Home is behind The world ahead
<<
สิงหาคม 2555
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
3 สิงหาคม 2555

เมื่อเหล่าแม่บ้านมาเจอกัน...

        ช่วงนี้เราได้มีโอกาสไปเป็นล่ามที่ศูนย์ฝึกภาษาญี่ปุ่นของโรงเรียน โรงเรียนเราแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นโรงเรียน รับดำเนินการวีซ่านักเรียน ซึ่งผู้ปกครองของนักเรียนเป็นคนจ่ายค่าเทอม กับส่วนที่เป็นศูนย์ฝึกภาษา ที่บริษัทญี่ปุ่นเป็นคนจ่ายค่าเทอม และค่าที่พัก เพื่อให้ลูกจ้างมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 เดือน

        ตอนนี้มีเด็กฝึกงานฟิลิปปินส์เข้ามาใหม่ 3 คน ทำให้เราต้องเดินทางไปเป็นล่าม (ญี่ปุ่น อังกฤษ) ที่ศูนย์ภาษา เมื่อวานนี้มีตำรวจซึ่งเป็นวิทยากร มาอธิบายเรื่อง กฏจราจร และการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว 

        เมื่อเรามาถึงศูนย์ในตอนเช้า เราก็เจอล่ามอีก 2 คน ฟั่ม แม่้บ้านชาวเวียดนาม กับริลิต แม่บ้านชาวอินโดนีเซีย ฉันรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ปรากฏการเม้าท์แตกจึงได้เริ่มขึ้น

        "แต่งงานมา 3 ปี กว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะท้องเลย น่าอิจฉาพวกเธอกันจัง" ฉันเปิดประเด็น ด้วยเรื่องกลุ้ม ๆ ของฉัน 

        "เฮ้... มันมีวิธีี ฉันมีเคล็ดลับมาบอก" ฟั่ม คุณแม่ลูกสอง ลูกชายคน ลูกสาวคน รีบเฉลยเคล็ดลับของการได้ลูกชาย และลูกสาว "ถ้าอยากได้ลูกสาว ต้องทำการบ้านบ่อย ๆ วันเว้นวันได้ยิ่งดี ถ้าอยากได้ลูกชายให้ทำการบ้านเดือนละครั้ง คือวันที่ไข่ตกเท่านั้น"

        ฉับพลันบรรยากาศในออฟฟิศ ก็เปลี่ยนมาเป็นประสบการณ์บนเตียงของแต่ละคน นอกจากเราสามคน ก็มีเจ้าหน้าที่คนจีน ซึ่งเป็นล่ามประจำศูนย์ อาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่น และเจ้าหน้าที่ธุรการ น้องจากน้องธุรการแล้ว พวกเราทุกคนมีสามีกันหมดแล้ว และการเม้าท์ถึงสามีตัวเอง ทำให้เรารู้ว่า เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนยากลำบาก ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นแม่บ้านประเทศไหน ทั้งงานนอกบ้าน งานในบ้าน รวมไปถึงงานบนเตียง ล้วนเป็นหน้าที่ของพวกเราทั้งนั้น

        พูดถึงงานบ้าน มีสามีคนญี่ปุ่นคนไหนที่ช่วยทำงานบ้านบ้างอ่ะ แม่บ้านทุกคนที่เรารู้จัก "ไม่เคยมี สามีที่ทำงานบ้าน" ไม่ว่าเธอจะเป็นแม่บ้านอย่างเดียว หรือทำงานประจำด้วย งานบ้านทั้งหมดพวกเราก็ต้องเป็นคนทำอยู่ดี 

        ขณะที่พวกเรากำลังบ่น กำลังเม้ากันอย่างเมามัน ผู้อำนวยการศูนย์ก็เดินเข้ามา แล้วทุกคนก็หุบปากอย่างพร้อมเพียงกัน 

