...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
3 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
ขับรถเที่ยวก่อนเหี่ยวตาย ๔


(ขอยืมภาพโรงแรมเมืองฝรั่งมาใช้ครับ คือหาภาพไม่ได้)
เมื่อผมกลับมาทำตามที่เขาแนะนำก็พบโรงแรมที่ว่าอยู่ติดถนนใหญ่ เป็นโรงแรมกว้างมีห้องพักราว ๒๐–๓๐ ห้อง แต่มีแค่สองและสามชั้น (คือด้านหน้ามีสามชั้นด้านหลังมีสองชั้น) เมื่อขับรถเข้าไป บริเวณภายในกว้างขวางมีที่ให้จอดรถได้สะดวกสบาย มีรถสิบล้อ รถตู้ รถบรรทุกสี่ล้อ หกล้อ อันเป็นรถส่งของจอดอยู่มากมายที่ด้านหน้า ระดับของผมควรจะอยู่ตรงนี้ ผมบอกตัวเองและดีใจที่มาถูกที่ แถมพอเขาเห็นรถผมเป็นรถเก๋ง แม่บ้านของโรงแรมก็รีบเดินมาบอก ให้ผมนำรถไปจอดด้านหลังซึ่งเป็นที่เฉพาะสำหรับรถเล็ก

ด้านข้างที่ผมเลี้ยวเข้าไปมีโรงมีหลังคาให้จอดรถ ซึ่งไม่โดนฝนและน้ำค้าง แต่ในโรงมีรถเก๋งและรถกระบะจอดอยู่เต็มแล้ว ผมจึงขับเข้าไปจนถึงด้านหลังคนละฟากตึกกับที่จอดครั้งแรก ซึ่งผมดูว่ามิดชิดและปลอดภัยจากการถูกขโมยรถมากกว่า และสามารถมองลงมาจากชั้นบนที่ผมพักมองเห็นรถได้ หลังจากล็อคพวงมาลัยกับคลัตซ์และล็อคประตูแล้ว ผมก็ให้เด็กที่มายืนรอยกกระเป๋าขึ้นไป

ผมบอกที่เคาเตอร์ว่าต้องการห้องปรับอากาศ ถามเขาว่ามีทีวีไหมเขาบอกมี ผมก็ตกลงจ่ายค่าห้องไป ๓๓๐ บาท และเด็กยกกระเป๋าพาผมขึ้นไปบนชั้นที่ ๒ ผมจ่ายทิปเด็กยกกระเป๋า ๒๐ บาททั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ยืนรอจะเอาค่าทิฟแต่ผมเรียกให้เอง เด็กชายวัยรุ่นกล่าวขอบคุณแล้วพูดว่า มีอะไรจะให้รับใช้เรียกได้นะครับ

ในห้องพักมีห้องน้ำสะอาดพอสมราคา แต่ทีวีดูโบราณไปหน่อย ผมลองกดปุ่มเดาผิดเดาถูกอยู่ ๒-๓ เที่ยวจึงหาช่องที่ต้องการได้ ทีวีตั้งไว้กับโครงเหล็กชิดผนังด้านเดียวกับห้องน้ำ สูงเสมอศีรษะเวลายืน แต่สามารถปรับจอให้ตั้งเอน หรือคว่ำลงพอเหมาะกับสายตาเวลานั่งดูหรือนอนดูได้ โดยนอนยื่นปลายเท้าไปหาจอทีวี ส่วนเตียงนอนพอนั่งนอนลงไปรู้สึกเหมือนมีน้ำอยู่ข้างใต้ เข้าใจว่าเป็นที่นอนน้ำ ซึ่งนุ่มสบายดีกว่า ที่นอนสปริงยัดฟองน้ำผสมใยมะพร้าวที่เคยนอน ผมเคยแต่ได้ยินว่ามีที่นอนน้ำแต่ไม่เคยนอน เพิ่งจะครั้งนี้…

