปพักบ้านของเขามาแล้ว ๒ ครั้ง(ถ้าผมจำไม่ผิดและโดมก็เคยเขียนถึงเขาในคอลัมน์)

วันนั้นผมยังไม่รู้อะไรเลย จึงปล่อยไก่ไปเต็มที่ ไม่รู้ว่ามีนักเขียนหญิงรุ่นใหม่ไฟแรง(แต่ตอนนั้นยังดับ)อีกคนซุ่มฟัง บางครั้งก็มายืนทำสีหน้าจืด ๆ ฟังที่เราพูด แต่ไม่ยอมแสดงตัว(ประเภทคมในผัก-ไม่ใช่ในฝัก) กระทั่งผมกลับมาชุมพรแล้วมาใหม่อีกครั้ง ครั้งล่าสุดคือไปหาประสบการณ์คลื่นสึนามิ โดยพาโดม วุฒิชัย ไปด้วย ตอนแรกโดมไม่อยากไปเพราะเข้าใจว่า คงเป็นบ้านป่า ๆ ดง ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พอไปแล้วเจ้าของบ้านต้อนรับอย่างดี สภาพบ้านสบายเหมือนไปพักในรีสอร์ท หรือยิ่งกว่ารีสอร์ทหลายเท่า (เพราะเจ้าของรีสอร์ทยากที่จะมาคุยด้วยได้ แต่นี่เจ้าของบ้านมาคุยด้วยตลอดเวลา)

ตอนแรกผมว่าจะนอนคืนเดียว แต่ทำไปทำมาเป็นว่านอน ๒ คืน

ผมกลับมาจากการไปครั้งที่ ๒ แล้ว เธอนักเขียนลูกสะใภ้ของเพื่อน จึงส่งนิตยสารฟ้าเมืองทอง ฉบับที่เธอเขียนลงผ่านเกิดครั้งแรกกับผมมาให้ผมดู ผมจึงถึงกับผงะ...

และหลังจากนั้นผลงานของเธอในนามปากกา “ปลายแปรง” ก็ผ่านการตีพิมพ์ออกมาเป็นระยะ ๆ
(อ่านต่อตอนลงเกาะคอเขาตอนหน้านะครับ)



(ภาพที่นำมาลงทั้ง ๒ ตอนนี้ถ่ายโดย คุณอุเทน พรมแดง ทั้งสิ้น)


Create Date : 28 กันยายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2550 11:48:50 น. 27 comments
Counter : 1765 Pageviews.

 
มาอัพบล็อกแบบหยาบ ๆ ก่อนครับ ยังไม่มีเวลาคุย ขอโทษด้วยครับ


โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:11:42:57 น.  

 
ยกมาจากบล็อกที่แล้ว กลัวไม่ได้อ่าน...
สวัสดี ปลายแปรง
มาอัพบล็อกให้แล้วนะ คราวนี้ที่บ้านเธอโดนเต็ม ๆ

สวัสดี หทัยชนก
ก็รู้ว่าไม่มค่อยมีใครมานะซี นอกจากเธอ ๒ คน ลุงก็แกล้งทิ้งระยะไง

ไม่ได้ไปมุ่งทำงานเพื่อเงินหรอก เพียงแต่ว่ารับงานเขาแล้วถ้าไม่ทำเดี๋ยวเขาจะบีบคอเอา

นั่งวาดจนมือหงิกแล้วตอนนี้ ไม่มีเวลาทำอื่นเลย บล็อกนี่ก็แข็งใจมาอัพแบบหยาบ ๆ



โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:11:55:26 น.


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.232.199 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:11:59:04 น.  

 
emoemoemoemo แวะมาชม ดอกไม้ สวย ค่ะ emoemoemoemo


โดย: iamorange วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:15:05:34 น.  

 
วิวสวยจังเลยค่ะ น่าจะอากาศดี
ดีจังเลยค่ะ


โดย: ดอกหญ้าสีน้ำเงิน วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:16:23:56 น.  

 


..มาหาลุงบูลย์ก่อนกลับบ้าน..

