|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
สาเหตุการนอนกรนและวิธีแก้การนอนกรน
คุณคงรู้สึกรำคาญเสียงมาก เมื่อคนใกล้ตัวมีอาการนอนกรนจนคุณไม่เป็นอันนอน ไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นที่ประสบปัญหานอนกรน เด็กบางรายก็พบว่ามีอาการนอนกรนเช่นกัน มาติดตามวิธีแก้สิครับ
อาการนอนกรน (snoring) เป็นปัญหาของการนอนหลับที่พบบ่อยในคนอายุ 30-35 ปี ซึ่งมักจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ผนังคอหนา เนื้อเยื่อในช่องคอหย่อนตัวขณะนอนหลับ ประมาณร้อยละ 20 เป็นเพศชาย และร้อยละ 5 เป็นเพศหญิง ซึ่งอาการนอนกรนจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
เสียงกรนเกิดขึ้น
จากการที่อากาศเคลื่อนผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง ซึ่งมักเกิดจากการผ่อนคลายหรือหย่อนตัวของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนขณะนอนหลับ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณเพดานอ่อน (soft palate) ลิ้นไก่ (uvula) ผนังคอหอย (pharyngeal wall) หรือโคนลิ้น (tongue base) ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและสะบัดของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนในบริเวณนั้นเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น และยังพบว่าเกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนจากต่อมทอนซิล และต่อมอดีนอยด์ (adenoid) ที่โตซึ่งเป็นสาเหตุของอาการนอนกรนที่สำคัญในเด็ก หรือเนื้องอกหรือซีสท์ (cyst) ในทางเดินหายใจส่วนบน หรือการที่มีโพรงจมูกอุดตันจากหลายสาเหตุ เช่น อาการคัดจมูกจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผนังกั้นช่องจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูกและ/หรือโพรงอากาศข้างจมูก ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบก็เป็นสาเหตุที่ให้เกิดอาการนอนกรนได้เช่นกัน นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ (alcohol) การกินยานอนหลับหรือยาแก้แพ้ชนิดง่วงก่อนนอน ก็จะช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อมีการคลายตัวมากขึ้น และอาจมีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีเสียงกรนดังขึ้น
ดังนั้น อาการนอนกรนจึงไม่ใช่เรื่องปกติ แต่กลับบ่งบอกถึงการมีสิ่งอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (obstructive sleep apnea) เป็นภาวะที่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจมากจนกระทั่งทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆขณะนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์...
อาการนอนกรนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ถือว่าเป็นโรค แต่เมื่อใดที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อคู่นอน สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนบ้าน หรือมีผลต่อสังคมและคุณภาพชีวิตของบุคคลนั้นแล้ว ก็จำเป็นที่ต้องมาปรึกษาแพทย์
เมื่ออาการนอนกรนเกิดร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ ถ้าไม่รักษาอาจมีอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน ทำให้เรียนหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้าต้องขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุในท้องถนนได้ นอกจากนั้นจะมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆ ได้ เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดันโลหิตในปอดสูง โรคหลอดเลือดในสมอง การวินิจฉัย...
