Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 

งั้นเสียงของพระเจ้าเป็นยังไง!? : The Newsroom

 

 

 

 

 

 

ยังจำได้สมัยเด็กฉันมักกลับมาคุ้ยหนังสือพิมพ์หน้าต่างประเทศอ่านหลังเลิกเรียน

คอลัมภ์ที่ไม่เคยพลาดอ่านสักครั้งคือคอลัมภ์ของคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ ที่เล่าเรื่องต่างๆของประเทศอเมริกา อย่างเรื่องซูปเปอร์โบวล์ เรื่องเด็กลูกครึ่งไทยแอฟริกันอเมริกัน ไทเกอร์ วูดส์ รวมทั้งเรื่องการเมืองอเมริกา

คุณแสงชัยเขียนด้วยภาษาน่าอ่านและน่าสนุก(มาก...สำหรับเด็กเล็กๆแบบฉัน) ทำให้อ่านไปก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกล่อด้วยนิทานเรื่องเล่าวันเดอร์แลนด์อะไรประมาณนั้น  เป็นการเปิดโลกใบใหม่อันน่าตื่นตาตื่นใจแบบที่ฉันคงไม่อาจหวนกลับไปสัมผัสวันเวลาแบบนั้นได้อีกแล้ว

 

และ...ฉันก็ได้รู้เรื่องการเลือกตั้งของอเมริกันชนอย่างค่อยๆเข้าใจมากยิ่งกว่า "ต้อง" เรียนในห้องเรียนเสียอีก

ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการดีเบต การเลือกตั้งประธานาธิบดี สส. สว.ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับประเทศไทยที่ใช้ระบบนายกรัฐมนตรี

คงไม่พูดเกินไปถ้าจะบอกว่าคอลัมภ์ของคุณแสงชัยนั้นช่วยหล่อหลอมตัวตนส่วนหนึ่งของฉันในวันนี้

 

อาจเพราะแบบนั้น  ฉันถึงได้หลงรักซีรี่ส์เรื่องThe West Wing มากเสียจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจหาซีรี่ส์เรื่องไหนที่จะทำให้รู้สึกชอบได้ขนาดนั้นอีก

แม้แต่ The Newsroom ที่เพิ่งดูจนจบทั้ง10ตอนในซีซั่นที่1ไปหมาดๆนี่ก็ตาม

อาจด้วยฉันตั้งความหวังกับThe Newsroomไว้มาก และเฝ้าตั้งตารอเรื่องนี้มานานด้วยเพราะเป็นการครีเอทและเขียนบทโดยAaron Sorkinเจ้าเดิมกับThe West Wing 

 

The Newsroom เปิดตัวได้ชนิดตีแสกหน้าคนดู....โดยเฉพาะอเมริกันชน  ฉันคิดแบบนั้นนะ

คนอเมริกาที่ผยองและถึงอาจไม่ผยองก็ย่อมตระหนักกับความยิ่งใหญ่ของตนที่ส่งอิทธิพลไปทั่วทั้งโลกหลังจากหลังช่วงสงครามเย็นเป็นอย่างดี

ทั้งช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์  การศึกษา วัฒนธรรมและการเมือง

"ความเป็นพี่บิ๊กเบิ้ม เป็นตำรวจโลก" ในแทบทุกสถานการณ์การเมืองที่เกิดของบนโลกใบนี้ 

วิถีความเป็นอเมริกันชน วัฒนธรรมป็อบแบบอเมริกาต่างแผ่ขยายคลุมวัฒนธรรมอื่นไปทั่วทั้งโลกจนแทบจะกลืนกินวัฒนธรรมเดิมของตนไปด้วยซ้ำ 

มันยิ่งทำให้คนอเมริกาเองรู้สึกและมองเห็นความยิ่งใหญ่ของประเทศตัวเอง

 

...หากทว่าออรอน ซอร์กินอาจมองประเทศของเขาด้วยความเป็นกังวล   จึงได้ใส่ความรู้สึกของตนในฐานะอเมริกันชนผ่านปากของวิล แมคอะวอย ผู้ประกาศข่าวผู้มีเรตติ้งอันดับสองในช่องเคเบิ้ล

