วันวานของฉัน...กับเวลาที่เหลืออยู่ของพ่อแม่
วันวานของฉัน...กับเวลาที่เหลืออยู่ของพ่อแม่
บทความดีๆ เครดิต : คุณสรณธรรม จากบอร์ดเรือนชาน เว็บพันทิพ ______________________________________________________
ฉันเติบโตมากับความเงียบเหงา ว้าเหว่..... เนื่องจากต้องออกจากบ้านไปเรียนต่อที่กรุงเทพตั้งแต่มัธยม จนกระทั่งเรียนจบ ทำงาน มีครอบครัว.... นับตั้งแต่เดินออกจากบ้านต่างจังหวัดในครั้งนั้น ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่า มันจะทำให้ฉันห่างจากพ่อแม่มากมายขนาดนี้ แม้ว่าเราสองคนพี่น้องจะกลับบ้านเกือบทุกอาทิตย์ แต่มันก็ไม่ทำให้ความสุขของเรากลับคืนมา บ้าน ที่เคยอยู่กันพร้อมหน้า แม้ว่าพ่อจะมีปัญหาเรื่องผู้ชายเจ้าเสน่ห์บ้าง แต่ฉันก็ถือว่ามันเป็นที่ที่ทำให้ฉันมีความสุข อบอุ่น ปลอดภัย . . . วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเราโตขึ้น ต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง แยกย้ายกันไปทำงานหาเลี้ยงชีพ แต่พวกเราก็ยังเคยชินกับการอยู่คนเดียว ในอพาร์ทเมนท์ วันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดจึงจะได้กลับบ้านกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกว่า "โคดจะเหงา" ......... เพราะแม้จะมีคนมากมายรอบข้าง มีเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมัยเรียน ฯลฯ แต่มันไม่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นหรือหายเหงาได้เลย ความเหงากัดกินหัวใจมากกกกก จนบางครั้งทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเอง และโดนเพื่อนประนามว่า "ติดเพื่อน" เพราะทุกวันหยุดต้องนัดเจอเพื่อน วันไหนไม่มีใครว่าง เป็นอันว่าต้องเหงาที่ห้องคนเดียว หรือไม่ก็ออกไปดูหนัง กินข้าวคนเดียว ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมตัวเองถึงเป็นคนขี้เหงา และซึมเศร้าขนาดนั้น จนกระทั่งตัวเองแต่งงาน มีครอบครัว การตั้งท้อง ทำให้ฉันได้มีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับการดูแลแม่ตั้งครรภ์ ทำให้ฉันเข้าใจสิ่งที่แม่พูดว่า "ถ้าสมัยก่อนมีหนังสือ มีความรู้แบบนี้ แม่คงไม่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้" เพราะแม่บอกว่าตอนแม่ท้องฉัน แม่เครียด เศร้า เหงา ทุกข์ สารพัดความรู้สึกไม่ดี เนื่องจากพ่อฉันเป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ ที่มักมีปัญหาอื่น ๆ ตามมา แม้กระทั่งวันคลอด ที่แม่บอกว่า พ่อพาผู้หญิงอื่นมาด้วย แต่แอบอยู่ในรถ แม้แม่จะเล่าขำ ๆ แต่ฉันก็รู้สึกได้ ถึงความน้อยใจ เสียใจ . . ฉันไม่เคยโทษแม่ ไม่เคยโทษพ่อ ที่ทำให้ครอบครัวเราต้องแยกย้ายกันอยู่ เพราะ 1 ต่างคนต่างไปมีวิถีชีวิตของตัวเอง 2.เราไม่คุ้นเคยกับการอยู่ด้วยกัน แม่สอนฉันเสมอว่า ไม่ว่าพ่อจะทำอะไรไม่ดีกับแม่ไว้ แต่พ่อก็คือพ่อของลูก ต้องเคารพ และกตัญญูตลอดไป หลังจากฉันมีลูกเป็นของตัวเอง สิ่งที่ฉันตั้งใจจะให้ลูกมากที่สุดคือ "ความรัก" ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงทุกวันนี้ ฉันมั่นใจว่าให้ความรักและความอบอุ่นลูกอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกอด การบอกรัก คำปลอบใจ ที่ปรึกษา ความเป็นเพื่อน อาการของ "โรคเหงา" ของฉันจึงสิ้นสุดลง เพราะฉันไม่ต้อนรับมันอีกต่อไป เนื่องจากมีความรักของลูกและสามีเข้ามาเติมเต็ม . . . วันนี้ แม่และพ่อแก่ลงไปมาก ฉันกับแม่ พูดคุยกันทางโทรศัพท์เกือบทุกวัน และไปเยี่ยมทุกครั้งที่มีโอกาส เนื่องจากอยู่ห่างจากบ้านแม่หลายร้อยกม. ครั้งล่าสุด ...