ผมยังไม่มีเวลาที่จะดูทีวีเพราะยังไม่ได้กินข้าวมื้อค่ำ และรู้สึกหิวจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำ ในห้องไม่มีอ่างอาบน้ำให้ลงแช่อย่างห้องพักราคาแพง มีแต่ฝักบัว พอเปิดดูน้ำจากฝักบัวไหลแรงดี อาบน้ำเสร็จดูเวลาจะ ๔ ทุ่มแล้ว รีบแต่งกายใหม่แล้วลงไปที่เคาเตอร์ข้างล่าง ถามพนักงานเรื่องร้านอาหาร เขาบอกว่าในคาเฟ่ของโรงแรมก็มีอาหารขาย และย้ำว่าราคาไม่แพงด้วย

พอผมจะเดินออกข้างหน้า เขากลับชี้ประตูที่ต่อกับคาเฟ่ให้ ผมเดินจากโรงแรมทะลุเข้าไปในคาเฟ่ซึ่งมีไฟสลัว อากาศเย็นฉ่ำ นักร้องกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที มีแขกมาเที่ยวอยู่ ๓ - ๔ โต๊ะ โต๊ะละ ๔-๕ คน นอกนั้นมีแต่โต๊ะที่ว่างเปล่า

พนักงานสาวในชุดขาวดำ ท่าทางเหมือนนักศึกษามาหางานทำกะกลางคืน รีบเดินเข้ามาต้อนรับ ผมเลือกนั่งโต๊ะหน้าสุดใกล้ประตูที่เข้ามา เพราะนึกถึงตอนไปดูดนตรีที่จะต้องเลือกที่นั่งหน้าสุดไว้ก่อนเพื่อจะได้ดูนักร้องได้ถนัดตา และจากที่ผมนั่งยังมองเข้าไปเห็นห้องที่นักร้องแต่งตัว พนักงานสาวถามผมว่าจะกินอะไร ผมสั่งอาหารจานเดียว เป็นข้าวผัดกะเพราหมู โปะไข่ดาวมา ๑ ใบ

อยากจะดื่มเบียร์ แต่ความเคยชินที่เคยไปตามห้องอาหารหรือคาเฟ่ ผมมักไปกับเพื่อนหลาย ๆ คน และสั่งเบียร์เป็นขวด ๆ มากิน เลยคิดว่าถ้าสั่งเบียร์มาจะเหลือทิ้งเปล่า ผมจึงสั่งน้ำส้มคั้นมาจิบแทนขณะรออาหาร
ผมไม่เคยเข้าไปใน บาร์ คาเฟ่ หรือร้านอาหารประเภทหรูหรา มีนักร้อง มีเครื่องปรับอากาศ แบบไปคนเดียวเลยสักครั้ง ถ้าเข้าไปคนเดียวผมจะวางตัวไม่ถูก ยิ่งเมื่อมีผู้หญิงสาว ๆ แปลกหน้าหรือนักร้องมานั่งด้วย อีกอย่างในวัยเด็กผมมีแต่ความลำบากยากจน ถึงขนาดต้องอาศัยวัดเรียนหนังสือ ความรู้สึกนั้นจึงยังฝัง และติดตรามาจนถึงปัจจุบัน

ถ้าผมไปไหนคนเดียวผมจึงมักจะเข้าแต่ร้านอาหารข้างถนน แบบที่คนทั่ว ๆ ไปเขาเข้ากัน แต่คืนนี้ที่เข้ามาเพราะไม่อยากออกไปเดินหาไกล ๆ และเวลาก็ดึกดื่นแล้วด้วย

ถัดจากประตูด้านโรงแรมที่ผมเดินเข้ามา มีโซฟาตั้งล้อมรอบโต๊ะเตี้ย ๆ วางอยู่ชิดติดผนังชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่ห้องแต่งตัวของนักร้อง ตอนเข้ามาผมเห็นมันว่างแต่อีกครู่เดียว มีนักร้อง ๔-๕ คนในชุดสีกลืนกับความมืดมานั่งอยู่ และมองมาที่ผมตลอดเวลา…