แถมได้ฟังเรื่องราวนักเขียนไฟแรง ที่ชื่อปลายแปรงอีก เหอ เหอ ถูกใจหทัยชนกซะเหลือเกิน

มาอัพบล็อกแก้เขินหรือคะลุง
แต่ยังมุ่งทำเงินเพลินนักหนา
ด้วยจะซื้อรถหรูดูโก้ตา
แล้วบ่นว่าไม่มีใครให้ต่อคำ

มาหน้านี้ทีเด็ดกว่าหน้าไหน
มาแนะนำคน(อาศัย)ปลายวาหน้าคมขำ
เขียนเรื่องดีเรื่องเด่นเป็นประจำ
จนเขานำลงหนังสือลือเลื่องไกล

พี่ปลายแปรง..ลุงไม่แกล้งยอพี่หรอก
ลุงเค้าบอกเรื่องจริงกว่าสิ่งไหน
สำนวนดีพี่ปลายแปรงแจ้งแก่ใจ
เขียนเรื่องให้คนอ่าน..อ่านกันมันส์

น้องนกขอคารวะในตัวพี่
เรื่องราวดีเลยชอบอ่านพาลขำขัน
อารมณ์สุขพาสนุกทุกทุกวัน
นอกจากนั้นได้ความรู้คู่ตามมา

ชักเขียนกลอนวกวน..จนเวียนหัว
จะจบลงตรงตัวไหนดีหนา
เอาเป็นว่าขอบคุณทุกทุกครา
ทั้งลุงบูลย์ที่อุตส่าห์มาอัพบล็อก

และก็พี่ปลายแปรงหญิงแกร่งเก่ง
ที่เป็นคนกันเอง..ลุงเค้าบอก
ไว้นกมาหาใหม่ไม่แกล้งหลอก
คงต้องออกตัวลา...แล้วครานี้


เหอ เหอ มั่วๆ หน่อยนะคะ ลุงบูลย์



โดย: Nok_Noah วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:16:36:05 น.  

 


โดย: kampanon วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:18:27:18 น.  

 
โกรธด้วย...มาว่าเราซอมซ่อ

เขาเรียกแต่งตัวอย่างมีสไตล์นะลุง
กางเกงเลเย็บผ้าถุงต่อน่ะ...ขายฝรั่งได้เป็นล๊อต
ตอนนั้นสึนามิมาหรอกน่า..ขายไม่หมดเลยใส่เอง...แหม

มาดูตอนนี้สิ...ต่อแขนต่อขากันตรึม
แถวนี้มีใครใส่มั่งล่ะ...เสื้อกล้าม กะผ้าถุงไปเดินตลาดน่ะ...
สาวมั่นอย่างเรา...มองทำไม...เทรนด์ใหม่ไม่เคยเห็นเรอะ...แค่ไม่ดำ ไม่ขาวอย่างนักท่องเที่ยวเท่านั้นเอง....

แต่ตอนนี้...ใส่ม่ายด้ายแล้วลุ๊ง...เสื้อกล้าม สายเดี่ยว เอวลอยน่ะ....มันโชว์ลอนพุง...อายเป็นเหมือนกันแหละ...



โดย: ปลายแปรง IP: 203.113.17.148 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:20:56:35 น.  

 


ลุงบูลย์คะ

แก้ไขๆๆๆ ใส่วงเล็บผิดค่ะ เดี๋ยวจะไม่สัมผัสเนอะ

..มาหน้านี้ทีเด็ดกว่าหน้าไหน
(มาแนะนำ)คนอาศัยปลายวาหน้าคมขำ
เขียนเรื่องดีเรื่องเด่นเป็นประจำ
จนเขานำลงหนังสือลือเลื่องไกล....



โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:21:13:52 น.  

 
ขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมนะครับ แล้วจะหาโอกาสไปเยี่ยมท่านบ้าง แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเวลาจริง ๆ ครับ

สำหรับปลายแปรงกับหทัยชนก ขอยกให้เป็น ๒ หลานที่น่ารักที่สุด ถ้าลุงหาย ๆ ไปบ้างก็อย่าถือสานะ มันถูกเวลบังคับจริง ๆ

ตะกี๊อุตส่าห์เขียนเป็นกลอนยาวเหยียด ไปกดตรงไหนผิดไม่รู้หายหม้ด คราวก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้มาโพสต์ตอบใครสักทีก็ชักขยาด เพราะชอบมาพิมพ์สด ๆ ไม่ได้เขียนในเวิร์ด

ไปก่อนแล้วครับ


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.236.2 วันที่: 30 กันยายน 2550 เวลา:23:23:14 น.  

 
ไม่ได้ทักทายลุงตั้งนานแล้ว เห็นลุงยุ่งจัง งานเยอะ มีตังค์ ท้องอิ่ม แต่ยังแวบมาคุยกะหนุงกะหนิงกะพี่ปลายแปรง คุณหทัยชนกเป็นประจำ
ผมไม่มาเพราะจน เครียด...ยืดอก พกถุง...แหะๆ
เบิกบานนะครับลุง


โดย: ธารดาว IP: 203.146.63.183 วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:9:30:59 น.  

