Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
10 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
ฟังหูไว้หู...อาจไม่เพียงพอแล้ว




ในโลกที่ข่าวสารแค่คลิกเดียวก็กระจายไปไกลทั่วทุกทวีปแบบนี้
การรับฟังเรื่องราวที่ได้รับรู้มาแล้วเอามากลั่นกรอง(ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรกระทำตามมาทุกครั้ง...จริงๆ)
ตรงกับ...
สุภาษิตที่เอามาใช้ได้แม้ในโลกปัจจุบันนี้ หรือที่จริงต้องพูดว่ามันช่างเหมาะเหม็งกับโลกปัจจุบันนี้มากกว่ามาก
คือ “ฟังหูไว้หู”
หรือที่เราอยากแปลงให้มันดูเหมาะขึ้นไปอีกคือ ‘ฟังแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของหู แล้วปิดเอาอีกสามส่วนสี่กับอีกหนึ่งหูไว้’ ก็ดูจะเพียงพอแล้ว


ก็ไม่รู้ทำไม หรือเพราะโลกแห่งข้อมูลข่าวสารที่แค่นั่งอยู่กับบ้านก็รับรู้เรื่องราวรอบโลกได้ทำให้เราถึงได้รู้สึกได้ว่า คนเราเลือกที่จะเชื่อเรื่องที่รู้มาง่ายเหลือเกิน ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ว่ายุคสมัยไหน โบร่ำโบราณแค่ไหนสันดานของคนมันก็อาจเป็นอย่างนี้โดยตัวของมันอยู่แล้วก็ได้
เพียงแต่ในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้เรามองเห็นมันได้ชัดเจนขึ้นก็เป็นได้


เรื่องราวที่ช่วงนี้เราได้รับมา จนได้ไปอ่านมาทำให้รู้สึก...เศร้าเหรอ ไม่หรอก คงเป็น ‘เซ็ง’ มากกว่า
ความจริงก็ได้ยินมาเป็นเนืองๆแล้ว มันเหมือนคลื่นใต้น้ำที่กระเพื่อมมาเป็นระยะ เพียงแต่ว่าต่างคนต่างทั้งเก็บและกดมันเอาไว้
โดยที่ต่างก็พอรู้ตัวกันล่ะว่า ยิ่งกด รีแอคชั่นที่จะสะท้อนกลับมามันยิ่งแรงยิ่งสูง
แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เพราะมีบางอย่างค้ำไว้อยู่ อุดปากเอาไว้ มันก็ยิ่งกรุ่นระอุอยู่ในใจ
แล้วพอมีใครบางคนเปิดช่องแม้แค่รูเข็ม ไอเดือดมันถึงได้พุ่งทั้งสูงทั้งแรงไม่ต่างจากลาวาเดือด
แล้วทุกหย่อมหญ้าที่มันไหล่บ่าไปถึงก็ร้อน และราบมลายสูญ

เราจะไม่ตัดสินหรอกว่าเรื่องที่มันพราดออกมาดิ้นตอนนี้มีความจริงซ่อนอยู่มากน้อยแค่ไหน
เป็น Fact หรือ Rumor หรืออาจแค่ Emotion
เพราะที่รับรู้มา ก็ผ่านทั้งบุคคลที่สอง บุคคลที่สาม สี่ ห้า
มีคำว่า... ‘ฟังเขาว่า’ มาทั้งนั้น ไม่มีใครกล้ายืนยันแม้สักคนว่า ‘ฉันว่า’


ในโลกAF มันแปลกไหม
สำหรับเราดูผ่านมาห้าซีซั่นเข้าไปแล้ว เห็นมาก็มาก รู้มาก็เยอะ เคยแม้แต่เข้าไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อท่ามกลางลาวาด้วยซ้ำไป
เพราะฉะนั้นเรื่องที่กำลังเดือดอยู่ตอนนี้เรามองด้วยสายตาเข้าใจเต็มเปี่ยม เข้าใจทั้งหมด
และ ‘รำคาญ’ จนถึงที่สุด
รำคาญตรงว่า ไอ้วัฏจักรแบบนี้มันกลับมาทุกปีสิวะ ทำยังกับว่ามันคือเทรดมาร์คประจำตัวแฟนคลับยังงั้นล่ะ