 

วิล ผู้ประกาศข่าวช่วงไพรม์ไทม์ถูกดูหมิ่นกลายๆจากโปรเฟสเซอร์ผู้รับหน้าที่เป็นพิธีกรในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งว่า  การที่เขาได้เรตติ้งเป็นอันดับสองก็เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นเจย์ เลโนแห่งวงการข่าว

เจย์ เลโนก็คือพิธีกรรายการวาไรตี้โทรทัศน์ The Tonight Show with Jay Leno ทางช่องNBC เรตติ้งสูง ไม่รู้จะเทียบกับรายการไหนในบ้านเรา...ก็น่าจะประมาณรายการคุณวิทวัสได้ล่ะมั๊ง

การกล่าวอ้างถึง "เจย์ เลโนในวงการข่าว"  จึงสื่อในแง่ดูหมิ่นเชิงว่าวิลเป็นคนข่าวที่ทำตัวเป็นที่รักของทุกคนโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเรียกว่าไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แท้จริงของตัวเองออกมาเพื่อรักษาน้ำใจกับทุกคน...หรือก็คือวิลไม่มีกึ๋นและไม่มีความกล้าพอในการทำข่าวอย่างที่คนข่าวควรจะเป็น

 

 

นักศึกษาคนหนึ่งได้ตั้งคำถามว่า  "ทำไมอเมริกาถึงได้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก"

...เป็นคำถามที่ผยองดีใช่ไหม  แต่...แต่มีใครกล้าค้านไหมว่าอเมริกาไม่ใช่ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกเราตอนนี้

 

วิลพยายามเลี่ยงแสดงความคิดเห็นของเขาโดยทำเป็นพูดทวนตามผู้ร่วมรายการอีกสองคนว่าที่อเมริกาเป็นประเทศยิ่งใหญ่ก็เพราะความหลากหลายและโอกาส รวมทั้งอิสระและเสรีภาพ

แต่ทว่า...พิธีกรไม่ยอมให้เขาหลบเลี่ยงอย่างที่ทำมาตลอดทั้งรายการอีกแล้ว ยืนกรานให้วิลตอบคำถามนี้

วิลพยายามอีกครั้งเซฟตัวเองโดยโยงไปยังประธานาธิบดีคนที่4 เจมส์ เมดิสัน บิดาแห่งรัฐธรรมนูญของสหรัฐ   "รัฐธรรมนูญของเราึคือผลงานชิ้นเอก  เจมส์ เมดิสันคืออัจฉริยะ และคำประกาศอิสรภาพสำหรับผมแล้วคืองานเขียนชิ้นเยี่ยมที่สุดของอเมริกา"

หลังคำตอบนี้ของวิล  โปรเฟสเซอร์มองมานิ่งๆโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่สายตาคู่นั้นแสดงความเหยียดหยามในความขี้ขลาดของวิล...และวิลก็รับรู้ได้

 

และสุดท้ายวิลก็ฟิลขาด  ตัวตนความประนีประนอมที่เขาสร้างคลุมตัวเองไว้ในที่สุดก็ถูกกระชากฉีกขาด จนสุดท้ายเขาโพล่งความในใจที่มีต่อคำถามนี้ออกมา

"ประเทศนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว!!!...นี่ล่ะคือคำตอบของผม"

 

และมันทำให้โปรเฟสเซอร์ถึงกับตะลึงและพยายามหลีกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้โดยขอข้ามไปคำถามต่อไปทันที

แต่...ก็หยุดวิลไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาหันไปตอกกลับลูอิสคนที่ตอบว่าที่อเมริกายิ่งใหญ่ก็เพราะอิสรภาพและเสรีภาพ

"ที่คุณพูดว่าอเมริกานั้นแสนจะยิ่งใหญ่อลังการ โดยคิดจะบอกว่ามีแค่ประเทศเราประเทศเดียวงั้นเหรอที่มีอิสรภาพ?!"  วิลทำเสียงเย้ยหยัน ย้ำแสกหน้าให้ชัดเจนด้วย  "แคนาดามีอิสรภาพ ญี่ปุ่นก็มีอิสรภาพ ทั้งสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน สเปน ออสเตรเลีย...เบลเยี่ยมก็มีอิสรภาพ!!!"