1.ซักประวัติ สุขภาพโดยทั่วไป โรคประจำตัว สภาพเศรษฐานะและสังคม มีอาการซึ่งบ่งบอกถึงการมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยหรือไม่ รวมทั้งมีบุคคลในครอบครัวที่มีอาการนอนกรนด้วยหรือไม่
2.การตรวจร่างกาย แพทย์จะให้ความสนใจในเรื่องต่อไปนี้
ลักษณะทั่วไป ที่อาจส่งเสริมให้เกิดอาการนอนกรนขณะหลับได้ เช่น คอสั้น อ้วน น้ำหนักมาก มีความผิดปกติในลักษณะโครงสร้างของใบหน้า เช่น คางเล็ก ถอยร่นมาด้านหลัง
การตรวจทั่วไป ได้แก่ วัดความดันโลหิต วัดเส้นรอบวงคอ การตรวจการทำงานของหัวใจและปอด
การตรวจทางหู คอ จมูกอย่างละเอียด เช่นตรวจในโพรงจมูก หลังโพรงจมูก ช่องปาก คอหอย เพดานอ่อน ลิ้นไก่ ทอนซิล โคนลิ้นและกล่องเสียง เพื่อทราบถึงตำแหน่ง และสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน
3. การตรวจพิเศษเพิ่มเติม ได้แก่
การบันทึกเสียงหายใจขณะหลับ (sleep tape recording) ซึ่งมีประโยชน์ในเด็กที่มีอาการไม่ชัดเจน หรือผู้ปกครองไม่สามารถจะสังเกตการหายใจที่ผิดปกติได้ โดยให้ผู้ปกครองใช้เทปคาสเซทต์ (tape cassette) บันทึกเสียงกรนหรือเสียงหายใจของเด็กขณะหลับ ประมาณ 1 ชั่วโมง
การตรวจการนอนหลับ (polysomnography) เป็นการตรวจที่มีความสำคัญมากในการวินิจฉัย และบอกความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยช่วยวินิจฉัยแยกภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการนอนกรนธรรมดา และสามารถบอกคุณภาพของการนอนหลับว่าหลับได้ดีหรือไม่ มีความผิดปกติเกิดขึ้นในขณะนอนหลับหรือไม่ การตรวจการนอนหลับจะใช้เวลาตรวจช่วงกลางคืนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาปกติของการนอนหลับในคนทั่วไป การรักษา...
1. การรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด (non-surgical treatment)
ลดน้ำหนัก โดยการควบคุมอาหาร หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเพิ่มความกระชับตึงตัวให้กล้ามเนื้อของทางเดินหายใจส่วนบน
หลีกเลี่ยงยาหรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เช่น เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาต้านฮีสตามีน (antihistamine) หรือยาแก้แพ้ชนิดที่ทำให้ง่วง โดยเฉพาะก่อนนอน
การปรับเปลี่ยนท่าทางในการนอน เช่น ไม่ควรนอนในท่านอนหงาย เนื่องจากจะทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าการนอนในท่าตะแคง นอนศีรษะสูงเล็กน้อย ประมาณ 30 องศาจากแนวพื้นราบ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่
การใช้เครื่องมือที่เป่าลมเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นหรือไม่อุดกั้นขณะนอนหลับ (Continuous Positive Airway Pressure)
2.การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด (surgical treatment) ผู้ใหญ่ที่มีอาการนอนกรน มากกว่าร้อยละ 90 มีการอุดกั้นทางเดินหายใจบริเวณคอหอยส่วนปาก เช่น ต่อมทอนซิล เพดานอ่อน ลิ้นไก่ โคนลิ้น และมากกว่าร้อยละ 80 มักมีการอุดกั้นทางเดินหายใจบริเวณคอหอยส่วนกล่องเสียง
การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด สามารถเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจส่วนบนให้กว้างขึ้น และแก้ไขลักษณะทางกายวิภาคที่ผิดปกติ ซึ่งนำไปสู่การอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจ จะใช้วิธีนี้เมื่อ
มีความผิดปกติทางกายวิภาค (anatomical abnormalities) ที่เป็นสาเหตุ ทำให้เกิดอาการนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
มีผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวและสังคมมาก เช่น ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงมาก เสียงกรนรบกวนคู่นอนมาก ทำให้นอนไม่หลับ
ล้มเหลวจากการรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด ผู้ป่วยยังมีอาการกรนอยู่ หรือมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นกับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
