ฉันคือใครในภาพทั้งสี่ (เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า)
๑. เรื่องของหมีนักอ่าน
เจ้าตุ๊กตาหมีสี(เคย)ขาวตัวนี้มีชื่อว่า ปลายข้าว มันเป็นของขวัญที่คนรักในวันนั้นซื้อให้วันที่เขาไปรับเช็คเงินค่าต้นฉบับ รวมเล่มหนังสือเล่มแรกของเขา ที่ฉันช่วยตั้งชื่อหนังสือและช่วยตรวจบรูฟต้นฉบับ ปลายข้าว คือชื่อที่เขาตั้งให้กับเจ้าตุ๊กตาหมีหน้าตาน่าเอ็นดู มันเป็นหมีนักอ่านระดับฮาร์ดคอร์อย่างที่เพื่อนฉันให้คำนิยาม หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ของ มาร์เกวซ น่ะหรือมันใช้เวลาในการอ่านเพียงสองวันเท่านั้น ตั้งแต่นั้นยามไปงานไหนไอ้พี่แมวอ้วนคนรักของน้องหมี มักชื่มชมมันต่อหน้าคนอื่นในเรื่องการอ่านหนังสือเสมอ แม้จะอ่านงานระดับฮาร์ดคอร์มามากหากหนังสือโปรดมันกลับเป็นวรรณกรรมเยาวชนเสียมากกว่า โธ่...เจ้าหมีน่ะมันน่ารักเหมือนเด็กๆ ออกอย่างนี้จะให้มันทิ้งวรรณกรรมเยาวชนไปได้ไง และวันนี้หนังสือที่อยู่ในมือหมีนักอ่านคือ เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่าของลองเรื่องสั้น หรือที่เพื่อนๆ ของพากันเรียกว่า พี่ลอง ซึ่งก็คือ จำลอง ฝั่งชลจิตร นั่นเอง เปล่า...หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนอย่างที่เจ้าหมีมันรักหรอก หากเป็นรวมเรื่องสั้นของมือเรื่องสั้นที่ดีคนหนึ่งของไทย หมีนักอ่านอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยคิดว่าเป็นหนังสือที่จำเป็นยิ่งสำหรับก่อนเข้าสู่โหมดจำศีล อีกทั้งเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนร่วมทางเขียนได้อ่านหนังสือเล่มนี้กันบ้างแล้ว หมีจึงไม่ลังเลที่จะหยิบมาอ่าน อ่านจบไปหนึ่งเรื่องมันก็รีบตั้งคำถามผ่านน้องแมวถึงเพื่อนในกลุ่ม อ่านหรือยัง ท่านอ่านหรือยัง ท่านอ่าน ผ่านไปปีครึ่ง เรื่องสั้นแรกในเล่มนี้กันหรือยัง โอ...ท่าน ท่านจะทำเช่นใดเมื่อเราคนเขียนหนังสือซึ่งบอกกันว่าคือนักสังเกตการณ์ชีวิต ถูกตัวละครของเราเองสังเกตชีวิตคนเขียนหนังสือซึ่งนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งนั้นเป็นประจำ ตายละท่านในจังหวะซึ่งเราไปร่าเริงที่ร้านกาแฟตอนเช้าพร้อมเฝ้ามองชีวิตผู้คน จะมีใครมอง และคิดแทนเราไหมว่าเรากำลังคิดและจินตนาการฉากเช่นใดในสมอง วันนั้นเพื่อนเขียนหนุ่มส่งน้องแมวกลับมาบอกข่าวว่าหมีอย่ากลายร่างเป็นกระต่ายตื่นตูมได้ไหม โปรดอดใจรอสักพัก รอให้เขาอ่านจบแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที นี่คือเรื่องราวฉบับย่นย่อของหมีนักอ่านประกอบภาพใบที่หนึ่ง
๒. เมรีขี้เมา