วิลเอาตัวเลขมาตอกหน้าคนอเมริกาที่บ้าเหลือเกินกับสถิติมาย้ำให้เห็นชัด  

"207รัฐอิสระทั่วโลก คงมีสัก108ประเทศได้ล่ะมั๊งที่มีอิสรภาพ"

 

และวิล (หรือจะบอกเป็นซอร์กิน) ยังไม่ยอมจบแค่นี้ เขาย้ำและย้ำถึงความกลวงของอเมริกาให้โลกได้รับรู้ว่ามันไม่มีหลักฐานใดๆเลยจะมาสนับสนุนว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเพราะประเทศเรานั้น...

"เป็นอันดับ7เรื่องการรู้หนังสือ  27ทางด้านคณิตศาสตร์  22ทางด้านวิทยาศาสตร์  49ทางด้านอายุขัยเฉลี่ย  178ทางด้านการรอดชีวิตของทารกแรกเกิด  อันดับ3ของรายได้เฉลี่ยครัวเรือน  อันดับ4เรื่องอัตราแรงงานและการส่งออก"

 

ถ้าแค่นี้ยังหยามหน้าไม่พอ  วิลลงมือหนักขึ้นด้วยการแฉความจริงอันน่าอายของประเทศตนว่าอเมริกาเป็นผู้นำในโลกอยู่แค่ 3 เรื่องเท่านั้นนั่นก็คือ

"อันดับหนึ่งของจำนวนนักโทษต่อหัวประชากร  จำนวนของผู้ใหญ่ที่ยังเชื่อว่าเทวดามีจริง และอันดับหนึ่งของค่าใช้จ่ายป้องกันประเทศที่เราใช้ไปมากกว่า26ประเทศจาก25ประเทศที่เป็นพันธมิตรกับเรารวมกันเสียอีก"

 

[ขอโทษนะคุณซอร์กิน ขอยกมือแย้งหน่อยเถอะเรื่องจำนวนผู้ใหญ่ที่ยังคงเชื่อว่าเทวดามีจริง  คุณคงยังไม่เคยทำความรู้จักประเทศ....เอ่อ...ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดีพอสินะ Smiley ]

 

 

หลังจากเหยียดหยามความยิ่งใหญ่ของอเมริกาเพียงพอแล้ว  ซอร์กินยัดคำพูดใส่ปากวิลอีกครั้งว่าประเทศอเมริกาของเรานั้น 'เคย' ยิ่งใหญ่  เพราะ...

"เราเคยยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง   เราเคยต่อสู่เพื่อศีลธรรมอันถูกต้อง   เราเคยผ่านกฎหมายหรือล้มกฎหมายเพื่อเหตุผลทางศีลธรรม   เราประกาศสงครามเพื่อความยากจน...ไม่ใช่กับคนยากจน   เราเสียสละและใส่ใจเพื่อนบ้าน   เราทำตามคำพูดที่ได้ให้ไว้   เราไม่เคยแสร้งทำเป็นว่าเราเสียใจ   เราเคยสร้างสิ่งก่อสร้างยิ่งใหญ่   ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์  สำรวจจักรวาล  หาวิธีรักษาโรคร้ายทั้งยังเพาะบ่มศิลปินระดับโลก  สร้างระบบเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่"

 

วิลบอกว่าอเมริกันชนนั้นเคย...

