แต่งงานกันหลอก ๆ .....ไม่ได้มีแต่ในละคร
สองปีก่อน ในช่วงเดียวกับตอนนี้เป็นช่วงใกล้จบการศึกษาของญี่ปุ่น ภาคเรียนที่ 1 ของที่ญี่ปุ่นจะเริ่มเดือนเมษายน ในช่วงใกล้จบการศึกษาแบบนี้ งานหลักของฉันก็จะเปลี่ยนเป็น งานจัดการให้แน่ใจว่า นักเรียนที่จะจบการศึกษาจากที่นี่ก็ต้องกลับประเทศกันทุกคน (ยกเว้นนักเรียนที่เรียนต่อ หรือได้งานทำที่ญี่ปุ่น) งานส่งเด็กไทยกลับประเทศไม่ใช่งานง่าย ๆ เหมือนงานเรียกคนไทยขึ้นมาที่ญี่ปุ่น งานเรียกคนไทยขึ้นมาที่นี่ แม้เอกสารแปลจะยุ่งยาก แต่ไม่เคยมีเรื่องลำบากใจ แต่การส่งเด็กไทยกลับ มีเด็กไทยหลายต่อหลายคนยินดีจะทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองได้อยู่ญี่ปุ่นต่อ และทางเลือกยอดนิยมก็คือ แต่งงานกับคนญี่ปุ่นและเปลี่ยนเป็นวีซ่าคู่สมรสชาวญี่ปุ่น สำหรับฉัน ตลอดมางานแต่งงานคืองานมงคล เป็นเรื่องน่ายินดี และฉันยินดีกับนักเรียนทุกคนที่แต่งงาน ไม่ว่าคู่สมรสจะเป็นคนชาติไหนก็ตาม จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเคสเด็กไทยที่ฉันได้รับมอบหมาย เธอกำลังจะเปลี่ยนวีซ่าจากวีซ่านักเรียนเป็นวีซ่านักธุรกิจ ไม่มีปัญหาอะไร ฉันคิดว่าเคสนี้คงจบง่าย ๆ เปลี่ยนวีซ่าเสร็จ เอาวีซ่าใหม่มาให้โรงเรียนดู โรงเรียนถ่ายเอกสารเก็บไว้เป็นหลักฐาน และฉันก็อวยพรให้ธุรกิจของเธอประสบความสำเร็จ จนกระทั้งปลายเดือนกุมภาพันธ์เมื่อสองปีก่อน เหลืออีกหนึ่งเดือนก่อนวีซ่านักเรียนจะหมดอายุ น้องเอาเอกสารการจดทะเบียนบริษัทมาให้ฉันดู พร้อมบอกว่าทนายความบอกว่าหนูเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่านักธุรกิจไม่ได้ "ทำไมละคะ ทุนจดทะเบียนไม่สูงพอที่จะยื่นวีซ่าหรือคะ" ฉันถาม "เปล่าค่ะ แต่ร้านที่ป้าหนูจะเปิด ป้าเอาชื่อหนูใส่ลงไปในหุ้นส่วน แต่หนูไม่ได้ออกตังค์" "ไม่เป็นไรนี่คะ เค้าคงไม่ดูรายละเอียดขนาดนั้นมั้ง" ฉันพยายามคิดในแง่ดี "ไม่ใช่ค่ะ ประเด็นคือ ป้าหนูจะเปิดร้านนวดแผนโบราณ" โอ....แล้วฉันก็ถึงบางอ้อ...ว่าทำไมทนายถึงยื่นเรื่องให้ไม่ได้ ยื่นไปวีซ่าก็ไม่ออก มันสุดปัญญาแล้วจริง ๆ "แล้วน้องจะทำยังไง เหลืออีกเดือนเดียว น้องจะกลับไทยใช่ไหมคะ" ฉันพยายามกดดัน ด้วยหน้าที่ของฉันคือส่งเธอกลับไทย น้องตอบมาด้วยเสียงสั่นเครือ "พี่ หนูจะทำยังไงดี ป้ากับแฟนป้า (สามีของป้า เจ้าของร้านตัวจริงที่เป็นคนญี่ปุ่น) จะให้หนูแต่งงานกับคนญี่ปุ่น ที่หนูเคยเจอหน้าเค้าแค่ 2 ครั้งเอง หนูจะทำยังไงดี หนูต้องแต่งงานกับเค้า ป้าบอกว่า ถ้าแต่งครบสี่ปี ขอวีซ่าถาวรได้เมื่อไหร่ ค่อยหย่ากันก็ได้" ครั้งแรกที่ได้ยินความคิดอันแสนพิสดารนี้ ฉันนึกว่านี่มันนิยายชัด ๆ มันไม่ใช่เรื่องจริง มันไม่มีทางเป็นเรื่องจริง ขณะที่กำลังรวบรวมความคิด ว่านี่ฉันหลับกลางวันระหว่างทำงาน แล้วไอเดียพิสดารนี่เกิดจากการกินข้าวเที่ยงมากเกินไป แล้วฉันก็เห็นน้ำตาหยดแรก หยดที่สอง แล้วไหล่ของน้องตรงหน้าก็เริ่มสั่นรัว ราวกับไม่อาจทนรับเรื่องราวทั้งหมดได้อีกต่อไป "น้องไม่ต้องแต่งงานกับเค้าก็ได้ ไม่มีใครบังคับน้องได้" แทบไม่ต้องคิดฉันตอบไปทันที "หนูอยู่บ้านป้า ป้าออกค่าเทอมให้หนูเรียนจนจบ แล้วหนูจะไม่ทำตามได้ยังไง แต่หนูไม่อยากแต่ง" "เอาอย่างนี้...เรียนจบแล้วกลับไทยไปก่อนซักพักบอกว่าไปเยี่ยมบ้าน พอถึงบ้านแล้วกลับไปทบทวนเรื่องทั้งหมดให้ดี ๆ ถ้าตอนนั้นน้องยังคิดว่าน้องจำเป็นต้องแต่งงานกับเค้า ก็ค่อยทำเรื่องแต่งงาน วีซ่าคู่สมรสคนญี่ปุ่นขอที่ไทยก็ได้" ฉันตอบ รู้ดีกว่าการประวิงการตัดสินใจ ให้น้องได้มีโอกาสคิดให้รอบคอบจะได้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับตัวน้องเอง น้องยังร้องไห้อยู่อีกสักพัก ฉันไม่ได้พูดอะไรอีก แค่จับมือน้องแล้วยื่นกระดาษทิชชู่ให้ นั่งฟังน้องระบายความหนักอึ้งที่อยู่ในบ่าน้อย ๆ ความกตัญญู ต่อคุณป้า กับอนาคตของลูกผู้หญิงหนึ่งคน เธอสับสนและฉันทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนั่งอยู่ตรงนี้ ฟังเรื่องราวทั้งหมดของเธอ หลังจากพิธีจบการศึกษาเธอกลับไปเยี่ยมบ้าน และเธอไม่ได้ย้อนกลับมาที่ญี่ปุ่นอีก (อย่างน้อยเท่าที่ฉันได้ข่าวเมื่อปีที่แล้ว เธอยังบ่นเรื่องน้ำท่วมที่ไทยให้ฉันฟังอยู่)
Free TextEditor
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2555 |
|
7 comments |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2555 10:30:24 น. |
Counter : 1167 Pageviews. |
|
|