Group Blog
 
 
กันยายน 2549
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
3 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
ตะลุยเมืองลอดช่องวันที่สาม : สัมผัสวัฒนธรรมอันหลากหลาย



วันนี้เป็นวันแห่งการกินลมชมเมือง เริ่มจากตื่นนอนตอนเช้าตามปกติเราตั้งใจว่าจะออกแต่เช้าเพื่อจะได้มีเวลาเยอะๆ เนื่องจากปาล์มซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ต้องกลับเมืองไทยก่อนผมหนึ่งวัน หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากโรงแรมที่พักโดยพวกเราออกจากเจ็ดโมงกว่าๆมุ่งหน้าไปยังตึกหมายเลข 270 ซึ่งเป็นที่เดียวกันกับเมื่อวานนี้ บรรยากาศพวกเราก็เริ่มคุ้นกันแล้ว แต่ทำไมนะเวลาเดินเข้าไปในศูนย์อาหารนี้ พวกอาเฮีย อาม้า อาโกทั้งหลายแหล่ ชอบม๊อง มอง กันจัง หน้าตาพวกเราก็ออกแนวตี๋อินเตอร์ อิอิ จริงๆถ้าไม่พูดก็คงไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเราเป็นคนไทย หน้าตาพวกเราก็แนวเดียวกับคนสิงคโปร์นั่นแหล่ะ การแต่งกายก็เหมือนๆกัน คนสิงคโปร์ก็ไม่ได้แต่งตัวแฟชั่นมากมาย เขาก็แต่งตัวเหมือนกับคนกรุงเทพนั้นแหล่ะครับ เอาล่ะพวกเราทั้งสองก็เริ่มมองหาของกินในศูนย์อาหาร และอยากจะกินข้าวบ้าง เพราะส่วนใหญ่จะเจอแต่อาหารเส้น จึงมองไปเห็นอาหารอยู่ร้านหนึ่งจักไว้เป็นเซ็ตมีเซตเอกับเซ็ตบี พวกเราจึงสั่งเซ็ตเอ ทั้งสองคนเพื่อความง่าย อิอิ ดูจากรูปเอานะครับว่ามันเป็นยังไง ดูไปเจ้าอาหารชนิดนี้น่าจะเป็นอาหารขึ้นชื่ออย่างหนึ่งเห็นจะได้ เพราะข้าวกล่องในร้าน 7-11 ก็มีเจ้าอาหารชนิดนี้ด้วย ตั้งแต่กินมาเพราะราคาแค่ 1.9 SGD = 45.50 บาท คำแรกที่กินเข้าไปข้าวนี้หอมมากกกกกก ไม่รู้เขาหุงด้วยอะไร ไก่ทอดก็พอใช้ได้ จริงๆถ้ามีน้ำจิ้มก่แบบบ้านเรามันจะอะไรขึ้นกว่านี้หลายร้อยเท่าเลยทีเดียว อันที่จริงอาหารสิงคโปร์นี้อรอยนะครับ ถ้ามีเครื่องปรุงหรือน้ำจิ้มให้ อยากรู้ว่าอาหารสิงคโปร์เป็นแบบไหนก็ลองกินก๋วยต๋วยแบบไม่ปรุง หรือข้าวมันไก่ทอดไม่มีน้ำจิ้มประมาณนั้นดูสิครับ และแล้วพวกเราก็กินกันหมด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า อาหารเขาอร่อยมากหรือพวกเราหิวจัดเลยกินอาหารหมดทุกครั้ง ทั้งๆที่เมืองไทยปกติผมเป็นคนกินข้าวไม่หมดจาน แหะๆ