ฉันกลับไปเยี่ยมบ้าน พ่อ...จากผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดีแม้จะเริ่มสูงวัยใกล้ 60 ยังมีผู้หญิงมาติดพัน (ควรจะภูมิใจพ่อตัวเองใช่ไม๊คะ....) มาวันนี้ พ่ออายุเกือบ 80 ปี....เริ่มเดินไม่ไหว หูและตา เริ่มไม่ค่อยดี เวลาที่เหลือในชีวิตพ่อ ส่วนใหญ่คือบนเตียงนอน ที่มีแม่คอยดูแล ทั้งหยูกยา ข้าวปลาอาหร รวมทั้งเพื่อนคุย (แบบทะเลาะบ้าง คุยดีบ้าง) แม้ในวันที่ผ่านมาพ่อแทบจะไม่ค่อยอยู่บ้านให้แม่ดูแลก็ตาม ฉันเห็นพ่อ...ชายแก่ที่เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ..น้ำตาซึมเมื่อเห็นลูกหลานมาเยี่ยม ฉันนึกถึงวันที่....พ่อไปรับที่โรงเรียนตอนป.4 (ปีนึงจะไปรับสัก1-2ครั้งเพราะกลับรถนักเรียน) ฉันวิ่งถือกระเป๋านักเรียน และกระติกน้ำไปหาพ่อด้วยความดีใจอย่างสุดชีวิต ซึ่งเป็นภาพที่พ่อติดตา และเอามาพูดตอนฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันคิดถึงวันที่พ่อหาพวกเราพี่น้องไปเที่ยวทะเลในวันปิดเทอม ฉันคิดถึงพ่อ ที่สอนฉันขับรถตั้งแต่วัยรุ่น ฉันคิดถึงวันที่พ่อพาเราไปไหน ๆ โดยมีลูก ๆ อยู่กระบะท้ายรถเกาะหลังคากินลมชมวิว อ้าปากรับลม และปล่อยให้ผมบ๊อบสั้นแค่ติ่งหูปลิวกระจาย และอีกหลาย ๆ เหตุการณ์.... พ่อ จากวันนั้น หนุ่มใหญ่ร่างสมาร์ท กลายเป็นคนเดินกระย่องกระแย่ง พ่อ จากวันนั้น ที่เคยพูดคุยเสียงดังสนุกสนาน กลายเป็นคนพูดน้อยและอ่อนไหว ฉันคิดถึงวันเก่า ๆ ที่เคยเป็นลูกตัวเล็ก ๆ ของพ่อ เคยกระโดดขี่หลังพ่อแม้จะอายุ 10 ขวบเข้าไปแล้ว มาถึงวันนี้ ฉันก็ยังรู้สึกภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ เพราะถ้าฉันไม่ได้เกิดมา ฉันก็คงจะไม่ได้เป็นคน และอาจจะไม่เคยรู้จักความสุขในวันนี้ เวลาที่เหลืออยู่ของแม่... ส่วนใหญ่หมดไปกับการดูแลพ่อ ที่เพิ่งกลับมาให้แม่ดูแลที่บ้านเมือ่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา แล้วก็ไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่าง ๆ ที่มีเพื่อนวัยเดียวกัน เวลาของพ่อและแม่ คงเหลือไม่มากแล้วสินะ .......... . . . เวลาที่เหลืออยู่ของพ่อและแม่ในวันนี้ ฉันคิดอยากจะให้มีต่อไปอีกนาน ๆ เพื่อให้ครอบครัวเราได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก แต่เวลาที่เหลือ อาจจะไม่นานอย่างที่ฉันคิด ฉันจึงอยากบอกกับพ่อว่า ฉันรู้สึกดีใจ และภูมิใจเสมอ ฉันอยากจะส่งแผ่นซีดีเพลงเก่า ๆ ที่พ่อชอบไปให้ฟัง เผื่อว่าพ่อจะลุกขึ้นมาเต้นรำเหมือนเมื่อก่อน ฉันอยากจะพาพ่อไปทะเล เหมือนกับวันที่พ่อพาพวกเราไปหัวหิน บางแสน ฉันไม่ควรได้แต่คิดใช่ไหม ???? ฉันควรจะลงมือทำเสียก่อน.... ....ก่อนที่จะไม่มีเวลาเหลือให้ฉันได้ทำ หรือแม้แต่เวลาที่จะให้คิด.....
Create Date : 18 กรกฎาคม 2554 |
|
1 comments |
Last Update : 18 กรกฎาคม 2554 14:31:46 น. |
Counter : 689 Pageviews. |
|
|
|
เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ควรลงมือทำเสียแต่ตอนนี้
คุณพ่อคุณแม่คงดีใจมากมากและมีความสุขที่ได้เห็นเราได้อยู่ใกล้ๆ เรา เหมือนกับที่เรามีความสุขที่ได้ทำให้ท่านค่ะ