ฉันคือใครในภาพทั้งสี่ (เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า)



๑. เรื่องของหมีนักอ่าน





เจ้าตุ๊กตาหมีสี(เคย)ขาวตัวนี้มีชื่อว่า ‘ปลายข้าว’
มันเป็นของขวัญที่คนรักในวันนั้นซื้อให้วันที่เขาไปรับเช็คเงินค่าต้นฉบับ
รวมเล่มหนังสือเล่มแรกของเขา ที่ฉันช่วยตั้งชื่อหนังสือและช่วยตรวจบรูฟต้นฉบับ
‘ปลายข้าว’ คือชื่อที่เขาตั้งให้กับเจ้าตุ๊กตาหมีหน้าตาน่าเอ็นดู
มันเป็นหมีนักอ่านระดับฮาร์ดคอร์อย่างที่เพื่อนฉันให้คำนิยาม
หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ของ มาร์เกวซ น่ะหรือมันใช้เวลาในการอ่านเพียงสองวันเท่านั้น
ตั้งแต่นั้นยามไปงานไหนไอ้พี่แมวอ้วนคนรักของน้องหมี
มักชื่มชมมันต่อหน้าคนอื่นในเรื่องการอ่านหนังสือเสมอ
แม้จะอ่านงานระดับฮาร์ดคอร์มามากหากหนังสือโปรดมันกลับเป็นวรรณกรรมเยาวชนเสียมากกว่า
โธ่...เจ้าหมีน่ะมันน่ารักเหมือนเด็กๆ ออกอย่างนี้จะให้มันทิ้งวรรณกรรมเยาวชนไปได้ไง
และวันนี้หนังสือที่อยู่ในมือหมีนักอ่านคือ ‘เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า’ของลองเรื่องสั้น
หรือที่เพื่อนๆ ของพากันเรียกว่า พี่ลอง ซึ่งก็คือ จำลอง ฝั่งชลจิตร นั่นเอง
เปล่า...หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนอย่างที่เจ้าหมีมันรักหรอก
หากเป็นรวมเรื่องสั้นของมือเรื่องสั้นที่ดีคนหนึ่งของไทย
หมีนักอ่านอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยคิดว่าเป็นหนังสือที่จำเป็นยิ่งสำหรับก่อนเข้าสู่โหมดจำศีล
อีกทั้งเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนร่วมทางเขียนได้อ่านหนังสือเล่มนี้กันบ้างแล้ว
หมีจึงไม่ลังเลที่จะหยิบมาอ่าน อ่านจบไปหนึ่งเรื่องมันก็รีบตั้งคำถามผ่านน้องแมวถึงเพื่อนในกลุ่ม
อ่านหรือยัง ท่านอ่านหรือยัง ท่านอ่าน ‘ผ่านไปปีครึ่ง’ เรื่องสั้นแรกในเล่มนี้กันหรือยัง
โอ...ท่าน ท่านจะทำเช่นใดเมื่อเราคนเขียนหนังสือซึ่งบอกกันว่าคือนักสังเกตการณ์ชีวิต
ถูกตัวละครของเราเองสังเกตชีวิตคนเขียนหนังสือซึ่งนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งนั้นเป็นประจำ
ตายละท่านในจังหวะซึ่งเราไปร่าเริงที่ร้านกาแฟตอนเช้าพร้อมเฝ้ามองชีวิตผู้คน
จะมีใครมอง และคิดแทนเราไหมว่าเรากำลังคิดและจินตนาการฉากเช่นใดในสมอง
วันนั้นเพื่อนเขียนหนุ่มส่งน้องแมวกลับมาบอกข่าวว่าหมีอย่ากลายร่างเป็นกระต่ายตื่นตูมได้ไหม
โปรดอดใจรอสักพัก รอให้เขาอ่านจบแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที
นี่คือเรื่องราวฉบับย่นย่อของหมีนักอ่านประกอบภาพใบที่หนึ่ง



