หากทุกการรู้จักของคนเราต้องมีเหตุผล "ผมเป็นพวกมีอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด แถมบางทีก็พูดตรงเกินไปจนทำร้ายความรู้สึกของคนรอบข้าง" หนุ่มแดกูวัย 28 หัวเราะออกมาเมื่อหันไปมองสตาฟเชิงขอคำยืนยันแต่กลับได้รับคำปฏิเสธกลับมาว่าไม่จริงหรอก "ดีจังที่ได้ยินแบบนั้น" ภาพผู้ชายคนนี้ยิ้มแป้นปนเขินๆผุดสวนขึ้นมา พวกมีอะไรก็แสดงออกมาหมดก็อ่านง่ายแบบนี้ล่ะ ตัวเราตกหลุมรักจุนเคครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งในนั้นก็เพราะความรักในดนตรีที่ไม่สิ้นสุดของเขา "เมื่อพูดถึงความรักแล้ว สำหรับผมมันก็ยังคงเป็นดนตรี" จุนเคเล่าถึงจุดเริ่มต้นความรักครั้งนี้ของเขาว่า "เหตุผลที่เปิดโลกทางดนตรีของผมก็ผ่านมาทางบทเพลงของวง the Carpenters ตอนนั้นผมอยู่ชั้นป.1 กำลังร้องเพลงโดยถือการ์ดเนื้อร้องไว้อยู่ในมือ แล้วผมก็รู้สึกขึ้นมาว่า อา~ดีจัง" รักครั้งแรกของหนุ่มตัวน้อยก็เปิดตัวขึ้นมาอย่่างง่า่ยดายอย่างนี้นี่เอง "ประสบการณ์ตอนเรียนอยู่ ป.4 ที่สิงคโปร์ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญของผมเลยล่ะครับ คุณลุงผมพาผมไปที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง แล้วผมก็ได้เจอกับผู้ชายผิวดำตัวโตกำลังร้องเพลงของวง the Carpenters ในแบบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกซึ่งแตกต่างไปจากต้นฉบับอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นถึงผมจะเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆแต่นั่นก็ทำให้ผมอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ แล้วคุณลุงผมก็ยังชอบเอาดีวีดีของไมเคิล แจ็กสันซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นของหายากมาเปิดให้ผมดูด้วย" รักครั้งที่สองของหนุ่มน้อยแดกูเริ่มผลิบาน "แล้วตัวการสำคัญที่ทำให้ผมดำดิ่งลึกลงในดนตรีเรียกได้ว่ามาจากเพลง That's What Friends Are For ซึ่งขับร้องโดย Dionne Warwick, Elton John และ Stevie Wonder มันช่างเป็นเพลงที่น่าทึ่งแล้วยิ่งพอผมนั่งมองผมก็รู้ทันทีว่าผมดิ้นไม่หลุดแล้ว ผมจึงตัดสินใจทันทีว่าผมจะทำงานดนตรีหลังจากที่ได้ดูโชว์นั้น" รักครั้งที่สามตอกย้ำชัดลงในใจ แล้วเส้นทางทางดนตรีของคิมมินจุนจึงเริ่มต้น "ผมเริ่มมุ่งมั่นไปในเส้นทางสายดนตรีตอนขึ้นมัธยม การจะเข้ามัธยมในเกาหลีจะต้องใช้การจับฉลาก แล้วผมดันจับฉลากได้โรงเรียนระดับแนวหน้าของแดกูซะด้วยสิครับ" เด็กชายแดกูถึงกับเหงื่อตกในความมือขึ้นสุดๆของตัวเอง "มีแต่พวกหัวกะทิมารวมตัวกันอยู่ที่นั่น