 
^
^
อ้าว..ความคิดคุณธารดาวเองรึ..

(ฮา..ล้อเล่นน่ะ)

อย่าเครียดเพราะจนเลย..สีน้ำฟ้าเลิกเครียดไปแล้ว
วันไหนเจ้าหนี้มายกมือไหว้ (เจ้าหนี้สีน้ำฟ้าน่ารักค่ะ มาเก็บเงิน แต่จะยกมือไหว้เราก่อนทุกที)

มีก็ให้ไป ไม่มีก็บอกช่วยมาอีกรอบนะพี่

อะไรทำนองนี้

ส่วนหนี้พวกบัตรเครดิต ที่ทวงทางโทรศัพท์ ก็เล่าให้เขาฟัง และนัดกันเป็นงวดๆ ไป

เฮ้อ.. ก็ว่ากันไป อย่าท้อนะคะ สีน้ำฟ้าเองจิตตกเป็นหนๆ แต่จะไม่ท้อ เพราะถือว่ากรรมมันเยอะ แบบว่าถ้าเครียดมาก จะเป็นโรค(ที่หมอบอก) เครียดลงกระเพาะแล้วอาเจียน

ก็เลยเปลี่ยนเป็นอ่านเรื่องในเว็บนี่แหละแทน

ล่าสุดไปฝังอยู่ห้องเฉลิมไทย อ่านข่าวดารา เรื่องความคิดเห็นของคนดูหนัง ดูละคร

แอบฝันไปว่า..อยากลองหยิบนิยายสักเรื่องมาเขียนเป็นบทโทรทัศน์น่ะ ก็เลยให้ตัวนี้แหละเป็นความหวัง พอประทังมิให้ตัวเองเครียดค่ะ

ขอให้หาทางออกสำหรับตัวเองให้ได้นะคะ.. เอาใจช่วยค่ะ

---------------------


เหะ เหะ มาใช้ที่ลุงคุยกะคุณธารดาวซะงั้น พอดีหัวอกเดียวกัน (รึเปล่า หรือเขาพูดเล่นแล้วสีน้ำฟ้าเหมาเอาเป็นตุเป็นตะ)

สวัสดีค่ะลุง และทุกท่าน


โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.150.131 วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:17:40:27 น.  

 
สวัสดีครับพี่บูลย์


ต้องมาข้อแก้ข่าวหน่อย
ตอนแรกที่ไม่อยากไปบ้านปลายฟ้า
ไม่ใช่เพราะเหตุผลว่าเป็นบ้านป่า

แต่เราตั้งใจจะไปเกาะคอเขากัน
ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมการเดินทาง

ความจริงยิ่งบ้านป่าสิ ผมยิ่งชอบ

แต่ก็ต้องขอขอบคุณพี่บูลย์ที่ทำให้ผมได้ไปรู้จักกับครอบครัวนี้

คือน่ารักหมดทั้งบ้าน ตั้งแต่พ่อ แม่จนถึงลูกชาย ลูกสะใภ้

ผมมีโอกาสผมจะไปหาอีก ผมชอบบรรยากาศแถวนั้นเพราะมีหมอกทุกฤดู

แต่วิวคงจะสู้เขาแมวหน้าบ้านพี่บูลย์ไม่ได้หรอก (พูดประชดนะเนี่ยะ)


โดย: โดม IP: 124.121.27.69 วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:19:00:40 น.  

 
เรื่องจน เป็นของจริงครับคุณสีน้ำฟ้า นอกจากเป็นของจริงแล้วยังเป็นมิตรที่เราไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกะมันซักนิด
แต่จะว่าไป ความจนทำให้เรามีสติเหมือนกัน เปรียบเทียบตัวเองช่วงขณะเวลามีเงินกับไม่มีเงิน
สติที่มีอยู่กับตัวจะต่างกัน จน สติเต็มร้อย รวยเมื่อไหร่สติลดปริมาณลงแบบฮวบฮาบอาจเหลือแค่ครึ่งเดียว
อ้อ...พูดถึงการทวงหนี้ทางโทรศัพท์ จนบัดนี้ผมยังไม่เคยหาประโยคคำพูดใดๆที่ผมมีอยู่ในคลังคำเขียน
ตั้งมากมายเพื่อพูดกับพวกเขาได้เลยนอกจาก...เอ้อ...อ้า...ครับๆๆ
ตอนนั้น ดูเหมือนจะไม่มีสติเลยนะ ฮิฮิ


โดย: ธารดาว IP: 203.146.63.182 วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:2:55:52 น.  