เอาล่ะหลังจากกินข้าวกินน้ำเสร็จพวกเราก็เตรียมออกเดินทางไปยังไชน่าทาวน์ซึ่งเป็นจุดแรกของพวกราในวันนี้ แต่ก่อนทางเดินจากศูนย์อาหารไปขึ้นรถไฟฟ้านี่พวกเราเดินผ่านแหล่งขายของย่านบูกิส ซึ่งมองไปข้างหลังอาคารเก่าแก่นี้ทาสีตกแต่งอย่างสวยงามเลยทีเดียวครับ พูดถึงไอตึกรูปแบบนี้บ้านเรามีเยอะกว่าอีก แต่เห็ศไหนนการอนุรักษ์และตกแต่งทาสีทาสันบ้านเขาแล้วนี้ เสียดายบ้านเลย แถวบ้านหม้อ สำเพ็ง เยาวราชบ้านพวกมีตึกเก่าแบบนั้นเยอะกว่าสิงคโปร์อีก แต่ดูบ้านเราแล้วรกรุงรัง เก่าโทรม ฝุ่นเกาะ แถมสายไฟฟ้าระโยงระยาง และยังมีการต่อเติมตึกอย่างน่ารังเกียจ เห็นแล้วก็อยากให้บ้านเราพัฒนาบ้าง
เอาล่ะครับบ่นพอแล้ว




พวกเราขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีบูกิส ไปยังสถานี Outram Park แล้วก็เปลี่ยนเป็นสายสีม่วงไปยังสถานีไชน่าทาวน์ พอขึ้นมาจากสถานีแล้ว ตามทำเนียมครับ งง !!!! เพราะทุกครั้งที่ขึ้นจากรถไฟฟ้าผมจะงงว่าทิศไหนเหนือ ทิศไหนใต้ตลอด เพราะฉะนั้นพวกเราเลยนั่งลงก่อนและตั้งหลักถ่ายรูปก่อนอื่นเลย แหะๆ แล้วค่อยหยิบแผนที่ออกมาหลังจากจับทิศทางแล้วก็เดินเล่นไปตามถนนเรื่อยๆ และเดินลึกเข้าไปยังบริเวณย่านไชน่าทาวน์ เปรียบเทียบกับเยาวราชบ้านเราแล้ว มันก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดกว่ากันเยอะมาก แต่ความสีสัน ตื่นตาตื่นใจ ยิ่งใหญ่อลังการบ้านเราดีกว่าครับ พวกเราเดินต่อไปซอกแซกไปเรื่อยๆ ไปเจอวัดฮินดู ศรีมาเรียมมัน ก็แปลกดีนะครับวัดฮินดูแต่อยู่ในไชน่าทาวน์ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งจากการสังเกตคนอินเดียที่มามักแต่งตัวออกเหลืองๆแดงๆ เหมือนจะมีพิธีกรรมอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความที่เราไม่มีความรู้เลยไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกัน มองจากประตูวัดเข้าไปข้างในยอมรับว่าดูน่ากลัวยังไงไม่รู้ปาล์มเลยบอกว่า อย่าเข้าไปเลยปาล์มกลัว ก็เลยบอกไปว่าไม่เข้าไปหรอกกลัวเหมือนกัน อิอิ เพราะเรามาเช้ากันเกินไปไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ไม่แต่แขกอินตะระเดีย ตัวดำหน้าตาหน้ากลัวขนาดนั้น ตรงถนนข้างๆวัดแขกเนี้ยเป็นร้านขายของที่ระลึกของสิงคโปร์และส่วนใหญ่จะออกแนวจีนๆเพราะเป็นถิ่นไชน่าทาวน์ พอดีไปเห็นพวงกุญแจอันละสองเหรียญ แม่ค้ากำลังนำของออกมาตั้งขาย พอเจ้เห็นพวกเรากำลังเลือกพวงกุญแจกันอยู่ ซึ่งตอนแรกว่าจะไม่ซื้อะไรแล้ว เจ้บอกว่าพวกเราเป็นลูกค้าคนแรกในวันนี้เจ้จะแถมให้อีก 1 พวง ถ้าซื้อ 5 อัน ก็เลยเอาซะแบ่งกับปาล์มคนละ 3 อัน แถมเจ้ยังเชียร์ให้ไปดูชุดผ้าปูที่นอนสไตล์จีนราคา ราวๆ 268 เหรียญ จากดูๆก็คุณภาพดีเหมือนกัน แต่เจ้บอกว่าสำหรับลูกค้ารายแรกเจ้ให้ 100 เหรียญ โอ้แม่เจ้าตลอดทั้งทริปมีติดตัว 300 กว่าเหรียญ มาซื้อชุดผ้าปูที่นอนนี้ก็หมดกันแน่ๆ เลยบอกเจ้ไปว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องใช้มันครับ เจ้เลยบอกว่าไม่เป็นไร ถ้ามีเพื่อนก็บอกมาร้านเจ้นะ เราเลยโอเค แล้วก็เดินดูของแถวๆนั้น มีเสื้อผ้าด้วยและของที่ระลึกหลายๆอย่างนี่เชื่อว่ามาจากบ้านเราแน่ๆ อย่างพวกผ้ากระเป๋าลายช้างนี้ที่มาบุญครองหรือข้าวสารมีเยอะแยะเลย เสื้อผ้าก็มีแต่บ้านเราถูกกว่า อิอิเลยไม่ซื้อ เดินไปเห็นมีพวงกุญแจอันที่น่ารักและถูกกว่าอีกก็มี




