ยังจำได้สมัยเด็กฉันมักกลับมาคุ้ยหนังสือพิมพ์หน้าต่างประเทศอ่านหลังเลิกเรียน คอลัมภ์ที่ไม่เคยพลาดอ่านสักครั้งคือคอลัมภ์ของคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ ที่เล่าเรื่องต่างๆของประเทศอเมริกา อย่างเรื่องซูปเปอร์โบวล์ เรื่องเด็กลูกครึ่งไทยแอฟริกันอเมริกัน ไทเกอร์ วูดส์ รวมทั้งเรื่องการเมืองอเมริกา คุณแสงชัยเขียนด้วยภาษาน่าอ่านและน่าสนุก(มาก...สำหรับเด็กเล็กๆแบบฉัน) ทำให้อ่านไปก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกล่อด้วยนิทานเรื่องเล่าวันเดอร์แลนด์อะไรประมาณนั้น เป็นการเปิดโลกใบใหม่อันน่าตื่นตาตื่นใจแบบที่ฉันคงไม่อาจหวนกลับไปสัมผัสวันเวลาแบบนั้นได้อีกแล้ว และ...ฉันก็ได้รู้เรื่องการเลือกตั้งของอเมริกันชนอย่างค่อยๆเข้าใจมากยิ่งกว่า "ต้อง" เรียนในห้องเรียนเสียอีก ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการดีเบต การเลือกตั้งประธานาธิบดี สส. สว.ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับประเทศไทยที่ใช้ระบบนายกรัฐมนตรี คงไม่พูดเกินไปถ้าจะบอกว่าคอลัมภ์ของคุณแสงชัยนั้นช่วยหล่อหลอมตัวตนส่วนหนึ่งของฉันในวันนี้ อาจเพราะแบบนั้น ฉันถึงได้หลงรักซีรี่ส์เรื่องThe West Wing มากเสียจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจหาซีรี่ส์เรื่องไหนที่จะทำให้รู้สึกชอบได้ขนาดนั้นอีก แม้แต่ The Newsroom ที่เพิ่งดูจนจบทั้ง10ตอนในซีซั่นที่1ไปหมาดๆนี่ก็ตาม อาจด้วยฉันตั้งความหวังกับThe Newsroomไว้มาก และเฝ้าตั้งตารอเรื่องนี้มานานด้วยเพราะเป็นการครีเอทและเขียนบทโดยAaron Sorkinเจ้าเดิมกับThe West Wing The Newsroom เปิดตัวได้ชนิดตีแสกหน้าคนดู....โดยเฉพาะอเมริกันชน ฉันคิดแบบนั้นนะ คนอเมริกาที่ผยองและถึงอาจไม่ผยองก็ย่อมตระหนักกับความยิ่งใหญ่ของตนที่ส่งอิทธิพลไปทั่วทั้งโลกหลังจากหลังช่วงสงครามเย็นเป็นอย่างดี ทั้งช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษา วัฒนธรรมและการเมือง "ความเป็นพี่บิ๊กเบิ้ม เป็นตำรวจโลก" ในแทบทุกสถานการณ์การเมืองที่เกิดของบนโลกใบนี้ วิถีความเป็นอเมริกันชน วัฒนธรรมป็อบแบบอเมริกาต่างแผ่ขยายคลุมวัฒนธรรมอื่นไปทั่วทั้งโลกจนแทบจะกลืนกินวัฒนธรรมเดิมของตนไปด้วยซ้ำ มันยิ่งทำให้คนอเมริกาเองรู้สึกและมองเห็นความยิ่งใหญ่ของประเทศตัวเอง ...