ถึงผมจะพยายามหนักให้ตายก็ยังมีหัวกะทิของหัวกะทิรออีกอยู่ดี" เสียงทอดถอนกินระกำหนึ่งกำมือดังสะท้อนใจ "หลังผ่านการสอบปลายภาคของเทอมแรกผมก็เริ่มยอมแพ้ คิดขึ้นมาว่า 'สู้ให้ตายก็ไม่มีทางชนะในสนามแห่งนี้' " จุนเคระเบิดเสียงหัวเราะลั่นหลังจากพูดจบ ช่างเป็นผู้ชายที่รู้จักประเมินตัว รู้จักตัวเอง "แล้วผมก็เลยเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเองอย่างจริงจังขึ้นมาว่าผมอยากเป็นนักดนตรีมืออาชีพ นี่ล่ะคือหนทางเดียวที่ผมเลือก" จากนั้นคืออุปสรรคที่วางไว้เพื่อทดสอบความรักของเขา "เพียงแต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของผมท่าน...โดยเฉพาะคุณพ่อที่เป็นคนหัวเก่านั้นไม่มีทางเลยที่จะยอมรับ ดังนั้นเพื่อที่จะโน้มน้าวพวกท่านแล้ว ผมก็เลยไปสมัครเข้าร่วมแข่งขันร้องเพลงของระดับมือสมัครเล่นทั้งทางวิทยุ ทีวีแล้วก็งานที่จัดแข่งขันในระดับท้องถิ่น" เมื่อมุ่งมั่นพอ ผลตอบแทบก็ย่อมส่งผลคืนกลับ "ตอนที่ผมชนะได้ของรางวัลเป็นตู้เย็นเก็บกิมจิกับหม้อหุงข้่า่วทำเอาคุณแม่ของผมท่านดีใจมีึความสุขมาก" มินจุนหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงภาพความยินดีของคุณแม่ตัวเองในวันนั้น แต่อุปสรรคใหญ่อีกอย่างใช่ว่าจะข้ามผ่านได้แค่ของใช้ในครัว "แต่คุณพ่อของผมท่านก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี จนปีแรกของมอปลายผมได้เข้าร่วมในเทศกาลเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแดกูแล้วชนะเลิศได้รับของรางวัลเป็นทีวีจอแบนขนาด 29 นิ้ว ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นของระดับพรีเมี่ยมจนทำให้แม้กระทั่งพ่อผมยังอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้เลยครับ และนั่นล่ะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณพ่อท่านยอมรับในตัวผมและจากนั้นท่านก็ยอมให้ผมไปเรียนที่โรงเรียนสอนดนตรีได้" จะพิชิตหัวใจผู้ชายก็ต้องเครื่องใช้ไฟฟ้าเท่านั้น คุณพ่อไม่ได้กล่าวไว้ (หนูก้มกราบที่ล่วงเกินค่ะคุณพ่อ หวังว่าคุณพ่อจะไม่ถือสาลูกสะใภ้ แฟนคลับคนนี้) "ผมเิริ่มเรียนดนตรีคลาสสิคและการดนตรีจากที่นี่และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นเส้นทางสายดนตรีของผม" เส้นทางสายนี้ใช่ว่าง่ายดาย แค่ความรักอาจไม่เพียงพอ ชะตาอาจคือสิ่งที่คนเราพยายามที่จะคว้าไว้ในกำมือ "ตัวผมเป็นเด็กฝึกอยู่ 4 ปี ผมเห็นคนมากมายทำหัวใจหล่นหายแล้วเดินจากไป ยอมแพ้ที่จะได้เดบิ๊วท์ พอผมลองย้อนนึกดูก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ยากลำบากที่สุดของเหล่าเด็กฝึกไม่ใช่การฝึกซ้อมที่แสนโหดร้ายแต่มันคืออนาคตที่คาดเดาไม่ได้ที่รอเราอยู่ต่างหาก" ไม่ใช่แค่ร่างกายที่ต้องแข็งแกร่งหากจิตใจนั้นยิ่งต้องแกร่งกว่า "ระหว่างเส้นทางที่ราวกับต้องถูกบดขยี้ด้วยความรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดว่าคุณจะยังเหลือแรงใจพอที่จะสู้ต่ออย่างสุดความสามารถนั้นแล้วยังรวมทั้งอนาคตที่ไร้ความแน่นอนว่าคุณจะได้รับโอกาสเดบิ๊วท์หรือไม่อีกด้วย ผมคิดว่านี่ล่ะคือบททดสอบที่แท้จริง" และหลังจากนั้นคือความภาคภูิมิใจ ไม่ใช่ภาคภูิมิที่ชนะคนอื่นแต่คือความภาคภูมิที่ชนะตัวเอง "เหนือสิ่งอื่นใด เหนือเสียยิ่งกว่าเรื่องความสามารถแต่มันคือความมุ่งมั่นของตัวเราเอง ผมก้าวผ่านทุกอย่างมาได้โดยไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อนด้วยความมุ่งมั่นที่ว่า No music no life " อนาคตซึ่งไร้ความแน่นอนพร้อมบดขยี้ความฝันของคนเรา "ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ความมุ่งมั่นที่ทำให้ผมไม่ท้อแท้ไปเสียก่อนก็คือผมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสทองที่ลอยมาต้องหลุดมือไป" ความรักในดนตรีของผู้ชายคนนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าดีเอ็นเอในตัวเขาอาจร้อยเรียงกันเป็นเมโลดี้ก็เป็นได้ "ดนตรีมีพลังพอที่จะเขย่าหัวใจคน เมื่อหัวใจเกิดสั่นสะเทือนไปพร้อมๆกับเสียงเพลง นั่นล่ะจะนำพาคนเราให้เชื่อมเข้าหากันไปจนทั่วทั้งประเทศ" ด้วยเสียงเพลง คิมมินจุนให้สัญญาไว้ว่า "นับจากนี้ไป ผมจะพยายามให้มากขึ้นเพื่อจะถ่ายทอดความรู้สึกที่สามารถจับใจผู้ฟังเอาไว้ เพราะงั้นทุกคนครับช่วยเฝ้ารอด้วยนะครับ" งานเพลงที่ผู้ชายคนนี้จะสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคตจะออกมาในรูปแบบไหนบ้างนะ เราอยากเห็นการเติบโตทางความคิดผ่านงานดนตรีของเขา งานที่สะท้อนประสบการณ์ชีวิต งานที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึก แนวเพลงสร้างสรรค์ในหลายรูปแบบแตกต่าง เราอาจไม่ชอบไปเสียหมดแต่เชื่อว่าจะต้องอดชื่นชมไม่ได้แน่นอน จำได้ว่าจุนเคเคยบอกไว้ว่าถ้าเขาไม่ได้เป็นนักดนตรีก็คงเป็นนักประพันธ์หรือนักกวี เราได้อ่านบทกวีที่เขาเขียนถึงฮอตเทส ถึงแม้จะผ่านการแปล ถึงจะเสียดายที่ไม่อ่านอาจตัวอักษรที่เขาเลือกใช้ได้ แต่ถ้อยคำที่เขาทิ้งไว้ก็จับใจเราไม่น้อย "ทันใดนั้นท้องฟ้าสีเทาของเดือนธันวาคมก็ลดตัวคล้อยต่ำลง หยุดซึ่งการไขว่คว้าของมือเรา ปี 2014 ความรักอันโอบอ้อมพรั่งพรมลงคลุมทั่วตัวผม แล้วก็มายังสุดสายปลายทางแล้วสินะ กับคนที่ไม่สมบูรณ์แบบอย่างผม กับคนที่ีเคยชินกับคำชื่นชมและการได้รับความรัก