๒. เมรีขี้เมา





ภาพถ่ายใบที่สองเป็นภาพที่ฉันถ่ายจากกล้องฟิล์มในค่ำคืนหนึ่งหลังกลับจากไปทำงาน
ฉันและคนรักในวันนั้นพากันเดินเข้าร้านเหล้าในความทรงจำของเรา ‘บาร์ลำพู’
ช่วงหัวค่ำที่คนยังน้อยฉันกดชัตเตอร์บนชั้นสองของร้าน
ซึ่งมีลูกกรงเหล็กกั้นแบ่งฟากความเป็นส่วนตัว
เครื่องดื่มประจำของฉันคือบาร์คาร์ดี้ไลม์ รสเปรี้ยวซ่าปนหวานหน่อยๆ
ด้วยรสชาติอย่างนี้ทำให้ฉันดื่มง่ายและเมานิ่มแบบไม่ให้ตั้งตัว
‘เมรี’ เป็นชื่อที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเรียกฉันใหม่
ด้วยวันนั้นฉันไปดื่มที่บ้านเขาปรากฏว่าเพียงไม่กี่จอกฉันก็ร่วงพล็อย
เหมือนบทกลอนที่ว่า ‘หนึ่งจอกสองจอกกรอกเข้าเมรีขี้เมาก็หลับไป’
วันก่อนฉันเข้าไปร่วมประชุม ‘วรรณกรรมสองฝั่งโขง’ ที่โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น
คิดจะถ่ายรูปมาลง Hi5 ให้พี่ๆ เพื่อนๆ ในแวดวงดู
ปรากฏว่ากระป๋องเบียร์ซึ่งกวีท่านใดไม่รู้ส่งให้ส่งผลให้มือฉันไม่ว่างจับกล้อง
งานหนนี้จึงไม่มีรูปถ่ายมาอวด แต่ไม่เป็นไรระหว่างถือกระป๋องน้ำสีอัมพัน
ฉันบอกให้พี่กวีอีกคนซึ่งจิบเรดเพียวๆ ให้ช่วยเก็บภาพแทนให้แล้ว
ไว้วันหลังไปเอารูปแล้วฉันค่อยพามาให้ดู
ระหว่างรอเวลาเปิดตัวหนังสือ ‘สาบอีสาน’
พ่อทยาลุ ศิลปินมรดกอีสานสาขาวรรณศิลป์เข้ามาคุยกับฉัน
พร้อมเปิดความคิดการตีความหมายวรรณกรรมพื้นบ้านสินซัย ที่คุยไปเมื่อบ่าย
ความที่พ่อเขียนหนังสือทางธรรม จึงเปิดมิติใหม่ทางความคิดให้ฉัน
มันช่วยได้มากกับการเขียนที่ฉันบอกพี่ขุมและพี่ทัศว่า
อยากจับวรรณกรรมพื้นถิ่นและตำนานมาใส่ในเรื่องสั้น
ตอนนี้ฉันสมมุติตัวละครขึ้นมาสองตัวพร้อมโครงเรื่องในใจ
‘เมรี’ กับ ‘สุธน’ เมรีคืออดีตชาติของนางมโนราห์ที่พระสุธนตามหาจนเจอ
เรื่องราวความรักผิดที่ผิดทางเหมือนเกิดคนละยุคสมัย
แน่นอนว่าคอการเมืองอย่างฉันผู้ไม่พอใจกับการทำงานของรัฐบาล
และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรต้องโยงเรื่องนี้เข้าหากันเป็นแม่นมั่น
อ่านตอนแรกคุณอาจคิดว่ามันคือเรื่องรัก
ทว่าหากอ่านพิศคุณจะรู้ว่าฉันกำลังวิพากษ์การเมืองบ้านเราแบบเต็มๆ
เอ่อ...ที่บอกเมื่อกี้ฉันฝันกลางวันตามประสาเมรีขี้เมาน่ะค่ะ...โปรดอย่าใส่ใจ
ไปสนใจเรื่องสั้นที่ชื่อ ‘ตำรวจรู้ดีทุกอย่าง’ ในหนังสือเล่มนี้ของพี่ลองดีกว่าค่ะ
ในย่อหน้าที่สองบอกกับคนอ่านว่า
‘หลายสิบปีมานี้ เราคุ้นเคยกับเรื่องไม่จริง ยอมรับเรื่องไม่จริง จนไม่อาจยอมรับเรื่องจริง
ทั้งนี้ สังคมช่วยกันกล่อมเราอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วเรายังกล่อมตัวเองให้เชื่อตามอีกด้วย’

คุณคะ...คุณคิดไหม ว่าฉันส่งภาพและเรื่องเล่าเมรีขี้เมามากล่อมให้คุณเชื่อว่ามันคือความจริง
แล้วคุณล่ะคะคิดว่ามันเป็นความจริงที่ฉันอยากให้คุณเห็นในความเป็นฉัน
หรือความลวงที่ฉันอยากให้คุณเห็นในสิ่งที่ฉันเป็น



๓. ดอกไม้ใจ





ในกระบวนการถ่ายภาพ ‘พลุ’ ถือว่าเป็นภาพซึ่งถ่ายยากที่สุดสำหรับฉันค่ะ
เพราะเราไม่รู้เลยว่ามันจะถูกจุดขึ้น ณ จุดใดบนท้องฟ้าสีน้ำเงินอันกว้างใหญ่
ดอกไม้ไฟภาพนี้เป็นภาพซึ่งฉันถ่ายด้วยกล้อง D-SLR ตัวแรกของฉัน
และเป็นครั้งแรกกับการถ่ายภาพดอกไม้ไฟของฉันเช่นกัน
เทศกาลที่เปิดโอกาสให้ถ่ายพลุได้มีไม่กี่วันในหนึ่งปีหรอกค่ะ
ทว่าปลาทองอย่างฉันจำไม่ได้หรอกว่าภาพนี้ถ่ายวันไหน
ฉันจำได้เพียงไปกับใคร และความรู้สึกระหว่างเก็บภาพนั้นเป็นเช่นใด
ฉันตั้งชื่อภาพพลุภาพนี้ของฉันว่า ‘ดอกไม้ใจ’
เหมือนความรักของฉันกับเขาคนที่ไปถ่ายภาพด้วยกันในวันนั้น
วันนั้นมือใหม่ในการถ่ายภาพอย่างเขายังจับจุดการถ่ายภาพดอกไม้ไฟไม่ได้
เขาจึงไม่มีภาพมาให้ฉันดูสักภาพ เขาพลาดการบันทึกเหตุการณ์ด้วยกล้องถ่ายภาพ
และฉันไม่รู้ว่าเขาได้บันทึกความทรงจำกับความสุขในวันนั้นด้วยหรือเปล่า
แต่สำหรับฉันแล้วฉันบันทึกทั้งเหตุการณ์และความรู้สึกลงเป็นความทรงจำ
ที่ยังคงแจ่มกระจ่างชัดและงดงามเหมือนภาพดอกไม้ไฟที่แต่งแต้มท้องฟ้าให้สว่างไสว
นักเขียนรุ่นพี่เคยบอกฉันว่าคนเขียนหนังสือก็เหมือนคนจุดดอกไม้ไฟ
ที่ผ่านการเคี่ยวกรำในการทำงานอย่างหนัก
เพื่อส่องสว่างงดงามเพียงครู่บนฟ้าอันมืดหม่น
ทว่าเป็นดั่งแสงส่องทางส่องสว่างในใจไม่คลาย
‘ขนมปังไส้ข้าวโพด’ เรื่องสั้นลำดับที่แปดในเล่มอาจไม่ใช่เรื่องสั้นที่ส่องสว่างในจิตใจคนอ่าน
หากเป็นเรื่องสั้นที่บอกเล่าวีรกรรมของคนเป็นพ่อซึ่งเคียงคู่กิจการขนมปังของแม่
เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าที่บอกเล่าความน่ารักของครอบครัวครอบครัวหนึ่ง
เรื่องนี้เริ่มต้นเล่าในวันที่กิจการขนมปังของแม่เดินมาถึงตอนจบ
วีรกรรมของพ่อทั้งถูกยางเผือกกัดหน้าผากและซื้อข้าวโพดผิด
คือความประทับใจมิรู้คลายที่อยู่ในใจของตัวละครที่เล่าเรื่อง
คือดอกไม้ใจที่สว่างไสวในความทรงจำของครอบครัวนี้
คือภาพที่สามที่ฉันใช้บอกเล่าแทนตัวตนของฉันที่อยากให้คุณเห็น
จากคนถ่ายภาพดอกไม้ไฟ วันนี้ฉันริอ่านเป็นช่างทำพลุนั่นเสียเอง
ไม่มีอะไร ฉันเพียงคิดว่า หากเราช่วยกันทำพลุเยอะๆ ให้มันถูกจุดบนท้องฟ้า
ค่ำคืนอันมืดมิดก็จะสวยสว่างส่องทางให้ผู้คนไม่คลายเท่านั้นเอง



