หนุ่มสาวทางลัด ด้วย ผัสสะแห่งรัก
เรามักชอบคนรูปหน้าคล้ายตัวเองครับ ท่านที่รักลองสังเกตดูได้ว่าคู่สามีภรรยามักมีดวงหน้าคล้ายคลึงกัน เรื่องสำคัญนี้เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตั เพราะลึกๆแล้วมนุษย์เราคุ้นชินกับใบหน้าของตัวเองมากที่สุดจึงทำให้มองเห็นถึงส่วนดี ส่วนที่คุ้นเคยมาก พอพบคนอื่นในสังคมจึงรู้สึกสบายใจกับคนที่หน้าตาคล้ายเรา และถูกชะตาโดยไม่รู้ตัว
เรื่องนี้ยังเป็นจิตวิทยาพื้นฐานของการค้าขายด้วยนะครับ กูรูขายของเก่งมักให้ลูกทีมขายกับญาติพี่น้องของตัวเองก่อนด้วยอาศัยความคุ้นเคยกันเป็นพื้นช่วย บีเอตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์จึงมักให้เราดูกระจกนานๆเวลาลองแต่งหน้า และคนเรานอกจากสัมผัสรักกันด้วยตาแล้ว ยังมีสัมผัสรักด้วย เคมี ได้อีกโสตหนึ่ง ดังที่ฝรั่งเรียกคนรักแรกพบกันว่ามี Chemistry together คือเห็นหน้าแล้วไม่แยกเขี้ยวใส่กัน แต่จูนตรงกันปิ๊งปั๊ง
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายทุกสิ่งอย่างในโลกได้ครับ เคยคิดมานานแล้วว่าถ้าความรักใช้แต่สารเคมีกับรูปลักษณ์ทางกายภาพ อย่างนี้ก็คงไม่เกิดตำนานคู่แท้กิ่งทองใบหยกขึ้น แต่คนที่รักกันยืนนานเพราะเขาเห็นกันเป็นเสมือน เพื่อน(Companionship) เรื่องความรักหวือหวาแบบหนุ่มสาวนั้นหายไปนานแล้ว ข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นมันจึงน่ามีความรักอันเกิดขึ้นมาจากส่วนอื่นของร่างกายด้วยโดยเฉพาะสมองที่มีความลับสะสมอยู่มาก หากเข้าใจจะได้ไขปริศนาแห่งรักยืนยงได้
จิตสัมผัสและรักบำบัดทางลัดปลอดโรค อาหารกายจะอิ่มอกอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าอาหารใจ ในการทดลองทางจิตวิทยาที่โด่งดังไปทั่วโลกของ ดร.วิลเลียม เมสัน กับ เกอร์ชอน เบิร์กสัน โดย ให้ลูกลิงอยู่กับหุ่นแม่ลิงที่ทำจากโครงลวดธรรมดากับหุ่นแม่ลิงที่บุผ้าไว้อย่างอบอุ่น ลูกลิงน้อยขอเลือกอยู่กับหุ่นตัวที่อุ่นกว่าแม้จะไม่มีขวดนมก็ตาม จากการทดลองนี้จึงสรุปได้ว่า ความสุขอยู่ที่รักมากกว่าวัตถุภายนอกอย่างไรเล่าครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Love hunger มีอานุภาพแรงกว่า food hunger เป็นร้อยเท่าพันทวี
สัมผัสที่อบอุ่นจากข้างในช่วยให้ใยสมองงอกงามสะพรั่งดี ยิ่งถ้ามีอาหารที่ช่วยบำรุงเคมีรักก็จะทำให้ อุ่นรัก มากขึ้น การใช้สัมผัสบำบัดนี้มีข้อดีต่อโรคเจ็บป่วยได้หลายโรค เช่น สมองเสื่อม ซึมเศร้า ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน
และยังมีอีกมากโรคที่รักใช้บำบัดได้ราวกับปาฏิหาริย์ อย่างอาการอัมพาตนอนแช่อยู่บนเตียงเหมือนผัก พอได้สัมผัสแห่งรักจากลูกหลานเข้ามานวดเฟ้นบ่อยเข้า บางรายลุกขึ้นมาได้เองอีกครั้งทั้งที่คุณหมอบอกสิ้นหวังแล้ว นี่เองคือปาฏิหาริย์แห่งรัก
ผัสสะแห่งรักมักสร้างปาฏิหาริย์ครับ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับ ความหนุ่มสาว ด้วย สำหรับน้องๆรุ่นใหม่อาจยังไม่รู้สึกนักแต่เมื่อไรที่ไม่ดูแลร่างกายจน ความป่วย เข้ามาเมื่อนั้นจะเห็นค่าความหนุ่มสาวขึ้นมาทันที
กลไกที่สัมผัสรักช่วยต้านชราได้มีอยู่ 2 ทางดังนี้คือ
สร้างเคมีรัก เคมีรักจะหลั่งออกมาในวัยต้นของชีวิตครับ เคมีรักที่ว่าชื่อ ออกซิโทซิน(Oxytocin) ดังที่หลายท่านเคยได้ยินแล้ว เคมีรักนี้จะมีมากในช่วงที่ความรักหวานชื่นครับ กับอีกตอนหนึ่งคือเวลา ให้นมบุตร(Breastfeeding) เมื่อทารกสัมผัสกับมารดาจะพาให้สมองแม่ตื่นตัวปล่อยเคมีรักออกมามาก ทำให้แม่รู้สึกสดชื่นจากสัมผัสนั้น คุณแม่ที่ให้นมลูกเองจึงมีความสุขและดูสดชื่นแจ่มใสได้มากครับ ดังนั้นเวลาเราอยากให้คนที่รักดูสดชื่นชะลอวัยอยู่เสมอก็ขอให้ช่วย ป้อน สัมผัสรักนี้ให้กันอยู่บ่อยๆอย่าปล่อยให้อยู่คนเดียวนานๆจะเกิดอาการแก่ได้
สร้างความรู้สึกเด็ก ในเด็กที่ขาดความรักมักสัมผัสตัวเองครับ อาการดูดนิ้ว,โยกตัว,เอามือกอดตัวเอง,ลูบตัวเองเหล่านี้เป็นสัญญาณของการขาดรักจากสัมผัสครับ น้องๆตามบ้านอุปถัมภ์จะทำบ่อย น่าเห็นใจครับ แต่การป้อนสัมผัสให้ในตอนโตก็ยังไม่สาย ผู้ใหญ่ก็ต้องได้สัมผัสรักเหมือนกันเพราะในสัมผัสรักพกสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งไว้ด้วยคือ ความเป็นเด็ก ครับ การได้รับสัมผัสที่อบอุ่นจะช่วยลูบเข้าไปถึงใจเราเบาๆให้รู้สึกถึงความอ่อนโยน รู้สึกถึงความสุขในวัยเด็ก ที่โกรธง่ายแต่หายเร็ว กินอิ่มแล้วก็นอนหลับฟี้ มีความสุขครับ สัมผัสนี้จะนำวัยเด็กกลับมาให้ท่านได้รู้สึก young at heart ได้อีกครั้งและยังทำให้ young at body ด้วย
สัมผัสรัก สัมผัสปัญญา
การสัมผัสด้วยความรักอาจแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่คือ สัมผัสโรแมนติก (Romantic touch), สัมผัสปรารถนา(Erotic touch) และอย่างสุดท้ายที่สำคัญมากคือ สัมผัสแห่งเส้นใยสมอง(Neuronic touch) เป็นสัมผัสที่อุปมาเสมือนการนวดสมองให้มีชีวิตชีวา แตกแขนงแขนขา(Dendritic spine) เฟื่องฟู และอย่าเพิ่งหดหู่ว่าสมองผู้ใหญ่หยุดโตแล้ว
เพราะปัจจุบันมีการเข็นทฤษฏีใหม่ออกมาชัดเจนว่าสมองคนเรายังคงพัฒนาได้ไม่จำกัดด้วยอายุ การที่สมองยังโตได้อีกนี้เขาเปรียบว่าเสมือนกับพลาสติกที่ยืดหยุ่นได้ (Brain plasticity,Neuroplasticity) คนที่ได้รับความรักจากการสัมผัสที่อ่อนโยนมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นจะเป็นผู้ที่มีจิตใจมั่นคง พร้อมที่จะเผื่อแผ่รักให้คนอื่นต่อไป