ภาพถ่ายใบที่สองเป็นภาพที่ฉันถ่ายจากกล้องฟิล์มในค่ำคืนหนึ่งหลังกลับจากไปทำงาน ฉันและคนรักในวันนั้นพากันเดินเข้าร้านเหล้าในความทรงจำของเรา บาร์ลำพู ช่วงหัวค่ำที่คนยังน้อยฉันกดชัตเตอร์บนชั้นสองของร้าน ซึ่งมีลูกกรงเหล็กกั้นแบ่งฟากความเป็นส่วนตัว เครื่องดื่มประจำของฉันคือบาร์คาร์ดี้ไลม์ รสเปรี้ยวซ่าปนหวานหน่อยๆ ด้วยรสชาติอย่างนี้ทำให้ฉันดื่มง่ายและเมานิ่มแบบไม่ให้ตั้งตัว เมรี เป็นชื่อที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเรียกฉันใหม่ ด้วยวันนั้นฉันไปดื่มที่บ้านเขาปรากฏว่าเพียงไม่กี่จอกฉันก็ร่วงพล็อย เหมือนบทกลอนที่ว่า หนึ่งจอกสองจอกกรอกเข้าเมรีขี้เมาก็หลับไป วันก่อนฉันเข้าไปร่วมประชุม วรรณกรรมสองฝั่งโขง ที่โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น คิดจะถ่ายรูปมาลง Hi5 ให้พี่ๆ เพื่อนๆ ในแวดวงดู ปรากฏว่ากระป๋องเบียร์ซึ่งกวีท่านใดไม่รู้ส่งให้ส่งผลให้มือฉันไม่ว่างจับกล้อง งานหนนี้จึงไม่มีรูปถ่ายมาอวด แต่ไม่เป็นไรระหว่างถือกระป๋องน้ำสีอัมพัน ฉันบอกให้พี่กวีอีกคนซึ่งจิบเรดเพียวๆ ให้ช่วยเก็บภาพแทนให้แล้ว ไว้วันหลังไปเอารูปแล้วฉันค่อยพามาให้ดู ระหว่างรอเวลาเปิดตัวหนังสือ สาบอีสาน พ่อทยาลุ ศิลปินมรดกอีสานสาขาวรรณศิลป์เข้ามาคุยกับฉัน พร้อมเปิดความคิดการตีความหมายวรรณกรรมพื้นบ้านสินซัย ที่คุยไปเมื่อบ่าย ความที่พ่อเขียนหนังสือทางธรรม จึงเปิดมิติใหม่ทางความคิดให้ฉัน มันช่วยได้มากกับการเขียนที่ฉันบอกพี่ขุมและพี่ทัศว่า อยากจับวรรณกรรมพื้นถิ่นและตำนานมาใส่ในเรื่องสั้น ตอนนี้ฉันสมมุติตัวละครขึ้นมาสองตัวพร้อมโครงเรื่องในใจ เมรี กับ สุธน เมรีคืออดีตชาติของนางมโนราห์ที่พระสุธนตามหาจนเจอ เรื่องราวความรักผิดที่ผิดทางเหมือนเกิดคนละยุคสมัย แน่นอนว่าคอการเมืองอย่างฉันผู้ไม่พอใจกับการทำงานของรัฐบาล และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรต้องโยงเรื่องนี้เข้าหากันเป็นแม่นมั่น อ่านตอนแรกคุณอาจคิดว่ามันคือเรื่องรัก ทว่าหากอ่านพิศคุณจะรู้ว่าฉันกำลังวิพากษ์การเมืองบ้านเราแบบเต็มๆ เอ่อ...ที่บอกเมื่อกี้ฉันฝันกลางวันตามประสาเมรีขี้เมาน่ะค่ะ...โปรดอย่าใส่ใจ ไปสนใจเรื่องสั้นที่ชื่อ ตำรวจรู้ดีทุกอย่าง ในหนังสือเล่มนี้ของพี่ลองดีกว่าค่ะ ในย่อหน้าที่สองบอกกับคนอ่านว่า หลายสิบปีมานี้ เราคุ้นเคยกับเรื่องไม่จริง ยอมรับเรื่องไม่จริง จนไม่อาจยอมรับเรื่องจริง ทั้งนี้ สังคมช่วยกันกล่อมเราอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วเรายังกล่อมตัวเองให้เชื่อตามอีกด้วย คุณคะ...คุณคิดไหม ว่าฉันส่งภาพและเรื่องเล่าเมรีขี้เมามากล่อมให้คุณเชื่อว่ามันคือความจริง แล้วคุณล่ะคะคิดว่ามันเป็นความจริงที่ฉันอยากให้คุณเห็นในความเป็นฉัน หรือความลวงที่ฉันอยากให้คุณเห็นในสิ่งที่ฉันเป็น