ผมได้น้ำส้มคั้นมาก่อนจึงจิบแก้คอแห้ง หรือว่าไปอีกทีคือจิบแก้เขินเพราะนักร้องมองมา ครู่ใหญ่ๆ พอพนักงานเสิร์ฟนำอาหารมาวาง ผมก็รีบจัดการกับอาหารทันทีด้วยความหิว เพราะผิดเวลาอาหารค่ำมาตั้ง ๔-๕ ชั่วโมง อาหารที่สั่งมาเป็นข้าวจานใหญ่ ถ้าไม่หิวจัดอาจจะเหลือ ความหิวจึงพอเหมาะกับปริมาณของอาหาร รสชาติที่อร่อยอยู่แล้วก็ยิ่งอร่อยมากขึ้น แม้ข้าวจะค่อนข้างแข็งเพราะไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ กิน ๆ ไปใจก็อดคิดพิเรนๆไม่ได้ว่า นี่ถ้าเขาใส่อะไรที่ไม่น่ากินมาก็ต้องกิน เพราะมองไม่เห็นอะไร

ความอร่อยและหิวทำให้ลืมมองไปที่กลุ่มนักร้อง ๔ - ๕ คนที่โซฟา ว่าเธอหายไปทางไหนแล้วไม่รู้ แต่มีเหลือให้นั่งดูผมอยู่ ๑ คน ส่วนบนเวทีก็มีนักร้องทยอยกันขึ้นไปร้องเพลงตามคิว และผมก็มักจะจ้องมองแต่นักร้องที่บนเวทีมากกว่า เพราะมีไฟส่องจับเฉพาะให้มองเห็นเรือนร่างและความสวย ความสาวของเธอ

คงจะมีแขกใหม่เข้ามาทางด้านหลังผม พวกเธอ ๆ นักร้องจึงไปหาแขกทางนั้น ส่วนทางผมเธอคนที่นั่งอยู่คนเดียวยังคงเฝ้าจับตามองผม ผมกินอาหารเสร็จหันซ้ายหันขวามองหากระดาษเช็ดปาก เธอหรือนักร้องคนนั้นจึงลุกไปหยิบกระดาษทิชชู่ จากอีกโต๊ะมาให้ผม ทั้ง ๆ ที่หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของพนักงานเสิร์ฟ ที่แต่งกายคล้ายนักศึกษา แต่เธอหายไปทางไหนหมดไม่รู้ ผมรู้ว่าผมควรจะพูดอะไรกับเธอบ้าง จึงเริ่มประโยคแรก

“ว่างหรือเปล่านั่งคุยกันก่อนซี” เธอก็นั่งลง “คืนนี้แขกน้อยจังนะครับ” ผมต่อด้วยประโยคต่อมา
“ค่ะตั้งแต่เศรษฐกิจทรุด คนประหยัดกันหมดไม่ค่อยมาเที่ยว พวกหนูเลยแย่ พี่มาจากไหนคะไม่เคยเห็น”
“ผมมาจากชุมพร”
ผมพยายามไม่เรียกตัวเองว่าพี่ เพราะละอายปากและอดนึกถึงเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่ง “เรียกพี่ได้ไหม” ของเสรี รุ่งสว่าง ไม่ได้ ที่มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “เรียกพี่จะให้กินขนมหมื่นห้า แต่เรียกลุงเรียกตา… เลิกกัน…” ทั้งที่ในใจผมมันไม่เคยบอกตัวผมเลยว่า

“เอ็งน่ะอายุใกล้จะหกสิบแล้ว” มันคอยแต่ให้ความรู้สึกเหมือนว่า ผมยังอายุแค่ ๓๐ - ๔๐ อยู่ร่ำไป (ผมไม่ได้แกล้งทำ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่าว่าผมเลย)