ผิดกับผู้ที่ขาดผัสสะแห่งรักในวัยเด็ก ที่จะมีเหมือนแผลในใจตีตราผ่านออกมาทางพฤติกรรมและปฏิสัมพันธ์กับสังคม กลายเป็นคนรักไม่เป็นและ หิว ความรัก แล้วก็พาลหิวไปถึงเงินทองวัตถุอื่นให้ยุ่งอีกมาก หากต้องการสานใยรักให้ถึงใยสมองก็มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ 2 ประการใหญ่ครับคือ
สัมผัสจากใจและความใกล้ชิด
สัมผัสจากผัสสะอื่นนอกจากใจ
ในข้อแรกมีเทคนิคปฏิบัติคือ คิดออกนอกตัวเอง ครับ มองตัวเองให้เบาที่สุดแต่มองให้หนักตรงที่ว่าเราจะทำสิ่งใดให้คนอื่นได้บ้าง เพราะการมองออกนอกตัวคือการ วาง ตัวเองให้เบาสบายครับ ตัวเราต้องเบาก่อนจึงจะช่วยให้ความรักกับคนรอบข้างได้ สิ่งร้ายสุดที่เป็นศัตรูกับเทคนิคของข้อนี้คือ อัตตา หรือความมีตัวตนที่เป็นเสมือนบิ๊กแบ็คขนาดใหญ่กั้นกระแสเมตตาของเราไม่ให้แผ่ออกไป การให้สัมผัสจากใจนี้แท้จริงเป็นการบำบัดตัวเราเองไม่ให้แก่เร็วครับ เพราะการรู้สึกไม่สบายใจไปจนถึงอาการโกรธแต่ละครั้งเป็นการป้อนพิษแก่ให้ตัวเองดื่มเข้าไป ในอารมณ์โกรธที่เป็นเจ้าเรือนอยู่นั้นมันสร้าง เคมีแก่ อย่างอะดรีนาลีนและคอร์ติซอลออกมามาก หากสะสมไว้ก็มีสิทธิ์ใช้แลกได้อย่างเดียวเลยคือริ้วรอยตามใบหน้าที่เป็นเสมือนประวัติแห่งชีวิตว่าที่ผ่านมาโชกโชนกับทุกข์แค่ไหน ใบหน้าเราเสมือนหน้ากระดาษที่ช่วยให้คนอ่านชีวิตที่ผ่านมาได้ครับ สูตรง่ายๆเพื่อดับรอยเสื่อมคือขอให้ท่านระลึกไว้เสมอว่าโกรธแต่ละครั้งคือหนึ่งรอยหน้าที่เพิ่มขึ้น หงุดหงิดแต่ละทีก็เหมือนมียาพิษป้อนเข้าปาก หากอยากให้คนอื่นดีขอท่านที่รักให้เมตตากับเขาก่อนแทนตาต่อตา เมตตาบำบัดนี้เองที่เป็นกระแสเย็นปกป้องตัวเราจากความแก่และแก้ปัญหาสังคมได้ทุกประการครับ ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิตย่อมรับกระแสเมตตาได้หมดแล้วก็จะช่วยกันแผ่ความเย็นนี้ต่อๆกันออกไป pay it forward เป็นวงกว้างอีกร้อยเท่าพันทวีครับ ส่วนข้อสองนี้มีในเรื่องของอาหารที่รับประทานแล้วช่วยเพิ่มสัมผัสใยประสาทในสมองครับ โภชนาเพื่อปัญญาเบ่งบานนี้มีวิธีกินคือ
ลดแป้งกับน้ำตาล เพราะเป็นตัวเผาผลาญให้พลังงานเร็วจริงแต่จะทำให้หิวเร็วและทำให้เกิดกระบวนการ เสื่อมเพราะหวาน(Glycation process) ในสมองได้มาก
ให้หิวนิดๆ เพราะการอดอาหารในปริมาณที่เหมาะสมกระตุ้นให้กระเพาะเคาะประตูสมองสั่งให้สร้าง โกร๊ทฮอร์โมน พรั่งพรูออกมา เป็นการลับสมองจากการอด
