ช่วงกลางรัชกาลจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ยุคทองของฮั่นตะวันตกเริ่มเห็นเค้าลางความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายหลังการเสียชีวิตของฮั่วชีปิ้งขุนพลคู่บัลลังก์แผ่นดินจงหยวนยังคงสู้รบกับชนเผ่าซยงหนูนอกด่านอย่างต่อเนื่องจนเงินท้องพระคลังที่เคยรุ่งโรจน์เริ่มหดหาย
เหรียญเงินเหล็ก เกลือ และสินค้าหลายชนิดกลายเป็นกิจการที่ถูกริบโดยรัฐเป็นของต้องห้ามที่ถูกควบคุมราคา เป็นต้นทางของการเริ่มต้นยุคข้าวยากหมากแพงอย่างที่ไม่เคยปรากฏ
สินค้าชนิดหนึ่งซึ่งมีค่าและเป็นที่เลื่องลือขจรขจายคือ "ผ้าไหม" ต้นเหตุที่บรรดาพ่อค้าวานิชต่างเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งผ้างดงามหาใดเปรียบในโลกหล้า
"เส้นทางสายไหม" จึงถือกำเนิดขึ้นในรัชกาลจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้นับแต่นั้น...
หยวนเผิง ศกปีที่ 29ในรัชกาลจักรพรรดิฮั่นอู่
พื้นดินชุ่มน้ำฉ่ำนองทั่วผืนป่าหลังหยาดฝนซาลงไปพักใหญ่สองร่างเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นแข่งกับเวลาเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แต่หนทางกลับยิ่งไกลห่างเหมือนหลงอยู่ในป่าสนวนกลับไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับหาทางไปต่อไม่ได้เมื่อดูจากแผนที่ในมือ
ร่างกายอ่อนล้าเริ่มประท้วงด้วยเสียงท้องร้องไม่หยุดเพราะรอนแรมมานานหลายชั่วยามชุดผ้าต่วนเนื้อหยาบสีเทาหม่นที่สวมใส่เปรอะเปื้อนโคลนดินสองนายบ่าว ผู้เป็นนายร้องทักเมื่อสายตาสอดส่ายเจอกับอะไรบางอย่างจึงชะงักฝีเท้าพลันออกคำสั่ง
ช้าก่อน! ข้าได้ยินเสียงเหมือนน้ำไหลทางนั้นน่าจะมีธารน้ำข้าว่าเราแวะพักก่อนดีกว่า
แต่เรามีหมั่นโถวเหลืออีกไม่มากแล้ว หากมืดค่ำไปข้าเกรงจะหาเสบียงเพิ่มเติมกับที่พักลำบากนะคุณชาย
ข้ารู้ ผู้เป็นนายเอ่ยเสียงขึ้นจมูกแต่ขอเวลาครู่เดียวคงไม่มีอะไรแย่กว่านี้กระมัง
เช่นนั้นไปให้ถึงที่หมายก่อนดีหรือไม่ขอรับ
ไม่! เจ้าดูสิข้าสกปรกมอมแมมมากแค่ไหนไล่ตามเจ้าพวกปล้นม้านั่นไม่พอยังหลงทางข้าเหนื่อยแทบขาดใจอยากลงแช่ในลำธารนั่นแล้ว
แต่ว่า...
อย่าขัดใจข้า
ก็ต้องเป็นเช่นนั้นขอรับ คนตัวเล็กครึ่งเซียะแต่อวบกว่ามากจำใจพยักหน้าพลางบ่นไล่หลังข้าแค่อยากให้คุณชายคิดดี ๆ อีกครั้งหนึ่งหากใครมาเห็นเข้าจะ...