ก็เอาน่ะ...พอคิดไปว่า บางคนเขาเพิ่งก้าวเข้ามาหรือเพิ่งเคยเจอ ถึงได้ยากจะรับมือหรือเอาตัวรอดจากลาวาไปไม่ทัน ก็เลยยิ่งต้องให้ความเข้าใจ


เรื่องบางเรื่องที่เหมือนจะไม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตอนนี้
ในสายตาเราแล้ว มันคือการกระทบกระทั่งของคนหมู่มากที่มาอยู่รวมกันโดยที่พื้นฐานทางชีวิต ความคิด สติปัญญา รวมถึงอายุ มันต่างกันอย่างที่เรียกว่าติดลบไปจนเกินบวกเลยทีเดียว
แล้วบรรดาคนกลุ่มนี้ซ้ำร้ายถูกปิดอยู่ด้านหลังจอคอมพิวเตอร์จนไม่อาจรับรู้หรือเห็นตัวตนที่แท้จริงของกันได้
คนที่คุยสนิทสนมกัน อาจเป็นอาม่าอายุหกสิบ กับเด็กที่ยังไม่มีคำนำหน้าว่านางสาวด้วยซ้ำ
แต่จริงๆแล้วเรื่องอายุมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอก ไม่งั้นมันจะมีคำว่า ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ เกิดขึ้นมาหรือ

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าคนที่เราติดต่อสื่อสารอยู่นั้น แม้จะรู้จักหน้าตา อายุ มีตัวตนให้จับต้องได้นั้น
มี ‘วุฒิทางอารมณ์’ มากน้อยแค่ไหนต่างหาก บวกกับ ‘วุฒิทางความคิด’ เพียงพอหรือไม่อีกด้วย

เพราะฉะนั้นข่าวสารที่ได้รับมา เมื่อเราไม่อาจแน่ใจในศักยภาพของคนที่สื่อผ่านๆมาซึ่งอาจหลายทอดหลายต่อแล้ว
คุณจะแน่ใจได้อย่างไรกันว่า มันไม่มีการบิดเบือน ไม่มีการต่อเติม ไม่มีการใส่สีตีข่าวตามรายทางที่ข่าวมันเดินทางมา
คุณแน่ใจได้อย่างไรกันว่า ‘ข่าวนั้นขาวบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์จากต้นตอ’
คุณสามารถอ้างแบบนั้นเป็นฟุตโน้ตต่อท้ายข่าวที่คุณได้รับมาไหม
คุณสามารถให้แหล่งข่าวการันตีความเที่ยงตรงของข่าวที่เขาบอกคุณมาได้ไหม

สำหรับเราแล้ว แค่คำว่า ‘ข่าว’ มันก็บ่งบอกในตัวมันเองแล้ว
ว่ามันผ่านการเดินทางโดยมีผู้ถือสาร
ผู้ถือสารที่เราไม่อาจรับรองความเที่ยงตรงของเขาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มหรอก
ไม่ใช่เพราะว่าเขาอาจโกหก แต่เขาเองอาจได้รับการบิดเบือนมาอีกทอด
หรือ...หรือถ้าเขาเป็นต้นตอข่าวนั่นเอง เราจะแน่ใจได้ไงว่า ข่าวที่ออกมาจากเขามันไม่ได้ออกมาด้วยอารมณ์ในการมอง ในการตัดสิน มันมีความจริงแฝงอยู่พอๆกับอารมณ์มากน้อยแค่ไหน

เพราะคนไม่ใช่คณิตคิดคำนวณ มันถึงไม่มีทางคิดร้อยถูกร้อยด้วยการใช้สูตรที่ถูกต้องมาแก้นี่นา


ยกตัวอย่างง่ายๆจากตอนที่บรรดาเด็กafอยู่ในบ้านก็แล้วกัน
เด็กที่ถูกบรรดาคนดูจ้องมองผ่านกล้องนับร้อยแทบทุกมุมจับทุกอากัปกิริยา
โดยไม่พูดถึงการตัดต่อให้ดูตามแต่ความต้องการของโปรดิวเซอร์นะ

