สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
ตำนานบั้งไฟพญานาค มหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง






“บั้งไฟพญานาค” เป็นปรากฎการณ์ของการเกิดลูกไฟสีชมพู
พวยพุ่งขึ้นจากกลางลำน้ำโขงสู่อากาศ โดยลูกไฟนั้นไม่มีควัน
ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง พุ่งสูงประมาณ 20-30 เมตร แล้วหายไป
โดยไม่มีการโค้งลงมา เช่น บั้งไฟทั่วไป ขนาดของลูกไฟมี
ตั้งแต่ขนาดเท่าหัวแม่มือ กระทั่งขนาดเท่าฟองไข่ไก่ เกิดขึ้น
เป็นจำนวนไม่แน่นอน ตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึง 2-3 ทุ่ม สถานที่
เกิดมักเป็นลำน้ำโขง ในท้องที่อำเภอโพนพิสัย อำเภอปากคาด
อำเภอสังคม อำเภอศรีเชียงใหม่ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
และบริเวณอื่นๆ บ้าง เช่น ตามห้วยหนองที่อยู่ใกล้แม่น้ำโขง


วันเวลาที่เกิด “บั้งไฟพญานาค” จะเป็นปรากฏการณ์ที่แน่นอน
คือตรงกับ วันออกพรรษา วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถ้าปีใดมี
เดือน 8 สองหน ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ
เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันออกพรรษาของลาว

ความเชื่อและตำนาน

ลำน้ำโขง

คนไทยทางภาคอีสานโดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขง
และคนลาวแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมี
ความเชื่อกันมานานแล้วว่า แม่น้ำโขง เกิดจากการเดินทาง
ของนาคตนหนึ่งชื่อว่า ปู่เจ้าศรีสุทโธ นาคตนนี้เมื่อเลื้อยไป
เจอภูผาหรือก้อนหินก็เลี้ยวหลบ ผิดกับนาคตนอื่นๆ ที่จะ
เลื้อยผ่าตรงไปเลย เส้นทางการเดินของเจ้าศรีสุทโธจึงมี
ลักษณะคดเคี้ยวไปมา เรียกกันว่า ลำน้ำคดหรือลำน้ำโค้ง
แล้วต่อมาเพี้ยนเป็น ลำน้ำโขง


ตำนานการเกิดบั้งไฟพญานาค

ครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พญาคันคาก ได้จุติอยู่
ในครรภ์ของพระนางสีดา เมื่อเติบใหญ่ได้บำเพ็ญเพียรภาวนา
จนพระอินทร์ชุบร่างให้เป็นชายหนุ่มรูปงาม พระอินทร์ได้
ประธานนางอุดรกุรุตทวีปเป็นคู่ครอง พญาคันคากและนางอุดร
กุรุตทวีป ได้ศึกษาธรรม และเทศนาสอนมนุษย์และสรรพสัตว์
ทั้งหลายอยู่เป็นประจำ

มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายครั้นได้ฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์
คันคากก็เกิดความเลื่อมใสจนลืม ถวายเครื่องบัดพลี พญาแถน
ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์และบันดาลน้ำฝนแก่
โลกมนุษย์

พญาแถนครั้นไม่ได้รับเครื่องบัดพลีจากมนุษย์และสรรพสัตว์
รวมทั้งเทวดาที่เคยเข้าเฝ้าเป็นประจำ ไปฟังธรรมกับพญา
คันคากจนหมดสิ้น จึงบังเกิดความโกรธแค้นยิ่งนัก

พญาแถนโกรธแค้นที่เหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์หันไปบูชา
พญาคันคาก จึงสาปแช่งเหล่ามวลมนุษย์ไม่ให้มีฝนตกเป็น
เวลาเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน ทำให้เกิดความแห้งแล้งไปทุก
หย่อมหญ้า เหล่ามวลมนุษย์จึงได้เข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์ทูลถาม
และขอความช่วยเหลือ

พญาคันคากรู้ด้วยญาณจึงบอกมนุษย์ว่า เพราะพวกเจ้าไม่
บูชาพญาแถน ท่านจึงพิโรธ จึงบันดาลมิให้มีฝนตกลงมา
ความแห้งแล้งมีมาเจ็ดปี พญานาคีผู้เป็นใหญ่ในเมืองบาดาล
ที่เข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์คันคากอยู่ขณะนั้นได้รับฟังจึงยกทัพ
บุกสวรรค์โดยไม่ฟังคำทัดทานของพระโพธิสัตว์คันคาก