จากนั้นก็ซอกแซกเดินไปเรื่อยๆตามถนนตรังกานู ทะลุไปมีร้านอาหารเยอะแยะเลย อาหารไทยก็มีด้วย แต่ราคานี่ก็ขายแพงพอสมควร ราว 4 เหรียญขึ้นไปทั้งนั้น พวกเราเดินไปเรื่อยๆจนทะลุคอนโดที่อยู่อาศัย รู้สึกเหนือยๆเลยนั่งพักก่อน ซักพักก็เดินออกไปถนนใหญ่แถวๆนั้นมีศูนย์อาหารแม๊กเวลซ์ด้วย ร้านค้าเปิดไม่ค่อยเยอะมากสงสัยเพราะเป็นวันอาทิศ พวกเรายังไม่หิวอีกทั้งเพิ่งสี่โมงเช้าเลย ไม่ได้ฝากท้องไว้ที่นี้ จากนั้นก็เดินซอกแซกต่อไปอีก พวกเราเข้าไปตามถนนคนเดินเล็กๆที่มีป้ายบอกทางไว้อย่างเช่นเจน มีประโยชน์มากสำหรับนักท่องเที่ยว พวกเราตามไปตามป้ายที่บอกทาไปมัสยิดแห่งหนึ่ง คือ Al-Abrar ซึ่งบริเวณนั้นมีวัดจีน เทียน ฮก เก๋ง อยู่ด้วย แต่ไม่รู้เราเดินอีท่าไหนเราเดินผ่านมัสยิดไปแบบไม่รู้ตัว เลยเข้าวัดจีนและขี้เกียจเดินย้อนกลับด้วยเพราะเดินกันจนขาจะลากอยู่แล้ว แถวนั้นนักท่องเทียวเยอะพอดนี่ขนาดเช้าๆทั้งทัวร์จีน ทัวร์ฝรั่งมาลงเยอะเหมือนกัน ออกจากวัดก็เดินไปตามถนน Telok ayer เนื่องด้วยความเหนื่อยเลยหาที่พักตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งวันอาทิตย์ย่านธุรกิจกลางเมืองแห่งนี้ก็ดูเงียบๆพอสมควร พวกเราทำตัวสบายๆปล่อยไปเวลาไปเรื่อยๆ นั่งคุยกันจะหายปวดขาแล้วก็เดินตรงไปเรื่อยๆตามถนนเส้นเดิมจนไปจรดสถานที่สำคัณคือ โบ๊ท คีย์ (Boat Quay) ย่านท่าเรือเก่าแก่ริมแม่น้ำสิงคโปร์ที่ตอนนี้ กลายมาเป็นแหล่งผับบาร์ริมแม่น้ำ ซึ่งจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ มองไปดูสะอาดสบายตาดี เนื่องจากแม่น้ำได้มีการทำบันไดริมตลิ่งตลอดแนวแม่น้ำ พวกเราก็ถ่ายรูปบริเวณนี้กันใหญ่ ฝนก็ดูท่าจะตกและแล้วมันก็ตกมาจริงๆ แต่ตกเพียงกะจิ๋วเดียว อุตส่าห์วิ่งหาที่หลบ