หากแต่จากนี้ไปผมจะขอโอบตัวเองลงก้มรับแม้คำตำหนิเหยียดหยันรวมทั้งคำแนะนำสั่งสอนไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ีไหนก็ตาม ตัวผมนั้นจะน้อมรับมันเอาไว้ทั้งหมด ได้โปรดลงแส้เฆี่ยนตีผมเพื่อที่ผมจะได้ไม่ เคยชินกับความเกียจคร้าน หลีกเลี่ยงซึ่งความเจ็บปวด ด้วยเหตุนี้ผมจะวิ่งจนสุดแรงที่มีตลอดปี 2015 แม้มันอาจจะทำให้ผมจมดิ่งลงหลังจากการวิ่งที่ไร้ซึ่งสิ้นสุดนั้น แต่หากเพื่อเส้นทางเส้นนี้ แต่หากมีฮอตเทสเดินไปพร้อมกันกับผม ผมก็ไำม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว เหตุผลที่ทำให้ผมยังยืนหยัดอยู่ได้นั้น ก็เพราะมีทุกคนอยู่เคึยงข้างผม" CR: Kor-Eng by @Egle0702 .....อาจไม่มีวันที่เราเดินจากผู้ชายคนนี้ไป..... คุณแม่ของคิมมินจุนเป็นนักเขียน ด้วยเหตุนี้ "ผมลงมือเขียนเรื่องราวและบทกวีมาตั้งแต่ชั้นประถม แล้วมักเข้าร่วมการแข่งขันประกวดเรียงความ แล้วพอขึ้นมอต้นผมก็เริ่มอยากที่จะทำงานทางด้านดนตรี แต่ว่าตั้งแต่ประถมถึงมัธยมผมได้รับรางวัลจากการแข่งขันเรียงความถึง 60 รางวัล เพราะแบบนั้นความฝันในวัยเด็กของผมก็คือการเป็นนักเขียน" จำได้ว่า @Egle0702 พูดถึงการแปลบทสัมภาษณ์และทวีตของบ่ายเอาไว้ เธอบอกว่าจุนเคเป็นพวกใช้ภาษาสวย มีความหมายลึกซึ้ง จนบางทีก็ยากที่จะเลือกคำมาแทน นี่คือช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความเสียดายที่ไม่อาจรู้ภาษาเกาหลี คิมมินจุนบอกว่าตัวเองตอนนี้แตกต่างไปจากสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนเขาเป็นคนเก็บตัวและก็ขี้อายแถมยังไร้เดียงสาและอ่อนไหวง่าย จนทำให้... "ผมเลยเจ็บปวดกับคำพูดของคนอื่นได้ง่ายเสียจนทำให้ตัวเองกลายเป็นคนโดดเดี่ยว การพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาให้คนอื่นรับรู้มันก็จะดูเป็นว่าเราไม่แมนพอและนั่นล่ะทำให้ผมเกิดคิดมากขึ้นมา...แล้วผมก็เริ่มคิดว่ามันคงไม่โอเคแน่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผมก็เลยทำใจให้กล้าพอที่จะเปลี่ยนตัวเองซะใหม่ตอนขึ้นชั้นป.3" เด็กปอสามคิดได้แบบนี้แล้ว ตอนนั้นอิฉันยังเล่นหมากเก็บไปวันๆอยู่เลย ทวิตเตอร์ของจุนเคมักจะเอาไว้ใช้ขอบคุณไม่ก็ออดอ้อนคนไปทั่ว แต่ทุกครั้งที่เขาทวีตอะไรลึกซึ้งมันจะจับใจทุกครั้งที่ได้อ่าน อย่างทวีตเรื่องนอแรดครั้งนั้นทำเอาเราเก็บมานั่งคิดอยู่นาน แล้วในที่สุดเราก็ได้รู้ที่มาของมัน จุนเคเล่าถึงหนังสือนวนิยายเกาหลีที่ชื่อ "ยืนหยัดด้วยตัวเองเฉกเช่นเดียวกับนอแรด" หนังสือเล่มนี้ทำให้เขา่เกิดความประทับใจสงสัยขึ้นมาจนไปเซ้าซี้ถามคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็ให้คำตอบมาว่า "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายแล้วก็จะมีแค่ตัวเราเอง ดังนั้นตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไปซะและฉวยคว้าโอกาสที่จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น" คำอธิบายตีแสกหน้าของคุณแม่ในครั้งนี้ ทำให้เด็กน้อยคิมจุนซูในตอนนั้น "นี่คือเหตุผลที่ผมเปิดใจตัวเองให้กว้างขึ้นไปกว่าเดิม ตัวตนของผมจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงซึ่งนั่นล่ะทำให้ผมเริ่มต้นการใช้ชีวิตอย่างสบายๆ" แต่เราว่าความเป็นคนอ่อนไหวและคิดมากกับคำพูดคนอื่นดูจะยังไม่ได้จากไปไหน เพียงแต่เขาจัดการกำหราบมันเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นมารบกวน หากแต่พอถูกกระเทือนแรงพอ เด็กที่แสนคิดมากคนนั้นก็พร้อมจะตื่นขึ้นมา เรื่องการเปลี่ยนชื่อจากคิมจุนซูมาเป็นคิมมินจุนดูจะส่งผลกระทบต่อจิตใจที่อ่อนไหวของผู้ชายคนนี้ไม่น้อย การยอมเปลี่ยนชื่อทั้งๆที่ตัวเองไม่ยินยอมแต่เพราะเป็นคำสั่งเสียของคุณพ่อที่เสียไปทำให้สุดท้ายเขาต้องยอมรับ หากแต่พอได้ไปอ่านคอลัมภ์ที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาเองก็ยังคงมีการคุยถึงการเปลี่ยนชื่อของเขา ยังมีคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมเขาต้องเปลี่ยนชื่ออยู่อีก "ผมรู้สึกเจ็บใจขึ้นมาพอได้เห็นข้อความพวกนั้น ผมคิดว่าส่วนหนึ่งคือความรับผิดชอบของผม ผมจะต้องทำงานให้หนักขึ้นกว่านี้เพื่อแสดงให้เห็นว่างานดนตรีของคนที่ชื่อJun. K นั้นเป็นแบบไหนกันแน่ เพื่อให้พวกเขาสนใจในตัวผม ดังนั้นแทนที่จะให้คำคนอื่นมากำหนดตัวตนของผม ผมว่ามันจะเยี่ยมกว่าถ้าสักวันหนึ่งพอพวกเขาได้ยินชื่อJun. Kแล้วต่างพากันคิดว่า 'ที่แท้สไตล์เพลงของผู้ชายคนนี้่เป็นแบบนี้นี่เอง' นั่นล่ะถึงจะบรรลุถึงจุดประสงค์อย่างแท้จริง" บางทีคนเรามักไม่สนถึงเหตุผลของคนอื่น ยึดติดกับความคิดความรู้สึกของตัวเองแล้วนำขึ้นมาอ้างว่านั่นต่างหากล่ะคือเหตุผลโดยไม่แยแสว่าจะส่งผลทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด คนชื่อคิมมินจุนบอกว่าตัวเองไม่รู้วิธีก้าวข้ามความเจ็บปวด สิ่งที่เขาทำได้ก็คือ "ผมก็คงทำได้แค่เตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆไร้จุดหมาย อย่างตอนที่คุณพ่อผมเสีย สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการเตร็ดเตร่ไปเรื่อยอยู่เกือบปี ผมได้แต่เสียใจและเอาแต่กระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุขเลยสักนิด ซึ่งคงเป็นเพราะผมรู้สึกกดดันจากการต้องเข้ามาแบกรับความรับผิดชอบของครอบครัวเอาไว้ แล้วผมยังโกรธตัวเองที่ช่างไม่เคยตระหนักเรื่องพวกนี้มาก่อนซะบ้างเลย ผมเลยออกไปดื่มเหมือนคนบ้าอยู่เป็นอาทิตย์เลยล่ะครับ" มีคำพูดที่ว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่าง หากแต่มินจุนกลับคิดว่า "ถึงมักจะพูดกันว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่างแต่แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แผลบางอย่างก็ไม่มีทางรักษาหาย ไม่มีวัน มีก็แค่ชินชาแล้วค่อยๆลืมเลือนมันไป" คำพูดนี้ของมินจุนทำเอาเรานึกถึงทวีตหนึ่งของเขาขึ้นมา "มีคนพูดว่าขยันทำงานให้หนักตั้งแต่ยังเด็กแล้วพอแก่ตัวไปจะได้สบาย แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ถ้าเราต้องประสพกับกับความยากลำบากมามากเกินไปตั้งแต่ยังเด็กมันจะเร่งทำให้เราเป็นผู้ใหญ่จนเกินตัว" ดูเหมือนไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่กลับให้ความรู้สึกคล้ายคลึง ความเป็นผู้ชายคิดมากและอ่อนไหวง่ายกับทุกสิ่ง มันทำให้คนแบบนี้สัมผัสกับทุกอย่างได้ลึกซึ้งกว่าใครแต่อีกทางก็ทำร้ายเขาได้เจ็บลึกกว่าอีกด้วย จุนเคตอบคำถามที่ว่าถ้าเกิดไปเห็นกับตาว่าแฟนตัวเองกำลังจับมือควงแขนอยู่กับผู้ชายอีกคนจะทำยังไง "ผมคงช็อกไปเลย ช็อคกับสิ่งที่เห็นจนไม่อาจขยับตัวได้ ในสถานการณ์แบบนี้ผมไม่มีทางเข้าไปต่อว่าเธอ..ผู้หญิงที่ผมรัก แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร" หลังจากคุณพี่ตะลึงตึ่งตึ๋งเสร็จจึงตัดสินใจว่า "ผมคงโทรไปหาเธอทีหลังโดยที่ไม่เอาเรื่องนั้นมาพูดด้วยซ้ำ" ....เอิ่ม พี่คิมคะ ความขี้ขลาด ความอ่อนไหวของพี่นั้นมันช่าง................. พอลองเอาคำตอบจากพวกบ่ายที่เหลือมาเทียบ อย่างคุณ คุณบอกเห็นปุ๊บเข้าไปถามปั๊บ ให้มันรู้กันไปเลยว่าเป็นน้องชายหรืออะไร ส่วนแทคบอกว่าอาจเป็นพ่อที่หน้าอ่อนมั๊กมากก็ได้ 5555555555 แทคไม่เหมือนคุณ แทคบอกจะไม่เข้าไปถามตรงนั้นแต่จะรอถามทีหลัง ที่ไม่เข้าไปถามตรงนั้นเพราะแทคไม่รู้จะรับมือยังไงถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นเกิดนอกใจขึ้นมาจริงๆ คุณนี่แมนๆเอาให้เคลียร์ แต่แทคนี่เป็นพวกขอตั้งสติก่อนสตาร์ท ส่วนด้งน่ะหลังจากคิดอยู่นานมากกกกกก ก็ตอบว่าจะทำเหมือนไม่เห็นอะไร 555555 ด้งตอบคล้ายๆคุณที่ว่าคงไปถามต่อหน้าเลยว่ามันเรื่องอะไรเนี่ย ด้วยเงื่อนไขที่ว่า "ถ้่าผมพอมีเวลา" ด้ง...