"คิดไกลเพื่อไขว่คว้าดวงดาวที่ไม่อาจเอื้อมถึง   เชิดหน้าไม่ขี้ขลาด   ค้นหาและสนุกไปกับความรู้สติปัญญาโดยไม่เคยกลัวว่ามันจะทำให้เราดูด้อยค่าลง"

 

วิลบอกอย่างเศร้าปนเหนื่อยหน่ายว่าคนอเมริกาไม่เคยขวัญอ่อนขนาดนี้มาก่อน(...น่าจะหมายถึงหลังเหตการณ์9/11)  และเขาเตือน

"ขั้นตอนแรกของการแก้ไขปัญหาใดๆก็ตามก็คือเราต้องมองเห็นก่อนว่าเรามีมันอยู่" 

สิ่งที่วิลอยากให้คนอเมริกามองเห็นก็คือ

"อเมริกาไม่ได้เป็นประเทศยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอีกต่อไปแล้ว"

 

มันเหมือนกับการบอกว่าสิ่งที่ซอร์กินรู้สึกก็คืออเมริกายังติดอยู่กับอดีต อดีตที่อเมริกาได้รับการยกย่องในทุกๆด้านจนขึ้นมานำเหนือชาติอื่นๆในโลก  ประเทศที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ยาวนาน แต่ด้วยสองมือของอเมริกาดรีมนั้นกลับสร้างความยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ขึ้นมาและยังถีบตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกเสรี

...แต่ทว่าวันเวลาความยิ่งใหญ่แบบนั้นมันได้จากไปแล้ว...และอาจไม่หวนคืนกลับมาถ้าคนอเมริกาไม่ตระหนักถึงปัญหาต่างๆที่กำลังทับถมความเป็นอเมริกาอยู่ ณ ตอนนี้

 

 

นี่คือบทที่เยี่ยมที่สุดอีกครั้งจากฝีมือออรอน ซอร์กิน อย่างที่ทำให้ฉันขนลุกซู่กับการได้ชมครั้งแรก...และอีกหลายต่อหลายครั้งกับการกลับมาดูตอนไพรอทนี้

...แต่น่าเสียดาย  น่าเสียดายจริงๆที่ทุกตอนต่อจากนี้กลับไม่อาจดึงความสนใจได้แม้ครึ่งหนึ่งของตอนแรกที่ทำเอาไว้   แม้แต่ตอนที่พูดถึงการจับตัวบินลาเดนก็ไม่อาจยิงทะลุความรู้สึกได้เลย

มันเหมือนกับเขาทำพีคที่สุดเอาไว้แล้ว  สุดยอดไปแล้วกับไพรอทและไม่อาจข้ามมันไปได้  ต่างจากที่ทำไว้The West Wingอย่างน่าเสียดาย

หรือเพราะฉันยังยึดติดและปล่อยThe West Wingไปไม่ได้กันแน่

 

สิ่งที่ซอร์กินทำความเสียดายให้ที่สุดในเรื่องthe newsroomนั้น  ฉันคิดว่าคือการสร้างคาแรคเตอร์ของตัวละครรอบๆวิล แมคอะวอย

คือนอกจากวิลแล้ว ฉันรำคาญมันทุกตัวละคร ไม่มีใครทำให้รู้สึกชื่นชอบ และหลงรักแบบที่ฉันรู้สึกกับซีเจ จอช หรือดอนน่า และยิ่งไม่มีใครที่ทำให้ทึ่งบวกเคารพได้เท่ามิสเตอร์เพรสสิเดนท์ เจด บาร์ทเล็ท และลีโอ

...และแม้วิล แมคอะวอยก็ยังทำให้ฉันรู้สึกเชื่อถือหรือรู้สึกชอบได้ไม่เท่ากับที่มีต่ออาร์โนลด์ วินิคที่โผล่มาชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในซีซั่น6ของthe west wingด้วยซ้ำ

 

 

ซอร์กินสร้างวิลให้เป็นผู้ประกาศข่าวที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนตรงและกล้าบ้าบิ่นพอจะชนกับความผิด-ถูก  ซึ่งแม้แต่เจ้าของเคเบิ้ลที่วิลเป็นลูกจ้างอยู่ก็ยังไม่อาจทำให้เขากริ่นเกรงได้   แม้จะถูกเปิดตัวด้วยบุคลิกของเจย์ เลโนก็ตาม

