สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ

พืช ผัก สมุนไพร ที่มีสารที่สามารถต่อต้านหรือป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้

1) สารต้านมะเร็ง แอนติออกซิแดนท์ (antioxidants) สารป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดนท์หรือต้านฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่มีอยู่ในธรรมชาติในรูปของวิตามินและแร่ธาตุ ได้แก่ วิตามินเอ ซี อี, แร่ธาตุสังกะสี (Zinc) และเซลีเนียม (Selenium)

2) สารแอนติออกซิแดนท์ที่ไม่ใช่วิตามิน ส่วนใหญ่เป็นสารรสฝาดพบในยอดผักและเมล็ดพืช ได้แก่ สารพวกโปลีฟีนอล (polyphenols) เป็นสารในกลุ่มไบโอพลาโอนอย์ (bioflavonoids) ไลโคปีน (lycopenes) แคโรทีนอยด์ (carotenoids) ไอโซฟลาโวน (isoflavone coumarin derivative) เบต้าคาโรตีน เป็นต้น

พืช ผัก ผลไม้ ที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านหรือป้องกันการเกิดมะเร็ง
มีดังนี้

วิตามินเอ (Vitamin A) : มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านการเกิดมะเร็ง และเป็นสารอาหารที่ส่งเสริม ภูมิคุ้มกัน ในพืชผักไม่มีวิตามินเอ แต่มีสารประกอบพวกแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ในตับ พบในผักและผลไม้ที่มีสีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง ได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะระขี้นก ใบกระเพา ใบย่านาง ผักแพว ใบแมงลัก ยอดแค ผักชะอม ฟักทอง ตะไคร้ บัวบก มะม่วง มะขาม มะเฟือง มะละกอ แตงโม กระเจี๊ยบ แอปเปิ้ล ลูกเดือย
เป็นต้น โดยมีรายละเอียดของส่วนที่นำมาใช้และประโยชน์ ดังนี้

- คะน้า ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ใบ ก้าน และลำต้น ประโยชน์ คือเป็นผักที่ให้วิตามินเอสูงมาก และเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีน ( β- Carotene) ซึ่งเป็นสารยับยั้งการก่อมะเร็งนอกจากนั้นยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีอีกด้วย
- ตำลึง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ใบ ประโยชน์เป็นผักที่ให้วิตามินเอสูงมาก และยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี มีคุณสมบัติในการแก้อาการแพ้ อาการอักเสบ ช่วยป้องกันโลหิตจาง หัวใจขาดเลือดและโรคมะเร็ง
- มะระขี้นก ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลและเมล็ดแก่ ประโยชน์ ให้วิตามินเอสูงมาก นอกจากนั้นยังพบสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสและฆ่าเซลล์มะเร็งเต้านมและเซลล์มะเร็งสมองได้ผลดี
- มะม่วง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลดิบและผลสุก ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอและซีสูง นอกจากนั้นยังมีฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็กอีกเล็กน้อย
- มะขาม ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เนื้อมะขามสดหรือเปียก ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอ และแคลเซียมสูง
-ส้ม ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผล ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก นอกจากนั้นยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี
-มะเฟือง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลที่แก่จัด ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่อุดมคุณค่าไปด้วย วิตามินเอ ซี ฟอสฟอรัสสูง และแคลเซียมเล็กน้อย
-แตงโม ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เนื้อแตงโม ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าเต็มไปด้วยวิตามิน เอ และซี
- กระเจี๊ยบ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ดอกกระเจี๊ยบสดหรือแห้ง ประโยชน์อุดมไปด้วยวิตามินเอ นอกจากนั้นยังมีแคลเซียม
- มะละกอและแอปเปิ้ล ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผล ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยวิตามินเอ
- ลูกเดือย ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เมล็ด ประโยชน์ ให้ฟอสฟอรัสสูงมาก รองลงมาคือ วิตามินเอ
- ตะไคร้ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เหง้าลำต้นและใบ ประโยชน์ เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ นอกจากนั้นยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้นได้
-บัวบก ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ใบและต้นสด ประโยชน์ วิตามินเอ และแคลเซียมสูงมาก นอกจาก นั้นยังมีวิตามินบี1เป็นพืชที่ประกอบด้วยกลัยโคไซด์ที่มีคุณสมบัติทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) ที่ผิวหนังแข็งแรงส่งผลให้ผิวหนังเรียบ ตึง แน่น ช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด ผิวด่างดำ และช่วยให้แผลเป็นจางหาย และนุ่มขึ้น สารสกัดจากใบบัวบก ทำให้แผลหายเร็ว มีขนาดเล็ก เร่งการสร้างเนื้อเยื่อ และเยื่อบุเซลล์ใหม่ ระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองและลดการอักเสบ และมีคุณสมบัติทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้นและเร่งการทำลายเชื้อโรคโดยเม็ดเลือดขาว นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งและทำลายเซลล์มะเร็ง