แต่พญานาคีพ่ายแพ้กลับมาและบาดเจ็บสาหัสด้วยต้องอาวุธ
ของพญาแถน พระโพธิสัตว์คันคากเกิดความสงสารด้วยเห็นว่า
พญานาคีทำไปด้วยต้องการขจัดความทุกข์ให้เหล่ามวลมนุษย์
จึงได้ให้พรแก่พญานาคีและเหล่าบริวาร

“ขอให้บาดแผลเจ้าทั้งกายให้หายขาด กลายเป็นลวดลายงาม
ดั่งเกล็ดมณีแก้ว หงอนจงใสเพริศแพร้วเป็นสีเงินยวง ความ
เจ็บปวดทั้งปวงจงเหือดหายไปจากเจ้า อันว่าตัวเจ้านั้นต่อแต่นี้
ให้ศรีชื่น เป็นตัวแทนความเย็นในเวินแก้ว…แท้นอ” (คัดลอก
จากบทการแสดง ปรับบางคำให้เป็นภาษากลาง)

นับจากนั้นเป็นต้นมาพระพญานาคีได้ปวารณาตนเป็นข้าช่วงใช้
พระโพธิสัตว์ไปทุกๆ ชาติ แต่ความแห้งแล้งยังคงอยู่กับเหล่า
มวลมนุษย์ พระโพธิสัตว์คันคากจึงได้วางแผนบุกสวรรค์ โดย
ให้พญาปลวกก่อจอมปลวกสู่เมืองสวรรค์ พญาแมงงอด
แมงเงาเจ้าแห่งพิษ (แมงป่องช้าง) ให้จำแลงเกาะติดเสื้อผ้า
พญาแถน พญานาคีให้จำแลงเป็นตะขาบน้อยซ่อนอยู่ใน
เกือกพญาแถน เมื่อองค์พระโพธิสัตว์คันคากให้สัญญาณจึง
ได้กัดต่อยปล่อยพิษ

พญาแถนพ่าย…ร้องบอกให้พระโพธิสัตว์คันคากปล่อยตนเสีย
แต่พระโพธิสัตว์คันคากกลับบอกว่าขอเพียงพญาแถนผู้เป็นใหญ่
ให้พรสามประการ ก็จะมิทำประการใด

หนึ่ง…ให้ฝนตกลงมาตามฤดูกาล เหล่ามวลมนุษย์จะจุด
บั้งไฟบวงสรวงพญาแถน

สอง…แม้ว่าฝนตกลงมาดั่งใจมาดแล้ว ให้ในทุ่งนามี
เสียงกบเขียดร้อง

สาม…เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นเล้า (ยุ้งข้าว) ตัวข้า
พญาคันคากจะส่งเสียงว่าวสนูให้พ่อฟังเป็นสัญญาณว่า ปีนั้น
ข้าวอุดมสมบูรณ์

พญาแถนได้ฟังคำขอพรสามประการ จึงได้ให้พรตามปรารถนา
นับเนื่องจากนั้นมากลางเดือนหกของทุกๆ ปี ชาวอีสานจะ
ร่วมกันทำบั้งไฟแห่ไปรอบๆ หมู่บ้านแล้วจุดบูชาพญาแถน

ครั้งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ พระองค์ได้เสด็จเผย
แพร่ศาสนาไปทั่วชมพูทวีป พญานาคีผู้เฝ้าติดตามเรื่องราว
พระองค์ บังเกิดความเลื่อมใสและศรัทธายิ่งนัก รู้ด้วยญาณว่า
พระองค์คือพญาคันคากมาจุติ จึงจำแลงกายเป็นบุรุษขอบวช
เป็นสาวก ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์

ค่ำคืนหนึ่งพญานาคีเผลอหลับไหลคืนร่างเดิม ทำให้เหล่าภิกษุ
ที่ร่วมบำเพ็ญเพียรทั้งหลายตื่นตระหนก ครั้งเมื่อพระพุทธองค์
ทรงทราบเรื่องจึงขอให้พญานาคีลาสิกขา เนื่องจากนาคเป็น
เดรัจฉานจะบวชเป็นภิกษุมิได้

พญานาคียอมตามคำขอพระพุทธองค์ แต่ขอว่ากุลบุตรทั้งหลาย
ทั้งปวงที่จะบวชในพระพุทธศาสนาให้เรียกขานว่า “นาคี” เพื่อ
เป็นศักดิ์ศรีของพญานาคก่อนแล้วค่อยเข้าโบสถ์ จากนั้น
เป็นต้นมาจึงได้เรียกขานกุลบุตรทั้งหลายที่จะบวชว่า “พ่อนาค”

