Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
18 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
มองตัวเองผ่านมุมของณัฐ ศักดาทร





.
.
.
.
.



เราเคยมองเห็นส่วนเล็กๆ ในช่วงเวลาเล็กน้อยของณัฐ ศักดาทร
ซึ่งช่วงเวลานั้นอาจเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญในชีวิตของความฝันของผู้ชายคนนี้


เราถึงไม่กล้าออกปากว่า ‘รู้จัก’ นัท
พูดได้แค่ว่า มองแล้วคิดเองเออเองถึงตัวตน ณ ขณะนั้นของนัท


แต่มีอยู่หนึ่งอย่างที่เราแน่ใจความรู้สึกตัวเองที่มีต่อณัฐ ศักดาทร
นั่นก็คือ แนวความคิดของผู้ชายคนนี้ทำให้ทึ่งได้เสมอ

นัทสามารถทำให้พี่หยุดแล้ว “นั่งฟัง”
แม้จะไม่ทุกครั้งที่เห็นด้วย
แต่...นัททำให้พี่รับฟังทุกครั้งที่นั่งฟัง





ก็ไม่ต่างจากเคยๆ
ตัวหนังสือความคิดของนัท ก็ทำให้พี่หยุดแล้ว "นั่งอ่าน"
แม้...เช่นเคย...อาจไม่ใช่เห็นด้วยทุกแนวคิด
แต่นัทก็ทำให้พี่หยุดคิดตามเมื่อนั่งอ่าน



ไม้บรรทัดของเราอาจคนละมาตราของนัท
มาตรวัดตัวเราเองมันมั่วซั่วชวนปวดหัวอย่างวงการก่อสร้างไทยแบบพี่จิกบอกไว้

‘ไม้หน้ากว้างเป็นนิ้ว แต่วัดความยาวเป็นเมตร’

...แบบนั้นเลย มาตรวัดของเรา
เพราะฉะนั้นจึงขอเชื่อว่าจะมีระยะบางช่วงของเราตรงกันกับนัท(...ช่างหาญกล้าเทียบนะเนี่ย ฮา)


ก็เพราะอย่างน้อยเราต่างมีไอดอลทางความคิดคนเดียวกัน
เราเองใช้แนวคิดของพี่จิกมาประกอบเส้นทางเดินของตัวเองมาตั้งแต่รู้จักเพลงต้นชบากับคนตาบอด
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหลงรักเฉลียงก็จริง แต่ก็ไม่เคยให้ความใส่ใจว่ามีใครอยู่เบื้องหลังเพลงของเฉลียงด้วยซ้ำ


เพราะงั้นพี่ขอใช้ไม้บรรทัดของพี่วางเทียบเคียงไม้บรรทัดของนัท...บ้าง



...นี่คือการออกตัว ไม่ใช่การมองจากทุกมุม
ขอวิจารณ์ในฐานะคนชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่แฟนคลับ



งั้นเริ่มเลยนะ...
เราเป็นคนชอบดีไซด์ในทุกอย่างแม้แต่หนังสือ

หนังสือหนึ่งเล่มมันบอกเล่าตัวเองไม่ได้
เพราะงั้นการดึงดูดให้คนเข้าไปจับ แล้วพลิกอ่านนั้นมันต้องมีแรงดึงดูดมาตั้งแต่รูปเล่มและหน้าปก

ขอข้ามไม่เอาเรื่องต้นทุน ด้านการเงินมาเกี่ยวนะ
เพราะถือว่าคนอ่านไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบตรงส่วนนั้น


ถ้าเราไม่พุ่งไปเพื่อหาหนังสือเล่มนี้ของนัทมาอ่าน แบบเฉพาะเจาะจง
และยิ่งถ้าเราไม่เคยรู้จักณัฐ ศักดาทรมาก่อนเลยในชีวิต
หนังสือเล่มบาง สีสันไม่จับตาแบบนี้
ตัวเราจะมองข้ามไม่แม้หยิบขึ้นมาพลิกอ่านรายละเอียดหลังปกแบบที่ชอบทำทุกครั้งเวลาเลือกดูหนังสือสักเล่มด้วยซ้ำไป

ขอโทษจริงๆที่พูดตรงไปตรงมาแบบนี้
สีฟ้าคือสีของนัท...ก็เข้าใจล่ะนะ แต่ทำไมต้องยึดติดทั้งเล่มขนาดนี้
เหมือนเป็นการย้ำทั้งที่อาจไม่ใช่ความตั้งใจให้เป็นการขาย “เฉพาะ” แฟนคลับไม่มีผิด

การเล่นลวดลายในสีสันนั่นมันมีหลายวิธีให้เล่น
แต่เล่นแบบหน้าปกนี้มันเชย...เชยไปหลายสิบปีเลยล่ะ

