#มองต่างมุม
หน้าที่หลักของผมคืองานที่เกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจทั้งหมดของกิจการ
ที่ผมรับผิดชอบโดยตรงก็คือ แผนกบัญชี แผนกการเงิน และแผนกบัญชีต้นทุน
นอกเหนือจากนั้นก็อยู่ในทีมบริหารสูงสุดที่รับผิดชอบด้านตัวเลขผลประกอบการทั้งมวล
สิ่งที่ผมเจออยู่ตลอดมาก็คือ "มุมมองและความคิดที่แตกต่าง"
ของคนในแต่ละแผนกอย่างเห็นได้ชัด
ผลประกอบการถูกแยกออกเป็นสองส่วน คือ
1.จากการดำเนินงานในกิจกรรมปกติของกิจการ ตรงนี้ดูตัวเลขเอาจาก
"กำไรขาดทุนจากการดำเนินงาน" หรือ Profit (Loss) from Operation
2.จากกิจกรรมทางการเงินสุทธิ คือตัวเลขที่เกิดจากการบริหารเงิน
แล้วสรุปออกมาเป็น "กำไรขาดทุนจากกิจกรรมทางการเงิน" หรือ Net Financial Activity
บ่อยๆ ที่เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันในที่ทำงานอันเนื่องจากแผนกต่างๆ ตัดสินใจ
เข้าข้างตัวเองจากตัวเลขผลขาดทุนที่แสดงออกมาใน #งบกำไรขาดทุน
ฝ่ายการเงินมักจะหลงคิดไปว่าผลกำไรสุทธิจากการประกอบการของกิจการเกิดจาก
ความสามารถของฝ่ายการเงิน เพราะมีกำไรในกิจกรรมทางการเงิน
ขณะที่ฝ่ายบัญชีก็บอกว่าตัวเลขขาดทุนที่ว่ามันก็เกิดจากการตั้งสำรองเอาไว้
ที่ไม่ได้จ่ายเงินจริง ฝ่ายบัญชีจะทำตัวเลขให้เป็นกำไรก็ได้
ฝ่ายบัญชีต้นทุนก็บอกว่าต้นทุนที่คำนวณเอาใส่ไปในงบการเงินนั่นน่ะ
มันไม่ใช่ต้นทุนจริง จริงๆ แล้วต้นทุนน้อยกว่านั้นอีก แต่นโยบายบัญชี
ที่ให้บันทึกแบบเลวร้ายเอาไว้ก่อนจะสร้างความปลอดภัยในช่วงปลายงวด
ถ้าใส่ตัวเลขจริงๆ ก็ไม่ได้ทำให้ขาดทุนหรอก
ฝ่ายผลิตก็บ่นน้อยใจว่าเราทำงานหนักแทบตายสุดท้ายก็ไม่ได้ผลกำไร
สู้ฝ่ายการเงินไม่ได้ เอาเงินไปหมุนแล้วก็มีกำไรมากกว่าทำงานหนักแทบตายเสียอีก
ฯลฯ
ผมอยู่ตรงกลาง เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของทุกฝ่ายทั้งหมด เลยต้องอธิบายรายงาน
ทางการเงินออกมาให้แต่ละฝ่ายได้เข้าใจภาพจริงที่เกิดขึ้น
แล้วผมก็ต้องกระตุ้นไม่ให้ทุกฝ่ายเกิดการท้อแท้ใจ แล้วต้องมาร่วมมือกันทำงานกันให้ดีต่อไป
ผมอธิบายฝ่ายผลิตว่า อย่าดูตัวเลขกำไรขาดทุนที่เกิดจากการขายสินค้า
แต่ต้องดูมูลค่าของสินค้าที่ผลิตได้เป็นหลัก เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกไปแล้ว
จะมีกำไรหรือขาดทุน นั่นคือผลการทำงานของฝ่ายผลิต
ผมอธิบายฝ่ายการเงินว่า เงินที่ท่านได้มานั้น ส่วนใหญ่ท่านไม่ได้เป็นคนหามา
แต่ฝ่ายขายเป็นคนผลิตสินค้ามาขาย เงินที่ได้มามันคือความสามารถของเขา
ขณะที่รายจ่ายต่างๆ ก็เกิดจากแผนกต่างๆ เช่นกัน
ดังนั้นรายรับและรายจ่ายทางการเงินทำให้ฝ่ายการเงินมองเห็นว่าเมื่อไหร่เงินจะเหลือ
หรือเงินจะขาด แล้วก็เอาตัวเลขนั้นไปบริหารซึ่งจะเกิดผลลัพท์ทางการเงินออกมา
ผมอธิบายแบบนี้ให้กับทุกฝ่ายทราบว่าเราไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้
ถึงทำได้ผลลัพท์ก็ออกมาไม่ดี สู้ทำงานเป็นทีมแล้วใช้ความสามารถสูงสุด
ที่แต่ละแผนกมีมาช่วยกันทำให้ผลลัพท์เกิดขึ้นแบบมีประสิทธิภาพสูงสุดจะดีกว่าไหม
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรแบบไหน ไม่ว่าจะระดับไหน ถ้าต่างฝ่ายยังต่างคิดและแยกกันทำ
อย่าคิดเลยว่าผลลัพท์จะออกมาได้ดี เพราะยังมีอีกหลายฝ่ายที่อาจจะเกิดผลเสีย
จากสิ่งที่ฝ่ายหนึ่งๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง แต่ไปกระทบกับคนอื่นก็เป็นได้
"มองมุมเดียวเปรียบเหมือนม้าลากรถ"
พี่เอ็กซ์สอนผมเรื่องนี้บ่อยมากจนขึ้นใจ เมื่อก่อนผมก็ทำงานคนเดียว เก่งคนเดียว
แล้วก็ดักดานอยู่คนเดียวด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมไม่ต้องไปเสียเวลาทำงานที่ผมมีความสามารถสูงเกินไป
ผมได้ใช้ความสามารถที่มีเหมาะสมกับงานที่ทำ
งานอื่นๆ ก็กระจายอำนาจไปให้คนที่เกี่ยวข้องให้ช่วยกันทำ
ทำงานแบบนี้สนุกมาก ไม่เหนื่อย แล้วผลลัพท์ก็ออกมาดี
แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งเข้ามามีอำนาจบริหารแล้วมองแต่มุมของตัวเองข้างเดียว
อะไรที่ไม่เคยคาดคิดมันก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่จะเกิดคือสิ่งที่จะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ
ด้วยความเคารพ
ศราวุธ สุ
ปล.ผมเพิ่งจะอบรมนายคนใหม่ของผมด้วยเรื่องที่เขียนนี่แหละครับ