๔. คอนเวิร์สออลสตาร์ เราต่างเดินไปตามวิถีแห่งใจตน





คนรักของฉันในวันนั้นซื้อคอนเวิร์สสียีนส์คู่นี้ให้ฉันใส่ไปทำงาน
และฉันซื้อคอนเวิร์สหนังสีขาวให้เขาไว้ใส่ยามเราไปไหนด้วยกัน
วันนั้นเพื่อนคนหนึ่งบอกฉันว่าการซื้อรองเท้าให้คนรักนั้นจะทำให้เกิดการพรากจาก
ฉันบอกเขาไปว่า...อะไรที่เป็นของเราอย่างไรเสียหากถูกพรากไป
ฉันเชื่อว่ามันจะหาทางกลับมาหาฉันเองในที่สุด
อาทิตย์นั้นที่ฉันไม่ต้องไปทำงานสวนสราญรมย์มีการแสดงศิลปะสี่ภาค
เราจึงพากันไปเดินเล่น, ดูและถ่ายรูป
หลังละครซอของภาคเหนือจบลง
ก่อนที่จะไปดูลิเกฮูลูจากภาคใต้ต่อนั้น
ฉันและเขานั่งเหยียดขาพักเท้าจากการเดินและยืนมาหลายชั่วโมงบนพรมหญ้าสีเขียว
ตอนแรกเราถอดรองเท้าไว้เคียงกันขณะนั่งคุยสัพเพเหระ
ฉันกดชัตเตอร์เก็บภาพถ่ายรองเท้าเล่นๆ ระหว่างรอเขาหายเหนื่อยและล้าขา
เอ่อ...ด้วยหน้าที่การงานทำให้ฉันเดินติดต่อกันนานๆ ทั้งวันได้โดยไม่รู้สึกอะไร
ขณะที่คนรักของฉันนั้นวันทั้งวันเขามีชีวิตอยู่กับหน้าหนังสือที่อ่าน
หน้าคอมพิวเตอร์ที่เล่นเกม หรือไม่ก็หน้ากระดาษเพื่อเขียนเรื่องสั้น
วันปรกติของเขาทั้งวันมีการเดินเพียงส่งฉันขึ้นรถไปทำงาน
เดินไปตลาดเพื่อกินข้าวเย็นกับฉันเพียงเท่านั้น
วันไหนเขาตามออกมาเดินถ่ายรูปเล่นกับฉัน
การเดินในระดับจิ๊บๆ ของฉันจึงเป็นเลเวลที่เหนื่อยเอาการสำหรับเขา
เขาตัวสูงกว่าฉันมาก ช่วงขาและจังหวะก้าวจึงเร็วกว่าฉันนัก
มันไม่มีปัญหาถ้าเขาจับมือฉันไว้เวลาเดินเพราะเราจะก้าวไปพร้อมกันเสมอ
และที่น่าชื่นใจคือเขาชอบเดินจับมือฉันนัก เหมือนฉันเป็นเด็กหญิงเล็กๆ ที่เขาต้องดูแล
แต่หากวันไหนมีเรื่องไม่สบอารมณ์ฉันจะไม่ยอมให้เขาจับมือเป็นอันขาด
เปล่าไม่ได้โกรธอะไรนักหนา เพียงแต่ฉันอยากจับหัวใจตัวเองให้มั่นคงมากกว่า
และมีบ้างบางวันที่ฉันอยากแกล้งพอเขาจับมือฉันจึงสะบัดออก
เขามักจะทำน้ำเสียงปวดร้าวด้วยปมในอดีตจากการถูกทอดทิ้ง
ครั้งหนึ่งฉันเคยเขียนโปสการ์ดบอกเขาว่า
‘ขาเรายาวไม่เท่ากัน จังหวะก้าวเท้าของเราก็แตกต่าง
การปรับขาให้ก้าวไปพร้อมกันอาจเป็นสิ่งที่ดี
หากฉันไม่ต้องการถ้ามันจะทำให้อีกฝ่ายเดินไม่สบายเท้า
เราเดินไปบนเส้นทางเดียวกันแล้ว เพียงเท่านี้ฉันก็เป็นสุขดีพออยู่แล้ว’