ส่วนภาพประกอบ อ่านไปสักพักพี่ถึงกับต้องไปเปิดหาว่าเป็นฝีมือใคร
ยิ่งเจอภาพโดราเอมอน ทำเอาบทเรื่อง “วันที่ผมเป็นขโมยโดยไม่รู้ตัว” เด้งขึ้นมาในความคิด
...หวังว่าคงถูกลิขสิทธิ์นะน้อง



จากนั้นพอเปิดดูผ่านๆ ก็...เหมือนหนังสือเรียน ไม่ก็หนังสือนอกเวลาที่ถูกบังคับให้อ่าน
ตัวหนังสืออัดจนคับเล่มไปหมด เพราะการวางหน้ากระดาษแบบไม่ทิ้งช่องว่างแบบนั้น
ยิ่งบวกกับ fontของท่อนเน้นในแต่ละบท ทำคนอ่านประเภทพี่สะดุดก่อนอ่านต่อทุกครั้งไป


นี่ล่ะ...คือความรู้สึกที่พี่มีต่อดีไซด์ของหนังสือเล่มนี้



.
.
.
.
.
.





มามอง “ทุกมุม” มองของนัทกันดีกว่า



ขอออกตัวอีกทีว่าเป็นความเห็นส่วนตัวมากๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องไม่จำเป็นก็ได้ในคนอ่านคนอื่นๆ


หนังสือประเภทให้คนอ่าน อ่านความคิดของเจ้าของหนังสือน่ะ
การดึงดูดให้อ่าน “สนุก”
สิ่งหนึงที่ต้องมีก็คือ “ลูกล่อลูกชน”

มีจังหวะหยุด...ให้คนอ่านสะกิด จากนั้นค่อยดึง...ให้คนอ่านพยัก(หน้า)
จบด้วยความทึ่งในความคิดของเจ้าตัว


ตัวหนังสือของนัทมันข้ามบางส่วนตรงนั้นไปไง
มันกวดไล่ให้คนอ่านอย่างพี่รู้ถึงความเก๋ในความคิดของบางบท
มันตู้ม!ให้พี่รู้สึกถึงความทึ่งทางความคิดในบางบท

...คือพี่มันเป็นพวกชอบชมนกชมไม้เวลาเดินทางน่ะนัท
มันคือรสนิยมส่วนตัวเนอะ




มีหลายบทที่เราชอบ...อยากตอบว่าชอบซ้ำกับตู่ตรง fast forwardนี่จะน่าเกลียดไปไหม
ถ้างั้นก็จบเลย ไปอ่านบล็อกของตู่ดีกว่า


เอาเป็นว่า
มีหนึ่งเรื่องที่แม้แต่ตอนอ่านอยู่ก็ยังสะกิดใจ
พออ่านจบไปทั้งเล่ม ก็เหลือเรื่องนี้ให้สะกิด เรื่อง “เสียดาย” ไง
ไม่ใช่ตรงราคาของความเสียดาย
แต่เป็นความรู้สึกของความเสียดาย


เราว่าตัวเราชอบความรู้สึกของความเสียดายนะ
และยอมใช้เวลาไปกับการมานั่งนึกความเสียดายโดยไม่เสียดายเวลาด้วยล่ะ

เพราะนั่นคือช่วงปล่อยเวลาไปกับความคิดถึงอดีต
มันคือหลากสีสันของความรู้สึกผ่านความเสียดายซึ่งเป็นสีแบบที่ตัวเองหลงรักมันเลยล่ะ

สีของความสุข เราว่ามันมีเฉดเดียว
ส่วนสีสันของความเสียดายน่ะ มันคือทุกสี ทุกเฉดไล่ตามรอยอดีตอย่างสนุกเวลาปล่อยความคิดถึงตามไป

คงเพราะพี่เป็นคนละประเภทกับนัทแน่นอนเลย



พี่ไม่เคยเข้าใจคำว่า “คุ้ม” เลย
มันจะใช้อะไร เกณฑ์แบบไหนมาเป็นมาตรวัดถึง “ความคุ้มค่า” ล่ะ
คนเก่งอย่างนัทอาจมีมาตรวัด
แต่คนเอื่อยเฉื่อยแบบพี่ ชาตินี้รับรองหาไม่เจอ


คนชอบไปตกปลาเคยบอกเราไว้ว่า
เขาไม่ได้ชอบตกปลา แต่เขาชอบ “เวลา” ที่เสียไปตอนนั่งตกปลาต่างหาก



เพราะงั้นปรัชญาในการใช้ชีวิตของคนอย่างเรามันจึงเป็น...
ปริมาณของเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่คุณภาพของเวลานั้นต่างหากที่สำคัญกว่า




แล้ว...
ไอ้คุณคุณภาพของเรา ก็มักไม่ใช่ประเภทเรื่องจำเป็น สำคัญ ถูกต้องอะไรเทือกๆนั้นซะด้วยสิ
แต่มันคือเวลาของที่ตัวเองรู้สึกพอใจกับมันแม้จะใช้ในเรื่องไร้สาระด้วยซ้ำไป