        "กำลังคุยอะไรกันอยู่"  ท่านผ.อ.ถาม

       "เรื่องผู้หญิง ผู้หญิง ค่ะ" น้องธุรการตอบ พวกเราทุกคนก็หัวเราะกันคิกคัก พอดีได้เวลาที่คุณตำรวจจะมาบรรยาย พวกเราสามคนจึงย้ายไปห้องประชุม พอพักเที่ยง เรา ฟั่ม กับริลิตก็ไปกินข้าวด้วยกัน

        "ฟั่ม.. สามีเธอก็เป็นคนเวียดนาม ลูกก็เป็นคนเวียดนาม เข้าโรงเรียนญี่ปุ่นไม่มีปัญหาหรือ ก่อนมีลูกไม่คิดมากหรือ ฉันละคิดไม่ตกจริง ๆ " ฉันเริ่มชวนคุยช่วงที่กำลังนั่งรออาหาร

        "คิด กังวลมานานแล้ว แต่ทุกอย่างจะมีทางออกของมัน" ฟั่มตอบ

        "เฮ้อ.... เราอยากมีลูก แต่ไม่อยากให้ลูกเกิดที่ญี่ปุ่น ไม่อยากให้เค้าสับสนว่าเค้าเป็นคนไทย หรือเป็นคนญี่ปุ่น ดูลูก ๆ เจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนเราสิ ไม่มีใครยอมพูดภาษาแม่กันซักคน" ฉันคิดถึงเพื่อนร่วมงานชาวจีน ซึ่งสามีก็เป็นคนจีน ลูกชายของพวกเค้าไม่ยอมพูดภาษาจีน ซ้ำยังบอกว่า เค้าเป็นคนญี่ปุ่น 

        ถ้าเธอเกิดที่ญี่ปุ่น เรียนอนุบาล ประถม ที่ญี่ปุ่น ถึงแม้เธอจะถือสัญญาติไทย ถึงแม้ท้ายที่สุดครอบครัวเธอจะกลับไปที่ไทย เธอก็คงไม่รู้สึกว่าเธอเป็นคนไทยหรอกใช่ไหม แล้วเธอเป็นคนญี่ปุ่นหรอกหรือ ก็ไม่ใช่อีก ลองตรองดู ชื่อของเธอ นามสกุลของเธอ ไม่ได้ใช้อักษรคันจิ เธอไม่ไช่คนญี่ปุ่นหรอก แล้วเธอเป็นใคร เธอไม่ได้เป็นคนของประเทศไหนทั้งนั้น

         แค่คิดฉันก็ไม่อยากให้ลูกต้องเจออะไรแบบนี้แล้ว ที่นี่ญี่ปุ่น ไม่ใช่อเมริกา ที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติมารวมกัน นอกจากนี้สังคมญี่ปุ่นค่อนข้างปิด ยังไงพวกเราก็คือ ไกจิน อยู่วันยังค่ำ 

         ทั้ง ๆ ที่ฉันอยากมีลูก ทั้ง ๆ ที่ฉันวัดอุณหภูมิ กินโฟเลต ทำการบ้านในวันไข่ตก แต่ฉันก็โล่งใจทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน มันสับสนไปหมด ยิ่งสามียืนกรานหนักแน่นว่าไม่กลับไทย ฉันจึงไม่เหลือใครให้ปรับทุกข์ได้เลย

         ข้อดีของการมีเพื่อนหลายชาิติคือ เราจะได้มุมมองใหม่ ๆ เสมอ และถึงแม้จะยังไม่มีทางออก แค่ได้เจอคนที่ประสบปัญหาเดียวกันอยู่ ได้รับกำลังใจจากเค้า ก็ทำให้ความสับสนในใจผ่อนคลายกันได้บ้าง 

         หลายครั้งที่ฉันคิดว่า สิ่งที่ดีที่สุดในการทำงานที่ญี่ปุ่นคือ "เพื่อนร่วมงานที่ดี"  




Create Date : 03 สิงหาคม 2555
Last Update : 3 สิงหาคม 2555 15:41:20 น. 3 comments
Counter : 2357 Pageviews.  