ต่อมาเมื่อครั้งพระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมและจำพรรษา
บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดาและเหล่าเทวดา
กระทั่งครบกำหนดวันออกพรรษา พญานาคี นาคเทวี พร้อมทั้ง
เหล่าบริวารจัดทำเครื่องบูชาและพ่นบั้งไฟถวาย ขณะที่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

นับเนื่องจากนั้น ทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 จึงได้มีปรากฏการณ์
ประหลาดลูกไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงสู่ท้องฟ้า
ปรากฏมาให้เห็นตราบเท่าทุกวันนี้ ทุกคนเรียกขานว่า
“บั้งไฟพญานาค”


บั้งไฟพญานาคทางด้านวิทยาศาสตร์

เรื่องการเกิด”บั้งไฟพญานาค” ในทางวิยาศาสตร์ นายแพทย์
กนกศิลป์ กุมารแพทย์ประจำโรงพยาบาลหนองคาย ได้เฝ้า
ติดตามศึกษาปรากฏการณ์การเกิดบั้งไฟพญานาคเป็น
เวลา 4 ปี ได้ทดลองวิเคราห์การเกิดปรากฏการณ์ตามหลัก
วิทยาศาสตร์และได้อธิบายไว้อย่างละเอียด * สรุปคร่าวๆ
ดังนี้

“ บั้งไฟพญานาคน่าจะเป็นสสารและจะต้องมีมวล เพราะ
แหวกน้ำขึ้นมาได้ น่าจะเป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จุดติดไฟ
ได้เองและจะต้องเบากว่าอากาศ

โดยเงื่อนไขของสถานที่เกิดปรากฏการณ์จะต้องเป็นที่ที่มี
แม่น้ำลึกประมาณ 4.55-13.40 เมตร หรือมีหล่มดินใต้น้ำ
เป็นที่หมักก๊าซ

ก๊าซดังกล่าวเชื่อว่ามีกำเนิดมาจากอินทรีย์วัตถุ เช่นมูลสัตว์
ซากพืช ซากสัตว์ มีสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว หมักแล้วเกิด
Bacteria Ferment ได้ก๊าซมากพอที่จะพลิกหรือเผยอหล่ม
โคลนใต้น้ำนั้นได้ โดยมีก๊าซที่ได้เป็นลูกๆ นั้น แต่ละลูกมี
ขนาด 200 ซีซี ซึ่งพอลอยจากระดับความลึก 20 ฟุตมา
ถึงระดับผิวน้ำขนาด 100-200 ซีซี จะขยายตัวเป็นฟองก๊าซ
ขนาด 310 ซีซี และเมื่อโผล่พ้นน้ำขึ้นมาถึงระดับ 1-4 เมตร
ก๊าซนั้นจะเหลือขนาดแค่ 100-200 ซีซี ซึ่งโตไม่เกินผลส้มก็
จะเริ่มติดไฟได้ด้วยตนเอง

คุณสมบัติดังกล่าวมีครบถ้วนในก๊าซร้อนที่มี มีเทนและ
ไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญ

การเดินทางไปชมบั้งไฟพญานาค

ปรากฏการณ์การเกิดบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นทุกปีและเกิดขึ้น
มานานแล้วเดิมคนสนใจไม่มาก ปัจจุบันเรื่องบั้งไฟพญานาค
รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ที่จังหวัดหนองคายผู้คนหลั่งไหล
ไปชมเป็นหมื่นเป็นแสนกระจายไปตามจุดที่มีบั้งไฟพญานาค
ขึ้นโดยเฉพาะอำเภอโพนพิสัย อำเภอสังคม อำเภอศรีเชียงใหม่
อำเภอปากคาด

การเดินทางไปดูบั้งไฟพญานาค ถ้าจะไปรถโดยสาร ขึ้นรถ
โดยสาร กรุงเทพฯ – หนองคาย ที่สถานีขนส่งหมอชิดใหม่
ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมงเศษ ราคาค่าโดยสารประมาณ
545 บาท เมื่อถึงจังหวัดหนองคายก็หารถสองแถวต่อไปยัง
อำเภอโพนพิสัย หรืออำเภออื่นๆ เช่นอำเภอศรีเชียงใหม่
อำเภอปากคาด อำเภอบึงกาฬ แต่ที่อำเภอโพนพิสัยบั้งไฟ
พญานาคจะขึ้นมากที่สุด รายละเอียดสถานที่ชม เมื่อไปถึง
สามารถสอบถามได้สะดวก แล้วแต่จะเลือกไปชมที่ไหน




Create Date : 14 ตุลาคม 2551
Last Update : 14 ตุลาคม 2551 10:24:22 น. 0 comments
Counter : 1025 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.