บอกแล้ว...
พี่มันคนละแบบกับนัทจริงๆ



แต่ว่า...นะมันต้องมีแต่จนได้
พอพี่อ่านถึงบทที่นัทบอกถึงขนมปังช่วยจำ
โฮย~มีคนคิดแบบเดียวกับเราด้วยเหมือนกัน(วุ้ย!?)
สมัยยังเด็ก เอ้อ...แม้แต่โตแล้วนี่ล่ะ พี่ต้องร้องขอขนมปังช่วยจำก่อนวันสอบทุกครั้ง

แถมมีการคิดต่ออีกยืดยาวด้วยนะว่า
จะแปะตรงบทไหน กินปริมาณเท่าไร กินตอนไหนถึงจะไม่เป็นอย่างโนบิตะที่กินจนต้องไปเข้าห้องน้ำ
ไม่งั้นความทุ่มเท(?)เสียหายหมด....กร๊ากกกก

สมัยเด็กเราคิดเรื่องนี้จริงจังมาก
จนลืมคิดไปว่า...เราไม่มีโดราเอมอนของตัวเองนี่หว่า!?

คนรู้ความคิดนี้ต้องว่าแน่เลยว่าเอาเวลาคิดเรื่องนี้ไปอ่านหนังสือดีกว่าไหม



เพราะงั้นตอนที่พี่สะดุดเจอความคิดมุมนี้ของนัทเข้า
ทำเอาพี่ปลาบปลื้ม(ตัวเอง)มั่กมากตรงที่...
นิสัยเด็กฮาวาร์ดก็เหมือนเด็กเมืองภูเขาอย่างตูเลยนี่หว่า
ทำเอาคุ้นเคยกับนัทขึ้นอักโข
(นัทคงเหวี่ยงพี่คนนี้ในใจว่าผมไปคุ้นเคยกับพี่เมื่อไรกัน โมเมแล้ว)



.
.
.
.
.





เราอ่านมุมมองของนัทจนจบเล่ม
ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ชัดเจนอยู่ทุกบทคือ
ผู้ชายคนนี้(เกือบพิมพ์ว่าเด็กคนนี้ลงไปแล้ว...เกือบ) เป็นคนประเภทเหลือทางรอดให้คนอื่น(และตัวเอง)
ไม่ใช่คนประเภทต้อนคนอื่นจนจนมุม ชนิดที่เราเคยเห็นคนที่มีมันสมองฉลาดมากๆชอบทำกันนั่นล่ะ
ซึ่งยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า คนประเภทแบบณัฐ ศักดาทรนี่ล่ะที่ฉลาดของจริง

เป็นความฉลาดในทางความคิด ฉลาดในอารมณ์ IQ EQครบถ้วน


ทำให้ยิ่งรู้สึกเลยว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนน่าแลกเปลี่ยนความคิดด้วย
และต้องเป็นการแลกเปลี่ยนกันทางความคิดอย่างสนุกปนสนาน ชวนลืมนึกถึงเวลาอีกด้วย


แล้วพอคุยกันจบ
ทุกเรื่องที่คุยกันอาจไม่มีบทสรุปตายตัวออกมาเป็นสมการทางคณิตศาสตร์
คงเหลือเป็นการทิ้งท้ายทางความคิดให้ต่างเก็บไปคิดต่อ
(ซึ่งอาจเป็น...ตัวพี่เอาไปคิดต่อ ตัวนัทเก็บเอาไปส่ายหัวด้วย...ปลง )




เราคงไม่โชคดีขนาดนั้น
แค่ได้นัทมารู้จักแค่สามเดือน ก็คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ ‘คุ้ม’ เกินเวลาของตัวมันเองเสียอีก

.
.
.


หนังสือเล่มต่อไปของนัท
เราอยากอ่าน ‘มุม’ ของณัฐ ศักดาทร

.
.


มุมของความเด็ดขาดที่เราว่าผู้ชายสไตล์นัทมีมันอยู่เต็มเปี่ยมเลยล่ะ









Create Date : 18 สิงหาคม 2553
Last Update : 18 สิงหาคม 2553 12:20:28 น. 11 comments
Counter : 785 Pageviews.

 
อ่านแล้ววางไม่ลงเลย จนต้องอ่านทีเดียวจนจบเล่ม

จะมองกี่มุมของนัทก็ยังคงได้รับทั้งสาระและความสนุกสนานบันเทิงเสมอ

เพราะความที่ผู้ชายคนนี้มี "มุมดี" ตั้งแต่แรกที่เราเห็นทั้งในบ้าน นอกบ้าน (AF) จะใกล้จะไกล จะหมุนมุมไปกี่องศา แต่....ไม่มีสักครั้ง ที่ "มุมมอง" ของเราจะเปลี่ยนไป

รักนะ....ณัฐ ศักดาทร


โดย: doraemonkyo วันที่: 18 สิงหาคม 2553 เวลา:15:01:03 น.  