ในจำนวนภาพรองเท้าที่ถ่ายมาเมื่อเปิดดูในคอมพิวเตอร์
ฉันชอบภาพนี้ที่สุด
เพราะที่สุดแล้วเราก็ต่างมีเส้นทางเดินเป็นของตนเอง
ในคืนวันของความสุขที่ใช้จ่ายด้วยกันเป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิตที่ก้าวมาพบกัน
เพื่อเดินต่อไปยังจุดหมายตามวิถีทางภายในของเรา
วันที่เราสองคนเลิกกันมีคนสงสัยสาเหตุมากมายของการเลิกรา
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเวลาออกงานด้วยกันเรายังเป็นคู่รักที่ใครๆ ก็เห็น
บ้างว่าฉันหนีเขาไป บ้างว่าเขาทอดทิ้งฉันไปอยู่กับคนรักเก่าที่กลับคืน
บ้างว่าเขาหลายใจมีใครอื่นในขณะที่มีฉันเดินเคียงข้าง
บ้างว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีส่งตาหวานให้ชายอื่นขณะที่นั่งอยู่กับเขา
หลายสาเหตุตามแต่คนจะพูดกันไป
เรื่องจริงเป็นอย่างไร ทำไมเราจึงเลิกรา มีเพียงฉันและเขาที่รู้กันสองคน
เหมือนเรื่องสั้นสุดท้าย ‘คนดีๆ คนหนึ่งตายได้ตั้งหลายสาเหตุ’
ฉันและเขาเราตายจากกันในความรักแล้ว
มีมีประโยชน์อะไรที่เราจะวิพากษ์ถึงความตายของคนอื่น
หากจำลองก็เขียนให้เราเห็นตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ในความสัมพันธ์
มนุษย์เราล้วนสัมพันธ์กันในเชิงอำนาจ ขนาดความรักอันเป็นเรื่องงดงาม
ท้ายแล้วเราคงไม่อาจปฎิเสธว่าตัวเราหรืออีกฝ่ายต่างใช้อำนาจในการต่อรองความรักกันอยู่หรือเปล่า
เหมือนฉันที่ซื้อรองเท้าให้เขา ทั้งที่ในวันนั้นคิดเพียงเขาจะได้มีรองเท้าอื่นนอกเหนือจากรองเท้าแตะ
ไว้ใส่ยามไปไหนกับฉัน เอาเข้าจริงแม้เขาจะพอใจกับสิ่งที่ได้รับ
หากนึกย้อนฉันคงไม่สามารถปฎิเสธได้เช่นกันว่าอยากให้เขาเดินด้วยรองเท้าตามที่ฉันกำหนด
เช่นกันกับการที่เขาซื้อรองเท้าผ้าใบคู่นั้นให้ฉัน
แม้ความคิดขณะนั้นจะไม่มีอะไรมากไปกว่าเขารู้ว่าฉันเป็นคนชอบใส่รองเท้าผ้าใบ
และคอนเวิร์สสียีนส์คู่นี้มันก็น่ารักดีถ้าฉันจะใส่
ใช่...ฉันชอบใส่รองเท้าผ้าใบหากร้องเท้าผ้าใบของฉันทุกคู่ล้วนเป็นผ้าใบหนังสีขาว!!!
คุณคะ...ที่เห็นรองเท้าข้างหน้าไม่ชัดนั้น ไม่ใช่ฉันโฟกัสพลาดนะคะ
หากเป็นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรจุดโฟกัสในใจฉันคือรองเท้าผ้าใบหนังสีขาวคู่นั้นต่างหาก



เรื่องสั้นที่มีชื่อเดียวกันกับหนังสือนั้นทำให้ฉันบอกตนเองว่า...
จริงอยู่แม้การเขียนของฉันเกิดจากการที่มีบางสิ่งตกกระทบลงในความรู้สึกสั่นสะเทือนหัวใจ
ฉันจึงเขียนมันบอกเล่าให้ผู้คนได้รับรู้ เรื่องทุกเรื่องของฉันจึงเขียนจากเรื่องจริงในมุมมองของฉัน
เพื่อนที่รู้จักฉันอ่านแล้วก็จะรู้ทันทีว่าคนเดินเรื่องนั่นมันฉันชัดๆ
ในขณะที่คนอื่นซึ่งไม่รู้จักฉันหากอ่านเขาก็คิดเพียงว่านี่คือเรื่องแต่งเรื่องหนึ่งเท่านั้น
หากกับบางเรื่องฉันก็เห็นควรด้วยที่มันเหมาะจะเป็นเรื่องจริงมากกว่าเอามาเขียนเป็นเรื่องสั้น
มันคงไม่ดีเท่าไหร่หากเราจะใช้ความจริงทำร้ายหรือฟาดฟันใครด้วยความรู้สึกเกลียด
ทีแรกเราอาจรู้สึกดีที่เหมือนได้แก้แค้น แก้หน้า
เชื่อฉันสิ...จากนั้นไม่นานหรอกความจริงที่ใช้ไปทำร้ายใคร
มันจะย้อนแย้งกลับมาทำร้ายจิตใจคุณเอง ถ้าหัวใจคุณไม่ได้ด้านชาเกินไปนัก