 
เรื่องลูกเนี่ย คิดเหมือนกันเลยค่ะ ยังไงๆ เราก็เป็นต่างชาติในสายตาพวกเค้าเสมอ ยิ่งอยู่หมู่บ้านเล็กๆ ยิ่งรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง

ใจนึงก็อยากมีลูก ใจนึงก็คิดไปไกล ถึงอะไรๆที่มันเปลี่ยนแปลงไวซะจนตั้งรับไม่ทัน เฮ้อ คิดมากไปหรือเปล่านะเรา


โดย: settembre วันที่: 5 สิงหาคม 2555 เวลา:3:28:31 น.  

 
จริงค่ะ สองจิตสองใจมานานหลายปีละ ตอนนี้พยายามทำใจให้สบายดีกว่า อย่างว่าทุกอย่างมันมีทางของมันเอง


โดย: ปลาทองในกองหนังสือ วันที่: 6 สิงหาคม 2555 เวลา:14:48:47 น.  

 
สวัสดีค่ะ ไม่ได้เข้ามาอ่านนานเลย ได้งานทำแบบฟลุ๊คๆเลยตั้งใจทำงานไม่ได้แตะเนตเลยค่ะ

เรื่องลูกเราก็คิดมากวนไปมาเหมือนกันค่ะ
อยากมีแต่ไม่อยากมีอยู่แบบนี้
สามีเราก็มองโลกแง่ดีมาก เราก็มองแบบแง่ลบมาก
เรากลัวลูกจะเกลียดเราน่ะค่ะ ถึงจะไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย
แต่ชื่อเสียงคนไทยไม่ได้ดีมากมาย เราก็กลัวว่าซักวันเขาจะไปฟังเรื่องไม่ดีของไทยจากคนอื่นแล้วมาคิดเอาเอง

ภาษาไทยจะสอนไหม เราก็คิดค่ะ ทั้งอยากสอนและไม่อยากสอน
เราก็ไม่ได้เก่งญี่ปุ่นมากมาย สงสารที่จะสอนผิดๆให้ลูกไปโดนล้อที่โรงเรียนตอนเด็กๆ กลัวว่าจะฝังใจเกลียดเราซะงั้น
คิดเยอะมากๆเลย ใช่ไหมคะ?

เราเข้าใจนะเรืองที่คุณคิด เพราะที่จริงเราก็คิด เด็กลูกครึ่งหลายคนไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นลูกครึ่งถ้าไม่ใช่ลูกครึ่งฝรั่ง (ที่เราเห็นนะ)

เหมือนเขาเหยียดกลุ่มโตนันเอเชียแบบเรา กับ จีน-เกาหลี น่ะค่ะ
นี่ก็เครียดไปคิดไปเหมือนกัน อย่าคิดมากนะคะ


โดย: แม่บ้านมือใหม่ IP: 111.171.237.14 วันที่: 30 พฤษภาคม 2556 เวลา:1:47:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปลาทองในกองหนังสือ
Location :
Kawasaki Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




เป็นคนทำงานด้านเอกสารวีซ่านักเรียนของชาติต่าง ๆ ที่จะมาเรียนที่ญี่ปุ่น ในนั้นมีนักเรียนไทยประมาณ 10%

นอกจากนี้ยังเป็นล่ามจำเป็นให้นักเรียนเวลามีเรื่องกับตำรวจ หรือกรมตรวจคนเข้าเมือง

ดังนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนที่เขียนในบล็อคจึงมักจะเป็นเรื่องของนักเรียนที่มีปัญหาเสียส่วนมาก ซึ่งเป็นนักเรียนส่วนน้อย ประมาณ 0.5% ของนักเรียนทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าที่ที่เราทำงานอยู่มีแต่เด็กมีปัญหาแต่อย่างใด
[Add ปลาทองในกองหนังสือ's blog to your web]