สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
กิน 'ถั่วงอกดิบ' มีโทษจริงหรือ ?





ใครที่ชอบรับประทาน “ถั่วงอกดิบ” กับ ขนมจีนน้ำยา หรือ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ทราบหรือไม่ว่า “ในถั่วงอกดิบมีสารพิษที่เรียกว่า “ไฟเตต” ซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไป จะไปจับแร่ธาตุบางชนิด ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย จะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม จึงควรรับประทานถั่วงอกสุก ดีกว่าถั่วงอกดิบ”

ไฟเตต จะพบมากในพืชตระกูล ถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว หรืองา ดังนั้นในถั่วงอกดิบจึงมีไฟเตตสูง แต่ถ้าปรุงให้สุกไฟเตตจะสลายไป หรือมีปริมาณน้อยลง โอกาสที่ไฟเตตจะไปดูดซับแร่ธาตุต่าง ๆ จึงน้อยกว่าการรับประทานดิบ ๆ

ไฟเตตจะมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ มัน จะไปจับ หรือดูดซับธาตุแคลเซียม เหล็ก สังกะสี และฟอสฟอรัส หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ ร่างกายจะไม่ สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่า นี้ได้

ถ้าเรารับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุเหล่านี้เข้าไป พร้อมกับถั่วงอกดิบ
ไฟเตตก็จะดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น เรารับประทานปลาเล็กปลาน้อย เพื่อหวังจะได้รับแคลเซียม ขณะเดียวกันก็รับประทานถั่วงอกดิบเข้าไป ก็จะทำให้ร่างกายดูดซึม ธาตุแคลเซียมได้น้อย แต่จะถูกขับออกมาทาง อุจจาระหรือปัสสาวะมากกว่า

การรับประทานถั่วงอกดิบต่อมื้อหรือ ต่อวัน ในปริมาณมาก ๆ เป็นกิโลกรัม ถือว่าเป็นอันตราย แต่ในชีวิตประจำวันของคนเราไม่ได้รับประทานถั่วงอกมากมายขนาดนั้น จึงไม่ต้องกลัว ถ้ากลัว ก่อนที่จะรับประทานก็ควรปรุงให้สุกก่อน เพราะการปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ไฟเตตจะไม่สลายไปหมด ไฟเตตก็ยังคงมีอยู่

ส่วนใหญ่คนทั่วไปมักจะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ และไม่รู้ว่าอาหารชนิดใดมีไฟเตต
อยู่บ้าง ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า การรับประทานอาหารทุกอย่างสด ๆ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป

คนที่ชอบรับประทานขนมจีนน้ำยา หรือ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยกับถั่วงอกดิบ หากเกรงว่าถั่วงอกดิบจะไปดูดซับแคลเซียมหรือแร่ธาตุตัวอื่น ก็อาจจะกินกุ้งแห้งมากหน่อย เช่น ผัดไทยก็ใส่กุ้งแห้งเพิ่ม เพราะผัดไทยนอกจากจะมีถั่วงอกแล้ว ยังมีถั่วลิสงโรยด้วย

ส่วนถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ก่อนที่จะนำไปปรุงให้สุก ควรนำไปแช่น้ำก่อนสัก 3 ชั่วโมง จะทำให้ไฟเตตและแป้งในถั่วคลายตัวลง พอนำไปปรุงจะทำให้สุกเร็วขึ้น ไม่ไปหมักต่อในท้อง จนทำให้ท้องอืด

นอกจากถั่วงอกและพืชตระกูลถั่วที่มีไฟเตตแล้ว นพ.กฤษดา บอกว่า ยังพบไฟเตตในผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ขี้เหล็ก ผักโขม กลิ่นเหม็นเขียวที่เราพบในผักนั่นแหละ คือ กลิ่นของไฟเตต นอกจากนี้ยังพบในผลไม้ เช่น สับปะรด ลำไย มะม่วง ทุเรียน แก้วมังกร รวมไปถึงเต้าหู้ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต แต่ปริมาณ ที่พบน้อยกว่าพืชตระกูลถั่วมาก อย่างสับปะรดเป็นผลไม้ที่มีไฟเตตมากที่สุดก็มีเพียง 0.09% เท่านั้น

ที่น่าสนใจคือมีงานวิจัยของต่างประเทศ ระบุว่า ไฟเตตมีส่วนทำให้เซลล์ที่ลำไส้ใหญ่ตายเร็ว และยังทำให้เซลล์เปลี่ยนหน้าตาเร็ว แต่ก็ยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันว่า ไฟเตตมีผลต่อการเกิดมะเร็งลำไส้หรือไม่

ท้ายนี้หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ไม่ได้ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนก แต่อยากให้เดินทางสายกลาง คือ จะรับประทาน อะไร ไม่ซ้ำซากหรือมากจนเกินไป หากท่านไม่รับประทานพืช ผัก ทีเป็นกิโล ๆ การรับประทานดิบ ๆ ก็คงไม่มีปัญหา ส่วนผลไม้ก็ไม่น่ากลัวเพราะมีปริมาณไฟ
เตตน้อยมาก ๆ.




Create Date : 21 ธันวาคม 2551
Last Update : 21 ธันวาคม 2551 9:48:49 น. 2 comments
Counter : 1058 Pageviews.

 
ข้อมูลดีจังเลย.....


โดย: POODPEED.. วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:15:52:32 น.  

 


โดย: น้องเมย์น่ารัก วันที่: 22 กรกฎาคม 2557 เวลา:11:11:08 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
21 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.