พวกเรานั่งหลบอยู่ใต้ตึกธนาคาร UOB อันสูงใหญ่ แล้วเดินต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า Raffles Place เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดมุ่งหมายหน้า พวกเราเลือกไปลงที่สถานี Bugis ซึ่งย่านนี้เปรียบเสมือนเป็นบ้านของเราไปแล้ว ออกจากสถานีบูกิสพวกเรามุ่งหน้าไปยังห้าง Simlim ห้างนี้ก็คือพันทิพย์ของสิงคโปร์ เข้าไปข้างในนี้ก็ใช่เลยพันทิพย์จริงๆ เพียงแต่เขาดูสะอาดกว่า(อีกแล้ว)เท่านั้น แต่ความครึกครื่น พันทิพย์บ้านเรากินขาดตามระเบียบ เพียงแต่ดูรกๆและแออัดไปหน่อยเท่านั้นเอง ช่วงนี้ฝนตกลงมาหนักพวกเราเลยต้องนั่งหลบฝนที่ห้างซิมลิม โดยที่ไม่ได้ซื้ออะไรตามระเบียบ จนกระทุ่งฝนซาแล้วพวกเราก็ข้ามไปอีกฝั่งตรงข้ามของถนนแล้วเราก็ทะลุเข้าไปในเขต Little India ใช่เลยที่นี้แหล่ะชอบที่สุดตั้งแต่มาสิงคโปร์ ฮ่าๆๆที่นี้รกรุ่งรังที่ในสิงคโปร์ แต่ก็ดูน่าตื่นเต้นที่สุด เพราะบรรยากาศที่ได้แบบอินเดียจริงๆแล้ว ทั้งสถานที่ สิ่งของและก็คนนี้ ตั้งแต่มาสิงคโปร์ที่นี้แหล่ะที่ทำให้รู้สึกว่ามาเที่ยวต่างประเทศ เพราะที่อื่นๆคล้ายบ้านเราทั้งนั้น เพียงแต่เขาทำสะอาดและดูดีกว่าเท่านั้นเอง มาที่นี้เหมือนเดินใน กทม.เลยที่ต้องคอยหลบรถเวลาข้ามถนน คนอินเดียแต่งตัวด้วยส่าหรี่เดินกันขวักไขว่ แถมยังมีวัดแขกซึ่งที่นี้อลังการกว่าที่ไชน่าทาวน์คนมาสักการะบูชาที่วัดนี้ก็หนาตากว่า ซึ่งพวกเราไม่ได้เข้าไปอีกเช่นเคย แต่เดินไปเรื่อยๆเพื่อไปยังห้างมุสตาฟา ซึ่งเป็นห้างของคนอินเดีย อืมม ชักอยากรู้จริงๆซะแล้วว่ามันเป็นยังไงกันนะ ระหว่างทางเดินไปก็ได้กลิ่นเครื่องเทศอาหารอินเดียโชยมาเรื่อยๆ อ๋อ มาร้านอินเดิยตามรายทางเยอะแยะนี้เอง มองไปทางไหนก็หาคนจีนหรือคนมาเลย์นี้ยากเลย เชื่อเลยว่ามันเป็นอินเดียน้อยจริงๆ เพราะมีแต่คนอินเดียล้วนๆ พวกเราเข้าไปในห้างมุสตาฟาซึ่ง ชั้นแรกก็เป็นพวกจิวเวอร์ลี่ พนักงานชาวอินเดียกล่าวทักทายตรงประตู “Good moring” พวกเราได้แต่ยิ้มตอบโดยไม่ได้ทักทายกลับและก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสองอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ถูกโฉลกกับเครื่องเพชร พลอย ทั้งหลาย อิอิ ชั้นสองก็เป็นพวก ขายยาและเครื่องสำอางค์อีก ดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่ เลยขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งคือชั้นสามที่นี่มีเสื้อผ้าเยอะแยะไปหมด สิ่งที่พวกเราชอบก็คือมีของที่ระลึกเยอะแยะไปหมด พวงกุญแจที่นี้ถูกกว่าที่เราหามาจากไชน่าทางน์อีก เลยคว้าของที่ระลึกมาบ้าง ส่วนปาล์มเธอก็ช็อปมาหลายรายการเช่นเดียวกัน พวกเราก็ได้ของติดมือมาบ้างละทีนี้