 
แอบมาถกนิดๆจากอีกมุม เผื่อจะเพิ่มมุมเล็กมุมน้อย อิอิ

เรื่องดีไซน์ขอผ่านค่ะ เป็นคนไม่ค่อยสนใจหน้าตาหนังสือเท่าไหร่
เพราะเป็นพวกอ่านคำโปรยข้างหลังก่อนดูปกด้านหน้า
แถมห้องสมุดที่ไปค้นหนังสืออ่านสมัยเด็กๆมักจะมีแต่หนังสือหน้าตาโบราณ ไม่มีภาพปกให้เห็น
เลยติดนิสัยว่าจะซื้อหนังสือหรืออ่านหนังสือสักเล่มต้องดูข้างในก่อน

บางทีกลับมาดูอีกทีก็รู้สึกว่าหนังสือที่ซื้อมาหน้าตาพิลึกก็มี


ส่วนลวดลายข้างในยิ่งไปกันใหญ่
อ่านไปแบบไม่ได้สนใจการวางภาพประกอบหรืออาร์ตเวิร์คใดๆ
(ฝ่ายศิลป์ที่ทำหนังสือให้ หนูขอโทษนะคะ ที่ไม่ได้ดูเลย)

เดี๋ยวกลับไปอ่านใหม่อีกรอบจะค่อยๆดูหนังสืออีกทีนะคะ



มาว่ากันถึงเนื้อความ....

ไม่รู้เพราะเป็นเด็กเศรษฐศาสตร์ด้วยกันหรือเปล่า
...ทำให้ความคิดอะไรหลายอย่างๆคล้ายคนเขียนอย่างไม่น่าเชื่อ

ยิ่งเรื่องค่าเสียโอกาสนี่อ่านไปยิ้มไป
เพราะเป็นเรื่องที่ถูกปลูกฝังมาให้คิดเหมือนกัน
จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจทุกอย่างไปแล้วด้วยซ้ำ



จริงๆแล้วปรัชญาการใช้ชีวิตของพี่คิวกับพอนอไม่ได้ต่างกันนะ

บิ๊กกลับมองว่าทั้งสองคนเพียงแค่ให้ความพอใจกับสิ่งที่ตัวเองพอใจต่างกัน

หากมองจากมุมของเด็กเรียนเศรษฐศาสตร์แล้วกลับเห็นว่าเวลานั่งคิดเสียดายของพี่คิว ทำให้ความพอใจของพี่เพิ่มขึ้น
ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายที่มานั่งคิด แต่กลับกลายเป็นการเพิ่มความพอใจ
ซึ่งหมายถึงว่าเวลาที่ใช้ไปไม่ใช่ราคาของความเสียดายแล้ว

แค่สิ่งที่ทำให้เพิ่มความพอใจของชีวิตต่างกันเท่านั้นเอง...


เขียนแล้วงงๆเนอะพี่ ^^"


จบแบบห้วนๆว่า...หนังสือเล่มนี้....อ่านจบแล้วไม่เสียดายเวลาที่อ่าน





โดย: gibt วันที่: 18 สิงหาคม 2553 เวลา:20:03:19 น.  

 
พี่เข้าใจบิ๊ก เข้าใจที่บิ๊กพูดเลยล่ะ(แอบปลื้มนะเนี่ย )
...บิ๊กอธิบายเคลียร์มาก


พี่น่ะหลงรักเด็กเศรษฐศาสตร์จริงๆ เพราะจะเป็นการลงตัวของวิทย์และศิลป์ที่ดูน่าทึ่งน่ะ
(เคยอ่านการ์ตูนเรื่อง ปู่อัจฉริยะ ที่เป็นโปรเฟสเซอร์สอนเศรษฐศาสตร์มาไง)

พี่ว่าคนแบบพี่ไม่ได้มีมุมมองแบบวิชาการ ความคิดมักเอามาจากความรู้สึก
เพราะงั้นเวลาเจอคนแบบพี่นัทเข้าไปก็มักทำให้ทึ่งได้เป็นสม่ำเสมอ
ก็เหมือนเวลาแอบเจอบิ๊กรีวิวของโทโฮนั่นล่ะ
อ่านแล้วอ้าปากค้างกับข้อมูลลงลึกขนาดนั้น ทำไมเก่งกันจัง(วะ)

งั้น..ขอถามบิ๊ก
ไม่รีวิวหนังสือพี่นัทบ้างเหรอพี่อยากอ่าน
เด็กเสดศาสตร์เจอเด็กเสดศาตร์ ย้ำอีกที พี่อยากอ่านความเห็น(ในฐานะนักอ่านนะ)


คุณdoraemonkyo ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
มองทุกมุมของนัท ก็ไม่พ้นมุมมองดีๆในทุกมุม


โดย: Quaver วันที่: 19 สิงหาคม 2553 เวลา:10:49:24 น.  