คนหนึ่งคนนั่งมองเด็กผ่านจอทีวี เห็นจะจะว่าเด็กมันพูดหรือทำอะไรออกมา
ก็ยังตีความ ยังมองเห็นแง่มุม ยังรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ จุดจุดนั้นต่างไปจากคนอื่นๆที่เฝ้ามองมาไม่ต่างกัน

อย่างง่ายๆ...คำสบถที่เด็กหลุดออกมาหนึ่งคำ
คนหนึ่งคนได้ยินแล้วเข้าใจ มันเป็นแค่คำติดปาก แค่เด็กมันหลุดตามความเคยชิน แล้วไม่ติดใจอะไร
แต่กับอีกคนกลับเห็นเป็นเรื่องร้ายแรงคอขาดบาดตาย เก็บเอามากร่นด่าประหนึ่งเด็กมันหยิบมีดไปฆ่าคนตายให้เห็นต่อหน้า แล้วหลังจากนั้น เด็กคนนั้น ก็จะถูกมองด้วยสายตาที่ต่างออกไป กลายเป็นตัวร้ายในทีวีไทยไปโดยปริยาย

หรืออีกตัวอย่าง ข้อกล่าวหาที่เด็กafทุกรุ่นต้องได้เจอ ‘การเล่นเกม’
เล่นเกมไม่เล่นเกม ดูกันตรงไหน
ก็ดูมาพร้อมๆกันใช่ไหมล่ะ คนที่นั่งเฝ้าหน้าจอทีวีมาตลอดสามเดือนน่ะ นั่งกินนอนไปพร้อมๆกับนักล่าฝันและไปพร้อมกับคนดูอีกหลายร้อยชีวิตที่ปรับนาฬิกาชีวิตตัวเองไปตามจังหวะเด็กในบ้านน่ะ
เห็นทุกอย่างไปพร้อมกัน เหมือนกันเปี๊ยบ
ยังตีความการะกระทำของเด็กต่างกันเลย
คนหนึ่งดูแล้วไอ้เด็กคนนี้เด็กดีจริงๆ พูดดีจริงๆ ทำดีจริงๆ
คนหนึ่งกลับเห็นว่าไอ้เด็กคนเดิมนี้ล่ะช่างเฟคจริงๆ ไม่จริงใจให้เพื่อนสักนิด ดีแต่เล่นเกมเพื่อเอาตัวให้รอดเพื่อจะได้อยู่ต่ออีกวีค


การรับมือกับข่าวสารของคนเรามันต่างกัน...ต่างกันมาก
ไม่งั้นมันจะเกิดกลุ่มแฟนคลับได้ไง เด็กที่เราเห็นดีก็มีแฟนคลับ ส่วนเด็กที่เราไม่ชอบขี้หน้าเขาก็มีไม่ต่างกัน
เพราะในขณะที่เรารักของเรา เด็กที่เรารักก็มีคน 'เกลียด' ไปพร้อมกับความรักที่เรามอบให้นั่นล่ะ

ประเภทรักคนนี้ ชื่นชมคนนี้จึงยอมเป็นแฟนคลับก็เข้าใจไม่ยาก
แต่มันก็มีประเภท เกลียดคนคนนี้ รำคาญ ไม่ชอบขี้หน้าจนให้เกิดวิถีทางการจองล้างจองผลาญเด็กหนึ่งคนขึ้นมาก็มีให้เห็นมันทุกปี
เคยคิดไหมล่ะ ตูก็นั่งดูเหมือนๆกันนี่ล่ะ เห็นมาเหมือนๆกันนี่ล่ะ ไอ้เด็กที่ถูกเกลียดนี่มันเลวร้ายขนาดนั้นตอนไหนวะ
หรือไม่ ก็ดูมาตลอด เห็นไม่รู้จะเห็นยังไง ไอ้เด็กคนนี้มันเด็กดีตรงไหนฟะ เจ้าเล่ห์ก็ที่หนึ่ง นิสัยเสียไม่มีใครเอา ทำไมคนถึงได้ว่ามันเป็นเด็กดีได้ไงวะ!
แล้วคนสองประเภทนี้ก็ตะโกนอยู่หน้าทีวี
“เฮ้ย! ดูAFช่องเดียวกัน ปีเดียวกันอยู่หรือเปล่าวะ”