ช่างแสบโคตร ข้อแม้ของด้งนี่แสดงชัดเลยว่าตัวเองสำคัญกว่าฝ่ายหญิง ส่วนโฮนี่แทบเดาคำตอบได้เลย โฮบอกจะเข้าไปจับแขนผู้ชายคนนั้นเอาไว้แล้วถามว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร แต่ชานนี่คล้ายๆแทคคือเข้าไปถามฝ่ายหญิงทีหลังว่าเห็นเธอไปควงคนอื่น คือคำตอบมันควรเป็นประมาณนี้จริงไหม คือไม่ถามตรงนั้นมันก็ควรต้องรอไปถามวันอื่นให้แน่ใจ แต่ถึงกับไม่หือไม่อือไม่ถามปล่อยไปซะงั้นนี่มันเกินไปหรือเปล่า(วะ) คิมต้องสู้คนบ้างนะคิมนะ คิมจะอยู่กับออเดรย์ไปชั่วชีวิตไม่ได้หรอกนะ "ผมรักสัตว์มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วครับ พวกมันน่ารัก แค่นั่งมองก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ อย่างออเดรย์สุดที่รักของผมน่ะตัวก็เล็กนิดเดียวแต่กระโดดเก่งมากกกกก อย่างตอนผมนั่งกินข้่าวอยู่ มันก็เอาแต่กระโดดหยองแหยงเรียกร้องความสนใจจากผมอยู่นานตั้งสองชั่วโมงเลยนะครับ" รักทรหดและบึกบึนของคุณคิม "เพราะออเดรย์เป็นแบบนี้ล่ะถึงทำให้หัวใจผมได้รับการเยียวยา มันมอบความรักให้ผมอย่างเต็มที่และไม่เคยคิดทรยศผม ถึงจะกลับบ้านมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตามแต่แค่ได้อยู่กับออเดรย์ก็ทำให้ผมมีความสุขแล้วล่ะครับ" รู้สึกตัวสั่นยะเยือกขึ้นมา ดูท่าแล้วออเดรย์คงจะได้กระโดดหยองแหยงไปอีกสิบยี่สิบปีแน่แล้ว ผู้ชายคนนี้เคยทำอะไรเพื่อความโรแมนติกมากมายให้กับแฟนสาว วางแผนอย่างดี ลงทุนลงแรงปักชื่อตัวเองคู่กับชื่อสาวลงบนตุ๊กตาหมีเพื่อมอบเป็นของขวัญ เตรียมซีดีเปิดเพลง จุดเทียนสร้างบรรยากาศเพียงเพื่อจะได้เห็นสีหน้าความประทับของสาวน้อยผู้เป็นที่รัก นี่คือความโรแมนติกสมัยคิมยังไร้เดียงสา แต่พอบรรลุแล้ว "ขอแค่เป็นสิ่งที่เราทำร่วมกัน อย่างทำอาหารแล้วนั่งกินข้าวด้วยกัน แค่เป็นสิ่งที่ทำด้วยกันก็โรแมนติกแล้วล่ะครับ" คืนสู่สามัญ สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบคุณเลยกับการที่จุนเคโซโล่เดบิ๊วท์ที่ญี่ปุ่น ก็คือเราได้อ่านตัวตนของเขาผ่านนิตยสารหลายเล่มเยอะมายชนิดเป็นฮอตเทสมาหลายปีก็ยังหาอ่านได้ไม่ได้ถึงครึ่ง วัฒนธรรมการอ่านของญี่ปุ่นกับเกาหลีนี่ช่างแตกต่าง แล้วที่ต้องขอบคุณอย่างมากตามมาก็คือ JUNKAY STREET เป็นเวปบอร์ดที่เก็บทุกอย่างของคิมมินจุนเอาไว้ ความรักและทุ่มเทที่ให้จุนเคนี่ทำเอาเรากระเด็นตกขอบไปเลยทีเดียว ขอบคุณที่แปลนิตยสารเกือบครบทุกเล่มให้เราได้รู้จักผู้ชายคนนี้เพิ่มขึ้น ไม่ทั้งหมด เป็นแค่ด้านที่เขายอมเปิดให้รับรู้ก็เพีัยงพอกับการตกหลุมรักอีกครั้งและอีกครั้งและทุกครั้งที่ได้อ่าน เคยคิดว่าคงไม่อาจชอบไปได้มากกว่านี้แล้ว ลำธารสายเล็ก ลำน้ำไหลเอื่อยอยู่ไม่เคยแห้งหาย นี่ล่ะคือเหตุผล |