 
ฮ่า ฮ่า ฮ๋า พี่คิว
อยากบอกว่าอ่านต้นๆ แล้วขำเลย

ตู่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วแอบอายๆ ยังไงไม่รู้อะ
ไอ้ตรงข้อความเน้นๆ ทำตัวใหญ่เป้งแล้วยังใส่ italic ลงไปด้วยน่ะ

มันรู้สึกเหมือน "จงใจ" เน้นให้เห็นว่าสำคัญมากเกินไป

.............เน้นจนตลก - -"



ตู่น่ะเป็นคนประเภทขี้เสียดายเวลานะ... ถ้าเวลานั้นจะต้องถูกใช้ไปอย่าง "ไม่มีค่า"
แต่ถ้ามันถูกใช้ไปอย่างมีค่าเต็มที่ "สำหรับเรา" แล้ว... เราไม่เสียดายหรอก

แล้วตู่ก็นับเอาช่วงเวลาที่คิดไปถึงประสบการณ์ดีๆ แปลกๆ ในชีวิตทั้งหลายที่ลืมไม่ลง อย่างหลงทางกลางป่า ตกเครื่องบิน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ "มีคุณค่า" ซะด้วยซี

แต่อย่างนั้นมันเรียก "ระลึกความหลัง" รึเปล่าหว่า?? ฮ่า ฮ่า




ปกติเลือกหนังสือจาก "ชื่อ" กับ "ปก" ค่ะ แล้วค่อยดูชื่อคนเขียนอีกที

หนังสือเล่มนี้ สารภาพว่า ถ้าไม่ใช่ตั้งใจเดินไปซื้อโดยเฉพาะล่ะก็
อาจจะสะดุดกับ "ชื่อ" ของมันบ้าง

แต่ก็นะ... ด้วยความที่ปกไม่สะดุดตาตู่เท่าไหร่ คงจะผ่านเลยไปเลยมากกว่า ฮะ ฮะ
ชื่อ จริงๆ ชื่อสะดุดนะ.. แต่ตัวเล็กจนหาไม่เจอ (เห็นแต่หน้าคนเขียน ฮ่า ฮ่า)




ก็อย่างที่บอกแหละ อ่านจบให้ความรู้สึกว่าคนเขียน ""สุภาพ เรียบร้อย มีความคิดที่ดี""
แต่อย่างที่บอกแหละ ...ยังไงซะมันก็จัดเป็นหนึ่งในประเภทของหนังสือที่ตู่ "แพ้" แหละพี่

........ หนังสือดี แต่ไม่คิดจะหยิบมาอ่านซ้ำสอง ฮ่า ฮ่า

เค้าซีเรียสนา.... คือ วิธีการเขียนมันยังไม่ค่อยถูกใจพี่น่ะนะคุณน้อง ไม่ดึงดูด ถึงแม้เนื้อหาจะดีก็เหอะ

ปล. มาเขียนใส่บล็อกคนอื่นเค้า ตัวเองจะได้ดูเป็นนางเอกแสนเรียบร้อยขี้กลัวไม่สู้คนขึ้นบ้างมั้ย?




เออใช่... ว่าจะมาคุยกะพี่คิวตั้งนานแล้ว พอดียุ่งๆ (เหรอ?)
ว่าเอเอฟเจ็ด เมื่อ 2 วีคที่แล้วอะ ชอบมากเลย
แต่วีคสากลที่ผ่านมานี่ แป้กสนิท สำหรับตู่.... (ตลกดี เริ่มไต่บันไดสูงขึ้น แล้วอยู่ดีๆ ก็ตกบันไดแอ้กกันเลย)

แต่วีคสากลนี่ ชอบที่นัทตี้ร้องนะ ร้องได้เกินความคาดหมายจริงๆ (แต่ยังต้องพัฒนานะน้องนะ)



เฮ้อ เป็นคนดูเอเอฟแบบดูวีคละครั้งนี่... มีความสุขดีชะมัด ^^

ไปๆ มาๆ ติดเอเอฟปีนี้มากกว่าปีที่แล้วอีก
(ปีที่แล้วตู่ลืมดูคอนเสิร์ตมันเกือบทุกวีค... สรุปว่า แทบไม่ได้ดูน่ะแหละ ฮะ ฮะ แถมหน้าตาน้องๆ ก็จำไม่ได้ด้วย)


โดย: tazzz วันที่: 19 สิงหาคม 2553 เวลา:10:49:52 น.  