ส่วนจะเลือกการผ่าตัดประเภทใด ทำมากหรือน้อย ขึ้นกับลักษณะทางกายวิภาคของผู้ป่วยแต่ละราย ตำแหน่งและสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจ โรคประจำตัว ความรุนแรงของอาการนอนกรนและ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ความชอบหรือความต้องการของผู้ป่วยด้วย อย่างไรก็ตามอาการนอนกรนและ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มักจะเกิดจากการอุดกั้นในทางเดินหายใจหลายตำแหน่ง ดังนั้นการทำผ่าตัดแก้ไขเพียงจุดใดจุดหนึ่งอาจไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นมากนัก
อย่าเพิ่งน้อยใจในชีวิต ปัญหานอนกรน.........เพราะแก้ได้ จัดเวลามาพบแพทย์ รู้สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง ความรุนแรงแล้วรักษา เชื่อแน่ว่าคุณจะกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพจิต
สิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่งกับผู้ป่วยนอนกรน โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เครื่องมือแพทย์ช่วยในการหายใจขณะหลับ ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น
การรักษาแบบใหม่เรียกว่า การใส่พิลลาร์ (Pillar procedure) โดยใช้วัสดุที่เรียกว่า "พิลลาร์" จำนวน 3 ชิ้น ฝังเข้าไปบริเวณจุดเชื่อมต่อของเพดานแข็งและเพดานอ่อน ภายในช่องปาก แท่งพิลลาร์จะช่วยลดการสะบัดของเพดานอ่อนลง สามารถลดการนอนกรนได้มากถึงร้อยละ 80
"พิลลาร์" เป็นแท่งวัสดุที่ทำมาจากด้ายสำหรับเย็บหัวใจ ม้วนเป็นแท่งขึ้นมา จึงมีความยืดหยุ่นและไม่เป็นอันตรายหรือส่งผลข้างเคียงกับอวัยวะภายในร่างกาย ขนาดของพิลลาร์ 1 ชิ้น มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ซึ่งทางการแพทย์มีการวิเคราะห์แล้วว่า ผู้ป่วยนอนกรนต้องฝังวัสดุพิลลาร์ไว้จำนวน 3 ชิ้น จึงจะช่วยได้
กรรมวิธีการรักษาจะเริ่มที่พบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของการนอนกรน ซึ่งในผู้ป่วยบางรายมีปัจจัยอื่นทำให้นอนกรนด้วย เช่น อ้วน แพทย์จะแนะนำให้ลดน้ำหนักก่อน หรือเป็นโรคภูมิแพ้ จะต้องรักษาอาการโรคภูมิแพ้ไปด้วย หลังจากนั้นจะนัดวันใส่พิลลาร์ โดยให้รับประทานอาหารก่อนเวลานัด ฉีดยาชาบริเวณเพดานอ่อน ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นใช้อุปกรณ์ฝังพิลลาร์ครั้งละ 1 ชิ้น รวม 3 ชิ้น เป็นอันเสร็จสิ้นการรักษา
รศ.น.พ.ชัยรัตน์ ระบุว่า แพทย์ผู้ให้การรักษาจำเป็นต้องเชี่ยวชาญในการฝังพิลลาร์ด้วย เนื่องจากต้องฝังพิลลาร์ให้เรียงกัน 3 ชิ้น และมีระยะห่างระหว่างชิ้นประมาณ 2 มิลลิเมตร จึงจะได้ผลดี และภายหลังที่ฝังพิลลาร์เรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยสามารถรรับประทานอาหาร ดื่มน้ำได้ตามปกติ และเมื่อหายอาการชา ผู้ป่วยอาจรู้สึกรำคาญเหมือนมีอะไรเพิ่มมาในช่องปาก 2-3 วัน และเจ็บนิดๆ เท่านั้น ส่วนผลที่ตามมา อาการนอนกรนของผู้ป่วยจะลดลงภายใน 3-5 วัน และจะเห็นผลดีภายใน 3 เดือน
การฝังพิลลาร์นี้รักษาได้กับผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย แต่ในวัยเด็กขึ้นกับวินิจฉัยของแพทย์ และยังไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโคนลิ้นใหญ่และต่อมทอนซิลโต เพราะอาจรักษาอาการได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
สำหรับค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 26,000-45,000 บาท ขึ้นกับโรงพยาบาล ซึ่งการฝังพิลลาร์มีแพร่หลายในประเทศไทยราว 3 เดือนแล้วทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2550 |
|
2 comments |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2550 0:58:15 น. |
Counter : 1924 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ปืนแก๊ป 28 พฤศจิกายน 2550 10:49:38 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ผมเว็ป 108พันเก้าดอทคอม หรือ http://www.108pankao.com เป็นแหล่งข้อมูลและขายสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล เป็นของแท้ ไม่ COPY ในราคาถูก สนใจติดต่อเรา
|
|
|
|
|
|
|