ก็นั่นน่ะสิจริงไหม
นี่ขนาดถ่ายทอดสดๆให้เห็นมันทุกแง่ทุกมุมไปพร้อมๆกัน
ได้เห็นการกระทำ ได้ยินคำพูดโดยไม่ผ่านบุคคลที่สองที่สาม
ยังตีความต่างออกไป ยังรู้สึกต่างออกไป

แล้วข่าวสารที่ได้รับหลังจากเด็กมันออกมาจากบ้านล่ะ
มันไม่ยิ่งย่ำแย่กว่าหรือ
มันผ่านมาไม่รู้จะกี่ทอด ถูกสอดไส้มาไม่รู้จะกี่อย่าง จน ‘fact’ โดยตัวมันเองถูกบดขยี้จมหายกลายเป็นแค่เศษธุลีที่ถูกมองข้ามไป

พูดมาอย่างนี้อาจโดนย้อนถามว่า งั้นก็เชื่อข่าวอะไรไม่ได้เลยงั้นสิ
งั้นก็ถามตัวเองเองเถอะว่า ‘ใจ’ ของคุณน่ะอยากเชื่อมันมากน้อยแค่ไหน
ไม่ใช่แค่จะเชื่อเพราะว่า ก็พูดตรงกันหมดน่ะจากที่ได้ยินมาจากหลายๆคน
ก็ไอ้หลายๆคนน่ะ มันได้มาจากแหล่งข่าวเดียวกันหรือเปล่าล่ะ
หรือจะเชื่อเพราะคนที่บอกเราเป็น ‘เพื่อน’ เราถึงเชื่อ
แล้ว ‘เพื่อน’ ที่เราจะเชื่อเขารับรู้มาจาก ‘เพื่อน’ จริงๆหรือ
เราจะแน่ใจหรือ ว่าเป็นเพื่อนแล้วจะไม่โกหก ข่าวที่ออกมาจากปากจะไม่บิดเบือน จะไม่ตกหล่นไอ้ที่ไม่ควรจะตกหล่น หรือไปเพิ่มในส่วนที่มันไม่เคยมี
การเดินทางของข่าว มันไม่มีบิดซ้ายเกขวาสักนิดงั้นหรือ แน่ใจได้ขนาดนั้นหรือ

ตัวเราเองก็ไม่อาจบอกได้หรอกว่า ทำอย่างไรถึงจะรู้ได้ว่า ‘ข่าว’ นั้นมันเชื่อถือได้
บอกได้แค่ว่า ลอง ‘รับฟัง’ ไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ‘คิดพิจารณา’
ลองย่อยข่าวด้วยตัวเอง ค่อยๆบิกลีบใบที่ไม่จำเป็นวางไว้ข้างๆ จนเหลือแก่นของมัน
การจะรู้ว่า ‘ถึงแก่น’ หรือยัง ก็ต้องอาศัยประสบการณ์ตัวเอง มันสอนกันไม่ได้จริงๆเพราะแม้แต่คนที่เชี่ยวชาญที่สุดยังโดนฉากหลอกตาคิดว่ามันคือแก่นไปได้เหมือนกัน
หรือบางที ใบที่เราบิวางไว้นั่นล่ะคือแก่นที่ถูกมองข้ามไป เพียงแต่ว่ามันหงิกงอเสียจน ‘ใจ’เราทำเป็นมองเมินเท่านั้นเอง

...อาจเพราะโตและผ่านอะไรมาพอตัวแล้ว เราถึงได้เหลือความเชื่อถือให้กับ ‘ข่าว’ อะไรๆที่ได้ยินได้อ่านได้รู้มาน้อยลงไปทุกวัน
สิ่งที่เราทำมีแค่ ‘รับฟัง’ เพียงเท่านั้น
ฟังพอให้รู้ รับพอให้เข้าใจ....แล้วก็จะทำใจได้เอง

ถ้ามันไม่มีผลกระทบกับชีวิตส่วนตัว ก็อย่าไปเอามาใส่ใจนักเลย
ปล่อยพื้นที่หัวใจให้ว่างพอรับสิ่งที่ดีดีไม่ดีกว่าหรือ