๓. ดอกไม้ใจ
ในกระบวนการถ่ายภาพ พลุ ถือว่าเป็นภาพซึ่งถ่ายยากที่สุดสำหรับฉันค่ะ เพราะเราไม่รู้เลยว่ามันจะถูกจุดขึ้น ณ จุดใดบนท้องฟ้าสีน้ำเงินอันกว้างใหญ่ ดอกไม้ไฟภาพนี้เป็นภาพซึ่งฉันถ่ายด้วยกล้อง D-SLR ตัวแรกของฉัน และเป็นครั้งแรกกับการถ่ายภาพดอกไม้ไฟของฉันเช่นกัน เทศกาลที่เปิดโอกาสให้ถ่ายพลุได้มีไม่กี่วันในหนึ่งปีหรอกค่ะ ทว่าปลาทองอย่างฉันจำไม่ได้หรอกว่าภาพนี้ถ่ายวันไหน ฉันจำได้เพียงไปกับใคร และความรู้สึกระหว่างเก็บภาพนั้นเป็นเช่นใด ฉันตั้งชื่อภาพพลุภาพนี้ของฉันว่า ดอกไม้ใจ เหมือนความรักของฉันกับเขาคนที่ไปถ่ายภาพด้วยกันในวันนั้น วันนั้นมือใหม่ในการถ่ายภาพอย่างเขายังจับจุดการถ่ายภาพดอกไม้ไฟไม่ได้ เขาจึงไม่มีภาพมาให้ฉันดูสักภาพ เขาพลาดการบันทึกเหตุการณ์ด้วยกล้องถ่ายภาพ และฉันไม่รู้ว่าเขาได้บันทึกความทรงจำกับความสุขในวันนั้นด้วยหรือเปล่า แต่สำหรับฉันแล้วฉันบันทึกทั้งเหตุการณ์และความรู้สึกลงเป็นความทรงจำ ที่ยังคงแจ่มกระจ่างชัดและงดงามเหมือนภาพดอกไม้ไฟที่แต่งแต้มท้องฟ้าให้สว่างไสว นักเขียนรุ่นพี่เคยบอกฉันว่าคนเขียนหนังสือก็เหมือนคนจุดดอกไม้ไฟ ที่ผ่านการเคี่ยวกรำในการทำงานอย่างหนัก เพื่อส่องสว่างงดงามเพียงครู่บนฟ้าอันมืดหม่น ทว่าเป็นดั่งแสงส่องทางส่องสว่างในใจไม่คลาย ขนมปังไส้ข้าวโพด เรื่องสั้นลำดับที่แปดในเล่มอาจไม่ใช่เรื่องสั้นที่ส่องสว่างในจิตใจคนอ่าน หากเป็นเรื่องสั้นที่บอกเล่าวีรกรรมของคนเป็นพ่อซึ่งเคียงคู่กิจการขนมปังของแม่ เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าที่บอกเล่าความน่ารักของครอบครัวครอบครัวหนึ่ง เรื่องนี้เริ่มต้นเล่าในวันที่กิจการขนมปังของแม่เดินมาถึงตอนจบ วีรกรรมของพ่อทั้งถูกยางเผือกกัดหน้าผากและซื้อข้าวโพดผิด คือความประทับใจมิรู้คลายที่อยู่ในใจของตัวละครที่เล่าเรื่อง คือดอกไม้ใจที่สว่างไสวในความทรงจำของครอบครัวนี้ คือภาพที่สามที่ฉันใช้บอกเล่าแทนตัวตนของฉันที่อยากให้คุณเห็น จากคนถ่ายภาพดอกไม้ไฟ วันนี้ฉันริอ่านเป็นช่างทำพลุนั่นเสียเอง ไม่มีอะไร ฉันเพียงคิดว่า หากเราช่วยกันทำพลุเยอะๆ ให้มันถูกจุดบนท้องฟ้า ค่ำคืนอันมืดมิดก็จะสวยสว่างส่องทางให้ผู้คนไม่คลายเท่านั้นเอง
๔. คอนเวิร์สออลสตาร์ เราต่างเดินไปตามวิถีแห่งใจตน