 
สวัสดีธารดาว
หายไปนานเชียวนะ มาถึงก็บ่นจนๆ อยากรวยลองย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ ลุงซี จะได้แบ่งความรวยจนหัวปั่นให้มั่ง ทำไงได้ ตอนนี้ถือคติเงินมาคว้าไว้ก่อน...(ชื่อไม่มีช่างมัน เพราะดังก็กินไม่ได้)

มีเรื่องน่าเล่า เมื่อเช้าไปหาหมอประจำตัวที่ ร.พ.ช.พ. หมอดูคนไข้เสียงลั่นไปขัดใจอะไรท่านไม่รู้ ส่วนกับลุงหมอนัดตั้งกะ ๒ เดือนที่แล้ว ทีนี้บัตรหายไปตามนัดไม่ได้และยาพ่นก็ยังไม่หมด วันนี้จึงโผล่หน้าไป คิดในใจว่าข้าโดนหมอดุเปิงแน่กลับกลายเป็นว่า

"วันนี้มีหนังสือติดมือมามั่งหรือเปล่า รู้ไหมที่ร้าน ที่บ้านของหมอ เพื่อน ๆ หมอติดหนังสือของคุณงอมแงม เขาอยากเห็นตัวจริง ไปปรากฏตัวหน่อยได้ไหม เขาชอบงานของคุณมาก วันหลังถ้ามีหนังสือเรื่องอะไรอีก เอาติดมือมามั่งนะ"
จ่ายยาให้อีกราว ๒ เดือนและถาม

"เรื่องโจรปล้นหมอ เขียนจากเรื่องของหมอวิชัยใช่มั้ย สนุกนะเรื่องนี้"

"เปล่าครับ ผมว่าไปส่ง ๆ งั้นแหละ ไม่ได้เอาเรื่องของหมอคนไหนมาเขียน... แบบว่าทาง สปสช.เขาต้องการให้นักเขียนเอางานวิจัยมาเขียนให้ชาวบ้านอ่านเข้าใจ"

กลายเป็นว่า เราเป็นคนพิเศษอีกตามเคย เพราะหมอเอาใจมาก

วันนี้ จึงพอรับใบสั่งยาเสร็จเดินก็ออกมาอย่างภาคภูมิใจ(จะว่าหลงตัวเองก็ยอม เพราะคนอื่นไม่มีให้หลง)

ทว่า เรื่องที่จะไปปรากฏตัวให้แฟนนักอ่านที่ร้านหมอนั้น ยังไงก็จะไม่ไปเด็ดขาด (กลัวเขาเห็นแล้วเรตติ้งตก)

สวัสดีโดม

ตกลงโดมได้ไปบ้านปลายฟ้า และตะกั่วป่า บ่อยกว่าผมเสียอีก แต่ทำอย่างไรแกก็ไม่หวนกลับมาเขียนว่ะ มันยังไงกันแน่ หรือว่ากลัวเรตติ้งสู้ลูกสะใภ้ไม่ได้ เรื่องแบบนี้ทางใครทางมันซี ไม่งั้น....เอ่อ ทำไมหมอโรงพยาบาลจึงชอบงานของพี่ล่ะ

สวัสดีสีน้ำฟ้า
ตกลงไปไหนอีกละเที่ยวนี้ เห็นว่าขึ้นเหนือหรือ นี่ตอนนี้ยัยแปรงก็ไปจังหวัดแพร่ เห็นว่าขอกลับจะมาแวะสอนโฟโต้ช็อปให้ จะต้องรีบเตรียมเงินให้เขาหมื่นนึง แจมเองถ้ามาแวะก็จะให้ช่วยสอนการแต่งบล็อก มีค่ารถให้นะ (ขี้เกียจทำเอง-บวกไม่ว่าง)


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.232.136 วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:15:28:40 น.  

 
สวัสดีอาจารย์
แวะมาฟังเพลงนะ
เพาะจัง


โดย: รุ่ง IP: 58.8.172.8 วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:17:39:25 น.  