แต่พอเดินมาอีกถนนในย่านอินเดียน้อย ถนน Kampong kapor เราก็เจอคอนโดที่นี้อีก และคิดว่าต้องมีศูนย์อาหารแน่ๆที่นี้คนจีนอีกแระ เมื่อกี้ล่ะไม่มีแต่เดินมาหน่อยเป็นย่านคนจีนอยู่มีศูนย์อาหารเล็กๆอยู่ แต่พวกเราเดินผ่านเลย มาเจอศูนย์อาหารที่ใหญ่กว่า เราทั้งสองเดินเรียบๆเคียงๆมองดูว่าจะกินอะไรดี เนื่องจากเมื่อคืนก่อนพวกเราค้นพบว่าลูกชิ้นปลาที่สิงคโปร์นี้รสชาติดีมาก เลยตัดสินใจสั่งก๋วยเตี๋ยว พอเข้าไปในร้านยังไม่ทันสั่งเลยคนขายก็ถามเป็นภาษาจีนซะแล้ว เราก็ทำหน้างงๆ คนขายก็ทักมาอีกเป็นภาษาจีนตามเคย เราก็โอ้ย บอกว่าผมฟังไม่รู้เรื่องครับ เท่านั้นแหล่ะเลยได้คุยกันเป็นภาษาอังกฤษที่มั่วๆสั่งก๋วยเตี๋ยวได้ เราเลยได้กินบะหมี่ ลูกชิ้นปลาสมใจ พร้อมกับจ่ายไปสองชาม 5 SGD. แต่ระหว่างที่นั่งกินก๋วยต๋วยอยู่ ก็มีเจ้คนหนึ่งเดินมาพูดภาษาจีนใส่ เราก็งง และอึ้งไปเล็กน้อยเนื่องด้วยความไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร เจ้เห็นพวกเราไม่พูดอะไรตอบแถมยังทำหน้าเอ๋อๆอีกเจ้แกเลยเดินจากไปซะก่อน เราก็นั่งกินกันต่อ แต่...ยังไม่จบแค่นั้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีอาเฮียวัย 45 – 50 ตัวโตเสียงดุ มาพูดถามอะไรพวกเราบ้างอย่างเสียงๆดังๆเป็นภาษาจีน ท่านพี่แกเห็นเรางงก็ถามย้ำใหญ่อยู่นั้นแหล่ะ จนกระทั่งเราหายอึ้งแล้วก็เลยบอกว่าพวกเราฟังไม่รู้เรื่อง อาเฮียเลยถามเป็นภาษาอังกฤษว่าพวกเราจะเอาน้ำอะไรเท่านั้นแหล่ะ พวกเราเลยถึงบ้างอ้อ เลยบอกไปเอาน้ำเปล่า เลยนึกออกทันทีว่าเจ้ก่อนหน้านี้เข้ามาถามว่าจะเอาน้ำอะไรนั้นเอง อาเฮียเอาน้ำมาเสริฟยังถามอีกนะว่าพวกเรามาจากเมืองไทยเหรอ อืมม เฮียแกก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกซื่อๆดีแต่ตัวโต เสียงดังไปหน่อยเล่นเอาตกใจเล็กน้อยตอนเล็ก ระหว่างที่กินก๋วยเตี๋ยวพวกเราได้มองออกไปจข้างนอกเห็นมีคนเป็นกลุ่มๆ และเหมือนจะขายอะไรอยู่เลยเกิดความสงสัยว่าเขาทำอะไรกันแน่ดูเยอะมากพอสมควร พอกินเสร็จพวกเราก็เดินตรงไปยังบริเวณนั้นเลย และแล้วก็พบว่ามันคือคลองถมสิงคโปร์ดีๆนี้เอง