คนรักของฉันในวันนั้นซื้อคอนเวิร์สสียีนส์คู่นี้ให้ฉันใส่ไปทำงาน และฉันซื้อคอนเวิร์สหนังสีขาวให้เขาไว้ใส่ยามเราไปไหนด้วยกัน วันนั้นเพื่อนคนหนึ่งบอกฉันว่าการซื้อรองเท้าให้คนรักนั้นจะทำให้เกิดการพรากจาก ฉันบอกเขาไปว่า...อะไรที่เป็นของเราอย่างไรเสียหากถูกพรากไป ฉันเชื่อว่ามันจะหาทางกลับมาหาฉันเองในที่สุด อาทิตย์นั้นที่ฉันไม่ต้องไปทำงานสวนสราญรมย์มีการแสดงศิลปะสี่ภาค เราจึงพากันไปเดินเล่น, ดูและถ่ายรูป หลังละครซอของภาคเหนือจบลง ก่อนที่จะไปดูลิเกฮูลูจากภาคใต้ต่อนั้น ฉันและเขานั่งเหยียดขาพักเท้าจากการเดินและยืนมาหลายชั่วโมงบนพรมหญ้าสีเขียว ตอนแรกเราถอดรองเท้าไว้เคียงกันขณะนั่งคุยสัพเพเหระ ฉันกดชัตเตอร์เก็บภาพถ่ายรองเท้าเล่นๆ ระหว่างรอเขาหายเหนื่อยและล้าขา เอ่อ...ด้วยหน้าที่การงานทำให้ฉันเดินติดต่อกันนานๆ ทั้งวันได้โดยไม่รู้สึกอะไร ขณะที่คนรักของฉันนั้นวันทั้งวันเขามีชีวิตอยู่กับหน้าหนังสือที่อ่าน หน้าคอมพิวเตอร์ที่เล่นเกม หรือไม่ก็หน้ากระดาษเพื่อเขียนเรื่องสั้น วันปรกติของเขาทั้งวันมีการเดินเพียงส่งฉันขึ้นรถไปทำงาน เดินไปตลาดเพื่อกินข้าวเย็นกับฉันเพียงเท่านั้น วันไหนเขาตามออกมาเดินถ่ายรูปเล่นกับฉัน การเดินในระดับจิ๊บๆ ของฉันจึงเป็นเลเวลที่เหนื่อยเอาการสำหรับเขา เขาตัวสูงกว่าฉันมาก ช่วงขาและจังหวะก้าวจึงเร็วกว่าฉันนัก มันไม่มีปัญหาถ้าเขาจับมือฉันไว้เวลาเดินเพราะเราจะก้าวไปพร้อมกันเสมอ และที่น่าชื่นใจคือเขาชอบเดินจับมือฉันนัก เหมือนฉันเป็นเด็กหญิงเล็กๆ ที่เขาต้องดูแล แต่หากวันไหนมีเรื่องไม่สบอารมณ์ฉันจะไม่ยอมให้เขาจับมือเป็นอันขาด เปล่าไม่ได้โกรธอะไรนักหนา เพียงแต่ฉันอยากจับหัวใจตัวเองให้มั่นคงมากกว่า และมีบ้างบางวันที่ฉันอยากแกล้งพอเขาจับมือฉันจึงสะบัดออก เขามักจะทำน้ำเสียงปวดร้าวด้วยปมในอดีตจากการถูกทอดทิ้ง ครั้งหนึ่งฉันเคยเขียนโปสการ์ดบอกเขาว่า ขาเรายาวไม่เท่ากัน จังหวะก้าวเท้าของเราก็แตกต่าง การปรับขาให้ก้าวไปพร้อมกันอาจเป็นสิ่งที่ดี หากฉันไม่ต้องการถ้ามันจะทำให้อีกฝ่ายเดินไม่สบายเท้า เราเดินไปบนเส้นทางเดียวกันแล้ว เพียงเท่านี้ฉันก็เป็นสุขดีพออยู่แล้ว ในจำนวนภาพรองเท้าที่ถ่ายมาเมื่อเปิดดูในคอมพิวเตอร์ ฉันชอบภาพนี้ที่สุด เพราะที่สุดแล้วเราก็ต่างมีเส้นทางเดินเป็นของตนเอง ในคืนวันของความสุขที่ใช้จ่ายด้วยกันเป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิตที่ก้าวมาพบกัน เพื่อเดินต่อไปยังจุดหมายตามวิถีทางภายในของเรา วันที่เราสองคนเลิกกันมีคนสงสัยสาเหตุมากมายของการเลิกรา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเวลาออกงานด้วยกันเรายังเป็นคู่รักที่ใครๆ ก็เห็น บ้างว่าฉันหนีเขาไป บ้างว่าเขาทอดทิ้งฉันไปอยู่กับคนรักเก่าที่กลับคืน บ้างว่าเขาหลายใจมีใครอื่นในขณะที่มีฉันเดินเคียงข้าง บ้างว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีส่งตาหวานให้ชายอื่นขณะที่นั่งอยู่กับเขา