คนที่ถูกปรามาสว่าไม่อาจแยกได้ว่้าเป็นพวก(การเมือง)ซ้ายหรือขวา  ตัววิลเองก็ไม่เคยออกปากออกมาโต้งๆว่าตัวเองเป็นรีพับลิกันหรือเดโมแครต

แต่ไลน์เรื่องก็เปิดให้เห็นทีละนิดว่าวิลเป็นรีพับลิกัน(อย่างน่าแปลกใจ)แต่เขากลับโดนฝ่ายรีพับลิกันมองด้วยสายตาดูถูกว่าเป็นพวกรีพับลิกันสายกลาง  ซึ่งยิ่งดูจากการทำรายการหลังจากที่เขาเบรคแตกเรื่องอเมริกาไม่ได้เป็นประเทศยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว เขาน่าจะถูกพวกรีพับลิกันหัวเก่าเกลียดชังสาบแช่งด้วยซ้ำไป  

เหตุการณ์ต่อเนื่องจากวิล(จำยอม) ฟอร์มทีมโปรดิวเซอร์ใหม่จากคู่หมั้นเก่า แมคเคนซี่ แมคเฮล

แมคเคนซี่ปลุกตัวตนที่แท้จริงของวิลกลับคืนมา ให้วิลทำข่าวโดยไม่เอาใจคนดู ตีแสกหน้าฝ่ายรีพับลิกันหลายครั้งต่อหลายครั้งในกรณีtea party  ซึ่งพูดตามตรงฉันอดคิดแบบติดตลกไม่ได้ว่าการที่ออรอน ซอร์กินหยิบเรื่องthe newsroomขึ้นมาทำเพราะอยากสับกลุ่มtea partyให้เละเป็นโจ๊กซะมากกว่าอยากทำเรื่องเกี่ยวกับคนข่าว Smiley

 

Tea Party ฉันรู้จักชื่อนี้ตอนเรียนประวัติศาสตร์อเมริกา  รู้คร่าวๆแค่ว่าสมัยที่อเมริกาบุกเบิกประเทศและยังส่งภาษีไปให้สหราชอาณาจักรในฐานะประเทศในเครือจักรภพ  แต่เมื่อถูกประเทศแม่ผลักภาระภาษีชาอย่างหฤโหดมาให้  คนอเมริกาจึงปฏิวัติด้วยการโยนชาลงทะเลและจากนั้นไม่นานก็ประกาศอิสรภาพไม่ยอมเป็นประเทศในเครือจักรภพอีกต่อไป

...นี่คือความรู้(แค่นี้)ที่ฉันจำได้เกี่ยวกับทีปาร์ตี้

 

ซอร์กินนำประเด็นเรื่องTea Partyมาเสนออย่างถึงพริกถึงขิง ชำแหละความหน้าไหว้หลักหลอกของเหล่าบรรดาทีปาร์ตี้ในช่วงตั้งแต่ปี2010 ชนิดที่ทำให้ฉันต้องกลับไปคุ้ยการเมืองของสหรัฐในช่วงปี2011มาอ่าน  แล้วจึงได้รู้ว่ากลุ่มทีปาร์ตี้นั้นได้เข้าคืบคลานมามีอิทธิพลผ่านทางพรรครีพับลิกัน  ตัวแทนของกลุ่มทีปาร์ตี้ได้กลายมาเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อสมัครเป็นสส. สว.มากขึ้นจนน่าตกใจ

บุคคลในข่าวที่ปรากฏในเรื่องThe Newsroom ก็เป็นบุคคลจริงให้สืบหาได้(ตามgoogle) ชนิดที่ทำเอาขนหัวลุกแทนซอร์กินที่เล่นแต่ละประเด็นแรงเหลือเกินว่าจะถูกสั่งเก็บเข้ากรุชนิดเหนือเมฆ Smiley  ดีเท่าไรแล้วที่เขาไม่ใช่เกิดมาเป็นประชาชนประเทศสารขัณฑ์

 

 

