Second Opinion
เมษายน 2540 คราวนี้ รู้แล้วว่า เป็นเนื้องอกแน่ๆ เพราะฟิล์มที่ทำ MRI โชว์ให้เห็นชัดเจนกว่า มีก้อนเนื้อกลมๆ อยู่ใกล้ๆ ก้านสมอง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 2.4 ซม. (ใครคิดไม่ออก ก็ประมาณ เล็กกว่าลูกปิงปองนิดหน่อย) เจ้าก้อนนี้ ไปเบียดเนื้อสมองอยู่ ซึ่งก้านสมอง เปรียบเสมือน จุดรวมปลั๊กไฟ ในร่างกายเรา.. จะว่า อันตราย ก็เป็นจุดที่อันตรายจุดหนึ่ง..
ตอนนั้น กู๋สนธยา ก็ลองถามเพื่อนๆ ที่จบพยาบาลมาด้วยกัน เค้าทำงานที่โรงพยาบาลรามา เพราะอยากรู้ว่า มีอาจารย์หมอคนไหนเก่งๆบ้าง เราจะได้ไปขอ second opinion แล้วเราก็ได้ไปหาอาจารย์หมอ (จำชื่อไม่ได้แล้ว) ซึ่งเค้าออกตรวจวันอาทิตย์ ที่โรงพยาบาลเมโย วันนั้น หม่าม๊าก็เอาฟิล์มไปหาคุณหมอกับป่ะป๊า แล้วก็กู๋สน กับกู๋นพ (ตอนนั้น กู๋นพยังอยู่ แต่ลูกไม่รู้จักหรอกนะ เพราะกู๋นพประสพอุบัติเหตุ จากไปก่อนที่หนูจะเกิด จนอาม่าคิดว่า หนูน่ะ เป็นอากู๋นพ กลับมาเกิดหรือป่าว เพราะหม่าม๊าแอบเห็นอาม่ากระซิบถามหนู ตอนเล็กๆ อิอิ) ตอนเข้าไปหาคุณหมอ ก็นั่งเรียงกัน 4 คน จนคุณหมอ งง ก็เลยถามว่า ตกลงคนไหนคนไข้เนี่ย... (ตอนที่ถาม คุณหมอมองหน้า ป่ะป๊า สงสัยคิดว่า หมอนี่แน่นอน.. คงเพราะป่ะป๊าหน้าซีดละมัง)
คุณหมอดูฟิล์มแล้ว ก็บอกว่า.. โชคดี ที่ไม่ใช่เนื้อร้าย.. เพราะลักษณะของก้อนเนื้อ กลมดิกเลย.. เฮ้อ.. โล่งใจไป 1 เปลาะ แล้วคุณหมอก็บอกว่า.. ก้อนเนื้องอกอยู่บริเวณนั้น หมอไม่แน่ใจว่า อยู่บนเส้นประสาท เส้นที่ 9 หรือ 10 หรือ 11 เพราะ 3 เส้นนี้ เกี่ยวกับ ลิ้น (การพูด) หูข้างซ้าย (การฟัง) และหลอดอาหาร (การกลืน) เพราะหม่าม๊ามีอาการ ทั้งหมด หูซ้ายได้ยินไม่ชัด เวลาทานอาหาร กลืนไม่ค่อยลง เหมือนมีก้อนอะไรติดคอ วิธีการรักษา มีหลายวิธี
วิธีที่ 1 .. ผ่าเข้าไป ตัดเอาก้อนเนื้อออกมา ข้อดี คือ ตัดหมด ข้อเสียคือ อาจหน้าเบี้ยว.. อาจสูญเสียการได้ยินของหูข้างซ้าย หรืออาจต้องฝึกการพูดใหม่ ขึ้นกับว่า ก้อนเนื้องอกอยู่บนเส้นประสาทเส้นไหน