แล้วเราอยากพูดตรงๆ เพราะรู้ว่า ‘ข่าว’ ที่ระอุอยู่มันปะทุขึ้น มีสาเหตุหนึ่งมาจาก
มินิคอนคู่ที่ผ่านมาในงานวันเกิดต้อล
เชื่อไหมล่ะว่า....
แค่งานยังไม่ทันจบ เริ่มไปได้ไม่นาน โทรศัพท์สายแรกที่เรารับ คือความเสียใจ
โทรศัพท์สายที่สองหลังจากคอนเลิก คือความปลื้มใจ
นี่แค่...คอนคอนเดียว ดูมาพร้อมๆกัน คนยังรู้สึกต่างกัน

เราไม่ตัดสินหรอกว่าใครจะคิดมากไป หรือ คิดน้อยไป
หลังจากเราได้ดูแล้ว เราก็รู้ว่า คนที่มองต่างมุม ไม่ผิดหรอกที่เขาจะรู้สึกอย่างนั้นหรือไม่รู้สึกอย่างนั้น
แล้วสิ่งที่ศิลปินทำ เราก็บอกไม่ได้อีกนั่นล่ะว่ามันถูกมันควรหรือมันดีหรือไม่



แต่ขอบอกออกมาจากใจ
มินิคอนคู่ของเด็กสองคนนี้ มันลดความสนใจ ลดความน่าดูลงไป
นัทกับต้อลต่างก็รับผิดชอบงานในมือตัวเองได้ดีสมเป็นมืออาชีพมากขึ้นเรื่อยๆ
ไลน์ประสานเพลงดูโอก็ทำได้ดีเพราะความเชี่ยวของแต่ละคน และลงตัวเพราะความเคยชินในวิธีการร้องของกันและกัน

แต่นอกจากนั้นล่ะ
เราเห็นความเครียด ความระวังตัวแจของเด็กสองคน
จะแตะตัวกันก็ต้องรีบห่าง จะมองหน้ากันก็ต้องรีบหลบ
เวลาร้องคู่ท่อนที่มีคำชวนคิดมากก็เห็นความระวังที่จะไม่สบตากัน
...ถ้ามันต้องระแวดระวังตัวจนถึงขนาดนี้ล่ะก็นะ
บอกตรงๆ เราก็เหนื่อยที่จะดู
เราเห็นใจเด็กทั้งคู่จนแทบจะออกปากว่า ไม่ต้องร้องเพลงคู่กันก็ได้นะน้องเอ๊ย

เราคิดมากไปหรือเปล่า
เรารู้สึกไปเองหรือเปล่า

ก็เพราะว่าเวลาที่เราดูเด็กสองคนร่วมมินิคอนกับเพื่อนคนอื่นๆ มันไม่เป็นอย่างนี้
เวลาที่มีเด็กคนอื่นมาร่วมแจมกับนัทและต้อลมันก็ไม่ให้ความรู้สึกแบบนี้
แม้กระทั่งมินิคอนคู่ช่วงแรกๆ เราก็ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้

หรือเพราะมันเฝือไป
เด็กสองคนเล่นคู่กันบ่อยไปจนเดาทางได้แล้ว
จนมันไม่เหลือความสดที่ชวนมองอีกแล้วงั้นหรือ

เราไม่รู้จริงๆ


ตัวเราได้ยินคำพร่ำเพ้อว่า ‘รัก’ จากบรรดาแฟนคลับมานับครั้งไม่ถ้วน
เราย้อนกลับมาถามตัวเราเอง...แค่ตัวเองว่า
เรา ‘รัก’ เด็กสองคนนี้หรือเปล่า

คำตอบจากใจเลยว่า ‘ไม่’
เรามีเพียงแค่ ชอบหรือจริงๆแล้วคือ ‘ชื่นชอบ’ ในลักษณะนิสัย ทั้งดนตรีของเด็กสองคนเท่านั้นเอง

อย่างต้อล...อันดับแรกที่ชอบเลยความเป็นคนดนตรีของต้อล
อย่างต่อมาคือนิสัยใจคอที่ได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกย้อนไปถึงกลุ่มเพื่อนสมัยมหาลัย เป็นแบบนี้ทั้งนั้น

กับนัท...ต้องใช้คำว่า ทึ่ง ทึ่งทุกอย่างที่กลิ้งอยู่ในมันสมองของน้องคนนี้
และชื่นชอบนิสัยใจคอ ที่ออกมาเป็นความคิดความอ่าน การมองโลกในแง่มุมแบบนัท

