#อยู่กับความจริงให้ได้
ผมขอเล่าเรื่องของตัวเองและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความจริงทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาเรียบเรียง
ให้อ่านกัน แล้วท่านลองเปรียบเทียบกับตัวเองซิว่าท่านยอมรับความจริงได้แค่ไหน
ตั้งแต่เด็กๆ ครอบครัวผมมีฐานะยากจนมาก ผมก็ฝันอยากร่ำรวย อยากมีเงินไปโรงเรียนเหมือนเพื่อนๆ
อยากมีขนมกินทุกมื้อ อยากมีเสื้อผ้าใหม่ๆ แต่ความจริงมันไม่มี ก็ได้แต่เป็นทุกข์ ทำให้คิดมาก
จนกลายเป็นคนคิดมากจนถึงทุกวันนี้
โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มมีความรัก ก็ไปหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง หลงหลอกตัวเองว่าเขาก็รักเรามาเกือบยี่สิบปี
ทั้งๆ ที่เขาคิดกับเราแค่เพื่อน เพราะผมหลอกตัวเองโดยไม่สนใจความจริง ผมก็เกือบจะฆ่าตัวตาย
เพราะเรื่องนี้ไปแล้ว
ตอนเริ่มทำงานแรกๆ ผมก็เรียนรู้เร็ว ตำราวิชาการต่างๆ ผมแม่นเป๊ะๆ หัวหน้าทำผิดผมก็หาเจอว่าผิด
ผู้ตรวจสอบบัญชีหรือสรรพากรมาตรวจสอบก็ไม่มีทางเอาผิดผมได้ ผมทำอะไรก็ดีไปหมด เก่งโครตๆ ว่างั้น
แต่ผมก็ไม่ก้าวหน้าในอาชีพการงาน ตอนนั้นผมรับไม่ได้กับการตัดสินผมแบบนั้น ผมเป็นทุกข์มาก
คิดว่าทำดีไม่ได้ดี ส่วนพวกทำชั่วได้ดีมีเต็มไปหมดรอบๆ กาย
ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าคนจะเป็นใหญ่มันต้องเก่งเรื่องคนด้วย ไม่ใช่เก่งเรื่องงานอย่างเดียว
หลังๆ มานี่ผมเฉยๆ กับตำแหน่งการงานต่างๆ มีเพื่อนร่วมงานมาบ่นแทนผมเสียงั้นว่าทำไมๆๆๆๆ
ผมถึงไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเสียที ผมก็บอกไปว่าตำแหน่งน่ะไม่สำคัญหรอก พวกที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปนั่นน่ะ
เงินเดือนน้อยกว่าผมทั้งนั้น แล้วก็ต้องคอยรับนโยบายที่ผมคิดผ่านผู้บริหารสูงสุดเอาไปปฏิบัติเสียด้วยซ้ำ
เรื่องชาติบ้านเมือง เรื่องการเมือง ผมแรกๆ ผมก็หงุดหงิดกับการบริหารรัฐมาเป็นสิบๆ ปี ทำไมๆๆๆๆๆๆ
เรื่องดีๆ ไม่เคยคิดจะทำ เรื่องชั่วๆ ถนัดทำกันนัก พวกที่ทำชั่วได้ดีเสียอีก
ผมทะเลาะกับอาจารย์ผมเรื่องนี้มากที่สุด ทะเลาะกันจนไม่คุยกันไปสามปีด้วยซ้ำ
แต่เมื่อมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ก็เข้าใจว่า อ๋อ....การเมืองมันมีทุกแห่งนั่นแหละ
มันต้องมีพวกมีพ้อง ต้องมีมือไม้เอาไว้ทำงาน ต้องมีพระเดชและพระคุณ
แล้วก็ต้องพยายามทำให้ประชาชนพึ่งตัวเองไปไม่ได้นานๆ
พวกนี้ก็จะกลายเป็นเหยื่อการเมืองให้เราเหยียบขึ้นสู่อำนาจได้
มาทำงานในตำแหน่งผู้บริหารในสายงานก็แทบจะสูงสุดแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็คอยบอก คอยเตือน คอยกำชับ บ่อยๆ ก็ด่าเจ้านายแรงๆ
เรื่องการออกนโยบายที่ผิดพลาด เมื่อนโยบายผิดพลาด
ผลของตัวเลขที่ออกมาก็ไม่ได้ดั่งใจหมาย งานของผมก็ยากขึ้น
ผลประโยชน์ของพนักงานก็น้อยลง
แต่ตอนหลังเมื่อรู้ความจริงว่าเจ้านายผมก็เป็นแค่ลูกจ้าง