วิธีที่ 2 .. ผ่าเข้าไป แล้วคว้านข้างในก้อนเนื้องอก แบบนี้เส้นประสาทก็จะไม่เสียหาย แต่ข้อเสีย.. หน้าเบี้ยว เพราะผ่าตัดเปิดกระโหลกเนี่ย.. มันมีผลทำให้เส้นประสาทบาดเจ็บ (Trauma) ซึ่งบอกไม่ได้ว่า มันจะ recover เมื่อไหร่ ต้องใช้เวลานาน.. และข้อเสียอีกประการคือ เนื้องอก อาจจะเติบโตขึ้นมาได้อีก ถึงตรงนี้ หม่าม๊าก็ถามคุณหมอว่า อ้าว.. ถ้าโตอีก แล้วทำไงคะ.. คุณหมอบอกว่า ก็ต้องผ่าใหม่.. โหย.... หม่าม๊าเลยถาม..งั้นติดซิปเอาได้ป่ะหมอ เวลาโต ก็รูดซิปเปิดออกมาคว้าน.. สะดวกดี.. (ดูดู๊ดู.. ยังมีหน้ามาทำตลกอีกนะ) คุณหมอก็ยิ้มๆ แต่คงนึกด่าหม่าม๊าในใจเนอะ
ถึงตอนนี้ ป่ะป๊าคงหน้าตาดูแย่มาก เหมือนเป็นเอง.. คุณเลยบอกว่า วิธีที่ 3 .... ป่ะป๊าเลยหูผึ่งขึ้นมา
วิธีที่ 3 ... ทำ Gamma Knife เป็นการผ่าตัดด้วยรังสีแกมม่า ก็คล้ายๆกับยิงรังสีเข้าไปทำงายเซลล์เนื้องอกนั่นแหละ แต่ต้นกำเนิดของรังสี เป็นสารแกมม่า (อะไรทำนองนี้แหละ) ซึ่ง ณ ตอนนั้น มีเจ้าเครื่องตัวนี้ แห่งเดียว ที่ โรงพยาบาล กรุงเทพ นอน โรงพยาบาลแค่ 2-3 วัน เท่านั้น ไม่ต้องเปิดสมอง.. แต่ค่าใช้จ่าย 350,000 บาท (ใช่ค่ะ .. สามแสนห้า.. เยอะมากนะนั่น) หม่าม๊าได้ยินคุณหมอบอกปุ๊บ ก็ตอบทันทีเหมือนกัน.. งั้นหายแล้วค่ะหมอ.. ก็นั่งเงียบกันไปสัก 10 วินาที คุณหมอเลยบอกว่า แต่ดูจากฟิล์มแล้ว คุณรอได้ ตอนนี้ ที่โรงพยาบาลรามา ก็กำลังติดตั้งเครื่องที่คล้ายๆกันอยู่ เพียงแต่ต้นกำเนิดของรังสี จะไม่ใช่แกมม่า แต่เป็นรังสีแบบที่ทำการ X-ray กัน.. คิดว่า คงจะเสร็จตอนปลายๆปี ค่าใช้จ่ายก็น่าจะถูกกว่า.. แถมการรักษาที่รามา ก็จะมีทีมแพทย์ ย้ำค่ะ ทีมแพทย์ เพราะจะประกอบไปด้วยแพทย์ศัลยกรรมประสาท, แพทย์รังสีวิทยา, นักฟิสิกส์, และผู้เชี่ยวชาญ.. อืมม... หม่าม๊าสรุปได้ทันที.. งั้นหนูรอค่ะคุณหมอ ยังไง หนูต้องโทรไปถามที่โรงพยาบาลรามาใช่มั้ยคะ.. โอเค.. หลังจากเราสวัสดี เพื่อร่ำลาคุณหมอ.. คุณหมอก็หันมาถามป่ะป๊าว่า..สบายใจหรือยัง.. หม่าม๊าก็เพิ่งหันมามองหน้าป่ะป๊าตอนนั้นเองแหละ ว่าป่ะป๊าทำหน้าแหยๆ แถมตัวก็ซีดๆ คุณหมอเลยห่วงมากกว่า คนป่วยคนนี้ซะอีก..
Create Date : 26 กันยายน 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 26 กันยายน 2551 15:24:11 น. |
Counter : 673 Pageviews. |
|
|
|