หากทว่าออรอน ซอร์กินอาจมองประเทศของเขาด้วยความเป็นกังวล จึงได้ใส่ความรู้สึกของตนในฐานะอเมริกันชนผ่านปากของวิล แมคอะวอย ผู้ประกาศข่าวผู้มีเรตติ้งอันดับสองในช่องเคเบิ้ล วิล ผู้ประกาศข่าวช่วงไพรม์ไทม์ถูกดูหมิ่นกลายๆจากโปรเฟสเซอร์ผู้รับหน้าที่เป็นพิธีกรในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งว่า การที่เขาได้เรตติ้งเป็นอันดับสองก็เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นเจย์ เลโนแห่งวงการข่าว เจย์ เลโนก็คือพิธีกรรายการวาไรตี้โทรทัศน์ The Tonight Show with Jay Leno ทางช่องNBC เรตติ้งสูง ไม่รู้จะเทียบกับรายการไหนในบ้านเรา...ก็น่าจะประมาณรายการคุณวิทวัสได้ล่ะมั๊ง การกล่าวอ้างถึง "เจย์ เลโนในวงการข่าว" จึงสื่อในแง่ดูหมิ่นเชิงว่าวิลเป็นคนข่าวที่ทำตัวเป็นที่รักของทุกคนโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเรียกว่าไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แท้จริงของตัวเองออกมาเพื่อรักษาน้ำใจกับทุกคน...หรือก็คือวิลไม่มีกึ๋นและไม่มีความกล้าพอในการทำข่าวอย่างที่คนข่าวควรจะเป็น นักศึกษาคนหนึ่งได้ตั้งคำถามว่า "ทำไมอเมริกาถึงได้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" ...เป็นคำถามที่ผยองดีใช่ไหม แต่...แต่มีใครกล้าค้านไหมว่าอเมริกาไม่ใช่ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกเราตอนนี้ วิลพยายามเลี่ยงแสดงความคิดเห็นของเขาโดยทำเป็นพูดทวนตามผู้ร่วมรายการอีกสองคนว่าที่อเมริกาเป็นประเทศยิ่งใหญ่ก็เพราะความหลากหลายและโอกาส รวมทั้งอิสระและเสรีภาพ แต่ทว่า...พิธีกรไม่ยอมให้เขาหลบเลี่ยงอย่างที่ทำมาตลอดทั้งรายการอีกแล้ว ยืนกรานให้วิลตอบคำถามนี้ วิลพยายามอีกครั้งเซฟตัวเองโดยโยงไปยังประธานาธิบดีคนที่4 เจมส์ เมดิสัน บิดาแห่งรัฐธรรมนูญของสหรัฐ "รัฐธรรมนูญของเราึคือผลงานชิ้นเอก เจมส์ เมดิสันคืออัจฉริยะ และคำประกาศอิสรภาพสำหรับผมแล้วคืองานเขียนชิ้นเยี่ยมที่สุดของอเมริกา" หลังคำตอบนี้ของวิล โปรเฟสเซอร์มองมานิ่งๆโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่สายตาคู่นั้นแสดงความเหยียดหยามในความขี้ขลาดของวิล...และวิลก็รับรู้ได้ และสุดท้ายวิลก็ฟิลขาด ตัวตนความประนีประนอมที่เขาสร้างคลุมตัวเองไว้ในที่สุดก็ถูกกระชากฉีกขาด จนสุดท้ายเขาโพล่งความในใจที่มีต่อคำถามนี้ออกมา "ประเทศนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว!!!...นี่ล่ะคือคำตอบของผม" และมันทำให้โปรเฟสเซอร์ถึงกับตะลึงและพยายามหลีกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้โดยขอข้ามไปคำถามต่อไปทันที แต่...