 


สวัสดีค่ะ ลุงบูลย์

ยืมที่ทักทายคุณธารดาวนิ๊ดนึงนะคะ

ไม่เห็นคุณธารดาวนานนะคะ ดูเงียบๆ ไป คุณธารดาวเองก็คงทราบว่า ชีวิตทุกคนมีปัญหาทั้งสิ้น นกเองเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษมาก ก็ระยองเป็นเมืองอุตสาหกรรมนี่คะ เรารู้ แต่เราก็ต้องอยู่ เพราะที่นี่เป็นแหล่งสร้างงาน สร้างเงิน

นกยังเคยไปคอมเม้นท์ไว้ที่บล็อกคุณภูเชียงดาวเลยว่า สักวันหนึ่ง "ชีวิตของนกคงชำรุด" แต่ถึงอย่างไร ชีวิตในตอนนี้ก็คงต้องยอมรับกับสภาพที่ดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ค่ะ มีเงินใช้ แต่เสี่ยง

ให้กำลังใจคุณธารดาวเช่นเดียวกันกับคุณแจมนะคะ





โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:9:21:55 น.  

 
สวัสดีครับพี่บูลย์

น่าอิจแกมหมั่นไส้นักเขียนไส้ตันจริงๆ

เที่ยวออกปากจ้างคนโน้นคนนี้ให้ทำโน่นทำนี่

อย่างว่าแหละ..ทำไงได้ล่ะคนมีกะตังค์น่ะ ใช่ไหมครับ



โดย: พ่อพเยีย วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:11:20:53 น.  

 
สวัสดีลุงบูลย์

ไม่ได้เข้ามาคุยเสียนาน บ้านสวยขึ้นจังเลย

คุณกับธารดาวด้วย นึกว่าหายไปไหน คิด ๆ อยู่ว่าคุณหายหน้าไป คิดอยู่สองอย่าง คือคอมที่บ้านเสีย หรือไม่ก็ไปต่างจังหวัดแล้วใช้คอมไม่สะดวก

แล้วจะกลับมาคุยใหม่นะคะ วันนี้ว่าง ๆ เลยไปบ้านคนโน้นคนนี้

อ่านอะไรต่ออะไรไปเรื่อย ๆ


โดย: แพรจารุ วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:12:57:26 น.  

 
สวัสดีค่ะลุงบูลย์
มิตรรักนักเขียน (บล๊อก) ทุกท่าน
-------------------------------------------
ถึงไม่คิด...ก็คิดถึงเสมอ ๆ ค๊า

วันก่อนแวะมาเม้นท์แล้ว (รอบหนึ่ง) แต่บล๊อกเกิดล๊อกซะงั้น
ไม่มีข้อความที่สาวฯ อุตะสาหะพิมพ์ยาวเหยียดค่ะ
พอกด Submit อุเหม่เจ้า! ไม่มีอะไรเยยอ่ะ

ลป. ลืมไป
ฝากบอก "ธารดาว" นึกว่าหายเข้าไปในกลีบเมฆ
ไม่ยอมแวะมาเม้าท์และเม้นท์กันเลยนะ
ว่าง ๆ จะแวะไปขึ้นเขา "พนมรุ้ง" ในคืนพระจันทร์เต็มดวง
ช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวด้วยเด้อ


โดย: สาวฯ IP: 61.7.133.64 วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:15:57:16 น.  

 

ขอบคุณคุณนก พี่แพร จารุ คุณสาวบ้านฯ ที่ยังระลึกถึง
ข้าน้อยอยู่ ทำให้มีกำลังใจอีกหลายกิโลกรัม
ถ้าไม่พูดเรื่องเงิน ปัญหาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมมีอยู่เรื่องเดียว คือ
เขียนหนังสือไม่ได้
ปีนี้ เป็นปีที่ผมแทบไม่มีรายได้จากการเขียนหนังสือ แต่เป็นปีที่ผมเข้าใจ
ชีวิตของการเป็นคนเขียนหนังสือมากที่สุดว่า แท้จริงแล้ว ความทุกข์และความสุข
ของคนเขียนหนังสือ ไม่ใช่อยู่ที่การมีสนามเป็นของตัวเอง ไม่ใช่อยู่ที่ได้รับการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์
และย่อมไม่ใช่อยู่ที่เงินอีกด้วย (แม้ว่ามันจะสำคัญก็ตาม) ยิ่งไม่ใช่อยู่ที่ชื่อเสียง หรือแค่ได้ชื่อว่าเป็นนักเขียน
คนหนึ่งในยุทธภพ (ว่าไปโน่น)
ความสุขแท้จริงที่ไม่เสแสร้งของคนเขียนหนังสือมีเพียงอย่างเดียว คือ ขณะเขียนหนังสือได้อย่างลื่นไหลและเขียนมันออกมาจนจบ เท่านั้นจริงๆครับ
ความทุกข์ก็อยู่ตรงข้าม ไม่ใช่ทุกข์ว่าเมื่อไหร่ตูจะมีงานได้ตีพิมพ์ แต่ทุกข์ที่เขียนอะไรไม่ออกต่างหาก
นี่แหละ ปัญหาในชีวิตของผม
ปล. คุณสาวฯผมพาไปพนมรุ้งได้นะ แต่ไกลกว่านั้นแม้จะเป็นท้องถิ่นตัวเอง แต่ลูกผู้ชายอกสามศอกผู้ต้องเผชิญโลกกว้างอย่างผม ออกจากบ้านเกิน 20 กิโลเมตรเมื่อไหร่ละก็...หลงทั่วทีป!!