อย่าทำกลัวเป็นกลัวตาย ผู้เป็นนายค่อนแคะจบไม่ฟังคำทักท้วงกลับก้าวเดินนำไปทำให้อีกฝ่ายต้องเดินแกมวิ่งพลางร้องเรียกด้วยความหวาดหวั่น
รอด้วยขอรับ คุณชาย! ข้าเดินตามไม่ทันแล้ว
ตามไม่ทันก็นอนรออยู่ที่นั่นไป
ร่างอ้วนป้อมเบ้หน้าเพราะถูกอีกฝ่ายไม่ใยดีจำต้องวิ่งตามไปเมื่อถูกทิ้งห่างแต่แค่ไม่กี่ฝีก้าวแอ่งน้ำขนาดใหญ่ใต้น้ำตกไหลแรงก็ปรากฏแก่สายตาจนน่าตื่นตะลึง
ประกายน้ำสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับเหล่าแมลงกลางคืนส่งเสียงขานขับราวท่วงทำนอง แสงกะพริบของหิ่งห้อยรายล้อมจนสองนายบ่าวถึงกับตกตะลึงในความงามมิคาดว่าหุบผาป่าสนแห่งนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้...
ร่างผอมเพรียวถอดรองเท้าฟางเปื้อนโคลนดึงผ้าผูกเอวออกรุดลงริมลำธารพลางร้องสั่ง เร็ว ๆ เข้า เจ้านี่ชักช้าร่ำไร
ก็ข้าต้องระวังหลังให้คุณชาย
บ่าวร่างอวบเอ่ยพลันสืบเท้าก้าวตามเสียงดังสวบสาบแต่ยังตามไม่ทันก็ได้ยินเสียงน้ำตูมใหญ่เพียงครู่เดียววงน้ำก็ค่อย ๆ กระจายเป็นวงกว้างก่อนจะปรากฏร่างงามผมยาวกลางหลังเปียกลู่ผุดขึ้นกลางวงน้ำแทนที่
ร่างกำยำผงกศีรษะขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงวัตถุตกกระทบผืนน้ำคิ้วหนาไม่เป็นระเบียบย่นเข้าหากันด้วยความสงสัยมืดค่ำป่านนี้ยังมีผู้ใดนอกจากเขากลางหุบผาป่าสนแห่งนี้ คิดดังนั้นจึงผุดลุกนั่งคุกเข่าค่อยๆ แหวกพงหญ้าไม่ให้มีเสียง ดวงตาคมปลาบมองออกไปครู่หนึ่งแล้วถึงกับขยี้ตาเพ่งมองซ้ำสองก่อนจะรำพึงรำพัน
หรือข้าตาฝาด นั่นผีสางหรือนางไม้กัน...
ภาพที่ปรากฏไม่ใกล้ไม่ไกลคือร่างอรชรผิวขาวราวหิมะกำลังแหวกว่ายสายธาราผมสยายเส้นเล็กตรงยาวราวแพรไหมเปียกลู่ถูกเสยขึ้นเผยดวงหน้างดงามดุจภาพวาด ดวงตาระริกสดใสคล้ายกวางป่านั้นสะกดสายตาให้จ้องมองและสุดท้ายต้องสะดุดอยู่ตรงริมฝีปากอวบอิ่มสีดอกท้อที่กำลังแย้มยิ้มสดชื่น
งดงามจนไม่อยากละสายตา...
แต่เสียงหยอกล้อแผ่วเบาที่ได้ยินนั้นดึงสติบุรุษหนุ่มให้กลับมาเงี่ยหูฟังอีกครั้งด้วยความอยากรู้
เร็วๆ เข้าเถอะคุณหนู อย่ามัวแต่แหวกว่ายอยู่เลย
ข้ายังอยากอยู่ต่ออีกครู่
คุณหนูบอกข้าว่าครู่เดียวหรือมิใช่ อีกฝ่ายตอกย้ำ
ร่างสูงใหญ่หลังพงหญ้าลอบมองร่างอรชรตีน้ำใส่บ่าวที่นั่งยองริมตลิ่งจนหลบลี้พัลวันตามด้วยเสียงหัวร่อต่อกระซิก พลันถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความลืมตัวเมื่อร่างนั้นรับผ้าคลุมมาพันกายแล้วก้าวขึ้นจากลำธาร
อา... ช่างพลิ้วไหวราวกับสกุณางาม...