วิตามินซี (Vitamin C) พบในผลไม้รสเปรี้ยวเป็นส่วนใหญ่ มีกรดแคสคอร์บิค (ascorbic acid) ซึ่งผลิตคอลลาเจน (Collagen) ส่งผลดีต่อสุขภาพผิวหนัง เนื้อเยื่อและเส้นเลือดแข็งแรง ช่วยในการสมานแผลช่วยในกระบวนการดูดซึมเหล็ก ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานสูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง พบมากในผักสดและผลไม้ โดยเฉพาะผักสด ใบส่วนยอดและเมล็ดที่กำลังจะงอก ได้แก่ ฝรั่ง มะขามป้อม ยอ เพกา มะนาว มะเขือเทศ เชอรี สับปะรด มะม่วง มะเฟือง แตงโม คะน้า ตำลึง ถั่วงอก ยอดมะขาม ใบเหลียง ผักหวาน พริก มะรุม เป็นต้น

โดยมีรายละเอียดของส่วนที่นำมาใช้และประโยชน์ ดังนี้

- ฝรั่ง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ผลแก่จัดเอาเฉพาะเนื้อ ประโยชน์เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอและซีสูง นอกจากนั้นยังมีสารเบต้า-คาโรทีน ที่ช่วยลดสารพิษในร่างกาย อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจับที่ผนังหลอดเลือด
-มะนาว ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์น้ำมะนาว เป็น antioxidantประโยชน์ มีวิตามินซีมาก, เมล็ดมีรสขมใช้ขับเสมหะ และรากมะนาวมีรสปร่า แก้
สติหลงลืม
-มะเขือเทศ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลสีแดง ให้วิตามินเอ และไลโคพีน ของเหลวคล้ายเยลลี ที่ล้อมรอบเมล็ดให้วิตามินซีประโยชน์ เป็นแหล่งวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใยอาหาร และพบว่ามีสารอาหารที่ชื่อว่า ไลโคพีน (lycopene) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการป้องกันการก่อตัวของสารมะเร็ง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ ลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนั้นมะเขือเทศยังมีวิตามินซี ซึ่งเป็นสารป้องกันอนุมูลอิสระที่สำคัญมีหน้าที่ในการเพิ่มความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จากการศึกษาพบว่าผู้ชายที่บริโภคมะเขือเทศประมาณ 10 ผลต่อสัปดาห์หรือซอสมะเขือเทศ จะมีอัตราเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคไส้เลื่อนน้อยกว่าผู้ที่ไม่บริโภคมะเขือเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ควรรับประทานมะเขือเทศที่อยู่ในอาหารที่ผ่านการปรุงแล้ว ซึ่งจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
- ยอ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลแก่ ผลอ่อนประโยชน์ ผลยอเป็นผักที่มีวิตามินสูง คนไทย
โบราณใช้เป็นยา อายุวัฒนะช่วยบำรุงธาตุ จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่ายอมีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งขั้นต้น โดยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงต้านการเป็นมะเร็งและยอมีผลทำให้สมองมีการผลิตซีโรโตนินมากขึ้น ส่งผลให้การนอนหลับเป็นปกติ ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคไตและโรคหัวใจ เนื่องจากยอมีโปแตสเซียมในปริมาณสูงอาจมีผลต่อการทำงานของไตและหัวใจ
- มะขามป้อม ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลสด ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมากคือ 208 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักมะขามป้อม 100 กรัม
- เพกา ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ฝักอ่อน ประโยชน์ มีวิตามินซีสูงมากถึง 484 มิลลิกรัมต่อ น้ำหนักเพกา 100 กรัม นอกจากนั้นยังมีวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยป้องกันอนุมูลอิสระให้เกิดขึ้น ในร่างกาย ทั้งนี้การรับประทานเพการ่วมกับอาหารที่มีวิตามินสูง เช่น รำข้าวในข้าวกล้องจะช่วยเสริมฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
-เชอรี่ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผล ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก
-สัปปะรด ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์เป็นผลที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงมากรองลงมาคือมีวิตามินซี
วิตามินอี (Vitamin E) วิตามินอีมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคระบบประสาท นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติในการทำให้เซลล์เยื่อบุผิวหนัง (Cell membrane) แข็งแรง มีสุขภาพดีขึ้น ช่วยลดริ้วรอยผิวหนัง ช่วยในการไหลเวียนเลือด พบมากในเมล็ดธัญพืช ต่าง ๆ ที่ให้น้ำมัน ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวโพด งา รำข้าว ข้าวกล้อง จากการศึกษาของเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ พบว่าเมล็ดทานตะวันมีปริมาณวิตามินอีสูงมากกว่าในถั่วเหลือง และข้าวโพด