เคี้ยวช้าๆนานๆ แต่ไม่ถึงกับยานคาง ขอแค่คำละ 20 ครั้งก็พอครับ เพราะการเคี้ยวมากไปทำให้รอบปากเหี่ยวเร็ว การเคี้ยวสิบครั้งกำลังดีกว่า แล้วยังสร้างสติด้วย
เลี่ยงมื้อดึก(หลัง 2 ทุ่มเป็นต้นไป) เพราะทำให้สมองไม่ได้พักผ่อน รวมถึงเลี่ยงการนอนดึกด้วย เนื่องจากทำให้สมองหลั่งฮอร์โมนหิวออกมา สังเกตได้จากคนเรามักหิวง่ายเวลาอยู่ดึก
ทานปลาและผัก นึกอะไรไม่ออกให้ทานปลาหรือน้ำมันปลาก็ได้ครับ เพราะงานวิจัยแทบจะทั้งสามโลกเห็นตรงกันว่าปลานั้นมีประโยชน์มาก มีน้ำมันปลาที่อยู่ในทุกองคาพยพ หรือในกะปิก็มีน้ำมันปลาเช่นกัน
เทคนิคทั้ง 5 เป็นเรื่องง่ายที่ทำได้ด้วยสองมือและหนึ่งลิ้นของเราเอง การจัดโปรแกรมต้านชราด้วยการสัมผัสไม่มีสิ่งยุ่งยากเลยครับ เพราะไม่ว่าจะสัมผัสใด รูปสัมผัส,รสสัมผัสหรือชิวหาสัมผัส ถ้าจัดความรักลงไปด้วยแล้วสัมผัสนั้นๆจะมีประสิทธิภาพขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ กลายเป็นสัมผัสอัศจรรย์ได้ นำให้เกิด ปาฏิหาริย์ ก็ยังได้
ความหมายของปาฏิหาริย์อยู่ในเรื่องกฏแห่งกรรมทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่นักวิทยาศาสตร์เมื่ออธิบายไม่ได้ก็ถูกตีตราให้ว่าเป็นเรื่องเหนือเหตุผลจนคนเข้าใจว่าปาฏิหาริย์คือของไม่มีเหตุ ดังคนไข้อัมพาตหมดหวังที่สามารถลุกขึ้นมาเองอีกครั้ง หรือก้อนมะเร็งที่หายจากจอเอ็กซเรย์ไฮเทคไปได้ทั้งที่ไม่รักษา สิ่งดังว่านี้เป็นเรื่องราวที่การแพทย์พยายามทำมึนๆไป โดยการใช้คำว่า ไอดิโอพาธิก(Idiopathic) อันแปลว่าไม่ทราบสาเหตุดังที่เห็นบ่อยในตำราแพทย์ฝรั่ง ท่านที่นั่งอ่านนานๆจะเริ่มรู้สึกเบื่อว่าแทนที่จะได้คำตอบศอกกลับมา พร้อมกับความรู้สึกผิดหวังลึกๆ หรือว่าจริงๆ แล้ววิทยาศาสตร์ตามหลังศาสนาอยู่มาก
แต่ขอท่านที่รักอย่าเพิ่งกังวลไป ถ้าเราเปิดใจให้กว้างแล้วกำไรจะเป็นของเราครับ การสัมผัสด้วยความรักแม้เป็นนามธรรม แต่ผลนั้นต้องเรียกว่า มหาศาล impact แห่งรักจากทั้ง 2 สัมผัสที่ว่าไปจะทำให้ใยสมองแตกแขนงงอกงาม แม้ความเสื่อมจะเข้ามาหรือว่าอัลไซเมอร์ที่เป็นอยู่ก็ไม่อาจยับยั้งสัมผัสรักได้ ในเด็กน้อยจะช่วยให้ฉลาดขึ้นเพราะการเพิ่มใยสมองไม่ทำให้หัวโตคับกะโหลกหากแต่จะเพิ่มพูนเนื้อที่การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไล่ที่ความคิดฟุ้งซ่านไม่ให้มารบกวนโฟลเดอร์ความจำอันมีค่าของเรา จะได้ครบทุกรักจากรสสัมผัสแห่งชีวิต
ข้อมูลจาก //www.healthandcuisine.com
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 9:13:13 น. |
|
4 comments
|
Counter : 595 Pageviews. |
|
|
|