น้าอุ้มคะฉันส่งภาพสี่ภาพและเรื่องราวบอกความเป็นฉันเพื่อตอบ TAG น้าอุ้มสีแล้วนะคะ
ฉันคลุกคลีอยู่ในแวดวงถ่ายภาพระดับหนึ่ง มีหลายคนให้ฉันเรียก ‘น้า’
แต่ฉันไม่ยอมและไม่ให้ใครเรียกฉันว่า ‘น้า’ เด็ดขาด
อายุฉันเพียงสิบเก้าปีหากเรียกน้ามันดูแก่ไปและฉันไม่ชอบ (ฮา)
เพื่อป้องกันว่าจะมีใครเรียกฉันว่าน้าตามข้อตกลงที่มาพร้อม TAG
ฉันจึงขอไม่ส่งต่อเพื่อปกป้องความรู้สึกตนเองตามทฤษฎีของฟรอยด์ (ฮา)
แม้จะไม่มีการส่ง TAG ต่อ หากหนังสือ ‘เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า’
ยังพร้อมออกเดินทางไปหาผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการหนังสือเดินทางนะคะ





แถมภาพสุดท้ายเป็นภาพปกหนังสือและเพลงเรื่องจริงของป๊อด โมเดิร์นด็อก
เพลงเรื่องจริงที่อยากให้คุณได้ฟัง









 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2551
37 comments
Last Update : 6 กรกฎาคม 2551 19:38:59 น.
Counter : 2138 Pageviews.

 

เหนื่อย...หมดแรง

ยังเพลียไม่หายจากการเดินทาง
และท่าทางแอลกอฮอล์ยังไม่ออกไปจากร่างกายหมด
จึงรู้สึกเหมือนคนเมาค้าง

ขอตัวไปหาอะไรจิบให้อุ่นท้อง
พักผ่อนอีกสักคืนแล้วจะรีบแวะไปแอ่วหาเน้อเจ้า

 

โดย: นกที่ไม่มีเสียง 6 กรกฎาคม 2551 19:48:13 น.  

 

แอบอยากรู้จักกับคุณหมีปลายข้าวค่ะ ฮิๆๆ

 

โดย: แพนด้ามหาภัย 6 กรกฎาคม 2551 19:54:05 น.  

 

//free-image-hosting.biz

 

โดย: ต้นกล้า อาราดิน 6 กรกฎาคม 2551 20:10:14 น.  

 

เข้ามาอ่านค่ะ..ตามอ่านอยู่เรื่อยๆ
ไม่ได้เจอกันหลายวัน..ยังจำเพื่อนบล็อกคนนี้ได้ไหมคะ?

อยากบอกว่า..ตั้งแต่ตามอ่านบล็อกนี้มา
แม้ในใจจะสงสัยว่า..มันคือเรื่องจริงเพียงเศษเสี้ยว
หรือเรื่องจริงทั้งหมด...หรือเรื่องไม่จริงทั้งหมด
แต่เราก็บอกตัวเองว่า..ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย
เราอ่านแล้วเราชอบ..เรามีความสุขกับการอ่านบล็อกนี้..ก็พอ
บางครั้ง..เราเข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจว่าคุณต้องการสื่ออะไร
แต่สิ่งเดียวที่บอกได้..ก็คือ..เราชอบอ่านบล็อกนี้มากค่ะ
ขอบคุณ..ที่เขียนอะไรดีดีมาให้ได้อ่าน..จนบางครั้ง
รู้สึกรวมไปด้วย..เหมือนตัวเองกำลังไปเป็นคนที่แทนตัวเองว่า"ฉัน"เฉย..
เหมือนเราพูดเวอร์ไป..แต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ

 

โดย: nikanda 6 กรกฎาคม 2551 20:36:49 น.  

 

โห คุณแม่นกที่รัก แอบเมาจริงเปล่าคะ(แซว)
เขียนได้ยาวและมิมีผิดเพี้ยน ถ้าผิดเพี้ยน
ก็คงเป็นเพราะสายตาคนที่นั่งหน้าจอคอม
และอ่านมากกว่า

ดีจังค่ะ คนทำพลุ ...
คนดูพลุจะได้ดีมีความสุข
ก็เพราะมีคนทำพลุสวยๆ ให้ดูนะคะ

ตอนแรกอ่านนึกว่ารีวิวหนังสืออย่างเดียว
แต่เป็นการตอบ TAG ด้วย
อย่างนี้คนดูพลุได้กำไรสองต่อค่ะ

 

โดย: BeCoffee 6 กรกฎาคม 2551 21:25:14 น.  

 


เลยได้รู้จักตัวตนของน้องนกที่ไม่มีเสียง
แหล่มดี

 

โดย: อุ้มสี 6 กรกฎาคม 2551 21:26:27 น.  

 

เป็นคอเรื่องสั้นเหมือนกันครับแต่ยังไม่ได้อ่านเล่มนี้เลย

 

โดย: Boyne Byron 6 กรกฎาคม 2551 23:20:57 น.  

 

เขียนได้ดีจังค่ะ ภาพประกอบก็เข้ากัน ขอบคุณที่แวะไปทักทายนะคะ

 

โดย: BeachBum 7 กรกฎาคม 2551 8:15:21 น.  