“เดินทางมาเที่ยวหรือคะ แล้วทำไมมาคนเดียว เพื่อน ๆ พี่นอนพักหรือคะ”
“เปล่า ผมขับรถมาคนเดียว ไม่มีใครมาด้วยเลย”
“ต๊าย - ตาย ! พี่ขับรถมาเองมาคนเดียวจากชุมพร มาตั้งไกล…ขับมารวดเดียวเลยหรือคะนี่”
“ครับ… ผมอยากเที่ยวแต่ชวนใครแล้วเขาไม่มา… ก็เลยมาคนเดียว”

ผมพูดช้า ๆ และคำว่าใคร ผมจะไม่ขยายความเด็ดขาดว่า หมายถึงลูกและภรรยา แต่อยากจะให้เธอจินตนาการเอาว่าผมคงเป็นพ่อม่าย หรืออยู่จนแก่แต่ยังไม่มีลูกมีเมียอะไรเทือกนั้นมากกว่า อีกอย่างหนึ่งคือ ผมนั้นแม้จะมีอายุใกล้หกสิบ แต่ใคร ๆ มักจะคิดว่าผมอายุ ๔๐ กว่าเสียมากกว่า ข้อนี้ผมมิได้พูดเพื่อให้กำลังใจตนเอง แต่เอามาจากอาจารย์... ชาวบุรีรัมย์ ที่เขียนจดหมายบอกคุณถนอม บัวนาคที่เกาะสมุย ว่าผมอายุราวสี่สิบกว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะผมมีร่างเล็ก หน้าตาไม่เหี่ยวย่นและผมบนศีรษะยังดำทุกเส้น

“เคยมาสุพรรณหรือเปล่าคะ” นักร้องถามผมต่อ
“เคยแต่ขับผ่านอู่ทองไปเชียงใหม่… แต่สุพรรณเพิ่งครั้งแรกในชีวิต ขับสุ่มสี่สุ่มห้ามางั้นแหละ… มาตามแผนที่น่ะ… ดูแผนที่แล้วขับรถมา” ผมบอกตามความเป็นจริง

“ขับรถคนเดียวไม่กลัวหรือคะพี่”
“ก็ไม่เห็นน่ากลัวอะไรนี่ ปรกติอยู่ที่โน่นเวลาจะไปไหนมาไหน ผมก็ขับคนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว”
“แต่ทางใกล้บ้านเองกับทางไกลต่างจังหวัด มันต่างกันมากนะคะ”
“ไม่ต่างกันหรอก ทางไกลกับทางใกล้มันก็คืออันเดียวกัน คุณลองขับรถระหว่างอำเภอกับจังหวัดหลาย ๆ เที่ยว… ขับไปขับมาทั้งวันดูซี ระยะทางมันจะพอ ๆ กันหรือไกลกว่าเสียอีก”
“แต่ขับในบ้านเราเองกับขับในต่างจังหวัด ความรู้สึกมันไม่เหมือนกันนะคะพี่”

เป็นเหตุผลที่ถูกต้อง แต่ผมก็ยังแย้งว่า…“แผ่นดินไทยทุกตารางนิ้วคือบ้านของเรา เราพูดภาษาเดียวกัน แม้จะสำเนียงต่างกันบ้างแต่ก็คือภาษาไทยยังฟังกันรู้เรื่อง… ทีชาวต่างประเทศคนละภาษา บางทีพูดกันไม่รู้เรื่องเลยทำไมเขายังมาบ้านเราได้ เขาเที่ยวเสียปรุไปหมดทุกพื้นที่ ผมเห็นเขาถีบจักรยานมาเที่ยวคนเดียวก็มี ทั้งหญิงทั้งชายไม่เห็นเขากลัวอะไร เราคนไทยอยู่ประเทศไทย คนไทยทุกพื้นที่จึงเป็นพี่น้องเป็นญาติและเชื้อสายเดียวกัน”

เธอเงียบไม่โต้แย้ง หรืออาจได้ความคิดใหม่โดยเห็นจริงตามคำของผม
“คุณจะทานอะไร สั่งได้ทุกอย่างตามสบายเลยนะ” ผมเปลี่ยนมาเป็นเอาใจใส่เทคแคร์เธอบ้าง พอดีกับพนักงานเสิร์ฟชุดขาวดำเดินเข้ามา (เหมือนคอยทีหรือรอจังหวะอยู่แล้ว)
เธอสั่งน้ำมะตูม ผมจึงถือโอกาสสั่งกาแฟต่ออีกชุด แล้วเราก็นั่งคุยกันต่อไป