ก็หยุดวิลไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาหันไปตอกกลับลูอิสคนที่ตอบว่าที่อเมริกายิ่งใหญ่ก็เพราะอิสรภาพและเสรีภาพ "ที่คุณพูดว่าอเมริกานั้นแสนจะยิ่งใหญ่อลังการ โดยคิดจะบอกว่ามีแค่ประเทศเราประเทศเดียวงั้นเหรอที่มีอิสรภาพ?!" วิลทำเสียงเย้ยหยัน ย้ำแสกหน้าให้ชัดเจนด้วย "แคนาดามีอิสรภาพ ญี่ปุ่นก็มีอิสรภาพ ทั้งสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน สเปน ออสเตรเลีย...เบลเยี่ยมก็มีอิสรภาพ!!!" วิลเอาตัวเลขมาตอกหน้าคนอเมริกาที่บ้าเหลือเกินกับสถิติมาย้ำให้เห็นชัด "207รัฐอิสระทั่วโลก คงมีสัก108ประเทศได้ล่ะมั๊งที่มีอิสรภาพ" และวิล (หรือจะบอกเป็นซอร์กิน) ยังไม่ยอมจบแค่นี้ เขาย้ำและย้ำถึงความกลวงของอเมริกาให้โลกได้รับรู้ว่ามันไม่มีหลักฐานใดๆเลยจะมาสนับสนุนว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเพราะประเทศเรานั้น... "เป็นอันดับ7เรื่องการรู้หนังสือ 27ทางด้านคณิตศาสตร์ 22ทางด้านวิทยาศาสตร์ 49ทางด้านอายุขัยเฉลี่ย 178ทางด้านการรอดชีวิตของทารกแรกเกิด อันดับ3ของรายได้เฉลี่ยครัวเรือน อันดับ4เรื่องอัตราแรงงานและการส่งออก" ถ้าแค่นี้ยังหยามหน้าไม่พอ วิลลงมือหนักขึ้นด้วยการแฉความจริงอันน่าอายของประเทศตนว่าอเมริกาเป็นผู้นำในโลกอยู่แค่ 3 เรื่องเท่านั้นนั่นก็คือ "อันดับหนึ่งของจำนวนนักโทษต่อหัวประชากร จำนวนของผู้ใหญ่ที่ยังเชื่อว่าเทวดามีจริง และอันดับหนึ่งของค่าใช้จ่ายป้องกันประเทศที่เราใช้ไปมากกว่า26ประเทศจาก25ประเทศที่เป็นพันธมิตรกับเรารวมกันเสียอีก" [ขอโทษนะคุณซอร์กิน ขอยกมือแย้งหน่อยเถอะเรื่องจำนวนผู้ใหญ่ที่ยังคงเชื่อว่าเทวดามีจริง คุณคงยังไม่เคยทำความรู้จักประเทศ....เอ่อ...ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดีพอสินะ ] หลังจากเหยียดหยามความยิ่งใหญ่ของอเมริกาเพียงพอแล้ว ซอร์กินยัดคำพูดใส่ปากวิลอีกครั้งว่าประเทศอเมริกาของเรานั้น 'เคย' ยิ่งใหญ่ เพราะ... "เราเคยยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เราเคยต่อสู่เพื่อศีลธรรมอันถูกต้อง เราเคยผ่านกฎหมายหรือล้มกฎหมายเพื่อเหตุผลทางศีลธรรม เราประกาศสงครามเพื่อความยากจน...ไม่ใช่กับคนยากจน เราเสียสละและใส่ใจเพื่อนบ้าน เราทำตามคำพูดที่ได้ให้ไว้ เราไม่เคยแสร้งทำเป็นว่าเราเสียใจ เราเคยสร้างสิ่งก่อสร้างยิ่งใหญ่ ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สำรวจจักรวาล หาวิธีรักษาโรคร้ายทั้งยังเพาะบ่มศิลปินระดับโลก สร้างระบบเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่" วิลบอกว่าอเมริกันชนนั้นเคย... "คิดไกลเพื่อไขว่คว้าดวงดาวที่ไม่อาจเอื้อมถึง เชิดหน้าไม่ขี้ขลาด ค้นหาและสนุกไปกับความรู้สติปัญญาโดยไม่เคยกลัวว่ามันจะทำให้เราดูด้อยค่าลง" วิลบอกอย่างเศร้าปนเหนื่อยหน่ายว่าคนอเมริกาไม่เคยขวัญอ่อนขนาดนี้มาก่อน(...