หลายสาเหตุตามแต่คนจะพูดกันไป เรื่องจริงเป็นอย่างไร ทำไมเราจึงเลิกรา มีเพียงฉันและเขาที่รู้กันสองคน เหมือนเรื่องสั้นสุดท้าย คนดีๆ คนหนึ่งตายได้ตั้งหลายสาเหตุ ฉันและเขาเราตายจากกันในความรักแล้ว มีมีประโยชน์อะไรที่เราจะวิพากษ์ถึงความตายของคนอื่น หากจำลองก็เขียนให้เราเห็นตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ในความสัมพันธ์ มนุษย์เราล้วนสัมพันธ์กันในเชิงอำนาจ ขนาดความรักอันเป็นเรื่องงดงาม ท้ายแล้วเราคงไม่อาจปฎิเสธว่าตัวเราหรืออีกฝ่ายต่างใช้อำนาจในการต่อรองความรักกันอยู่หรือเปล่า เหมือนฉันที่ซื้อรองเท้าให้เขา ทั้งที่ในวันนั้นคิดเพียงเขาจะได้มีรองเท้าอื่นนอกเหนือจากรองเท้าแตะ ไว้ใส่ยามไปไหนกับฉัน เอาเข้าจริงแม้เขาจะพอใจกับสิ่งที่ได้รับ หากนึกย้อนฉันคงไม่สามารถปฎิเสธได้เช่นกันว่าอยากให้เขาเดินด้วยรองเท้าตามที่ฉันกำหนด เช่นกันกับการที่เขาซื้อรองเท้าผ้าใบคู่นั้นให้ฉัน แม้ความคิดขณะนั้นจะไม่มีอะไรมากไปกว่าเขารู้ว่าฉันเป็นคนชอบใส่รองเท้าผ้าใบ และคอนเวิร์สสียีนส์คู่นี้มันก็น่ารักดีถ้าฉันจะใส่ ใช่...ฉันชอบใส่รองเท้าผ้าใบหากร้องเท้าผ้าใบของฉันทุกคู่ล้วนเป็นผ้าใบหนังสีขาว!!! คุณคะ...ที่เห็นรองเท้าข้างหน้าไม่ชัดนั้น ไม่ใช่ฉันโฟกัสพลาดนะคะ หากเป็นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรจุดโฟกัสในใจฉันคือรองเท้าผ้าใบหนังสีขาวคู่นั้นต่างหาก
เรื่องสั้นที่มีชื่อเดียวกันกับหนังสือนั้นทำให้ฉันบอกตนเองว่า... จริงอยู่แม้การเขียนของฉันเกิดจากการที่มีบางสิ่งตกกระทบลงในความรู้สึกสั่นสะเทือนหัวใจ ฉันจึงเขียนมันบอกเล่าให้ผู้คนได้รับรู้ เรื่องทุกเรื่องของฉันจึงเขียนจากเรื่องจริงในมุมมองของฉัน เพื่อนที่รู้จักฉันอ่านแล้วก็จะรู้ทันทีว่าคนเดินเรื่องนั่นมันฉันชัดๆ ในขณะที่คนอื่นซึ่งไม่รู้จักฉันหากอ่านเขาก็คิดเพียงว่านี่คือเรื่องแต่งเรื่องหนึ่งเท่านั้น หากกับบางเรื่องฉันก็เห็นควรด้วยที่มันเหมาะจะเป็นเรื่องจริงมากกว่าเอามาเขียนเป็นเรื่องสั้น มันคงไม่ดีเท่าไหร่หากเราจะใช้ความจริงทำร้ายหรือฟาดฟันใครด้วยความรู้สึกเกลียด ทีแรกเราอาจรู้สึกดีที่เหมือนได้แก้แค้น แก้หน้า เชื่อฉันสิ...จากนั้นไม่นานหรอกความจริงที่ใช้ไปทำร้ายใคร มันจะย้อนแย้งกลับมาทำร้ายจิตใจคุณเอง ถ้าหัวใจคุณไม่ได้ด้านชาเกินไปนัก