โดยมีรายละเอียดของส่วนที่นำมาใช้และประโยชน์ ดังนี้

- ถั่วเหลือง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เมล็ด ประโยชน์ พบว่ามีสารกลุ่มไอโซพลาโวน (isoflavone courmarin derivative) จำนวนมาก ซึ่งสารดังกล่าวทำหน้าที่เป็น phytoestrogen ต้านทานการเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมที่เกิดจากการกระตุ้นของเอสโตรเจน และยังพบสารเจนิสทีนที่เป็นสารในกลุ่มไบโอพลาโวบอยด์ ช่วยป้องกันมะเร็งโดยไม่ให้ร่างกายสร้างหลอดเลือดฝอยที่จะส่งอาหารไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อตาย
- งา ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เมล็ด ประโยชน์ พบว่ามีวิตามินอีสูง และสารเซซามอล ซึ่งสามารถป้องกันมะเร็งได้ นอกจากนี้พบว่าน้ำมันงาเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายมาก (Essential Fatty acid) คือ กรดไลโนเลอิค และโอเลอิค กรดนี้ร่างกายนำไปสร้างฮอร์โมน
โพรสตาแกลนดิน-อี-วัน ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายได้แก่
1)ขยายหลอดเลือด
2) ช่วยลดความดันเลือด
3) ป้องกันเกล็ดเลือดเกาะตัวเป็นลิ่มเลือด ซึ่งอาจจะไปอุดตันหลอดเลือดเล็ก ๆ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรืออัมพาตถ้าลิ่มเลือดไปอุดหลอดเลือดสมอง และงาเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุที่สำคัญคือ ธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด ธาตุไอโอดีนป้องกันคอพอก สังกะสีบำรุงผิวหนังและแคลเซียม นอกจากนั้นพบว่างาเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1, 2, 3, 5, 6, 9 ซึ่งจะบำรุงระบบประสาท สมอง