ระหว่างที่นั่งคุยกันผมเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุประมาณ ๑๐ ขวบคนหนึ่งเดินเข้าเดินออกอยู่ในห้องพักหรือห้องแต่งตัวนักร้อง ส่วนบนเวทีนักร้องในชุดวาบหวาม รัดรูป เปิดอก โชว์ท่อนขา คอยผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปร้องเพลงไม่ขาดระยะ แต่หาคนจะคล้องพวงมาลัยไม่มีเลย จึงราวกับว่าเธอ ๆ จะมาฝึกซ้อมร้องเพลงอยู่พวกเดียว…

ดังนั้นอีกช่วงต่อมา จึงมีเสียงเด็กหญิงร้องเพลง แต่ร้องอยู่หลังเวทีไม่ออกมาโชว์ตัว ทว่าเสียงดีมาก ผมถามเธอที่นั่งอยู่กับผมว่า เด็กที่ร้องเพลงเป็นใครทำไมไปร้องอยู่หลังเวที เธอตอบว่า
“ลูกสาวเจ้าของคาเฟ่ค่ะพี่ ตอนนี้โรงเรียนปิดเธอมาเที่ยวแล้วก็ฝึกร้องบ่อย ๆ เพราะเจ้าของคาเฟ่ (ที่ควบคุมเสียงดนตรีจากเครื่องคอมพิวเตอร์)เป็นครู เขามาเช่าห้องอาหารในโรงแรมนี้ทำคาเฟ่”

เด็กหญิงร้องจบก็มาเดินไปมาอยู่อีกต่อ ผมให้เธอเรียกเด็กหญิงมาที่โต๊ะ และผมจ่ายค่าทิฟไป ๔๐ บาทพร้อมกับชมว่า
“หนูร้องเพลงเพราะดีนะจ๊ะ อ้าวนี่ลุงให้รางวัล” เด็กหญิงยกมือไหว้รับเงินแล้วกลับไป
ผมบอกเธอต่อไปว่า “ผมก็เป็นครูนะ เห็นเด็กเก่งแล้วอดส่งเสริมไม่ได้” แต่ผมไม่บอกว่าผมลาออกแล้ว

“น้อง - เอ้อ…เป็นคนสุพรรณหรือเปล่า” ผมถามต่อแต่อดรู้สึกเขินกับคำเรียกที่เธอว่า น้อง ไม่ได้แต่พอนึกได้ว่า ที่บ้านผมก็เรียกเด็ก ๆ หลานๆ หรือใช้คำแทนตัวหลานว่า น้อง เหมือนกันก็เลยตัดเขินทิ้งไปได้ เพราะคำว่าน้องไม่ได้หมายความว่า ผู้เรียกจะต้องเป็นพี่ผู้ถูกเรียกเสมอไป แต่เป็นคำแทนตัวเด็กๆ ทั้งหลาย เป็นคำที่ทำให้เด็กผู้ถูกเรียกน่ารักมากกว่าอย่างอื่น

“เปล่าค่ะพี่ หนูมาจากจังหวัดน่าน”
“ร้องเพลงในคาเฟ่นี่รายได้คงดีซีนะ”
“พวกหนูไม่มีเงินเดือนหรอกพี่ รายได้มีแต่เปอร์เซ็นต์ค่าพวงมาลัยที่ได้จากแขก แต่ตอนนี้แขกไม่ค่อยมีแทบอยู่กันไม่ได้ แต่ละคืนไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเลย”
แสดงว่าข้อมูลที่ผมได้มาจากนักร้องที่ชุมพร เป็นเรื่องจริง ผมมองรอบ ๆ แล้วก็เห็นด้วย “แล้วเขาให้ยังไง” ผมถามต่อ
“คนละครึ่งกับเจ้าของคาเฟ่พี่” (นี่ก็จริงอีก)
พอถึงคิวเธอขึ้นร้องเพลง เสียงเธอใช้ได้ทีเดียว แต่ผมไม่คล้องพวงมาลัยให้เธอ เธอร้องจบก็มานั่งคุยกับผมต่อ ผมจ่ายทิฟเธอไป ๒๐๐ บาทและบอกว่า
“ผมให้อย่างนี้ดีกว่า ไม่ต้องไปซื้อพวงมาลัยแบ่งให้เจ้าของคาเฟ่”