น่าจะหมายถึงหลังเหตการณ์9/11) และเขาเตือน "ขั้นตอนแรกของการแก้ไขปัญหาใดๆก็ตามก็คือเราต้องมองเห็นก่อนว่าเรามีมันอยู่" สิ่งที่วิลอยากให้คนอเมริกามองเห็นก็คือ "อเมริกาไม่ได้เป็นประเทศยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอีกต่อไปแล้ว" มันเหมือนกับการบอกว่าสิ่งที่ซอร์กินรู้สึกก็คืออเมริกายังติดอยู่กับอดีต อดีตที่อเมริกาได้รับการยกย่องในทุกๆด้านจนขึ้นมานำเหนือชาติอื่นๆในโลก ประเทศที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ยาวนาน แต่ด้วยสองมือของอเมริกาดรีมนั้นกลับสร้างความยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ขึ้นมาและยังถีบตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกเสรี ...แต่ทว่าวันเวลาความยิ่งใหญ่แบบนั้นมันได้จากไปแล้ว...และอาจไม่หวนคืนกลับมาถ้าคนอเมริกาไม่ตระหนักถึงปัญหาต่างๆที่กำลังทับถมความเป็นอเมริกาอยู่ ณ ตอนนี้ นี่คือบทที่เยี่ยมที่สุดอีกครั้งจากฝีมือออรอน ซอร์กิน อย่างที่ทำให้ฉันขนลุกซู่กับการได้ชมครั้งแรก...และอีกหลายต่อหลายครั้งกับการกลับมาดูตอนไพรอทนี้ ...แต่น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆที่ทุกตอนต่อจากนี้กลับไม่อาจดึงความสนใจได้แม้ครึ่งหนึ่งของตอนแรกที่ทำเอาไว้ แม้แต่ตอนที่พูดถึงการจับตัวบินลาเดนก็ไม่อาจยิงทะลุความรู้สึกได้เลย มันเหมือนกับเขาทำพีคที่สุดเอาไว้แล้ว สุดยอดไปแล้วกับไพรอทและไม่อาจข้ามมันไปได้ ต่างจากที่ทำไว้The West Wingอย่างน่าเสียดาย หรือเพราะฉันยังยึดติดและปล่อยThe West Wingไปไม่ได้กันแน่ สิ่งที่ซอร์กินทำความเสียดายให้ที่สุดในเรื่องthe newsroomนั้น ฉันคิดว่าคือการสร้างคาแรคเตอร์ของตัวละครรอบๆวิล แมคอะวอย คือนอกจากวิลแล้ว ฉันรำคาญมันทุกตัวละคร ไม่มีใครทำให้รู้สึกชื่นชอบ และหลงรักแบบที่ฉันรู้สึกกับซีเจ จอช หรือดอนน่า และยิ่งไม่มีใครที่ทำให้ทึ่งบวกเคารพได้เท่ามิสเตอร์เพรสสิเดนท์ เจด บาร์ทเล็ท และลีโอ ...และแม้วิล แมคอะวอยก็ยังทำให้ฉันรู้สึกเชื่อถือหรือรู้สึกชอบได้ไม่เท่ากับที่มีต่ออาร์โนลด์ วินิคที่โผล่มาชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในซีซั่น6ของthe west wingด้วยซ้ำ ซอร์กินสร้างวิลให้เป็นผู้ประกาศข่าวที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนตรงและกล้าบ้าบิ่นพอจะชนกับความผิด-ถูก