โดย: ธารดาว IP: 203.146.63.189 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:3:15:45 น.  

 
สวัสดีโดม
โธ่...ก็บอกแล้วไงว่า "ทุกก้าวย่างของชีวิต ขึ้นอยู่กับอดีตและปัจจุบันอันส่งผลถึงอนาคต" อย่าหาว่าพี่อวดโตนะ... แต่มันเรื่องจริง คือว่า

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๓-๒๕๔๕ มีครูๆ มาให้พี่เขียนเรื่อง และวาดภาพประกอบในหนังสืออ่านประกอบ และหหนังสือส่งเสริมการอ่าน จำนวน ๒๒ คน ในจำนวนทั้งหมดนั้นมี อ.๓ อยู่ ๑๐ กว่าคนนอกนั้นปริญญาโท
มาตอนนี้เขาผ่านและตกเบิกคนละห้าแสนกว่าบาท

โดมก็เดาได้แล้วว่า คำกล่าวข้างบนมันส่งผลมายังพี่แบบไหน โฮ้ย ทั้งผู้ที่จะทำ ซี ๘ ซีเก้า... ยกขบวนกันมา อะไรไม่ร้านเท่า คนที่จะตกเบิกนั่นแหละเป็นคนพาเพื่อนมาเอง (ทั้ง ๆ ที่พี่เคยปฏิเสธไปก่อนหน้านี้๔-๕ รายทางโทรศัพท์ ว่าผมไม่ว่าง ผมจะเขียนนิยาย)

แต่ที่ต้องมานั่งทำอยู่นี่มาแบบจู่โจมถึงตัวเลย ขนข้าวของมาฝากเพียบ ราวกับเอามาถวายท่านสมภาร ทำให้พี่เกรงใจปฏิเสธไม่ออก

ตอนนี้มีมาทั้งหมด ๑๒ ราย(ยังจะมาอีก เพราะทางจังหวัดก็ดันแนะนำมาด้วย ว่าถ้าจะไปหาพี่บูลย์ อย่าโทร.ถามให้มาแบบที่ว่า ให้ซื้อของจัดกระเช้ามาเยี่ยม แบบนี้พี่ก็จบนะซี

เฮ้อ ทีนี่ก็เลยไม่ได้เขียนหนังสืออีกแล้วนานละ ส่วนเงินก็มีแบบ "ทำให้หนูก่อนได้ไหม ขอลัดคิว อย่าบอกใคร" และยื่นเงินหนึ่งหมื่นให้ก่อน แต่พี่ปฏิเสธ เพราะจะต้องทำตามคิว

มีอยู่รายหนึ่ง ตอนอยู่ในขั้นเขียนเรื่อง ๕ เรื่อง จำนวน ๕ เล่ม ๆ ละ ๒๐ หน้า แต่มีตัวบรรยาย หน้าละ ๔-๕ บรรทัดไม่เกิน นอกนั้นเป็นภาพ เธอขอให้แก้มาเรื่องละไม่ต่ำกว่า ๔-๕ ครั้ง ความจริงครูเขาเก่งนะ แต่เขาไม่มีเวลาทำเอง ทว่าเขาชี้แนะและแก้ไขในส่วนที่เขาไม่พอใจ หรือบอกให้เราแก้ได้

แต่ไม่ได้ให้แก้เฉย ๆ นะ แก้ทุกครั้งก็ยื่นเงินให้ ๕๐๐๐ บาทบ้าง ๓๐๐๐ บาทบ้าง แก้เรื่องอย่างเดียวเล่นไปหมื่นหนึ่ง

เมื่อวานเขามาดูรูปที่พี่ร่างและลงสีเสร็จไป ๗-๘ หน้า เขาพอใจมาก(แต่ก็ให้แก้ไขภาพและเติมโน่นนิดนี่หน่อยอีกเช่นเคย พี่ก็ครับ ๆ ครับลูกเดียว

