ชวนอ่านนิยายรัก
ชื่อหนังสือ: เพียงเรามีกัน แค่นั้นพอ / Ensemble, cest tout ผู้แต่ง/ผู้แปล: แอนนา กาวาลดา / อธิชา มัญชุนากร สำนักพิมพ์: วงกลม วรรณกรรม: โรแมนซ์ฝรั่งเศส ราคา: 360 บาท อยากชวนอ่านหนังสือเล่มอ้วนที่เริ่มต้นด้วยการขโมยเพื่อนอ่าน แต่ผลก็คือ นอกจากจะอ่านรวดเดียวจบแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีอิทธิพลทำให้ (ถึงกับลงทุน) ไปซื้อหาเป็นของตัวเอง ทั้งที่ราคาแพงและมีข้อไม่ถูกใจผลิตภัณฑ์หลายประการ ที่จริง นึกฮึ่มๆอยากอ่านต้นฉบับเลยนะ แต่ความรู้ภาษาฝรั่งเศสที่เหลือน้อยกว่าหางอึ่งทำให้ต้องเจียมตัว และแอบเชื่อว่า (เพื่อน) ผู้แปลคงไม่ทำให้ผิดหวัง Ensemble, Cest Tout คือชื่อหนังสือในต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส และ เพียงเรามีกันแค่นั้นพอ คือชื่อหนังสือพากย์ไทย ซึ่งหากมองผ่านๆอาจฟังดูหวานและเบาจนดูเสี่ยงต่อการทำให้ผู้อ่าน (เช่นเรา) เมินหน้าหนีด้วยอคติ ก็เลยต้องลุกขึ้นมาเขียนเชียร์ เอ้ย...ไม่ใช่ เขียนชวนให้อ่าน เพราะแม้ชื่อหนังสือจะอ่อนหวาน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องรักหวานแหววของเธอกับฉัน แม้หลายบทผู้เขียนจะร้อยเรียงเรื่องราวละเมียดละมุนและจับใจจนชวนให้ต่อมน้ำตาสะท้านสะเทือน แต่หลายตอนก็แสดงอารมณ์ออกแนวดิบเถื่อน ผิดจากนิยายพาฝันไปหลายกระผีก คัดตอนหนึ่งที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อหนังสือมาให้อ่านเป็นตัวอย่าง มันดีกว่าครอบครัวแท้ๆเสียด้วยซ้ำ เป็นครอบครัวที่เลือกเอง อยากได้เอง ครอบครัวที่พวกเขาดิ้นรนขวนขวายเอง และไม่ได้เรียกร้องอะไรตอบแทน นอกจากให้มีความสุขร่วมกัน ถึงไม่มีความสุขก็ไม่เป็นไร พวกเขาไม่เรื่องมากอีกแล้ว เพียงอยู่ด้วยกัน แค่นั้นก็พอ แค่นี้ก็เกินความคาดหมายแล้ว ถ้ารู้ว่าพวกเขาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงชายหนุ่มกับหญิงสาวสองคน แต่เป็นหนึ่งหนุ่มเพี้ยน หนึ่งหนุ่มโหด หนึ่งสาวมีปัญหา และหนึ่งหญิงชราที่ถูกลักพาตัว จะรู้สึกว่าน่าสนใจขึ้นหรือยัง หนังสือหนา 694 หน้าเล่มนี้พูดถึงความสัมพันธ์ของชายหญิงต่างวัยสี่คนที่มีความแตกต่างชนิดไปกันคนละทิศละทาง และมีปมหนักหนาสาหัสในชีวิตกันคนละปมสองปม แน่ล่ะว่าเงื่อมปมในชีวิตนั้นย่อมมีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ไปต่างๆนานาสารพัด แต่แทนที่จะแกะ สาง หรือหาสาเหตุให้พบ น่าแปลกที่มนุษย์ส่วนใหญ่กลับเลือกจะเก็บปมนั้นไว้ และใช้ความสามารถส่วนตัวในการหลบซ่อน หลีกเร้น แสร้งใช้ชีวิตแต่ละวันไป โดยระมัดระวังและพยายามที่จะไม่แตะต้อง (และไม่ให้ใครแตะต้อง) ปม อันใหญ่อ้วนที่ซ่อนอยู่อย่างคาตาคาใจ จนกว่าจะถึงเวลา...ใช่ จนกว่าจะถึงเวลา เรื่องนี้มีตัวละครหลักอยู่สี่ตัว ซึ่งภูมิใจแนะนำให้รู้จักด้วยความรักเท่าๆกันหมด แต่เพื่อความยุติธรรม ขอเรียงตามลำดับอายุ (เดา) ก็แล้วกัน