ผู้คนเอาของมือสองออกมาวางขายเยอะมากมีทั้งอะไรเก่าๆ พระเครื่อง เทปเก่าๆ เสื้อผ้ามือสองเยอะแยะไปหมด วิธีการก็ปูเสื่อขายเหมือนแถวๆท่าพระจันทร์นั้นแหล่ะ พวกเราก็...มีด้วยเหรอแบบนี้นึกว่าจะมีแต่กรุงเทพ คิดว่าเขาคงขายกันเฉพาะวันอาทิตย์ พวกเราเลยถ่ายรูปกันเล่นๆวะหน่อยเก็บไว้ เผอิญพี่ชายที่กำลังขายของอยู่นั้นเห็นเข้าเลยถามว่ามาจากเมืองไทยเหรอ แหน่ะฉลาดนี้ อิอิ พวกเราเลยบอกไปว่าใช่แล้ว แล้วพี่เห้นพวกเราถ่ายรูปเลยคิดว่าพวกเราคงอยากถ่ายรูปด้วยกัน พี่แกเลยถามว่า “สอง” เราก็เข้าใจเจตนาเลยว่าพี่แกอยากจะถ่ายรูปให้พวกเราทั้งสอง แถมยังรู้เลขไทยอีก ก็เลยสนองอารมณ์พี่แกหน่อยให้แกถ่ายรูปให้ ซึ่งแกก็ถ่ายดีทีเดียวแหล่ะ



ระหว่างเดินเที่ยวอยู่ก็เห็นมีคนอีสานบ้านเฮากำลังซื้อเสื้อผ้ามือสอง เข้าใจว่าพวกพี่แกมาค้าแรงงานอยู่ที่นี้ สำหรับพวกเราแล้วไม่มีอะไรน่าซื้อเลย (ถึงมีก็ไม่ซื้ออยู่แล้ว แหะๆ) แต่เดินดูเฉยๆนี้ก็ตื่นตาตื่นใจมากๆอยู่แล้ว พวกเราเดินไปตามถนนอาหรับ เพื่อทะลุเข้าไปย่านอาหรับ ซึ่งสามารถเดินต่อไปได้จากย่านอินเดียน้อย พอเดินเข้าใกล้ก็จะสามารถมองเห็นมัสยิดสุลต่าน อย่างเด่นชัด ซึ่งปกติก็สามารถมองเห็นอยู่แล้วเพราะไม่ไกลจากที่พักของพวกเรา เป็นมัสยิดี่สวยดีแตพวกเราเดินอ้อมด้านหลังไป ยังไม่ทันปานหน้ามัสยิด ก็เห็นพิพิธภัณฑ์ชาวมาเลย์เสียก่อน ตรงนี้ก็ได้บรรยากาศอิสลามจริงๆแล้ว เพราะบริเวณใกล้กันนั้นมาคนมาเลย์มุสลิมเยอะมาก และกำลังมีงานแต่งงานที่มคนมาร่วมงานเยอะมาก เพราะฉะนั้นจึงได้บรรยากาศอีกรูปแบบหนึ่งจริงๆ








ตอนนั้นรู้สึกร้อนจริงๆแต่ไม่รู้จะนั่งที่ไหนเลยตัดสินใจเดินต่อไปมัสยิด Majjah Fatimah เดินก็ไกล แต่พอไปถึงไม่มีอะไรน่าสนใจเลยจริงๆ จะหาที่นั่งพักแถวนั้นก็ไม่มีเลยเดินวกกลับยังศูนย์การค้าคีย์พอยท์ ซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจเลย แต่มีที่ให้พวกเรานั่งพัก ตอนนี้พวกเราทั้งสองรู้สึกปวดฉี่มาก ก็เลยคิดจะกลับที่พัก ตอนเดินผ่านนี่สิครับ เราเดินผ่านน่ามัสยิดสุลต่านอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพบว่าตรงนี้น่าสนใจมากเลยสวยก็สวยแต่ว่าไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเก็บภาพถ่าย ดังนั้นก็เลยรีบเดินผ่านอย่างรวดเร็วกลับไปเข้าห้องน้ำยังที่พัก ซึ่งตอนนั้นเราก็เหนื่อยมากๆ ปาล์มนี่แทบจะสลบลงบนที่นอนด้วยความที่เดินมาก แต่ยังหรอก ยังไม่ให้นอน ยังเหลือเวลาเหลืออยู่เยอะก่อนไปขึ้นเครื่อง









เลยไปเดินย่ายบูกิสกันต่อ ซึ่งปกติเราก็อยู่บ่านนี้อยู่แล้ว แต่พวกเรายังไม่ได้ทัวร์แถวนี้อย่างละเอียดเลย จึงเดินไปยังตลาดขายของในร่มตรงสี่แยกบูกิสนั่นแหล่ะครับ ตลาดขายของที่นี้ก็คล้ายตะวันนาบ้านเราดีๆนี่เองเพราะขายในร่ม ซึ่งมีขายทั้งเสื้อผ้า ของจุกจิก พวกเราซื้อน้ำแห้วกับห่อหมกย่าง และก็เดินต่อไปทะลุไปยังบริเวณตึกหมายเลข 270 ซึ่งพวกเรามาใช้บริการกินข้าวกันทุกเช้า แถวนี้จะมีศูนยการค้า Fu lu shiou อยู่ด้วย เพิ่งรู้ว่าวันอาทิตย์เช่นนี้จะกลายเป็นตลาดนัดที่น่าซื้ออีกที่หนึ่งอาจจะไม่เด่นเท่าจตุจักร แต่ก็มีอะไรน่าดูเยอะแยะ มีคนมาออกร้าน โฆษณาชวนเชื่อ เยอะแยะไปหมด ซึ่งธรรมชาติแบบนี่ก็คล้ายๆบ้านเรา เขามีพระมาวางให้คนลูปด้วย เพื่อโชคลาภประมาณนั้น เราเลยเอาบ้าง ตรงบริเวณนี้มีทั้งศาลเจ้าของจีน และมีทั้งวัดฮินดูอยู่ด้วย คนจีนก็มาไหว้พระทั้งวัดจีน และวัดฮินดูด้วย เราทั้งสองเดินเที่ยวได้สักพักก็กลับไปที่โรงแรม ปาล์มก็เก็บกระเป๋าที่จัดไหว้แล้ว พวกเราออกจากโรงแรมเกือบห้าโมงเย็น ลงรถไฟฟ้าที่สถานีบูกิส ไปยังสถานีท่าอากาศยานนานาชาติชางฮี โดยต้องนั่งไปสายสีเขียว ปลายทาง Pasir ris แต่เปลี่ยนสถานีที่ Tanah Merah ห้าโมงเศษๆพวกเราก็มาถึงสนามบินแล้ว นับว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกพอสมควร รู้สึกชอบกับการเดินทางออกจากสนามบินที่ง่ายของสิงคโปร์เขาจริงๆ นั่งรถไฟฟ้า ที่ไม่จำเป็นต้องสร้างรถไฟฟ้าด่วน แบบที่สต๊อกโฮล์มเลย แบบนั่นแพง เหมือนอย่างที่บ้านเรากำลังก่อสร้างรถไฟฟ้าด่วนเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งดูจากที่เก็บค่าใช้จ่ายแล้ว แพงจริงๆ น่าจะเป็นรถไฟฟ้าแบบที่วิ่งรับส่งตามสถานีต่างๆน่ะดีแล้ว ดูจะถูกกว่าอีกเนอะ ว่าไหมครับ เอาล่ะพวกเรามีถึงสนามบินแล้วก็ได้ทำการ Refund Ezylink Card ที่ใช้บริหาร MRT ของปาล์ม ยังเหลือเวลาอีกมากแต่นี้เพิ่งห้าโมงห้าสิบ เพราะเจ้าหน้าที่กว่าจะทำการเปิดเช็คอินก็เกือบหกโมงครึ่งโน้น แต่ระหว่างที่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาเซ็ตระบบนี่พวกเราก็จ้องไว้อยู่แล้ว ถ้ามีเจ้าหน้าที่มาเซ็ตระบบเมื่อไหร่พวกเราจะไปยื่นเข้าคิวเป็นคนแรก แต่พอเวลามีเจ้าหน้าที่มาเซ็ตระบบนี่ดันมีผู้ชายคนหนึ่งยื่นอยู่ก่อนแล้ว เลยถามเจ้าหน้าที่แอร์เอเชียว่าเปิดกี่แถวเพราะปกติน่าจะมากกว่าหนึ่งแถวอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ก็บอกไปตามที่คิดไว้คือมีสองแถว และบอกด้วยว่าแถวไหนเปิด เราเลยไปยื่นอีกแถวหนึ่งเพื่อให้ไวขึ้น หลังจากนั้นก็มีฝรั่ง ไทย จีน แขก หลายรายเจริญรอยตาม อิอิ ซักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเช็คอิน ซึ่งเจ้าหน้าที่เป็นคนมาเลย์ พูดภาษาอังกฤษที่ฟังยาก เนื่องจากปกติภาษาอังกฤษก็ใช่ว่า จะดีอยู่แล้ว คุยกับคนสวีเดนยังพูดภาษาอังกฤษที่เข้าใจและฟังง่ายกว่าคนเอเชียเยอะเลย สรุปได้ความว่าเขาถามว่าเฮ้ย คุณมาสองคนแต่ทำไมกลับคนเดียว เราเลยบอกก็กลับคนเดียว(แล้วมันทำไมล่ะ) เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า Booking number นี่มันมีชื่อสองคนนี่ เราเลยถึงบางอ้อ อ๋อ..อีกคนเขาแคนเซิลไม่มาแล้ว เท่านั้นเอง จบ เช็คอินให้ปาล์มเรียบร้อยโดยที่ปาล์มก็ยื่นเอ๋อ แบบไม่รู้เกิดอะไรขึ้นบ้าง รอกลับบ้านอย่างเดียว อิอิ พวกเราเช๊คอินได้ไวไม่เหมือนขามาจากดอนเมือง เพราะฉะนั้นจึงมีเวลาเยอะ จึงไปเดินดูสนามบิน และขึ้นไปชมเครื่องบนที่ชั้นสองหลังจากนั้นหนึ่งทุ่มก็ไปส่งปาล์มเข้าไปข้างใน






แล้วก็กลับบ้านโดยนั่งรถไฟฟ้าสายเดิม รู้สึกหิวๆแล้ว แต่เฮ้ย ไม่มีเพื่อนกินข้าวเลยวันนี้ เดินไปที่ศูนย์อาหารก็คนเยอะเลยที่นั่งก็ไม่มี แถมยังจะต้องกินคนเดียวอีกเลย ไปซื้อมาม่าที่เซเว่นสองห่อ ห่อแรกรสต้มยำแบบบ้านเรานี่แหล่ะ ห่อที่สองรสทะเลของทางสิงคโปร์เขา กลับมาที่โรงแรมแล้วก็ต้มมมาม่ากินแล้วก็ดูทีวีแล้วก็เข้านอน


ตอนต่อไป



Create Date : 03 กันยายน 2549
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2554 4:31:37 น. 0 comments
Counter : 649 Pageviews.


ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Louisson
Location :
Uppsala Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ชีวิตคือการเดินทาง จุดหมายปลายทางคือพระนิพพาน"
   

VISITOR COUNTER

Friends' blogs
[Add Louisson's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.