ซึ่งแม้แต่เจ้าของเคเบิ้ลที่วิลเป็นลูกจ้างอยู่ก็ยังไม่อาจทำให้เขากริ่นเกรงได้ แม้จะถูกเปิดตัวด้วยบุคลิกของเจย์ เลโนก็ตาม คนที่ถูกปรามาสว่าไม่อาจแยกได้ว่้าเป็นพวก(การเมือง)ซ้ายหรือขวา ตัววิลเองก็ไม่เคยออกปากออกมาโต้งๆว่าตัวเองเป็นรีพับลิกันหรือเดโมแครต แต่ไลน์เรื่องก็เปิดให้เห็นทีละนิดว่าวิลเป็นรีพับลิกัน(อย่างน่าแปลกใจ)แต่เขากลับโดนฝ่ายรีพับลิกันมองด้วยสายตาดูถูกว่าเป็นพวกรีพับลิกันสายกลาง ซึ่งยิ่งดูจากการทำรายการหลังจากที่เขาเบรคแตกเรื่องอเมริกาไม่ได้เป็นประเทศยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว เขาน่าจะถูกพวกรีพับลิกันหัวเก่าเกลียดชังสาบแช่งด้วยซ้ำไป เหตุการณ์ต่อเนื่องจากวิล(จำยอม) ฟอร์มทีมโปรดิวเซอร์ใหม่จากคู่หมั้นเก่า แมคเคนซี่ แมคเฮล แมคเคนซี่ปลุกตัวตนที่แท้จริงของวิลกลับคืนมา ให้วิลทำข่าวโดยไม่เอาใจคนดู ตีแสกหน้าฝ่ายรีพับลิกันหลายครั้งต่อหลายครั้งในกรณีtea party ซึ่งพูดตามตรงฉันอดคิดแบบติดตลกไม่ได้ว่าการที่ออรอน ซอร์กินหยิบเรื่องthe newsroomขึ้นมาทำเพราะอยากสับกลุ่มtea partyให้เละเป็นโจ๊กซะมากกว่าอยากทำเรื่องเกี่ยวกับคนข่าว Tea Party ฉันรู้จักชื่อนี้ตอนเรียนประวัติศาสตร์อเมริกา รู้คร่าวๆแค่ว่าสมัยที่อเมริกาบุกเบิกประเทศและยังส่งภาษีไปให้สหราชอาณาจักรในฐานะประเทศในเครือจักรภพ แต่เมื่อถูกประเทศแม่ผลักภาระภาษีชาอย่างหฤโหดมาให้ คนอเมริกาจึงปฏิวัติด้วยการโยนชาลงทะเลและจากนั้นไม่นานก็ประกาศอิสรภาพไม่ยอมเป็นประเทศในเครือจักรภพอีกต่อไป ...นี่คือความรู้(แค่นี้)ที่ฉันจำได้เกี่ยวกับทีปาร์ตี้ ซอร์กินนำประเด็นเรื่องTea Partyมาเสนออย่างถึงพริกถึงขิง ชำแหละความหน้าไหว้หลักหลอกของเหล่าบรรดาทีปาร์ตี้ในช่วงตั้งแต่ปี2010 ชนิดที่ทำให้ฉันต้องกลับไปคุ้ยการเมืองของสหรัฐในช่วงปี2011มาอ่าน แล้วจึงได้รู้ว่ากลุ่มทีปาร์ตี้นั้นได้เข้าคืบคลานมามีอิทธิพลผ่านทางพรรครีพับลิกัน ตัวแทนของกลุ่มทีปาร์ตี้ได้กลายมาเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อสมัครเป็นสส. สว.มากขึ้นจนน่าตกใจ บุคคลในข่าวที่ปรากฏในเรื่องThe Newsroom ก็เป็นบุคคลจริงให้สืบหาได้(ตามgoogle) ชนิดที่ทำเอาขนหัวลุกแทนซอร์กินที่เล่นแต่ละประเด็นแรงเหลือเกินว่าจะถูกสั่งเก็บเข้ากรุชนิดเหนือเมฆ ดีเท่าไรแล้วที่เขาไม่ใช่เกิดมาเป็นประชาชนประเทศสารขัณฑ์ กลุ่มทีปาร์ตี้ที่เข้ามามีบทบาทในพรรครีพับลิกันนั้นถือว่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยม เคร่งศาสนา(คาทอลิค)และโจมตีการบริหารประเทศของรัฐบาลโอบาม่า