โดยส่วนตัวแล้วก็แค่นี้ เรารู้จักเด็กสองคนนี้ก็แค่สามเดือนในบ้าน
ถึงแม้ใครจะบอกว่าด้วยสถานการณ์ทำให้สามเดือนเหมือนสามปีก็ตามแต่เถอะ
แต่เราก็ไม่เชื่อหรอกว่าคนเราจะรู้จักใครได้ทะลุถึงตัวตนทุกอย่างภายในเวลาแค่สามเดือน
ยิ่งในเมื่อเด็กทุกคนต่างรู้ว่าทุกการกระทำของตนถูกมอง ถูกประเมินผ่านกล้อง มีคนจับตาอยู่
มันไม่ใช่การเสแสร้ง แต่มันคือการระวังตัว มันคือเกราะที่ใช้ไว้ป้องกันตัวแบบที่คนทุกคนในโลกเบี้ยวๆใบนี้มีกันทุกคน
เพราะฉะนั้นเราจึงรู้จักเด็กในส่วนที่เด็กคนนั้นยอมเปิดมาให้เห็น
และยิ่งเมื่อเด็กก้าวออกจากบ้าน ประสบการณ์มากมายที่ถาโถมันจะยิ่งหล่อหลอมทั้งความคิด การกระทำ ความรู้สึกหรือแม้กระทั่งตัวตนให้เติบโตขึ้น
ไม่มีใครหรอกที่จะคงนิสัยใจคอได้เหมือนเดิมเปี๊ยบตั้งแต่เกิดไปจนตายราวแกะที่ถูกโคลนนิ่งมาหรอกนะ

เด็กที่เรารู้จักก็ต่างก็โตขึ้นไปจากที่เรารู้จักสามเดือนนั้น
อย่าหวังให้เขาเหมือนเดิม เพราะจริงๆที่เราคิดว่ารู้จักหรือชอบในแบบนั้นมันคือการสรุปคิดไปเองฝ่ายเดียวของเราไม่ใช่หรือ
สามเดือนในบ้าน เราตีความหมายจากการพูด การกระทำ ไม่กระทำของเด็ก แล้วสรุปตามใจตัวเองว่าเด็กมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แต่พอเด็กก้าวออกมาจากบ้านแล้ว เราได้มาเห็น ได้ยิน แล้วก็ผิดหวัง สมหวังเองตามใจตัวเองไม่ต่างกันหรอกนะ


เรานั่งฟังคำว่า ‘รัก’ ที่ทำให้เราขนหัวลุก
ถ้าคำว่ารักทำให้น้องมันต้องไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
คำว่ารักทำให้ต้องคอยตามเอาใจ ถูกบีบบังคับให้ทำอะไรที่ใจน้องมันเหนื่อยเหลือเกินที่จะต้องฝืนทำ
ใช้คำว่ารัก เพื่อครอบน้องเอาไว้ เพื่อครองน้องเอาไว้
มันก็ไม่ใช่ ‘รัก’ ในแบบ ‘รัก’ ที่เรารู้สึกและรู้จักหรอก


ถ้าคุณไม่สามารถรักน้องได้ในแบบที่น้องเป็น
ถ้าอยากปลี่ยนน้องให้เป็นแบบที่ต้องการคุณถึงจะสามารถพร่ำเพ้อคำว่ารักน้องได้ต่อละก็
เราก็แค่หวังว่า น้องมันไม่จำเป็นต้องแบกรับ ‘รัก’ นั้นเอาไว้
รักที่กดน้องจมลงไปใต้พื้น ที่อัดเสียจนน้องมันหายใจไม่ออก
รักในแบบที่ทำให้น้องไม่เหลือพื้นที่ส่วนตัวให้กับตัวเองและคนที่น้องรักและรักน้องจริงๆ
‘รัก’แบบนั้น มันไม่ใช่รักหรอกนะ มันไม่เหลือคุณค่าพอให้แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำไป

ต้อลและนัทรู้ใช่ไหมว่าต้องรับมือมันอย่างไร
สิ่งหนึ่งที่พี่คนนี้เชื่อมั่นก็คือ
พี่ยังเชื่อว่าน้องทั้งสองคนเป็นตัวของตัวเองมากพอ และมีความคิดเป็นของตัวเองมากพอ
จนที่จะไม่ต้อง ‘ตามใจ’ เพื่อที่จะ ‘ได้ใจ’