ภาษิตจีนบอกว่า "ลูกค้าคือเทวดา" เราจะต้องตามใจเขา ตลอดเวลาที่ทำ ๆ มา พี่จึงมีแต่ยิ้มลูกเดียว

เมื่อวานก่อนกลับเธอส่งให้อีก ๕๐๐๐ บอกว่าพอใจรูปที่วาด ค่างานของเธอประมาณสี่หมื่นบาท เธอไม่ต่อเลย

อนิจจา เมืองเทวดาของพี่เห็นทีจะค้างเติ่งเสียแล้ว

สวัสดีรุ่ง
ครูคงจะไม่ค่อยได้เขียนเรื่องเสียแล้ว โดนเงินเงินยัดปากตอนแก่ อุดมการณ์หายหมด อย่าว่าเลยนะ ทีนักการเมืองยังคอรับชั่นได้

สวัสดีหทัยชนก
ลุงเองอยากให้ธารดาวเข้ามาช่วยในบล็อกนี้อีก เพราะตอนนี้ไม่ค่อยว่าง นี่ก็ตัดใจเข้ามาจริง ๆ ทักทายคุยกันตามสบายนะ

สวัสดีแพร
นาน ๆ มาทีดีกว่าไม่มา ความจริงลุงเองก็เหมือนไร้น้ำใจ เพราะไม่ค่อยมีเวลาไปเยี่ยมใครตอบแทน ขอให้งานเบา ๆ ลงหน่อยจะไปเยี่ยมถึงเชียงใหม่ เตรียมเฟรมไว้เกือบ ๒๐ ว่าจะวาดรูปพาไปให้นายฉมังฉาย ขายในร้านกิ๊ฟช็อบที่บ่อสร้าง

สวัสดีสาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น
ถ้าไปพนมรุ้ง แล้วจะไปไหนต่ออีกละก็เช่ารถของธารดาวพาไปส่งก็ได้ ไม่ต้องเดิน เพราะจุดท่องเที่ยวในบุรีรัมย์นั้นแต่ละแห่งไกลกัน แต่เจ้าบ้านนี่แย่มาก ๆ เขารู้จักแต่เส้นทางใกล้บ้านใน อ.ประโคนชัยเท่านั้น

ในตลาดบุรีรัมย์เองเขายังไม่ค่อยรู้เลย น่าตีชมัด ขาเคยนั่งรถที่ลุงขับเมื่อปี ๒๕๔๓ แว่นตาลุงน็อตหลุด ขับรถลำบาก ถามเขาว่า ร้านแว่นอยู่ตรงไหนบ้าง เขาบอกไม่รู้ ผมไม่เคยมา ฮา


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.234.47 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:9:11:50 น.  

 
ถึงพะเยาแล้วค่ะลุงบูลย์

ส่งงานไปให้อ่านแล้วนะคะ....
แต่ยังไม่ได้เล่นบล๊อค..มาเขียนบันทึกเปลี่ยนหน้าเฉยๆ
ให้แม่อิ่มใจให้ทะลักก่อนแล้วค่อยทำอย่างอื่นน่ะ

ดีจัง...ธารดาวกลับมาจากทางช้างเผือกแล้ว
คงได้คุยกันอีกเนอะ....คิดถึงน่ะเนี่ย รู้ตัวไหม

จน รวย มันเรื่องของกระเป๋า...ไม่ใช่เรื่องหัวใจ
ไม่ตายหรอก...เพราะมันไกลหัวใจไงล่ะ
อย่าห่อมาก...เดี๋ยวเววลาทีตังค์เข้ากระเป๋ามันจะง้างไม่ออก
เหมือนลุงบูลย์....พอตังค์มากระเป๋าเปิดไม่ออกเลยต้องรีบใช้หมด.....ฮี่....ฮี่

แล้วจะรีบมาทำตัวให้ว่างนะคะลุง.....
รักษาสุขภาพด้วยค่ะ...


โดย: ปลายแปรง วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:12:26:45 น.  

 
ธารดาว ณ ทางช้างเผือก (อ่านด้วยจ้า)

" ความทุกข์ก็อยู่ตรงข้าม ไม่ใช่ทุกข์ว่าเมื่อไหร่ตูจะมีงานได้ตีพิมพ์ แต่ทุกข์ที่เขียนอะไรไม่ออกต่างหาก
นี่แหละ ปัญหาในชีวิตของผม "

เห็นด้วยเต็มร้อยจ้า.....
เพราะไม่ได้หวังว่าจะเป็นดาวยิ่งใหญ่ในสวนอักษรา
มิได้ปรารถนา....สินทรัพย์นับอนันต์จากการปั้นเขียน

เพียงได้เขียน.....ตูเขียนได้....เท่านั้นแล
เวลามันเขียนไม่ออกมันฝืดแต๊ๆ....
ยังบอกลุงบูลย์เลย....จะลี้ลับ กลับหัว มุดตัวอยู่ในซอกเขาสักวาระ...เพราะว่าอยู่ในท่ามกลางฝูงชน...