- โปแล็ตต์ เลสตาฟิเอร์ หญิงชราที่อยู่ตามลำพังในบ้านชนบท เธอแก่ เจ็บ และหลงลืม แต่แสร้งทำตัวแข็งแรงและใช้ชีวิตอย่าง "พยายามให้" ปกติที่สุด เพราะกลัวจะถูกเอาตัวไปไว้บ้านพักคนชรา แต่ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง - ฟรองก์ เลสตาฟิเอร์ หลานชายวัยฉกรรจ์ของโปแล็ตต์ เป็นผู้ช่วยพ่อครัวขี้โมโห มีปัญหาในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เขาโหมทำงานหนักเพื่อหาเงินผ่อนมอเตอร์ไซค์ และทำในสิ่งที่บีบคั้นความรู้สึกตัวเองเพราะไม่มีทางเลือก นั่นคือการส่งยายไปอยู่บ้านพักคนชรา (อย่างดี) นั่นคือสิ่งดีที่สุดที่เขาทำได้ ยายอาจเป็นภาระหนักหน่วงสำหรับเขา แต่เขาก็รักยาย - ฟิลิแบรต์ มาร์เกต์ เดอ ลา ดูร์เบลลิแยร์ ชายหนุ่ม จอมเพี้ยน ผู้มีจิตใจงาม นักฝันผู้ฝักใฝ่ในประวัติศาสตร์ ฐานันดรอันสูงศักดิ์และการเลี้ยงดูที่เข้มงวดบีบบังคับให้เขาหมดความมั่นใจในตนเอง ฟิลูเป็นเจ้าของห้องพักหรูที่มีฟรองก์เป็นเพื่อนร่วมห้อง (ไม่รู้ทำไมตัวละครตัวนี้ถึงชวนให้นึกวอบแวบไปถึงตัวละครอายุแก่เกินร่วมสมัยอย่างดอนกีโฆเต้แห่งลามันช่าไปได้ อาจจะเป็นเพราะความไม่ปกติ จิตใจที่แสนดี หรือความบริสุทธิ์ต่อจริตสมัยใหม่ อะไรสักอย่างแถวๆนั้น) - กามีย์ โฟค สาวน้อยร่างผอมบางที่มีปมปัญหาลึกล้ำ หลังจากที่พ่อของเธอเสียชีวิต กามีย์ก็หยุดพูด หยุดกิน เธอเก็บงำเรื่องราวในอดีตไว้ พยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยยอมลืม เธอเลือกใช้ชีวิตเป็นพนักงานทำความสะอาดกะกลางคืน อาศัยอยู่ในรูใต้หลังคาที่คับแคบและเหน็บหนาวในอพาร์ตเมนต์หลังเดียวกับฟิลิแบรต์และฟรองก์ (ฉันเชื่อว่าคนอ่านจะรักและเอาใจช่วยเธอทันทีที่ได้รู้จัก) คนทั้งสี่ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด ทำร้ายตัวเองบ้าง ทำร้ายคนอื่นบ้าง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ถูกชะตากรรมชักจูงให้เกี่ยวร้อยความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน แม้จะไม่ใช่คนแบบเดียวกัน แม้จะเป็นผ้าเช็ดมือกับผ้าเช็ดปากที่จัดเป็นผ้าคนละประเภทที่มีหน้าที่ต่างกัน แต่การอยู่ด้วยกัน เกลียดกัน ปรับตัวเข้าหากัน ยอมรับกัน และช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ ทำให้แต่ละคนเติบโตและคลี่คลายปมของตนเองได้ อย่างที่คำโปรยปกหลังบอกว่า สิ่งที่ทำให้คนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้คือความงี่เง่า ไม่ใช่ความแตกต่าง ความเอาใจใส่และสายใยแห่งมิตรภาพเช่นว่านี้ ทำให้ชีวิตในช่วงสุดท้ายของหญิงชราอย่างโปแล็ตต์เปี่ยมเต็ม ทำให้คนติดอ่างอย่างฟิลิแบรต์สามารถเล่นละครเวที เอาชนะความกลัว และเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ ทำให้คนขี้ขลาดและหันหลังให้คนทั้งโลกอย่างฟรองก์ยิ้มสู้และเรียนรู้ที่จะเปิดรับความสัมพันธ์อย่างจริงจัง ทำให้กามีย์เริ่มออกจากเปลือกหุ้มอันแน่นหนาและกลับมาวาดภาพที่เธอมีพรสวรรค์อีกครั้ง และเมื่อถึงวันที่เส้นทางชีวิตมาถึงทางแยก บทเรียนที่ได้จากการอยู่ร่วมกันก็ทำให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะจัดการหรือปล่อยวางกับชีวิตต่อไป แต่เพราะเป็นนิยายรัก ก็เป็นธรรมดาที่จะมีพระเอกนางเอกให้ได้ลุ้นกัน แต่จะเป็นใครและจะลุ้นขึ้นหรือไม่ก็คงต้องตามไปอ่านเอง จึงจะรู้ว่า ในที่สุดผ้าเช็ดมือกับผ้าเช็ดปากจะอยู่ลิ้นชักเดียวกันได้หรือเปล่า แม้จะหนาและหนัก แต่ก็อ่านง่ายเพราะเนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นบทสนทนาโต้ตอบ (ที่แสนจะฉลาดล้ำ) หรือเป็นความคิดขัดแย้งกันของตัวละคร อ่านไปก็รู้สึกเหมือนดูละครเวทีในจินตนาการ เดี๋ยวก็มีตัวละครที่มีสีสันแสบๆคันๆ แต่น่ารักและน่าเห็นใจ ผลัดกันขึ้นมาปล่อยมุก เชือดเฉือน หรือพูดง่ายๆว่า เปล่งประกายบนเวทีให้เราหลงรัก แอบหยัน แอบยิ้ม แอบหัว แอบไห้ (ด้วยความซึ้งใจนะ ไม่ใช่เศร้าสลด) จนพลิกหน้าหนังสือตามแทบไม่ทัน นอกจากตัวละครสี่ตัวนี้แล้ว ยังมีตัวละครเล็กๆน้อยๆให้เราคิดถึงอีกหลายตัว เผลอๆอาจอ่านพลิกหน้าสุดท้ายแล้วถอนใจด้วยความเสียดายว่า อะไรฟะ...จบแล้วเหรอเนี่ย ก็ได้ สำหรับฉัน คงจัดให้หนังสือเล่มนี้เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากนิยายรัก (ย่อมาจากนิยายแห่งความรักและมิตรภาพ) เพราะแม้จะระบายสีโศกๆหมองๆถ่วงให้ความรู้สึกหนักอึ้งเป็นระยะๆ แต่ความรื่นรมย์ คม ขัน ที่แฝงอยู่ก็เรียกรอยยิ้มขึ้นมาสลับได้เรื่อยๆ และสิ่งที่ทำให้รักเรื่องนี้ที่สุดก็ตรงที่อนุญาตให้ปิดหน้าสุดท้ายด้วยรอยยิ้ม (ซึ่งถูกจริตชนเผ่า นิยมสุข สุขนิยม อย่างฉันเป็นอันมาก) อ่านจบแล้วเกิดความรู้สึกรักพลุ่งพล่าน รักตัวละคร รักคนเขียน และรักชีวิตเสียเหลือเกิน (อ้อ จะมีไม่รักก็สำนักพิมพ์นี่แหละ) ตามธรรมดาของคนช่างติ ก็คงจะจบอย่างชื่นมื่นไม่ได้ (ผิดวิสัยและผิดจรรยาบรรณน่ะ) เพราะสิ่งที่แย่มากสำหรับฉบับพากย์ไทยก็คือ ข้อผิดพลาดทางการพิสูจน์อักษรที่ชวนให้ระคายตาและขุ่นใจ โดยเฉพาะการสะกดคำและการพิมพ์อักขระตกหล่น บอกตามตรงว่าเสียดายหนังสือ และเสียดายที่เป็นสำนักพิมพ์วงกลม (ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์โปรดสำนักหนึ่ง) ถ้า (บังเอิญ) ขายดี จนถึงขั้นพิมพ์ครั้งที่สอง ขอฝากอย่างจริงใจให้ช่วยกรุณาพิสูจน์อักษรใหม่อีกสักรอบเถอะ (จะรับอาสาทำให้ก็เกรงจาย) อุตส่าห์ได้เรื่องดีแล้ว น่าจะทำหนังสือให้ออกมาดีด้วย นั่นพูดในฐานะคนทำหนังสือ ส่วนในฐานะคนเสพหนังสือ ก็ขอบอกว่า นิยายเล่มนี้ราคาขายค่อนข้างแพง สนพ.จึงไม่ควรเอาเปรียบผู้บริโภคด้วยการ (ทำให้คนซื้อคิดว่า) สักแต่ว่าทำ มันเสียน้ำใจคนซื้อนะจ๊ะ (แถมเล่มที่ได้มายังมีตำหนิด้วย จะเอาไปเปลี่ยนก็ไม่รู้จะเอาไปที่ไหน เพราะซื้อจากงานสัปดาห์หนังสือ กว่าจะอ่านจบ เจ้าของสำนักพิมพ์ก็ถอดบูธไปถึงไหนต่อไหนแล้ว) แต่เอาเถอะ เรื่องราวดีๆที่นำเสนอก็ทำให้พอจะหลับหูหลับตาควักกระเป๋าซื้อไว้ใช้ประโยชน์ด้วยการอ่านแก้โมโหหลายๆรอบได้ และถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมาให้เราได้อ่าน (และแนะนำให้คนอื่นอ่าน) กัน +++ ปล. เรื่องนี้มีหนังด้วยนะ เป็นหนังฝรั่งเศส เคยเข้ามาฉายที่สกาล่าพักนึง แต่ไปดูไม่ทัน เชื่อว่าอีกไม่นานคงมีภาคฮอลลีวู้ดออกมา เอ...หรือออกมาแล้วไม่รู้หว่า สำหรับคนที่หลงรักแอนนา กาวาลดา เธอเขียนหนังสือน่ารักอีกหลายเล่ม แปลเป็นภาษาไทยโดยผู้แปลคนเดียวกัน แต่อาจจะต่างสำนักพิมพ์บ้าง ทุกเล่มล้วนมีชื่อหวานปานหยด เช่น "ฉันเคยรัก" "อยากให้ใครสักคนรอฉันอยู่ (ที่ไหนสักแห่ง)" (เฮ้อ...ฟังชื่อแล้วต้องหยุดบี้มดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนแปลตั้งหรือสำนักพิมพ์เลือก แต่เท่าที่รู้จัก เพื่อนผู้แปลก็ไม่น่าจะหวานเลี่ยนขนาดนี้นะ เอ...หรือจะเป็นอิทธิพลของหวานใจชาวปารีเซียงหนอ) แต่ช่างเถอะ ชื่อเรื่องน่ะเรื่องเล็ก เชื่อว่าถ้าอ่านเรื่องนี้แล้วชอบ คงไม่มัวนั่งเกี่ยงเรื่องชื่อ แต่จะไปขวนขวายหาเรื่องอื่นๆของเธอมาประดับชั้นหนังสืออย่างเต็มใจโดยพลันกันมากกว่า ส่วนพากย์ภาษาอังกฤษชื่อ Hunting and Gathering (ฟังชื่อแล้วเหมือนรพินทร์ ไพรวัลย์ ตามล่าผีดิบมันตรัย...ไปโน่นเลยเนอะ) แปลโดย เอลิสัน แอนเดอร์สัน เอาปกมาเทียบกันไว้เพราะเลือกไม่ถูก รู้สึกว่าน่ารักไปทั้งสองปกเลยเชียว
Free TextEditor>
Create Date : 03 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 5 ตุลาคม 2551 18:05:52 น. |
|
0 comments
|
Counter : 564 Pageviews. |
|
|