 
อ้อ~ลืมพูดเรื่องดีไซด์
พี่รู้ตัวว่าเป็นคนยึดติดกับเรื่องแบบนี้ จนทำให้ตัวเองพลาดหนังสือดีๆไปแยะ
ก็เป็นอีกมุมเช่นกันคือ ซื้อหนังสืออะไรมาก็ไม่รู้เพราะดีไซด์เหมือนกัน
เปิดอ่านแล้วปิดปึ้ก ปลอบตัวเองว่าซื้อดีไซด์ละกัน


เคยมีเพื่อนแนะนำหนังสือให้เล่ม
พี่ไปเมียงๆมองๆ เจอปกที่แบบ...หยิบยังไม่อยากหยิบเลย
จนเพื่อนมันตัดใจซื้อมาให้(จะอยากให้อ่านอะไรนักหนาก็ไม่รู้)
พี่ก็อ้างว่าเห็นแล้วไม่มีแรงจูงใจเปิดอ่าน
มันก็อุตส่าห์เอาไปห่อปกให้อย่างเก๋

พอพี่ได้อ่านแล้ว...ถึงกับบอกกับตัวเองเลยว่า คงเสียดายขาดใจถ้าไม่ได้อ่าน


มันคือนิสัยแก้ไม่หายจริงๆ พี่ขอยอมรับ
เพราะขนาดมีตัวอย่างขนาดนั้น จนทุกวันนี้พี่ก็ยังยึดติดเรื่องดีไซด์อยู่ดี

ก็ได้แต่ยอมรับความเป็นตัวตนของตัวเอง


โดย: Quaver วันที่: 19 สิงหาคม 2553 เวลา:11:10:43 น.  

 
สวัสดีสายๆครับ...แต่คงไม่สายที่จะสวัสดีนะครับ
..................
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: panwat วันที่: 19 สิงหาคม 2553 เวลา:11:21:12 น.  

 
เราชอบนะคะ ... ทั้งหมดเลย (ยกเว้นเรื่องดีไซน์ โนคอมเม้นท์)

เรารู้ว่า ไม่ได้รักนัทเท่ากับคุณ ๆ ในนี้แน่

แค่ชอบ ชื่นชม ... และ เริ่มรัก

แต่เรานั่งอ่านไป ยิ้มไป แล้ว อึ้ม ... ไม่เสียดายที่อยากอ่าน และได้อ่าน

ที่ชอบ คงเพราะหลาย ๆ เรื่องคิดคล้าย ๆ กัน ชอบมองอะไรหลาย ๆ มุม ชอบคิดต่าง จนบางทีแฟนว่า ว่าชอบเถียง อ๊าว ซะงั้น

เราชอบยิงตรง ๆ นะคะ เกริ่น ๆ เข้าเรื่อง แล้วตู้มเลย เนื้อ ๆ เน้น ๆ จนอยากถามนัทว่า หมดเม็กขนาดนี้ คราวหน้า จิเขียนอะไร


โดย: for Family วันที่: 19 สิงหาคม 2553 เวลา:12:45:47 น.  

 
ตู่เคยเจอนะ ไอ้โฆษณาเป็นร้อยความเห็นอะ
แต่มันอยู่บล็อกที่เก่าๆ แล้ว ไม่รู้บ็อตมันไปโพสทำไม


ก็เลยเฉยๆ ฮ่า ฮ่า


แถมพอไม่ล็อคว่าต้องล็อคอินแล้ว บางทีก็มีโพสแปลกๆ โผล่มาก็เยอะ
แปลก แบบ "แปล๊กกกกกกกแปลก" เลยแหละพี่

หรือบางทีโพสเข้ามาด่าเจ้าของบล็อกด้วยคำหยาบๆ แล้วก็หายไป



ถือซะว่าทำบุญ สงสัยอัดอั้น ไม่มีที่ให้เขียน เอาเหอะ เดี๋ยวกรวดน้ำไปให้ ฮะ ฮะ



ปล. ตู่ก็ไม่ได้เสียดายเวลาที่ได้อ่านนะพี่ ฮะ ฮะ ถือว่าเป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่ากับวิชาการที่นานๆ ทีจะเข้าหัว





ว่าแต่น้องๆ รุ่นนี้เค้าไม่มีสติกันเลยเหรอคะ?
เพราะว่าเด็กไปรึเปล่า? เด็กแล้วโดนบังคับให้โตแบบปัจจุบันทันด่วน... อะไรอย่างนั้น

ปล. ไม่เคยเปิดทีวีไปดูทันเพลงธีมเลยซักวีคล่ะพี่ แค่ทันคนแรกร้องก็บุญแล้ว (ส่วนมากไม่ทัน ฮะ ฮะ)


ลป. เอาเรื่องเล่าคอนเสิร์ตสแม็ปแทนไหม?