สิ่งที่อยากทิ้งท้ายก็คือ
ตอนอยู่ในบ้านสามเดือน เรื่องผลงานไม่ใช่สิ่งแรกที่พี่มองน้องสองคน
แต่ออกจากบ้านมา
สิ่งที่พี่คนนี้อยากได้จากนัทและต้อลก็คือ ‘ผลงานเพลงที่ดีถึงดีมาก’
พี่ไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของเราแล้ว มันจบไปแล้วกับการที่ต้องมีกล้องจับจ้องยี่สิบสี่ชั่วโมง
พี่แค่รอ ‘ผลงานเพลง’ จากฝีมือคนดนตรี
ไม่สนใจแม้กระทั่งงานละคร งานแสดงด้วยซ้ำขอบอกตรงไปตรงมา (ก็พี่เลิกดูละครไทยไปนานโขแล้วอ่ะ)
การออกทีวีมันคือการสร้างฐานความมีชื่อเสียงได้ผลเป็นอย่างดี ไม่ขอกล้าแย้งเรื่องนี้หรอก
นักร้องไม่มีทางเป็นที่รู้จักวงกว้างเท่านักแสดงที่มีผลงานออกฟรีทีวี ได้เป็นที่รู้จักโดยไม่ต้องโฆษณา
แต่ขอเพียงเมื่อน้องมีฐานของความมีชื่อเสียงมากพออยู่ในมือแล้ว
ขอให้น้องใช้ฐานนั้นมาเป็นอาวุธต่อรองในการสร้างสรรค์ผลงานดนตรีที่ทำให้คนที่ ‘ฟัง’ เพลงจริงๆชื่นชม
ผลงานที่น้องสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าคือ ผลงานที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของตัวเองที่สุด ไม่ใช่แค่สคริปต์ที่ถูกฝังเป็นชิพอินเทลเวลาให้สัมภาษณ์
ผลงานที่ไม่ถูกการค้าเบี่ยงเบนจนต้องจำใจที่จะเร่งรัดออกมาให้ครบตามกำหนดเวลา

ขอแค่นี้เองคงไม่มากไป..จริงไหม










Create Date : 10 มกราคม 2552
Last Update : 10 มกราคม 2552 19:34:36 น. 4 comments
Counter : 866 Pageviews.

 
เยี่ยมค่ะ เขียนได้ดีมากเลย แทนทุกคำที่อยู่ในหัวพี่เลย

^ ^


โดย: mayny the kop วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:23:13:19 น.  

 
ขอบคุณค่ะ


โดย: Quaver วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:20:35:09 น.  

 
ตรงใจดีจริงๆ อ่านๆ ไปว่ายาวแล้ว แต่ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะคะ


โดย: :+:2 Days Before Christmas:+: วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:1:42:17 น.  

 
นั่นสิเนอะ ต่างคนต่างจิตต่างใจ
แล้วจะเอาอะไรนักหนา กับสองหนุ่ม

อยากให้นัท ทำแบบต้อลได้เร็วๆ อย่างที่บอกไว้ว่าเป็นข้อดีของต้อล หนึ่งใน 21 ข้อ ที่นัทกำลังพยายามทำให้ได้แบบน้อง

รอฟังผลงานดีๆ ที่คิดว่า จะได้ออกมาเรื่อยๆ จากสองหนุ่มอยู่เหมือนกันจ้ะ
นัทเนี่ยแต่งเพลงไว้หลายเพลงแล้ว ต้อลก็น่าจะแต่งๆ ไว้เหมือนกัน
หวังว่า เราคงจะได้ฟังเพลงที่ พี่น้องแต่ง และออกมาอย่างที่ทั้งสองคนอยากให้เป็น

( ว่าน ยังทำได้มาแล้วเลย แม้จะรอนานซักหน่อยก็เถอะ แต่ก็แค่ ปีสองปี พี่น้อง hothit กว่าว่านแยะ คงได้ทำเร็วกว่า มั้ง )



โดย: แม่กบตัวอ้วน วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:8:47:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.