แล้วหุ้นส่วนที่เป็นเจ้าของตัวจริงเขาก็บังคับด้วยคำสั่งที่ไม่มีหลักฐาน
ให้บริษัทไปจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ จากบริษัทอื่นๆ ที่เจ้าของตัวจริงเป็นเจ้าของ
ทุกอย่างมันไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่เราคิด เมื่อรู้แล้วก็เข้าใจ
แล้วก็พยายามรักษาผลประโยชน์ให้อยู่กับเราให้มากที่สุด
ผมคุยกับอาจารย์ในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเรื่องบ้านเมือง เรื่องการพัฒนาอะไรต่างๆ
ผมก็คิดตรงกันว่าเราน่ะคิดได้ แต่เขาจะเลือกเอาไปทำหรือเปล่าเราไม่รู้
ทำงานเป็นที่ปรึกษาที่ไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง เป็นเพียงที่ปรึกษาส่วนตัวที่ไม่มีใครรู้จัก
เราก็ไปบังคับใครไม่ได้ เรารู้ว่าถ้าทำแล้วมันดีแน่ๆ แต่ถ้าทำขึ้นจริง
โครงสร้างของสังคมฐานรากจะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
ความช่วยเหลือต่างๆ จากบนสู่ล่างจะลดน้อยลง คนรากหญ้าจะแข็งแกร่งมากขึ้น
จะพึ่งพาตัวเองได้ แต่คนข้างบนเขาต้องการอย่างที่เราคิดหรือเปล่า
สังคมไทยยังต้องการคนรากหญ้าไปใช้เป็นมือไม้อีกมาก
หากปราศจากคนรากหญ้า สังคมชั้นสูงจะเดือดร้อน
การเมืองการปกครองต้องเป็นประชาธิปไตย ผมเคยคิดแบบนี้ตลอดมา
ก็เพิ่งจะไม่เกินสิบปีมานี่เองที่ความคิดผมเปลี่ยน ผมไม่ต้องการประชาธิปไตยจ๋า 100%
แต่ผมชอบแบบเผด็จการอ่อนๆ ผมคิดว่าให้ประชาธิปไตยได้สัก 99% ที่เหลืออีก 1%
ให้เป็นอำนาจของผู้บริหารสูงสุดไว้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะเอาอย่างไร
แบบนี้ผมชอบมากกว่า ถ้าปล่อยให้เสียงข้างมากลากไปลากมา ผมไม่คิดว่าประโยชน์จะได้สูงสุด
ในอาชีพผมบ่อยๆ ที่ผมใช้เสียงเดียวของผมที่มีในที่ประชุมฝ่ายบริหารเกือบสามสิบคน
แล้วผมก็สามารถหยุดมติเสียงข้างมากก่อนหน้านั้นได้ ก็เพราะเอาความจริงมาแสดงให้เห็น
บอกให้รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าทำตามมติส่วนใหญ่แล้วความเสียหายจะตามมาอย่างไรบ้าง
แล้วมติที่เสียงส่วนใหญ่เคยออกเสียงกันไว้นั้นก็ถูกยกเลิกไปแบบเงียบๆ และไม่ประกาศออกมาใช้อีก
และเมื่อความจริงหลังจากนั้นปรากฏขึ้นมา พวกที่ออกเสียงทั้งหลายเหล่านั้น
ก็มาขอบคุณผมว่าถ้าผมไม่หยุดในวันนั้น เราคงมาไม่ถึงวันนี้ได้เลย
ความจริงมันเจ็บปวดเสมอเมื่อเรารู้ และถ้าเรายอมรับมันไม่ได้เราก็จะไม่มีความสุข
แต่ถ้าเราเรียนรู้ความจริงแล้วยอมรับความจริงเหล่านั้น แล้วค่อยๆ ปรับปรุงกันไปเรื่อยๆ
เราจะมีความสุขกันได้ไหม
เอาความจริงเป็นพื้นฐานแล้วเดินทางสายกลางไปด้วยกัน อย่าสุดโต่งไปขวาจัด หรือซ้ายจัด
ทำแบบนั้นมันฝืนความจริง และเมื่อมันฝืนความจริงมากๆ เราก็อยู่กันไม่เป็นสุข
ไม่มีใครเลยจะเป็นสุขได้ในสังคมแบบนี้
ตั้งสติกันใหม่ครับ แล้วกลับมาเริ่มต้นกันด้วยความจริงแล้วช่วยกันพัฒนา
ให้เป็นความจริงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไป แล้วเราจะเป็นสุข
ด้วยความเคารพ
ศราวุธ สุ