โดย: tazzz วันที่: 19 สิงหาคม 2553 เวลา:13:58:45 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ Quaver

ขออนุญาตเข้ามาเมียงมองบล๊อคนะคะ


ดีไซน์บล๊อคน่ารักคลาสสิคจังเลยค่ะ...ก่อนจะพิมพ์เห็นคำว่า "eppur si mouve" แล้วต้องไปค้นเพิ่ม ความหมายเก๋ดีจัง (ไม่แน่ใจว่าที่ค้นมาใช่คำนี้ไหมคะ eppur si muove ที่แปลว่า and yet it moves)


เรื่องดีไซน์ อ่านแล้วเห็นด้วยส่วนหนึ่งค่ะ เพราะเป็นคนที่ถ้าจะเลือกซื้อหนังสือสักเล่มดูหลาออย่างทั้งปกหนังสือ คำโปรย คนเขียน ภาษาที่ใช้ ราคา ฯลฯ...ถ้าไม่ใช่แฟนคลับ ไปเจอที่ชั้นหนังสือ แว๊บแรกอาจจะมองข้ามๆไปบ้าง...แต่คงสะดุดกับคำว่า"ฮาวาร์ด"...คำโปรยหลังปก ก่อนที่จะเปิดอ่านรีวิวหนังสือ และคงตัดสินใจซิ้อมาเก็บไว้

ส่วนเรื่องการจัดวางตัวหนังสือ การเว้นบรรทัด ฯลฯ เห็นด้วยว่า ถ้าจัดให้ดี จะช่วยทำให้คนอ่านรู้สึกว่าหนังสือดูอ่านสบายขึ้นนิด...การ์ตูนประกอบ แอบอยากเห็นพี่นัทหรือพี่ตั้มวาดประกอบ อิอิ

ส่วนตัว ไม่ใช่คอหนังสือแนวเรียงความสะท้อนมุมมองของคนเขียนต่อเรื่องรอบตัวเท่าไหร่นะคะ เป็นแฟนหนังสือนิยายมากกว่า เลยค่อนข้างคุ้นกับสำนวนและวิธีการเล่าเรื่องของนักเขียนหลายๆท่าน..ยิ่งเคยฝันอยากจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง รู้สึกว่าบางครั้งจะติดสำนวนหรือแนวคิดของนักเขียนที่ชื่นชอบมาบ้าง

ไม่แน่ใจว่าสำหรับแฟนคุณจิก ประภาส คุณนิ้วกลม อ่านหนังสือของพี่นัทแล้วจะรู้สึกถึงสัมผัสตรงนั้นได้ไหม...เหมือนคอนิยายที่จะรู้สึกได้ว่าอ่านหนังสือของกิ่งฉัตร โสภี พรรณราย หรือ แก้วเก้าอยู่



วิธีการเขียนของพี่นัท น่าจะใช้วิธีเดียวกับการเขียนเรียงความ หรือ วิทยานิพนธ์อย่างที่เคยเห็นในบ้านแมคโนเลีย ซึ่งคงมีการจดประเด็นที่จะเล่าในแต่ละเรื่อง...วางโครงเรื่อง...มีการคิดคำขึ้นต้น คำลงท้าย มาแล้ว น่าจะไม่ได้ใช้วิธีการเขียนที่เป็นแบบแนวกระแสสำนึก คือ นึกอะไรได้ก็เขียน ไม่มีการวางโครงเรื่อง

อ่านแล้วจะมีบางช่วงที่รู้สึกว่าประโยคเหล่านั้นผ่านการคิดมาอย่างดี หรือเป็นทางการ สุภาพ ระแวดระวัง ซึ่งอาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนอ่านบางท่านที่เคยอ่านแนวนี้มาบ้าง รู้สึกว่าแพ้ทาง

ถ้าถามในแง่ของคนชอบอ่านหนังสือ ก็ชอบในระดับนึงค่ะ แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าชอบที่สุด..แต่คงเป็นกำลังใจให้คนเขียน เพราะชอบแนวการคิด มุมมองหลายๆเรื่อง สำนวนหรือการเล่าเรื่องยังต้องแสวงหาเอกลักษณ์ หาจุดที่พอดีในการถ่ายทอดปรัชญาชีวิตหนักๆกับการเล่าเรื่องให้เพื่อนที่เป็นคนอ่านฟัง...ส่วนตัวชอบเรื่องเพื่อนตัวเขียวค่ะ อ่านแล้วอยากหยิกแก้มคนเขียน

ถ้าตอนในแง่ของแฟนคลับก็ขอบอกว่า ชอบมากกกกก ดีใจที่พี่นัทได้รับโอกาสที่ดีในการทำงานเขียน ได้ทราบหลายเรื่องๆที่อยากทราบ เช่น คนบันเทิงเขาคิดยังไงน่ะ เวลามีคนเปรียบเทียบ หรือ มีข่าวค(ร)าวต่างๆ ดีใจที่น่าจะมีคนนอกได้อ่านตัวหนังสือของพี่นัท (น่าจะมีคนเป็นแบบตัวเอง คือ ถ้าเป็นหนังสือแนะนำ ชอบไม่ชอบแนวหนังสือ รู้จักหรือไม่รู้จัก ก็จะลองหยิบขึ้นมาอ่านก่อน )