กลุ่มทีปาร์ตี้ที่เข้ามามีบทบาทในพรรครีพับลิกันนั้นถือว่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยม เคร่งศาสนา(คาทอลิค)และโจมตีการบริหารประเทศของรัฐบาลโอบาม่า

เรื่องราวของthe newsroom ซีซั่น1 กล่าวถึงช่วงการสรรหาตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับโอบาม่าสมัยที่2 และกลุ่มทีปาร์ตี้ได้เข้ามาชิงชัยเพื่อจะเป็นตัวแทนพรรคแข่งขันชิงตำแหน่งด้วย

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคองเกรสวูเมน Michele Bachmann จากรัฐมิเนโซต้า หนึ่งในหัวหอกของทีปาร์ตี้สายเหยี่ยว  ซึ่งตอนแรกฉันนึกว่าเธอไม่มีตัวตนจริงเพราะประเด็นที่ซอร์กินเอามาเล่นงานเธอนั้นแรงจริงๆ แต่ด้วยความสงสัยเลยเริ่มคุ้ยดูจนพบว่าเธอมีตัวตนอยู่จริง แรงจริงและกล้าบ้าบิ่นจริง

ทำไมฉันถึงได้ลองคุ้ยหาตัวเธออย่างนั้นหรือ

ฉันคิดว่าซอร์กินนั้นเบื่อการดีเบตที่ผ่านๆมาของอเมริกาจะแย่อยู่แล้ว เขานำเสนอความน่าเบื่อและไม่น่าเชื่อถือของการดีเบตมาตั้งแต่สมัยthe west wing และครั้งนี้ในthe newsroomเขาก็กลับมาเล่นประเด็นนี้อีกครั้ง

วิลต้องการจัดดีเบตรูปแบบใหม่ จุดประสงค์ของการดีเบตรูปแบบใหม่ที่วิล(ซอร์กิน)ต้องการก็คือ เพื่อบังคับให้ผู้สมัครพูดความจริง และ "บีบ"ให้พวกเขารับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดออกมา หรือก็คือจับผู้สมัครรับเลือกตั้งขึ้นคอกพยานถูกซักถาม หากตอบไม่ตรงคำถามจะถูกขัด และจะถูกจี้หากตอบคำถามขัดแย้งกับความเป็นจริง

 

และสิ่งที่ซอร์กินต้องการบีบให้มิเชล บาคแมนรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาก็คือ.......

มิเชล บาคแมนแถลงไว้ตอนประกาศตัวเข้าชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาไว้ว่า

พระเจ้าตรัสกับตัวเธอให้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

 

โอ้โหเหะ~!

 

มิเชล บาคแมนเป็นคาธอลิกเคร่งศาสนา เธอต่อต้านการแต่งงานของเพศเดียวกัน  ธุรกิจของครอบครัวคือการรักษาคนไข้ทางด้านจิตวิทยาโดยใช้หลักศาสนาเข้ามาช่วย

 

โอ้โหเหะ~!  อีกสักรอบ

 

นี่ล่ะประเทศเสรีที่แท้จริง  คุณสามารถมีความคิดแบบไหนก็ได้ สุดขั้ว หลุดโลกแค่ไหนก็ได้ตราบใดที่คุณยังไม่ได้ถูกตัดสินว่าสติไม่ดี คุณก็จะมีสิทธิ์ในความเชื่อนั้นและยังสามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนของประชาชนได้อยู่ดี

 

 

ทีมโปรดิวเซอร์ของวิลเตรียมการดีเบตจำลอง  โดยสตาฟแต่ละคนจะเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งปธน.จะศึกษาคำปราศัย การให้สัมภาษณ์ คำแถลงการณ์ การดีเบตที่ผ่านมาเพื่อหาคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ที่ผู้สมัครจะตอบมากที่สุด

และจิม เป็นตัวแสดงแทนของมิเชล บาคแมน ผู้เคยให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ประกาศตัวชิงชัยเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐนั้นมาจากพระเจ้าทรงตรัสกับเธอโดยตรงให้ลงชิงตำแหน่งปธน.