 

แพนด้าฯ>>>ใครๆก็บอกว่าหมี "ปลายข้าว" มันนิสัยไม่ดี อย่างนี้แล้วยังอยากรู้จักอีกไหม

คุณแม่น้องนางฟ้า>>>จำได้สิคะ ทำไมจะจำไม่ได้
เพียงแต่ว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาออกเดินทางตลอด
เพิ่งกลับมาถึงเมื่อคืนก่อน เลยไม่มีโอกาสไปเยี่ยมหาน่ะค่ะ
ถ้านี่คือหนังสือ แล้วมีคนอ่านอย่างคุณแจงรู้สึกตามกับคนเขียนในสรรพนาม "ฉัน" เราว่าคนเขียนคงดีใจมากแน่ๆ เลยค่ะ
ความรู้สึกคล้อยตามจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเราไม่สามารถทำให้คนอ่านเชื่อในสิ่งที่เขียนเสียก่อน

คุณอ้อน>>>ยุคนี้ยุคประหยัดค่ะ ซื้อหนึ่งได้ถึงสองใครกันจะไม่ชอบ
เราเลยอินเทรนด์กับเค้ามั่ง คิ้กๆๆ

คุณอุ้ม>>>รู้จักเพียงส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวหนูเท่านั้นหรอกค่ะ
ถ้าเจอจริงๆ พี่จะรู้ว่าหนูบ้ากว่าที่คิดไว้เยอะแน่ๆ

Boyne>>>งั้นเดี๋ยวเราอ่านเล่มเดียวกันแล้วมาคุยกันใหม่นะคะ

Bach>>>ขอบคุณค่ะ

 

โดย: นกที่ไม่มีเสียง 7 กรกฎาคม 2551 12:52:05 น.  

 

หมีปลายข้าว...ท่าทางจะรั้นน่าดูนิ...

"ความมีอยู่"(จริง)กำลังจะเดินทางไปหาหนูนะจ๊ะ อาจจะชักช้าหน่อยด้วยปีกแม่ไก่สั้นไปนิด ...บิน ๆ เดิน ๆ ได้ทีละไม่ไกลนัก...

แถมยังแบกความจริงใจไปเต็มเปี่ยมทีเดียว...

 

โดย: แม่ไก่ 7 กรกฎาคม 2551 13:35:19 น.  

 

 

โดย: หอมกร 7 กรกฎาคม 2551 13:35:32 น.  

 

สวัสดีครับท่าน

 

โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง 7 กรกฎาคม 2551 13:47:19 น.  

 

ชอบวิธีเล่าเรื่องของคุณพี่ครับ
(ก็ไม่ให้เรียกน้า เรียกพี่ดีกว่านะครับ หุหุหุ)

โดยเฉพาะเรื่องที่ 4.
มันละเมียดละไม
และอ่านตามแบบเพลินจนจบโดยไม่รู้ตัวครับ

คุณพี่เก่งมากครับที่ไม่ทำอะไรผิดซ้ำๆซ้อนๆ
ผมไม่พูดคำว่าโชคดีนะครับ
เพราะมันทำให้เราดูไม่ได้ทำอะไรเลย
นอกจากรอความฟลุ๊ค


 

โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) 7 กรกฎาคม 2551 14:40:30 น.  

 

อ่า..

ทำไมอ่านแล้ว "ฉัน" เหมือนมีคนรักที่หลากหลายจังคะนี่ แหะๆ

หมีปลายข้าว..เป็นนักอ่านที่น่ารู้จักนะคะนี่

ว่าแต่..เค้าเคยสีขาวจริงๆ หรือ? แหะๆ

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 7 กรกฎาคม 2551 14:42:22 น.  

 

เพิ่งกลับมาอ่าน

อ่าน มาเกวซ เล่ม หนึ่งร้อยปีด้วย

ว้าวววววว

 

โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง 7 กรกฎาคม 2551 20:49:29 น.  

 

หุหุหุ


ช่างเป็นบทสนทนาที่ยอกย้อนจริงๆเลย
น้องหมีปลายข้าวน่ารักมาก หุหุหุ
แต่จะว่าไปพี่แมวอ้วนก็พูดถูกนะครับ
ผมไม่ได้แค่เห่อหรอกครับ
ถึงขั้น "คลั่งลูก" เลยล่ะครับ ว่ะฮะฮ่าๆๆๆๆ
55555

 

โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) 7 กรกฎาคม 2551 22:21:52 น.  

 

^
^
^
พี่ก๋า..แอ๊บเด็กอีกแล้ว..

อ่านความเห็นของคุณนกแล้วก็ตามมาอีกรอบ
นั่นสินะคะ..คงเจ็บปวดน่าดู..ถ้าเราต้องเฝ้ามองคนที่เรารักจากไป

ว่าแต่ว่า..นิยายของคุณนก..ไปถึงไหนแล้วคะ?
ไม่ได้ทวงน้า..ถามดูเฉยๆ....ความจริงบล็อกของคุณนกนี่
สามารถรวบรวมเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คได้เลยนะเนี่ย..เขียนดุมากค่ะ

 

โดย: nikanda 7 กรกฎาคม 2551 22:33:50 น.  

 

เขียนดีค่ะ..ไม่ใช่เขียนดุ

 

โดย: nikanda 7 กรกฎาคม 2551 22:35:00 น.  

 

ก๊อปคอมเมนท์ที่ตอบหนูในบล็อกพี่มาแปะตรงนี้ด้วย กลัวหนูจะไม่ได้กลับไปอ่าน...อิอิ

เรื่องของทักกี้นั่น พี่ไม่คิดว่าเป็นการต้อง "คำพิพากษา" เหมือนแมรี่นะคะน้องหมีปลายข้าว...(ชอบชื่อนี้จัง )
พี่ขอมองแบบชาวพุทธว่าเป็นเรื่องกฏแห่งกรรมมากกว่า...กรรมใดใครก่อ...เอ๊ย...
กัมมุนา วะตะตีโลโกไงล่ะ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม วะฮะฮ่า...เลียนเสียงหัวเราะคุณข้างบนเสียเลย

 

โดย: แม่ไก่ 7 กรกฎาคม 2551 22:36:03 น.  