ผมคุยกับเธอจนเที่ยงคืนกว่า ๆ จึงบอกเธอว่า “ผมคงต้องขอกลับไปนอนก่อน วันนี้ก็ขับมาไกล พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางต่อไปนครราชสีมา แล้วไปอีกหลายจังหวัด ไปชัยภูมิ อุดร ขอนแก่น เชียงใหม่ เชียงราย แล้วกลับลงมาบุรีรัมย์ ถ้าไม่หมดแรงเสียก่อนก็จะลงไปถึงจันทบุรี ระยอง ชลบุรี แล้วก็กลับบ้านชุมพร”

เธอพูดว่า “พี่เป็นคนแปลกที่สุด ตั้งแต่หนูเคยพบเห็นมา หนูขอให้พี่โชคดี เดินทางปลอดภัยนะคะพี่” เธอยกมือพนมไหว้ผมพร้อมกับคำอวยพร
ผมรับไหว้กล่าวคำขอบคุณและพูดว่า “ผมเป็นนักเขียน ชอบทำอะไรไม่เหมือนใครหรอก ที่ขับรถมาเที่ยวกระทั่งได้นั่งคุยกับคุณนี่ ผมถือว่าได้กำไรคือได้วัตถุดิบเอาไปเขียนลงหนังสือ ทุกครั้งที่ออกเดินทางผมมักได้เรื่องเอาไปเขียนแลกเป็นเงินกลับมาได้ทุกครั้ง”

เธอยิ่งทำท่าสนใจผมยกใหญ่ แต่ผมกลับเรียกพนักงานเสิร์ฟมาเช็กบิล ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่มของผม และของเธอซึ่งเป็นเงินแค่ ๑๔๐ บาท ผมจ่ายทิฟคนเสิร์ฟไป ๑๐ บาทค่าที่ไม่ค่อยมาดูมาแลผม แล้วก็เดินกลับเข้าไปในโรงแรม ทางประตูเดิม



Create Date : 03 กันยายน 2550
Last Update : 3 กันยายน 2550 1:00:46 น. 10 comments
Counter : 933 Pageviews.

 
โห...อาบูลย์
นี่ตีหนึ่งกว่าแล้วหนา
ยังไม่หลับไม่นอนอีก
นอนผิดเวลา
ระวังนอนไม่หลับนะ

เรื่องนี้เคยอ่านแล้วหนา
เป็นอันว่าลงทุนเป็นตัวเงิน 150 บาท
แต่ลงแรงและลงใจมากกว่าตัวเงินซะอีก
กว่าจะได้เรื่อง ๆ หนึ่งไปลงหนังสือ


โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.175.188 วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:1:44:23 น.  

 
อ้อ อาบูลย์
ลืมไปมีค่าห้องพัก
และค่าเด็กยกกระเป๋าอีก 350 บาท
ค่าทิปนักร้องอีก 240 บาท
(เดี๋ยวจะว่าอ่านไม่ละเอียด)
รวม 590 บาท
บวกค่าเครื่องดื่มค่าเด็กเสริฟ์ข้างบน 150 บาท
เบ็ดเสร็จรวม 740 บาท
(เฮ้อ...คิดเงินเหนื่อย)

แล้ว...ได้ค่าเรื่องคืนมาเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ ?
(สงสัยเขียนต่อได้หลายเรื่องนะเนี่ย )


โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.175.188 วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:1:52:47 น.  