แม้กกี้ สตาฟอีกคนจึงขอเริ่มคำถามต่อ(วิล ตัวแสดงแทน)มิเชล บาคแมน  ว่า

"เสียงของพระเจ้าเป็นอย่างไรคะ?"

 

บ่งบอกชัดเลยว่าแม้กกี้ไม่เชื่อถือในคำพูดของบาคแมนในการให้เหตุผลลงสมัครรับเลือกตั้ง  ไม่ต่างกับการปิดประตูตีแมว  ซึ่งถ้าหากพระเจ้าตรัสโดยตรงกับเธอจริง  อย่างน้อยบาคแมนก็ต้องได้ยินเสียงของพระเจ้า...จริงไหม

แม้กกี้จี้ต่อด้วยว่า  "พระเจ้าท่านทรงตรัสเป็นภาษาอะไรคะ ฮิบบรู , อะคาเดียน , หรือ คิสวาฮิเลียน บันตู?

 ...ถ้าใช้ภาษาวัยรุ่นของต้องบอกว่าเงิบไปเลย  ถ้าบาคแมนต้องได้มาตอบคำถามเหล่านี้จริงๆ

 

แต่..แต่แม้กกี้(หรือจะเป็นซอร์กินดีล่ะ)ยังไม่ยอมจบ เธอโยงไปถึงธุรกิจของครอบครัวบาคแมนที่คือการรักษาผู้ป่วยทางด้านจิตวิทยาโดยใช้หลักศาสนาเข้ามาช่วยด้วยการตั้งคำถามจี้ลงไปอีกว่า

"และถ้าจะพูดถึงในแง่ด้านการแพทย์  จะบอกได้ว่านี่คือครั้งแรกที่คุณได้ยินเสียงของพระเจ้าหรือเปล่า"

 ...อยากทุบโต๊ะ..!  อินเนอร์โมโนล็อคก็คือคุณมีอาการจิตหลอนแบบนี้ครั้งแรกหรือเปล่า   Smiley       ฉันคิดว่าซอร์กินคงอัดอั้นตันใจกับคำสัมภาษณ์นี้ของบาคแมนสุดๆไปเลยสินะ

 

 

เมื่อทีมงานต่างไม่เห็นด้วยกับการถามคำถามนี้ ด้วยการบอกว่ามันเป็นคำถามที่ล้ำเส้นเกินไป และดูจะเป็นการสบประมาทชาวคริสต์...ซึ่งถือเป็น 83%ของประชากรทั้งประเทศ  แต่แม้กกี้ไม่ยอมแพ้ เธอบอกตัวเธอก็เป็นคาธอลิก การที่บาคแมนพูดแบบนั้น เธอ...แม้กกี้ ครอบครัวและโบสถ์ของเธอต่่างหากที่เป็นฝ่ายถูกสบประมาท...และถือว่าสบประมาทความเชื่อของเธออยู่

แม้กกี้บอกว่าบาคแมนน่ะกำลังบอกเป็นนัยว่า "ชาวคริสต์น่ะปัญญาอ่อนที่ยอมเชื่ออะไรก็ได้ แล้วลดความสำคัญของพระเจ้าลงมาเหลือแค่เป็นพวกบ้าพรรคการเมือง หนุนหลังผู้สมัครรับเลือกตั้ง"

 

Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley    นี่คือคำด่าโดยใช้ความเป็นปัญญาชนมารองรับได้อย่างแยบยลแต่ผลคือเจ็บแสบไม่ต่างกับแผลสดที่โดนทิงเจอร์ราดไม่ยั้งมือ

และนี่ล่ะคือวิธีการบีบบังคับให้ผู้สมัครต้องรับผิดชอบในทุกคำที่เขาได้กล่าวออกมาต่อหน้าสื่อ

 