 

พี่แม่ไก่...มาช้าก็ไม่เป็นไร เพราะมันอัดแน่นด้วยความจริงใจหนักไปหน่อยนึงเอง
อา...เสียงหัวเราะแบบนี้มันช่าง...

คุณหมอมือหอม...ใช่ค่ะเรากินเส้นกัน
แต่กินเส้นเนี่ยหิวบ่อยกว่ากินข้าวนะคะ
อย่างนี้จะลดน้ำหนักได้ไงไม่รู้

ท่านปฐม...นอกจากร้อยปีฯ น้องหมีปลายข้าวยังอ่าน คนนอกด้วยนะเออ
แต่รับรองได้มันไม่พกติดมือไปไหนเหมือนท่านหรอก

คุณก๋า...สงสัยเด็กหมีปลายข้าวจะเป็นที่เอ็นดูกับลุงๆ ป้าๆ ในบล็อกซะแล้ว

คุณแม่น้องนางฟ้า...การรวมเล่มมันเป็นเรื่องของคนมีชื่อเสียงแล้ว
ตอนนี้เรายังอยู่ในระหว่างสร้างชื่อน่ะค่ะ
สร้างชื่อเสียโอ้ย...มึน ง.งูหายไปไหนไม่รู้

เอ่อ...กำลังพยายามจะสร้างเวปหนังสือเดินทาง
แต่ยังไม่ได้ถึงไหนเลย ที่ไหนๆ ก็ไม่โดนใจ
ไอ้ที่โดนใจราคาก็แพงโคตร

 

โดย: นกที่ไม่มีเสียง 7 กรกฎาคม 2551 22:56:58 น.  

 

ป่านนี้ฝนยังไม่หยุดตก

ไม่มีดาวฉายแสงออกมาให้เราขอพร

ไม่เป็นไรเนอะ...เพราะแม้จะมองไม่เห็นแสงดาว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดาวโอริฮิเมะของเจ้าหญิงทอผ้ากับดาวฮิโกโบชิของชายเลี้ยงวัว จะไม่ได้เจอกัน
แม้นไม่ได้ขอพรจากดาว
หากเราก็เชื่อว่าสักวันของเราบนอามาโน่คาวา
คงสมหวังเหมือนดาวทั้งสองดวง



ไปล่ะ...จะไปนอนฝันว่ายืนรอพ่อดาวกวีอยู่ริมแม่น้ำสวรรค์

 

โดย: นกที่ไม่มีเสียง 8 กรกฎาคม 2551 0:31:37 น.  

 

ผมก็กำลังเขียนนะครับ แบบพันธุ์หมาบ้า

ของ ชวนชั่ว คือ พันธุ์หมาบ้า

ของผม พันธุ์หมาบ้า ๆ บอ ๆ (แถมตาขวางตลอดด้วยนะเออ)

 

โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง 8 กรกฎาคม 2551 10:08:14 น.  

 


อิอิอิ บ้าเป็นเรื่องธรรมชาติน้อง

 

โดย: อุ้มสี 8 กรกฎาคม 2551 10:28:35 น.  

 




แวบมาดู..แล้วก็แวบไป..อย่างเงียบๆ

 

โดย: big-lor 8 กรกฎาคม 2551 12:09:15 น.  

 



คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


เป็นห่วงน๊ะ……….จึงมาเยี่ยม

 

โดย: ร่มไม้เย็น 8 กรกฎาคม 2551 13:52:24 น.  

 

ฉันคือใครในภาพทั้งสี่..
ไม่ใช่แค่ภาพทั้งสี่กระมังนกน้อย...
เห็นยังขี้แยอยู่เลย แล้วอย่างนี้
จะเป็นแม่นก อย่างไรจ๊ะ 5555
เธอคงเป็นเหมือนภาพอีกร้อยแปด
มีความรู้สึกว่าเห็นภาพไหน ก็เป็นตัวตนของเธอ...

 

โดย: โมกสีเงิน 8 กรกฎาคม 2551 13:56:19 น.  

 



มากราบขอพรวันเกิดฮ่ะ


 

โดย: ก ร ะ ต่ า ย ต า ก ล ม 8 กรกฎาคม 2551 17:07:07 น.  

 

...

ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันค่ะ

เรื่องราวของ คุณนกน้อย ( ที่คงต้องอ่านใจจากแววตามังคะ )
ชวนให้ติดตามค่ะ
ขอแวะมาเป็นผู้อ่านด้วยคนนะคะ

...

ทางนี้ไร้ฝนพรำ
ยังเย็นย่ำไปทั่วใจ ...

 

โดย: lastmoon 8 กรกฎาคม 2551 18:47:56 น.  