 
แวะมาอ่านครับ


โดย: boatboat วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:13:15:26 น.  

 
ไม่รู้ ไม่ได้คิดอะไรเลยหนอน ตอนนั้นแบบว่ามีเงินเต็มกระเป๋า แต่ว่าบทจะเหนียวขึ้นมาก็น่าดูเหมือนกันนะ ชอบให้คนอื่น เกรงใจคนอื่น แต่กับตัวเองเหนียวได้เป็นเหนียว แล้วจะเล่าตอนหน้าว่าเหนียวอย่างไร

หนอนอ่านแล้วเพราะอาเขียนไปลงต่วยตูน แต่ในต่วยตูนบางอย่างไม่เอาลง คือเซ็นเซอร์น่ะ มาตอนนี้เอาที่ไม่เซ็นเซอมาลงหลายที่ แต่บางที่หลังจากลงไปแล้วมานั่งนึก ๆ เอ๊ะ บางที่ไม่ได้ ย้อนกลับมาแอบเซ็นเซอร์(ตัดออก)ก็มีแฮ่ ๆ

ตอนหน้าจะนำไอ้ที่ตอนแรกไม่ได้เล่ามาเล่า ที่เอามาลงใหม่เพราะกำลังคิด ๆ จะส่งประกวดนายอินทร์ ไม่รู้ผิดกติกาหรือเปล่า อย่างลายข้างโลงตอนนี้ก็เงียบ ไม่เห็นต่อติดมาเลย


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.236.118 วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:14:35:51 น.  

 


แวะมาอ่านอย่างสม่ำเสมอค่ะลุงบูลย์ นี่พอนกอายุเยอะๆ นะ จะขับรถไปตระเวณเที่ยวคนเดียวมั่ง ถ้าจะดี เนอะลุงบูลย์


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:14:50:44 น.  

 
แวะมาอ่านประจำ วันนี้นึกครึ้มในอกเพราะฝนข้างนอกพรมจูบหลังคาสังกะสียามดึกได้ไพเราะนัก ยังคิดถึงเสมอแม้จะไม่ได้ส่งข่าวคราวไปหา


โดย: ครูคม IP: 203.146.63.184 วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:3:55:45 น.  

 
แวะมาทักก่อน..
ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะลุง
วันนี้จะไปชุมพร...ส่งยายเปียไปบ้านศพญาติ...
อยากไปหาลุงบูลย์เหมือนกัน
แต่ไม่แน่ใจ....เพราะดูสถานการณ์บ้านเมือง(บ้านศพก่อน)
ถ้าไม่มีที่นอน...คงต้องขับรถไปขอซุกสองหัวสักคืนค่ะ....


โดย: ปลายแปรง IP: 203.113.17.148 วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:9:44:25 น.  

 
....สวัสดีคุณ boatboat ..................ต้องขอโทษที่ตอบช้าพาเชือนเฉย
แวะมาว่าขอบคุณเหมือนคุ้นเคย........นับถือเลยในน้ำใจไม่มองเมิน

.....สวัสดีหนูหน้าใสหทัยชนก...........มาต่อกลอนอย่างกรีบเหาะเหิน
บล็อกจะร้างอีกแล้วแผ่วคนเดิน.........บอกส่วนเกินว่าลุงแก่หมดแง่งาม

.....สวัสดีครูคมเคยชมชอบ.............มาแล้วหอบหนีห่างร้างสนาม
ไปเจ๊าะแจ๊ะจ๊ะจ๋าหน้าติดตาม............บล็อกคนสวยล้นหลามหลากความคม

.....สวัสดีปลายแปรงแซงตลอด.......เชิญมาจอดรถจิบน้ำขมขม(น้ำบัวบก)
คนแก่งักรักคุดสุดระทม.................เพราะไร้มนตร์คนไม่นิยมเขาไม่มา....

.......





โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:17:42:34 น.  