สตรีอรชรผู้นี้ช่างไม่เหมือนผู้ใด แม้แต่เสียงที่เปล่งจากริมฝีปากยังไพเราะราวสดับเพลงพิณหรือเป็นเพราะว่าห่างเหินจากอิสตรีมานานจึงเป็นเช่นนี้
หยางซุนหยางใจลอยเคลิบเคลิ้มไปกับภาพตรงหน้าพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใกล้หลังเท้ามือแข็งแรงล้วงหยิบมีดพับจากบั้นเอวออกมากำมั่นก่อนจะหันกลับไปหาที่มาของสิ่งน่าสงสัยแล้วพุ่งประชิดก่อนที่อีกฝ่ายจะทันรู้ตัว
โธ่เอ๊ย! เจ้ากระต่ายป่าเกือบไปแล้ว
แรกเห็นว่าเป็นสิ่งใดดวงหน้าคมก็แย้มยิ้มมือโอบอุ้มกระต่ายน้อยมาวางแนบตัก ลูบขนปุยสีขาวอมเทายาวนุ่มดุจปุยเมฆเอาไว้ด้วยความเอ็นดูดวงตากระต่ายน้อยงดงามราวทับทิมสีชาดอีกทั้งขนนุ่มนั้นยาวเกือบถึงพื้นอย่างที่ไม่เคยพบเจอ
คงมีแต่กระต่ายในป่าสนอมตะแห่งนี้กระมังที่งดงามถึงเพียงนี้ไม่ต่างจากสกุณางามร่างอรชรในธารน้ำสีเงินสะท้อนแสงจันทร์นั้นเลย
แล้วหยางซุนหยางถึงกับชะงักเมื่อเจ้าขนนุ่มกระโดดหนีจากออกจากตักเขาได้แต่มองตามมันลับสายตา พอหันกลับมาร่างงามในลำธารก็หายไป ครั้นผุดลุกขึ้นตามหาก็ต้องทรุดหลบหลังพงหญ้าอีกคราเพราะเสียงฝีเท้ามากกว่าหนึ่งดังสวบสาบใกล้เข้ามา
เงาตะคุ่มสองร่างทอดเป็นทางยาวมีแสงจากตะเกียงวับแวมให้เห็นว่ากำลังเดินขึ้นมาจากทางดินริมลำธารมาทางที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่
บุรุษหนุ่มร่างสูงกว่าแปดเซียะขยับเข้าหลังต้นไม้มองตามทั้งสองผ่านไปด้วยความสงสัยเสียงกังวานแต่ห้าวห้วนหนึ่งในสองสะกิดใจให้ลุกและย่องตามไปอย่างเงียบเชียบ
ด้านหน้าเป็นทางสามแพร่งทางหนึ่งคือทิศตะวันตกที่ทั้งสองเพิ่งเดินผ่านด้านซ้ายเป็นทางขึ้นเขาทิศเหนือหนทางรกทึบกว่าอีกทางที่พวกเขาทำสัญลักษณ์ไว้เมื่อครู่ใหญ่
เหตุใดวนมาที่เดิม เจ้าหยิบแผนที่ให้ข้าทีสิ...สวี่ลี่
ขอรับคุณชาย บ่าวร่างอวบกล่าวนอบน้อมพลางล้วงห่อผ้าหยิบสิ่งที่ต้องการมากางให้ข้าก็อยากรู้ว่าเหตุใดจึงยังวนไปวนมาอยู่ที่เดิม
อันที่จริงเราน่าจะถึงโรงเตี๊ยมตั้งแต่ครึ่งชั่วยามแล้ว ร่างสูงกว่าชี้นิ้วลงบนจุดสำคัญในแผนที่พลันหัวคิ้วขมวดมุ่น เจ้าคิดเห็นเช่นข้าหรือไม่
ข้าดูไม่ออกหรอกขอรับ
ผู้เป็นนายลอบถอนใจนิ้วเรียวยาวไล่ไปตามเส้นทางในแผนที่แล้วชี้ไปด้าน อีกฝ่ายชูตะเกียงให้พลางชี้มือไปที่จุดปลายด้านล่างสุดมุมซ้ายสีหน้านิ่งของคุณชายเริ่มส่อแววกังวลพร่ำบ่นแผ่วเบา
เหมือนยังไปไม่ถึงไหน หากเป็นเช่นนี้อาจไม่ทันกำหนดที่ข้าให้ไว้กับท่านพ่อก็เป็นได้
ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ อีกอย่างสิ่งที่เจ้าสำนักรู้มาหาได้มีการพิสูจน์ว่ามีจริงดังคำกล่าวหรือไม่
ข้าจึงอยากพิสูจน์อย่างไรเล่า หากมีจริงท่านพ่อต้องพอใจและไว้วางใจข้ามากกว่าเดิม
หยางซุนหยางที่ปีนขึ้นนั่งบนกิ่งไม้เงียบเชียบได้แต่ลอบฟังพลางก้มมองแผนที่ในมือคุณชายนิรนามที่ละม้ายแผนที่ในมือตนไม่วางตาช่างต่อกันได้ราวกับมาจากช่างวาดคนเดียวกัน แต่เขาต้องม้วนแผนที่เก็บใส่สาบเสื้อด้วยความเร่งรีบเมื่ออีกฝ่ายเริ่มก้าวเดินต่อ
ข้าเห็นแสงจากราวป่าฝั่งโน้น อาจมีโรงเตี๊ยมหรือบ้านคนร่างอ้วนกล่าวพลางชี้มือให้ผู้เป็นนายเหลียวมองตาม เราควรพักค้างแรมกันก่อนที่จะเดินลึกเข้าไปกว่านี้ดีหรือไม่คุณชาย
ก็ดี อาจเป็นโรงเตี๊ยมนี้ก็ได้ที่เห็นในแผนที่เช่นนั้นข้าจะได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดนี้เลอะเทอะเต็มทน
คืนนี้ข้าคงนอนฝันดีไม่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายเหมือนวันก่อนๆ เรารีบไปกันดีกว่าขอรับคุณชาย
ผู้เป็นนายพยักหน้าสีหน้าวิตกเล็กน้อยมือกระชับห่อผ้าแน่นราวกับกลัวมันจะหล่นหาย
เราเหลือตั๋วเงินไม่มาก เสียดายที่โดนไอ้พวกสารเลวนั่นปล้นเสบียงกับม้าไปมิเช่นนั้นคงไม่ต้องลำบากเช่นนี้
ข้าว่าเราล้มเลิกความคิดดีหรือไม่คุณชาย
ไม่ได้!
แต่ข้าเกรงว่า...
โอกาสท่องโลกกว้างเช่นนี้ไฉนจะมาถึงบ่อย ๆมาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีของติดมือกลับไปเห็นทีจะมิได้
เช่นนั้นมิได้ก็คงไม่ได้สินะขอรับ ร่างอวบกว่าโอดครวญก่อนจะก้าวยาวตามติด
บุรุษหนุ่มกระโจนลงจากต้นไม้ยืนมองทั้งสองเดินตามกันไปเงาทอดยาวของสองนายบ่าวสาดลงบนพื้นแบ่งแยกลักษณะส่วนบุคคลชัดเจนจนแม้ไม่มองก็พอจำได้ทั้งเรื่องเสบียง ม้าที่โดนขโมยต้องนอนกลางดินกินกลางทรายเพื่อดั้นด้นไปบนเขา
มันต้องมิใช่เรื่องดี...
นับวันพวกนอกด่านจะเหิมเกริมใหญ่ หากเป็นพวกซยงหนูแฝงตัวลอบเข้ามาเขตแดนจงหยวนเขาต้องรู้ให้ได้ว่าทั้งสองประสงค์สิ่งใดจึงได้รุกล้ำเข้ามาในเขตหุบผาป่าสนอมตะที่แม้แต่ชาวจงหยวนเองยังมิอาจหาญกล้ามาเหยียบได้แต่เพียงเดินทางสิ้นสุดแค่ตีนเขาเท่านั้น
เห็นทีจะต้องหาทางเค้นเอาความจริงให้จงได้...
หยางซุนหยางขบกรามครุ่นคิดคำพูดของสองนายบ่าวหากพวกมันคิดการใหญ่หาญกล้าขโมยผ้าโบราณพันปีในตำนานจากจงหยวนนำไปขายต่อ ควรหรือไม่ที่เขาจะตัดต้นไม่ให้เหลือรากกลับไปคิดดังนั้นร่างสูงใหญ่จึงลัดเลาะตามไปอย่างเงียบเชียบ...