ส่วนเทคนิคการเขียน พี่นัทรู้จักเลือกใช้ คำซ้ำ บุคคลาธิษฐาน อธิพจน์ อุปลักษณ์ อุปมาอุปไม ได้ดีนะคะ ถ้าได้รับคำแนะนำจากนักเขียนชั้นครู หรือ บรรณาธิการมือฉมังน่าจะมีแนวโน้มไปได้ดีในแวดวงวรรณกรรม (ส่วนตัว รออ่านงานเขียนเล่าเรื่องแง่มุมดีๆ ทีได้ร่วมงานกับคนอื่นๆ )


มีอีกหลายประเด็นเลยในส่วนเนื้อหาที่อยากคุย แต่ยังไม่ได้เขียนค่ะ อย่าง ค่าเสียโอกาส ก็สามารถมองได้หลายๆมุม เพราะตอนอ่านก็สะดุดนิดนึง เพราะ บางช่วงก็ชอบนึกย้อนถึงอดีตบ้าง(พอสมควรแก่อายุ ) แต่เข้าใจว่าคงนอกจากมองในแง่ค่าเสียโอกาสแล้วคงมองในแง่อรรถประโยชน์ด้วย...แต่ที่นำมาใช้บ่อย คือ เรื่องไม้บรรทัด...สังคมตอนนี้ เหมือนแต่ละคนถือไม่บรรทัดของตัวเองไว้แน่น มั่นใจในความเที่ยงตรง แม่นยำ โดยไม่ต้องรอการทำการสอบเทียบค่า

รู้สึกว่าชักจะคุยยาวไปแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับรีวิวหนังสือเล่มนี้นะคะ


โดย: Yimie วันที่: 19 สิงหาคม 2553 เวลา:22:45:36 น.  

 
คุณ for Family ความรักมันแบ่งระดับไม่ได้หรอกค่ะ
...โอยเขียนแล้วเขิน
เราว่านัทน่ะยังมีเรื่องให้เขียนอีกแยะ
แค่เรื่องฮาวาร์ดเรื่องเดียว พี่นัทก็เขียนได้อีกหลายเล่มแล้วค่ะ


คุณYimie คะ ใช่แล้วค่ะ ความหมายทำนองนี้ล่ะค่ะ
แต่มันมีที่มามาจากการเล่าขานว่า
กาลิเลโออุทานคำนี้ออกมาหลังจากถูกศาลศาสนาบังคับให้สารภาพว่า
'โลกไม่ได้หมุนรอบดวงอาทิตย์'

...คุณปู่นี่กวนน่ารักมากเลยค่ะ



ขอบคุณที่แชร์ความเห็นด้วยกันนะคะ

สำหรับในฐานะแฟนพี่จิก นิ้วกลม
เราว่าพี่นัทยังขาดเสน่ห์ตรงนั้นไป...อย่าโกรธเน้อแฟนคลับนัท

การใช้ตัวหนังสือของพี่นัทมันยังดึงดูดไม่พอในความคิดเรานะ
นี่เราพูดถึงการใช้ตัวหนังสือ ไม่ใช่ความคิดอ่านของพี่นัทนะคะ

เราลองกลับไปเปิดแล้วจัดรูปเล่มในบางบท(ในความคิด)
จัดวรรคตอนตามความคิดเรา
เว้นช่องว่างอะไรในบางส่วน
เรามองแล้วรู้สึกเลยว่า ถ้าลองจัดดูใหม่ มันจะดึงดูดให้น่าสนใจกว่านี้


คือมันก็เป็นดีไซด์ที่เป็นรสนิยมส่วนตัวของเราเองอีกล่ะ
เฮ้อ...


ขอบคุณที่เข้ามาแชร์นะคะ
เราชอบอ่านความเห็นยาวๆแบบนี้มาก


โดย: Quaver วันที่: 20 สิงหาคม 2553 เวลา:10:59:25 น.  

 
เราเพิ่งอ่านมติชน สุดสัปดาห์ที่นิ้วกลมเขียนเกี่ยวกับเรื่องความเสียดายมาค่ะ
ที่เค้าไปอ่านหนังสือ "มองทุกอย่างจากทุกมุม" โดยณัฐ ศักดาทรเกี่ยวกับเรื่องค่าเสียโอกาสมา

เค้าเขียนจนเราอยากอ่านหนังสือของเค้าเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับแล้วก็รู้แค่ว่าบ้านเค้ารวย จบฮาร์วาร์ด

แต่คนที่จบฮาร์วาร์ดมาได้นี่เค้าก็มีวิธีคิด มุมมองที่มันดีกว่าคนอื่นล่ะเนอะ

ไว้จะหาเล่มนี้มาอ่านบ้างนะคะ

ปล.บล็อคน่ารักจังเลยค่ะ เรียบง่าย ไม่เยอะดีค่ะ ชอบค่ะ


โดย: ยัยลีลี วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:43:56 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.