 
สวัสดีครับพี่บูลย์


(ผมยกเอาที่ตอบคอมเม้นท์พี่บูลย์ที่บล็อกผม เปลี่ยนธีมบล็อกแล้ว พี่สามารถเปลี่ยนสีแบ็คกราวนด์ได้ตามใจชอบ และถ้าต้องการตัวสถิติกระพริบๆที่มุมขวาด้านบน ว่ามีใครออนไลน์อยู่บ้าง เข้ามากี่คน เปิดกี่ครั้ง พี่ก็ดับเบิ้ลคลิกที่บล็อกผมได้เลย แล้วพี่ก็มากรอกตามที่เขาบอกให้กรอก

ผมว่าสถิตินั่นไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก แต่มันกระพริบๆๆ ทำให้บล็อกมีชีวิตชีวา แล้วมันรู้สึกแปลกๆดีนะเวลาที่เราออนไลน์พร้อมกับใครสักคนหรือสองสามคน

ลุ้นให้เอาใจช่วยทำบล็อกให้สวยยิ่งๆขึ้นนะครับ



พี่ก้อพูดเกินไป..

ศิลปินในความคิดของผมคือบุคคลที่ทำงานศิลปะ ไม่ว่าจะทำงานสาขาใดก็ตาม เขียนรูป เขียนหนังสือ ร้องเพลง แต่งเพลง ฯลฯ

คือทำงานอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับศิลปะ และมีผลงานศิลปะออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม

แต่เราคงเคยได้ยินว่าคนนั้นคนนี้ "อารมณ์ศิลปิน" ไหม ?

ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอารมณ์ศิลปินน่ะคืออารมณ์แบบไหน ?

พี่บูลย์นั่นแหละศิลปินตัวจริง ทำงานศิลปะตั้งหลายอย่าง ทั้งเขียนรูป แต่งเพลงลูกทุ่ง เขียนหนังสือ เขียนนิยาย เขียนเรื่องสั้น เขียนกลอน (ด้นสดได้เลย)


ผมน่ะทำอะไรเกี่ยวกับงานศิลปะไม่เป็นสักอย่าง ที่รักและชอบทำก็คืองานเขียนหนังสือนี่แหละ

แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นศิลปินกับขาเลย

เรื่องการทำงานของพี่บูลย์กับผมนั้น อย่ายกย่องผมถึงขนาดนั้นเลย (ไม่จริงหรอกน่า)

เราต่างก็ทำงานที่เรารักและเราถนัด ถึงแม้จะเขียนหนังสือเหมือนกัน แต่ก็มีความต่างกันในเรื่องที่เขียน

แต่ความต่างกันนั้นไม่ได้หมายความว่าของใครจะดีกว่าของใครนะครับ

ผมก็ดีใจที่ได้รู้จักกับพี่บูลย์ ถึงแม้บางครั้งจะมีกระแนะกระแหน ขบๆกัดๆกันบ้างเล็กๆน้อยๆ พอเป็นกระษัย ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองกัน

เรื่องเพลงลูกทุ่งที่อยากเอาลงบล็อกนั้น ลองเรียนรู้นิดหน่อยทำไม่ยากหรอกครับ ถ้าผมทำได้พี่บูลย์ต้องทำได้แน่นอน



โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.18.4 วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:7:32:12 น.  

 
เข้ามาอ่านสารคดีท่องเที่ยวของชายเปลี่ยวยามอาทิตย์กำลังตั้งดวงครับ.....
อ่านเพลินมาก อยากติดรถไปเที่ยวกับพี่อีกสักรอบ แต่กลัวหอบสองหอบจะหอบไม่หมด
ผมว่าพี่บูลย์น่าจะรวมเล่มนะ เชื่อว่าขายได้แน่นอน หรือลองส่งไปที่นิตยสารดูก็ได้
คิดถึงพี่เสมอ ไม่ขี้เท็จ ว่าจะไปเที่ยวบ้านพี่แต่ผอ.สั่งเปิดโรงเรียนเสียแล้วเซ้งเลย


โดย: กร ศิริวัฒโณ IP: 203.113.70.74 วันที่: 28 ตุลาคม 2550 เวลา:19:55:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.