ซิลีเนียม (Selenium)
มีคุณสมบัติในการช่วยกำจัดอนุมูลอิสระควบคุมความดันโลหิต พบมากในอัลมอนด์ เห็ดต่าง ๆ กระเทียม ส้ม องุ่น กะหล่ำปลีและหัวผักกาด เป็นต้น มีการศึกษาพบว่ากะหล่ำปลีสายพันธุ์ที่ปลูกในเมืองไทย สามารถยับยั้งหรือป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม โดยสามารถลดได้ทั้งอัตราการเกิด (incidence) และจำนวนก้อนมะเร็ง เนื่องจากมีคุณสมบัติในการกระตุ้นเอนไซม์ที่มีหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งลดลง ส่วนในหัวผักกาดพบว่าทำให้ขนาดและปริมาตรก้อนเนื้องอกเล็กลงทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งช้าลง(tumor progression)

สังกะสี (Zinc) มีส่วนสำคัญในกระบวนผลิตสารพันธุกรรม (RNA และ DNA) ช่วยให้ร่างกายจับวิตามินเอไว้ในกระแสเลือด พบมากในขิง เมล็ดฟักทอง กระหล่ำปลี แครอท แตงกวา และส้ม

นอกจากพืช ผักผลไม้ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็งได้แก่ ชา ขิง พริกไทย ใบแป๊ะก๊วย เกากีจี้ โสมเกาหลี หญ้าปักกิ่ง และเห็ดหลินจือ เป็นต้น

ชา
ในใบชามีสารที่ชื่อว่า “ฟลาไวนอยด์” ซึ่งเป็นสาร antioxidant ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนั้นฟลาโวนอยด์ ยังเป็นสารที่ช่วยให้เกร็ดเลือดไม่จับตัวกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ เมื่อดื่มชาเป็นประจำทุกวัน เพียงวันละ 1 ถ้วย จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและหัวใจลงได้

ขิง
เป็นพืชที่พรั่งพร้อมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหง้าของขิงแก่ มีสารเบต้า คาโรทีนที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ (Free radical) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ขิงจึงเป็นพืชที่รับประทานแล้วช่วยต้านมะเร็งได้

พริกไทย (black peper) เป็นพืชที่มีสารสำคัญ ชื่อ “ฟีนอลิกส์” (Phenolics) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น antioxidant อย่างดี พริกไทยเป็นพืชที่มีคุณสมบัติด้านสารก่อมะเร็งในทางเดินอาหารได้อย่างดี และยังพบว่าพริกไทยสามารถเร่งให้ตับทำลายสารพิษมากขึ้น

ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba)
มีสารสำคัญที่ส่งผลช่วยให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองดีขึ้น ทำให้สมองตื่นตัว ใช้กับพวกที่มีความจำเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง

เกากีจี้
ได้จากผล Lycium chinense ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกับ มะเขือ พริก เป็นพืชที่มีจำนวนวิตามินเอ และมีเบต้า-คาโรทีนสูง ซึ่งช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังมีสารที่ช่วยในการทำงานของไตและตับ

โสมเกาหลี รากโสม มีสารที่สำคัญคือ จินเซนโนโซด์ (ginsenoside) หรือพาแนกโซไซด์ (panaxoside) ซึ่งสามารถทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งจากตับชะงักลงและเซลล์มะเร็งดังกล่าวถูกเปลี่ยนให้กลับไปเป็นเซลล์ปกติได้นอกจากนั้นยังกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้มีการสร้าง “interferon”

ทั้งนี้ โสมจะมีสารที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่นำมาใช้แตกต่างกัน เปลี่ยนไปตามพื้นที่และสภาพแวดล้อม
ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานโสม ร่วมกับวิตามินซี เพราะจะลดคุณค่าของโสม ควรรับประทานห่างกันเป็นเวลา 6-8 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานโสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่ายได้

หญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา (Murdannia loriformis)
ในใบและลำต้นมีสารกลุ่มกลัยโคไซด์ เช่น สารฟลาโวนอยด์ สำหรับการนำมาใช้เพื่อรักษามะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ได้ วิธีการนำมาใช้ที่เชื่อว่าจะให้ประโยชน์สูงสุดคือ เลือกหญ้าปักกิ่งจากต้นที่มีอายุ 7-12 เดือน จำนวน 6 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ปั่นให้แหลก เติมน้ำ 4 ช้อนโต๊ะ คั้นเอาแต่น้ำแบ่งเป็น 2 ส่วน ดื่มก่อนอาหารเช้าครึ่งชั่วโมงและก่อนนอนทุกวัน

เห็ดหลินจือ หรือเห็ดหมื่นปี หรือเห็ดอมตะ (Holymushroom, or Lacquered mushroom)
สารสำคัญที่พบมีฤทธิ์ต้านมะเร็งโดยเข้าไปยับยั้งเนื้องอกได้ดี คือ โพลีแซคคาไรด์ชนิดเบต้า ดี-กลูแคน (β - D – glucan) จากการศึกษาโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่าสารสกัดจากเห็นหลินจือ มีผลต่อเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง นอกจากนั้นยังพบว่าสามารถออกฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีและยังมีฤทธิ์ต้านพิษที่เกิดจากการฉายรังสีจึงอาจเป็นไปได้ว่าการใช้เห็ดหลินจือจะช่วยชะลอการลุกลามของมะเร็ง

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ดอกเห็ดที่อยู่ในช่วงที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีสีน้ำตาลแดงสปอร์มีสีน้ำตาล รสขม รูปร่างรี ดอกเห็ดแก่ ขอบหมวกจะงุ้มลง สีหมวกเข้มขึ้น และอาจมีดอกใหม่งอกซ้อนขึ้นก็ได้

พืช ผัก ผลไม้ ที่ได้กล่าวไปแล้ว เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมุนไพรที่มีผลต่อเซลล์มะเร็ง ยังมีพืชสมุนไพรอีกหลายชนิด ที่มีผู้ศึกษาค้นคว้าว่ามีฤทธิ์ในการป้องกันและรักษามะเร็งได้ ไม่ว่าจะเป็นคื่นช่าย ผักชีฝรั่ง กระชาย ดีปลี โหระพา ผักขวง เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย หอมใหญ่ ฯลฯ

สรุป

พฤติกรรมสุขภาพของคนในยุคปัจจุบัน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ในการเกิดโรคมะเร็ง โดยที่สังคมไทยในอดีตมีภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) เป็นสิ่งอันทรงคุณค่าที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรครวมถึงใช้ในการรักษาโรคของคนไทย แต่เมื่อค่านิยมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป ภูมิปัญญาท้องถิ่นดังกล่าว จึงถูกละเลยหรือหลงลืมไประยะหนึ่ง ในศตวรรษใหม่นี้ สังคมโลกกลับมาให้คุณค่าสมุนไพรในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รวมถึงใช้ในการรักษาโรคอีกครั้ง เพราะตระหนักถึงคุณประโยชน์ของทางเลือกใหม่(Complementary/Alternative Therapy)ในการดูแลภาวะสุขภาพของมนุษย์

อย่างไรก็ตามทางเลือกต่าง ๆ ผู้ป่วย ครอบครัว และญาติ ควรมีโอกาสเลือกใช้วิธีปฏิบัติ ต่าง ๆด้วยตนเอง โดยไม่เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นบุคลากรทีมสุขภาพควรคำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัวและยอมรับทางเลือก เป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ ในวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่ผู้ป่วยเลือกใช้และทำหน้าที่ซึ่งอาจมีหลายวิธีร่วมกัน รวมทั้งผสมผสานการรักษาโดยการแพทย์แผนปัจจุบัน และการแพทย์แผนไทยเพื่อส่งเสริมให้ผู้รับบริการมีภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายจิตสังคมและจิตวิญญาณ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี



ขอบคุณข้อมูลจาก //www.agalico.com




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2552
0 comments
Last Update : 1 มิถุนายน 2552 14:47:50 น.
Counter : 1264 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
1 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.