เรื่องราวของthe newsroom ซีซั่น1 กล่าวถึงช่วงการสรรหาตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับโอบาม่าสมัยที่2 และกลุ่มทีปาร์ตี้ได้เข้ามาชิงชัยเพื่อจะเป็นตัวแทนพรรคแข่งขันชิงตำแหน่งด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคองเกรสวูเมน Michele Bachmann จากรัฐมิเนโซต้า หนึ่งในหัวหอกของทีปาร์ตี้สายเหยี่ยว ซึ่งตอนแรกฉันนึกว่าเธอไม่มีตัวตนจริงเพราะประเด็นที่ซอร์กินเอามาเล่นงานเธอนั้นแรงจริงๆ แต่ด้วยความสงสัยเลยเริ่มคุ้ยดูจนพบว่าเธอมีตัวตนอยู่จริง แรงจริงและกล้าบ้าบิ่นจริง ทำไมฉันถึงได้ลองคุ้ยหาตัวเธออย่างนั้นหรือ ฉันคิดว่าซอร์กินนั้นเบื่อการดีเบตที่ผ่านๆมาของอเมริกาจะแย่อยู่แล้ว เขานำเสนอความน่าเบื่อและไม่น่าเชื่อถือของการดีเบตมาตั้งแต่สมัยthe west wing และครั้งนี้ในthe newsroomเขาก็กลับมาเล่นประเด็นนี้อีกครั้ง วิลต้องการจัดดีเบตรูปแบบใหม่ จุดประสงค์ของการดีเบตรูปแบบใหม่ที่วิล(ซอร์กิน)ต้องการก็คือ เพื่อบังคับให้ผู้สมัครพูดความจริง และ "บีบ"ให้พวกเขารับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดออกมา หรือก็คือจับผู้สมัครรับเลือกตั้งขึ้นคอกพยานถูกซักถาม หากตอบไม่ตรงคำถามจะถูกขัด และจะถูกจี้หากตอบคำถามขัดแย้งกับความเป็นจริง และสิ่งที่ซอร์กินต้องการบีบให้มิเชล บาคแมนรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาก็คือ....... มิเชล บาคแมนแถลงไว้ตอนประกาศตัวเข้าชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาไว้ว่า พระเจ้าตรัสกับตัวเธอให้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โอ้โหเหะ~! มิเชล บาคแมนเป็นคาธอลิกเคร่งศาสนา เธอต่อต้านการแต่งงานของเพศเดียวกัน ธุรกิจของครอบครัวคือการรักษาคนไข้ทางด้านจิตวิทยาโดยใช้หลักศาสนาเข้ามาช่วย โอ้โหเหะ~! อีกสักรอบ นี่ล่ะประเทศเสรีที่แท้จริง คุณสามารถมีความคิดแบบไหนก็ได้ สุดขั้ว หลุดโลกแค่ไหนก็ได้ตราบใดที่คุณยังไม่ได้ถูกตัดสินว่าสติไม่ดี คุณก็จะมีสิทธิ์ในความเชื่อนั้นและยังสามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนของประชาชนได้อยู่ดี ทีมโปรดิวเซอร์ของวิลเตรียมการดีเบตจำลอง โดยสตาฟแต่ละคนจะเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งปธน.จะศึกษาคำปราศัย การให้สัมภาษณ์ คำแถลงการณ์ การดีเบตที่ผ่านมาเพื่อหาคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ที่ผู้สมัครจะตอบมากที่สุด และจิม เป็นตัวแสดงแทนของมิเชล บาคแมน ผู้เคยให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ประกาศตัวชิงชัยเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐนั้นมาจากพระเจ้าทรงตรัสกับเธอโดยตรงให้ลงชิงตำแหน่งปธน. แม้กกี้ สตาฟอีกคนจึงขอเริ่มคำถามต่อ(วิล ตัวแสดงแทน)มิเชล บาคแมน ว่า "เสียงของพระเจ้าเป็นอย่างไรคะ?" บ่งบอกชัดเลยว่าแม้กกี้ไม่เชื่อถือในคำพูดของบาคแมนในการให้เหตุผลลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ต่างกับการปิดประตูตีแมว ซึ่งถ้าหากพระเจ้าตรัสโดยตรงกับเธอจริง อย่างน้อยบาคแมนก็ต้องได้ยินเสียงของพระเจ้า...จริงไหม แม้กกี้จี้ต่อด้วยว่า "พระเจ้าท่านทรงตรัสเป็นภาษาอะไรคะ ฮิบบรู , อะคาเดียน , หรือ คิสวาฮิเลียน บันตู? ...ถ้าใช้ภาษาวัยรุ่นของต้องบอกว่าเงิบไปเลย ถ้าบาคแมนต้องได้มาตอบคำถามเหล่านี้จริงๆ แต่..แต่แม้กกี้(หรือจะเป็นซอร์กินดีล่ะ)ยังไม่ยอมจบ เธอโยงไปถึงธุรกิจของครอบครัวบาคแมนที่คือการรักษาผู้ป่วยทางด้านจิตวิทยาโดยใช้หลักศาสนาเข้ามาช่วยด้วยการตั้งคำถามจี้ลงไปอีกว่า "และถ้าจะพูดถึงในแง่ด้านการแพทย์ จะบอกได้ว่านี่คือครั้งแรกที่คุณได้ยินเสียงของพระเจ้าหรือเปล่า" ...อยากทุบโต๊ะ..! อินเนอร์โมโนล็อคก็คือคุณมีอาการจิตหลอนแบบนี้ครั้งแรกหรือเปล่า ฉันคิดว่าซอร์กินคงอัดอั้นตันใจกับคำสัมภาษณ์นี้ของบาคแมนสุดๆไปเลยสินะ เมื่อทีมงานต่างไม่เห็นด้วยกับการถามคำถามนี้ ด้วยการบอกว่ามันเป็นคำถามที่ล้ำเส้นเกินไป และดูจะเป็นการสบประมาทชาวคริสต์...ซึ่งถือเป็น 83%ของประชากรทั้งประเทศ แต่แม้กกี้ไม่ยอมแพ้ เธอบอกตัวเธอก็เป็นคาธอลิก การที่บาคแมนพูดแบบนั้น เธอ...แม้กกี้ ครอบครัวและโบสถ์ของเธอต่่างหากที่เป็นฝ่ายถูกสบประมาท...และถือว่าสบประมาทความเชื่อของเธออยู่ แม้กกี้บอกว่าบาคแมนน่ะกำลังบอกเป็นนัยว่า "ชาวคริสต์น่ะปัญญาอ่อนที่ยอมเชื่ออะไรก็ได้ แล้วลดความสำคัญของพระเจ้าลงมาเหลือแค่เป็นพวกบ้าพรรคการเมือง หนุนหลังผู้สมัครรับเลือกตั้ง" นี่คือคำด่าโดยใช้ความเป็นปัญญาชนมารองรับได้อย่างแยบยลแต่ผลคือเจ็บแสบไม่ต่างกับแผลสดที่โดนทิงเจอร์ราดไม่ยั้งมือ และนี่ล่ะคือวิธีการบีบบังคับให้ผู้สมัครต้องรับผิดชอบในทุกคำที่เขาได้กล่าวออกมาต่อหน้าสื่อ แม้กกี้บอกว่าการที่บาคแมนอ้างสิทธิ์ใช้ความเป็นตัวแทนของพระเจ้านั่นคือ identity thief หัวขโมยจอมสวมรอยตัวตนคนอื่น [ซึ่งจะว่าไปมันก็คือความผิดทางอาญาชัดๆนะถ้าเกิดการฟ้องร้องขึ้นมาจริง] แถมคนอื่นที่ว่านี่คือระดับ "พระเจ้า" เชียวนะ [...