 

ประกาศเรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ติดหนึ่งในเก้าเข้ารอบสุดท้ายซีไรต์เป็นที่เรียบร้อย

อีกแปดเล่มที่เหลือมี

1.ข่าวการหายไปของอาริญาและเรื่องราวอื่นๆ ของ ศิริวร แก้วกาญจน์

2.เคหวัตถุ ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์

3.ตามหาชั่วชีวิต ของ เสาวรี

4.บริษัทไทยไม่จำกัด ของ สนั่น ชูสกุล

5.ปรารถนาแห่งแสงจันทร์ ของ เงาจันทร์

6.เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ของ วัชระ สัจจะสารสิน

7.วรรณกรรมตกสระ ของ ภาณุ ตรัยเวช

8.หมู่บ้านแอโรบิก ของ ทัศนาวดี

เชียร์ใครต่อดี...พี่วร, พี่ต้น, เงาจันทร์ หรือพี่ทัศ

อืม...เลือกเชียร์ที่หน้าตาดีที่สุดในนี้ดีกว่าเนอะ (ฮา)

 

โดย: นกที่ไม่มีเสียง 8 กรกฎาคม 2551 19:00:33 น.  

 

สวัสดีค่ะ พระจันทร์แวะมากทักทายค่ะ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ

 

โดย: เจ้าแห่งน้ำคือพระจันทร์ 8 กรกฎาคม 2551 19:59:50 น.  

 

เรื่องที่อ้อนเชียร์อยู่ก็ไม่ได้เข้ารอบเหมือนกันค่ะคุณแม่นก

จากบล็อกกาแฟ อืมๆ ดีจังค่ะ
ที่คุณแม่นกบอกว่าห้องครัวเป็นสัญลักษณ์
ของครอบครัว ... ดีความได้ดีจังค่ะ
คิดตามแล้วใช่เลยนะ

และก็ย้อนคิดไปถึงตัวเอง
ตั้งแต่ห่างจากบ้านมาแล้วก็หัดทำกับข้าวเองค่ะอ้อน
ยิ่งช่วงไหนเครียดๆ ยิ่งทำกับข้าว
คิดว่าเป็นการบำบัดอาการเครียดได้ผลดีค่ะ
ยกเว้นตอนต้องล้างจานนะคะ(ฮา)

ขอบคุณที่แจ้งผลเข้ารอบ 9 ทีม
เอ้ย 9 เล่มสุดท้ายนะคะ

 

โดย: BeCoffee 8 กรกฎาคม 2551 20:04:25 น.  

 

หวัดดีครับ

ผมตกขอบไปแล้ว
หนังสือที่ว่ามา
ไม่ได้อ่านสักเล่มเลยครับ
ผมเลิกอ่านเรื่องสั้นมาพักใหญ่
หลังการตายของพี่กนกพงศ์

ยังไม่เคยเจอเรื่องสั้นที่เขียนแล้วอ่านแบบ "ปรี๊ด" เลยครับ
สงสัยต่อมปรี๊ดไม่ทำงาน 5555

รวมทั้งขี้เกียจเขียนเอง อ่านเองด้วยครับ หุหุหุ
(หลังจากเคยขยันเขียนอยู่พักนึง)

รู้ทันอารมณ์เสร็จ
รู้ทันความคิดต่อ
ก็อรหันต์แล้วครับ

 

โดย: ก๋า เก็กเสียง (กะว่าก๋า ) 8 กรกฎาคม 2551 20:08:28 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณอ้อน
สวัสดีค่ะคุณก๋า

ยังไม่มีหนังสือเล่มไหนเหมือนกันที่อ่านแล้วรู้สึกว่าโดนเหลือเกิน
ด้วยเหตุนี้เวลาใครถามว่าหนังสือที่ชอบที่สุดคือเล่มไหน
จึงไม่สามารถตอบได้สักที
ไม่มีหนังสือเล่มไหนเลยเปลี่ยนเราได้
มีแต่คนเขียนหนังสือ(หนุ่ม)เท่านั้นที่เปลี่ยนเราได้
เปลี่ยนจากหญิงสาวธรรมดาเป็นหญิงสาวที่เขารัก

 

โดย: นกที่ไม่มีเสียง 8 กรกฎาคม 2551 20:25:19 น.  

 

อ้ะ...ไม่ใช่คนเขียนหนังสือที่เปลี่ยนเราได้แล้ว
ต้องบอกว่าคนเขียนกวีต่างหากที่เปลี่ยนเราได้ (ฮา)

 

โดย: นกที่ไม่มีเสียง 8 กรกฎาคม 2551 20:27:10 น.  

 


ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ
และขอบคุณกลอนที่ไพเราะนะคะ

ดอกไม้กับดอกหญ้า..........................นกไม่มีเสียง
ดอกใดมากค่ากว่ากันไหม
หยิบเอามาตรวัดชนิดใด
วัดให้ค่าเซ่นใจผู้ใดกัน

จะดอกไม้หรือดอกหญ้า
ล้วนมากค่าแต่งเติมเพิ่มสีสัน
ระบายโลกหลากสีสารพันธุ์
ระบายใจกันและกัน ณ นัยน์ตา

โลกนี้ช่างแสนสวย.............................โรส
หอมระรวย มวลพฤษา
ดอกไม้ แต้มหญ้าคา
สูงยอดหญ้า ต่ำยอดดิน

ดอกหญ้า ฤาดอกใหน
โลกทั้งใบ เจ้าถวิล
ดอกหญ้า แต่งสีดิน
แม้ไร้กลิ่น แต่สีงาม



นอกจากแต่งกลอนเพราะ ยังงานเขียน เขียนน่าอ่านมากค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ



 

โดย: นายกุหลาบ 8 กรกฎาคม 2551 22:40:31 น.  

 


 

โดย: หน่อยอิง 15 มีนาคม 2553 10:22:45 น.  

 




สวัสดียามเช้าครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 24 ธันวาคม 2553 8:33:36 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นกที่ไม่มีเสียง
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





เยาวชนนักเขียนชายแดนใต้

Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
6 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add นกที่ไม่มีเสียง's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.