แม้กกี้บอกว่าการที่บาคแมนอ้างสิทธิ์ใช้ความเป็นตัวแทนของพระเจ้านั่นคือ identity thief หัวขโมยจอมสวมรอยตัวตนคนอื่น [ซึ่งจะว่าไปมันก็คือความผิดทางอาญาชัดๆนะถ้าเกิดการฟ้องร้องขึ้นมาจริง] แถมคนอื่นที่ว่านี่คือระดับ "พระเจ้า" เชียวนะ [...บาคแมนเห็นว่าโจทก์อย่างพระเจ้าคงไม่มีวันลงมาฟ้องร้องเธอสิท่าถึงได้กล้า หึ หึ ]

 

 

ฉากนี้เป็นแค่การซ้อมของสตาฟในการจำลองการดีเบตและกินเวลาออนแอร์ในตอน THE BLACKOUT part I: Tragedy Porn ไปเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น แต่ฉันคิดว่าเป็นสองนาทีที่ยาวนานราวสองหมื่นล้านปีสำหรับคองเกรสวูเมนมิเชล บาคแมน

 

 

 

ประเทศไทยเผชิญความขัดแย้งภายในประเทศอย่างที่ฉันยังมองไม่เห็นก้นเหวของความหายนะนี้...ซึ่งอาจจะยังไม่ได้เห็นในช่วงชีวิตของฉันและอาจรวมไปถึงอีกสองหรือสามรุ่นด้วยซ้ำไป    ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องแปลกไหมที่ฉันเพิ่งรับรู้ว่าประเทศเสรีนิยมอย่างสหรัฐอเมริกานั้นก็กำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้งของคนในชาติที่ไม่ต่างกันกับบ้านเรานัก

ตอนหนึ่งในซีรี่ส์เรื่องนี้มีคำพูดว่า อเมริกากำลังเผชิญความขัดแย้งของคนในชาติอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

มันทำให้ฉันได้คิดว่าไม่ว่าจะที่ไหน  ประเทศใดต่างก็ต้องมีเรื่องดิ้นรนกับปัญหาของประเทศตนอยู่ทั้งนั้น   ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้รับรู้หรือไม่ก็เท่านั้น

แต่หากความขัดแย้งและปัญหาที่แต่ละประเทศต้องเผชิญจะแตกต่างกันออกไปก็ตรงคนในชาตินั้นมองเห็นมันหรือไม่   หาก "ยอม" ที่จะมองเห็น  แล้ว "พร้อม" ที่จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหา

โดยไม่ทำการรุมขัดขาคนที่ออกมาชี้ให้เห็นปัญหาและเปิดใจที่จะรับฟังความเห็นที่แตกต่างไปจากกลุ่มคนของตน

 

ฉันมองย้อนกลับมาที่บ้านเมืองของเราตอนนี้   พวกเรากำลังยืนบนพรมที่เต็มไปด้วยขยะซึ่งถูกกวาดไปซ่อนเอาไว้ไม่ให้มันมารกหูรกตา  และพอมีใครสักคนยอมที่จะเสี่ยงมาชี้ถึงปัญหาที่เรามีอยู่ก็กลับถูกกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์พากันรุมจนแทบไม่เหลือที่ให้ยืน

คนไทยเรายินดีกับการยืนนิ่งอยู่บนพรมซึ่งเต็มไปด้วยขยะที่ถูกทิ้งจนเน่าเหม็นแทนที่จะเดินหน้าต่อแต่เท้าโดนบาดจนเลือดซิบด้วยก้อนกรวดของความเป็นจริงสินะ  

 

 

คนข่าวในThe Newsroom พูดไว้ว่า  

 

"ความเป็นกลางไม่มีที่ทางของมันในการรายงานข่าว"

 

การที่คนเราสามารถบอกได้ว่าตนอยู่ฝ่ายไหน  ไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย   กล้าโต้แย้งหักล้างความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยอย่างมีเหตุและผลรองรับโดยยังสามารถมีที่ยืนในสังคมบนความขัดแย้งแล้วละก็...

นั่นล่ะประเทศนั้นถึงจะได้ชื่อว่ามีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

และนั่นอาจคือเสียงของพระเจ้าอย่างแท้จริงก็เป็นได้

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2556
0 comments
Last Update : 17 มิถุนายน 2556 16:05:39 น.
Counter : 2719 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.