ไม่กี่อึดใจสองนายบ่าวก็ก้าวเข้าสู่หมู่บ้านนิรนามแสงสว่างจากตะเกียงเริ่มริบหรี่ลง ผู้เป็นนายหยุดยืนและเอ่ยเสียงเบาอย่างระแวดระวัง
ปล่อยให้ดับไป
ขอรับ
ร่างอ้วนรีบทำตามไม่รั้งรอก่อนจะก้าวประชิดนายพลางเหลียวมองซ้ายขวาด้วยความระแวงยิ่งขนลุกขนชันหนักเมื่อเสียงสุนัขเห่าหอนสลับกับเสียงกระพือปีกของสกุณายามค่ำคืน คนขี้กลัวยิ่งหวาดหวั่นจนร้องเรียก
คุณชาย! รอข้าด้วย
ก็รีบเดินเข้าสิ
ร่างอวบตามไม่ลดละกระซิบถามผู้เป็นนาย นั่นตัวอะไรขอรับเหตุใดตามันช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ผู้เป็นนายขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองสนต้นใหญ่เรียงรายในความมืดแล้วทอดถอนใจดวงตาสดใสราวกวางป่าสบเข้ากับแสงแวววาวหลากชนิดบนนั้นอย่างไม่มีทีท่ากริ่งเกรงไม่เหมือนบ่าวร่างอวบที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่เบื้องหลัง
ระวังนะขอรับ!
เจ้านี่อยู่มาจนป่านนี้เหตุใดกลัวแม้แต่สัตว์เล็กเช่นนี้อยู่เล่าคุณชายร่างเพรียวกระตุกยิ้มเย้า
คุณชายก็ดูตามันสิขอรับ มันจ้องข้าเขม็งเชียว บ่าวที่เคยปากกล้าลิ้นคมถึงกับโอดครวญ เกิดมาข้ายังไม่เคยเจอสัตว์หน้าตาน่าเกลียดน่าชังเช่นนี้มาก่อนเลยมันมีชื่อว่าอย่างไรหรือขอรับ
มันคือนกฮูกเทาใหญ่ภูมิลำเนาอยู่บนป่าสนตอนเหนือบนเทือกเขานี้เท่านั้น
มิน่าเล่า ข้าจึงไม่เคยเห็น
ผู้เป็นนายฟังแล้วกลอกตามองร่างอ้วนด้วยความระอาจึงบ่นอีกคราข้าก็บอกแล้วให้เจ้าไปเรียนหนังสือกับข้าก็ไม่ไปมัวแต่เที่ยวเล่นปล่อยเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเช่นนี้
ข้ารู้ขอรับคุณชายบ่นข้าทุกวันแล้ว... ร่างอวบอ้วนพ้อลากเสียงราวล้อเลียนก่อนจะเดินแกมวิ่งตามติดนายน้อยของตนต่อไปข้าคงต้องขอเรียนวิชารอบตัวจากคุณชายบ้างแล้ว คุณชายยังจะสอนข้าหรือไม่ขอรับ
สอนสิหากเจ้าอยากเรียนแต่ขอให้จริงอย่างที่เจ้าพูดเถอะ คุณชายตัวบางกลอกตาด้วยความระอาก่อนจะหันหลังเดินนำไป
กิริยาประหลาดเหมือนบุรุษก็มิใช่สตรีก็ไม่เชิงของคุณชายนิรนามช่างดูน่าสงสัยจนหนุ่มพเนจรเหยียดยิ้มพลันรุดออกจากที่ซ่อนยืนมองสองร่างลับหายไปเข้าไปภายในหมู่บ้านความสงสัยยิ่งทวีคูณเมื่อครุ่นคิดคำพูดเมื่อครู่
เจ้าหนุ่มนี่ท่าทางไม่เบาดูเหมือนคนได้รับการศึกษาหรือมิใช่พวกซยงหนู แล้วมาหุบผาป่าสนนี่เพื่อการใดกันแน่
หยางซุนหยางลูบคางครุ่นคิดแต่เพียงครู่เดียวรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏบนใบหน้าดูทีว่าเขาคงต้องตามติดให้ใกล้ชิดเพื่อดูท่าทีทั้งคู่...