หมาป่าเปลี่ยว....ลับเขี้ยวไม่เป็น


โดย: ปลายแปรง วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:12:32:27 น.  

 
ได้รับเรื่องแล้ว แต่ยังไม่ว่างอ่าน วันนี้มาปล้ำอัพบล็อก แบบว่ารับผิดชอบเขียนให้จบ ๆ ใครจะมาอ่านหรือไม่มาอ่านไม่สน ซึ่งต่อแต่นี้อาจจะนาน ๆ มาเขียน เพราะพิจารณาแล้วว่า.....(ขอไม่พูดดีกว่า)

แต่เวบไซต์จะเข้าไปบ่อย อย่างน้อยก็คุยกับเวบมาสเตอร์

ธารดาวถ้าว่างช่วยมาเขียนอะไรหน่อยนะ...


โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:11:14:16 น.  

 
สวัสดีค่ะ..คุณครูไพบูลย์
คุณครูคงจำหนูไม่ได้ หนูเคยเรียนศิลปะกับคุณครูที่โรงเรียนวัดควรนิยม ตอนสมัยเป็นนักเรียนชั้นประถม หนูเป็นลูกของโกเทย อังศานาม ไม่รู้คุณครูไพบูลย์ยังคงจำพ่อได้หรือเปล่า ตอนนี้พ่อเสียไปนานแล้ว หนูเป็นครู สอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านคลองเจ้าเมือง อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ได้มีโอกาสอ่านหัวข้อ รู้สึกน่าสนใจ และคิดถึงคุณครูเป็นคนแรก เพราะเคยอ่านเรื่องราวที่ถ่ายทอดของคุณครูเสมอ เมื่อเข้ามาสัมผัสก็เป็นคุณครูจริงๆ อยากบอกว่า ยังรักและคิดถึงคุณครูเสมอค่ะ และทำให้คิดถึงคุณครประสิทธิ์ ด้วยค่ะ

ขอให้คุณครูมีความสุข มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์นะคะ
สุภรณ์ ริตพวง (อังศานาม)


โดย: สุภรณ์ ริตพวง (อังศานาม) IP: 203.113.26.17 วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:13:03:40 น.  

 
คุณครูยังจำลูกได้ใหม คุณครูเคยสอนลูกตอนประถม 1 ที่โรงเรียนวัดควรนิยม เด็กที่ตอนนั้นมักจะตามไปอยู่กับคุณครูที่บ้านพักครูเสมอ ลูกพ่อโรจน์แม่หยอยไงคะ แล้วคุณครูก็ย้ายหรือยังงัยไม่ทราบ แต่ลูกยังคงจำคุณครูได้เสมอถ้าคุณครูอ่านพบทักทายลูกได้ที่ vasi.nee@hotmail.com นะคะ ลูกคิดถึงคุณครูและครอบครัวของคุณครูเสมอ ลูกหวังว่าคงได้คำตอบรับจากคุณครู ส่วนคุณครูประสิทธิ์ เจอท่านตอนเป็นผอ.อนุบาลฯค่ะ ลูกชายหนูเรียนที่นั่นยังมีโอกาสทักทายกัน


โดย: วาสินี ทองอยู่ IP: 118.173.62.143 วันที่: 20 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:41:48 น.  

 
คุณครูค่ะ หนู่เป็นลูกศิษย์ สมัยเรียนชั้นประถมศึกษา
ที่ 3 โรงเรียนวัดควรนิยม คุณครูสอนวาดเขียน ตั้งแต่การลากเส้น การเขียนวงกลม วาดวาพแรเงา ภาพวิว คิดถึงคุณครูเสมอ เมื่อตอนอยู่ประถม คุณครูยังให้หนูเป็นนางแบบวาดภาพอนุกาชาด ติดต่อหนูที่ อีเมล์ chick137@hotmail,com

ด้วยความเคารพและระลึกคุณครูเสมอ


โดย: สายใจ ตั้งสกุล IP: 182.52.87.52 วันที่: 22 เมษายน 2555 เวลา:21:20:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.