บาคแมนเห็นว่าโจทก์อย่างพระเจ้าคงไม่มีวันลงมาฟ้องร้องเธอสิท่าถึงได้กล้า หึ หึ ] ฉากนี้เป็นแค่การซ้อมของสตาฟในการจำลองการดีเบตและกินเวลาออนแอร์ในตอน THE BLACKOUT part I: Tragedy Porn ไปเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น แต่ฉันคิดว่าเป็นสองนาทีที่ยาวนานราวสองหมื่นล้านปีสำหรับคองเกรสวูเมนมิเชล บาคแมน ประเทศไทยเผชิญความขัดแย้งภายในประเทศอย่างที่ฉันยังมองไม่เห็นก้นเหวของความหายนะนี้...ซึ่งอาจจะยังไม่ได้เห็นในช่วงชีวิตของฉันและอาจรวมไปถึงอีกสองหรือสามรุ่นด้วยซ้ำไป ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องแปลกไหมที่ฉันเพิ่งรับรู้ว่าประเทศเสรีนิยมอย่างสหรัฐอเมริกานั้นก็กำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้งของคนในชาติที่ไม่ต่างกันกับบ้านเรานัก ตอนหนึ่งในซีรี่ส์เรื่องนี้มีคำพูดว่า อเมริกากำลังเผชิญความขัดแย้งของคนในชาติอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน มันทำให้ฉันได้คิดว่าไม่ว่าจะที่ไหน ประเทศใดต่างก็ต้องมีเรื่องดิ้นรนกับปัญหาของประเทศตนอยู่ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้รับรู้หรือไม่ก็เท่านั้น แต่หากความขัดแย้งและปัญหาที่แต่ละประเทศต้องเผชิญจะแตกต่างกันออกไปก็ตรงคนในชาตินั้นมองเห็นมันหรือไม่ หาก "ยอม" ที่จะมองเห็น แล้ว "พร้อม" ที่จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหา โดยไม่ทำการรุมขัดขาคนที่ออกมาชี้ให้เห็นปัญหาและเปิดใจที่จะรับฟังความเห็นที่แตกต่างไปจากกลุ่มคนของตน ฉันมองย้อนกลับมาที่บ้านเมืองของเราตอนนี้ พวกเรากำลังยืนบนพรมที่เต็มไปด้วยขยะซึ่งถูกกวาดไปซ่อนเอาไว้ไม่ให้มันมารกหูรกตา และพอมีใครสักคนยอมที่จะเสี่ยงมาชี้ถึงปัญหาที่เรามีอยู่ก็กลับถูกกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์พากันรุมจนแทบไม่เหลือที่ให้ยืน คนไทยเรายินดีกับการยืนนิ่งอยู่บนพรมซึ่งเต็มไปด้วยขยะที่ถูกทิ้งจนเน่าเหม็นแทนที่จะเดินหน้าต่อแต่เท้าโดนบาดจนเลือดซิบด้วยก้อนกรวดของความเป็นจริงสินะ คนข่าวในThe Newsroom พูดไว้ว่า "ความเป็นกลางไม่มีที่ทางของมันในการรายงานข่าว" การที่คนเราสามารถบอกได้ว่าตนอยู่ฝ่ายไหน ไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย กล้าโต้แย้งหักล้างความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยอย่างมีเหตุและผลรองรับโดยยังสามารถมีที่ยืนในสังคมบนความขัดแย้งแล้วละก็... นั่นล่ะประเทศนั้นถึงจะได้ชื่อว่ามีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และนั่นอาจคือเสียงของพระเจ้าอย่างแท้จริงก็เป็นได้ |