น้าอุ้มคะฉันส่งภาพสี่ภาพและเรื่องราวบอกความเป็นฉันเพื่อตอบ TAG น้าอุ้มสีแล้วนะคะ ฉันคลุกคลีอยู่ในแวดวงถ่ายภาพระดับหนึ่ง มีหลายคนให้ฉันเรียก น้า แต่ฉันไม่ยอมและไม่ให้ใครเรียกฉันว่า น้า เด็ดขาด อายุฉันเพียงสิบเก้าปีหากเรียกน้ามันดูแก่ไปและฉันไม่ชอบ (ฮา) เพื่อป้องกันว่าจะมีใครเรียกฉันว่าน้าตามข้อตกลงที่มาพร้อม TAG ฉันจึงขอไม่ส่งต่อเพื่อปกป้องความรู้สึกตนเองตามทฤษฎีของฟรอยด์ (ฮา) แม้จะไม่มีการส่ง TAG ต่อ หากหนังสือ เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ยังพร้อมออกเดินทางไปหาผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการหนังสือเดินทางนะคะ
แถมภาพสุดท้ายเป็นภาพปกหนังสือและเพลงเรื่องจริงของป๊อด โมเดิร์นด็อก เพลงเรื่องจริงที่อยากให้คุณได้ฟัง
Create Date : 06 กรกฎาคม 2551 |
|
37 comments |
Last Update : 6 กรกฎาคม 2551 19:38:59 น. |
Counter : 2138 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: nikanda 6 กรกฎาคม 2551 20:36:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: BeCoffee 6 กรกฎาคม 2551 21:25:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 6 กรกฎาคม 2551 21:26:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่ไก่ 7 กรกฎาคม 2551 13:35:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: หอมกร 7 กรกฎาคม 2551 13:35:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) 7 กรกฎาคม 2551 14:40:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) 7 กรกฎาคม 2551 22:21:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: nikanda 7 กรกฎาคม 2551 22:33:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: nikanda 7 กรกฎาคม 2551 22:35:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่ไก่ 7 กรกฎาคม 2551 22:36:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 8 กรกฎาคม 2551 10:28:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: big-lor 8 กรกฎาคม 2551 12:09:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: lastmoon 8 กรกฎาคม 2551 18:47:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: BeCoffee 8 กรกฎาคม 2551 20:04:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: ก๋า เก็กเสียง (กะว่าก๋า ) 8 กรกฎาคม 2551 20:08:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: หน่อยอิง 15 มีนาคม 2553 10:22:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 24 ธันวาคม 2553 8:33:36 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ยังเพลียไม่หายจากการเดินทาง
และท่าทางแอลกอฮอล์ยังไม่ออกไปจากร่างกายหมด
จึงรู้สึกเหมือนคนเมาค้าง
ขอตัวไปหาอะไรจิบให้อุ่นท้อง
พักผ่อนอีกสักคืนแล้วจะรีบแวะไปแอ่วหาเน้อเจ้า