ส่วนอีกโซนจะเป็นพื้นที่หลักของร้าน บรรยากาศดูชิค โมเดิร์น และได้แสงธรรมชาติจากผนังกระจกทำให้ร้านดูโปร่งสบายๆ ไม่อึดอัด
ดูบรรยากาศเพลินๆ แล้วก็มาเติมความสดชื่นกันก่อนนะครับ กับเครื่องดื่มที่นี่ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายทั้งไวน์ Cocktail หรือจะเป็น Soft Drink สำหรับผมขอเลือกเครื่องดื่ม Non-Alcoholic ตามที่ชอบดีกว่าครับ โดยขอเลือกเป็น Ginger Mojito (140 บาท)เครื่องดื่มแก้วโปรดที่ให้รสชาติ เปรี้ยวอมหวานนิดๆ ซ่าหน่อย ชื่นใจสุดๆ
หรือจะเลือกเป็น Refresher (120 บาท) แค่ได้ยินชื่อก็ชื่นใจละครับ เป็นเครื่องดื่มที่มีเลมอน, น้ำแครนเบอร์รี่ และ elderflower เป็นส่วนผสม รสชาติเปรี้ยวหวาน เข้ากันอย่างลงตัว
หรือจะเติมสีสันมาหน่อยด้วย Berry Blast (140 บาท) เครื่องดื่มสีสันสดใสที่มีส่วนผสมของสตรอเบอร์รี่, เสาวรส และน้ำแครนเบอร์รี่ เติมรสเปรี้ยวนิดๆ ด้วยเลมอน หวานหน่อยๆ ด้วยไซรัป ถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่นอกจากสีสันจะชวนดื่มแล้ว ยังช่วยเติมความสดชื่นได้ดีเชียวครับ
จากนั้นก็มารองท้องด้วยเมนู appetizer เริ่มที่ Ultimate Garlic Bread (140 บาท) ขนมปังแสนนุ่มเสิร์ฟอุ่นๆ มาพร้อมกับ Herby garlic butter, ricotta salata และ โรสแมรี่ เป็นเมนูรองท้องที่อร่อยนุ่ม แบ่งกันทานได้สบายๆ
Tomato Bruschetta (210 บาท) บรูเชตต้าขนมปังแผ่นบางกรอบที่ท็อปด้วยชีสริคอตตา และมะเขือเทศอบไฟอ่อนๆ เติมกลิ่นหอมด้วยใบโหระพา เป็นเมนูที่เรียบง่าย แต่อร่อยไม่เบาจ้า
ต่อด้วยอีกเมนูที่บอกว่าผมปลื้มมากนั่นก็คือ Porcini Arancini (220 บาท) ริซอตโตที่คลุกเคล้ากับเห็ดปั้นเป็นก้อนกลม แล้วนำไปทอด แนะนำให้ทานตอนร้อนๆ เพราะจะได้สัมผัสความยืดของชีสมอสซาเรลลาที่อยู่ด้านใน อร่อยจนอยากสั่งเพิ่มเลยจ้า
Crispy Squid (270 บาท) เมนูทานเล่นที่หลายๆ คนน่าจะชอบกับปลาหมึกชุบแป้งทอด ที่กรอบนิดๆ หนึบหน่อย เพิ่มรสชาติด้วยซอส Aioli รับรองว่าทานกันเพลินเลยครับ
ตามมาด้วย Crunchy Italian Nachos (160 บาท) ราวิโอลี่ทอดกรอบ ที่มาพร้อมไส้ด้านในที่เป็นชีสมอสซาเรลลา ริคอตตา และพาร์เมซาน เติมรสชาติด้วยซอสมะเขือเทศสไตล์ Sicilian เป็นอีกเมนูที่หยิบทานกันเพลินเช่นกัน
แต่ถ้าใครเลือกดื่มเบียร์เย็นๆ ก็ไม่ควรพลาดเมนู Crispy Polenta Chips (140 บาท) มันบดที่มาในทรง cube ที่เติมรสชาติด้วยโรสแมรี่และพาร์เมซาน เป็นอีกเมนูที่ถือว่าเรียกน้ำย่อยได้ดีเช่นกัน
จากนั้นก็มาถึงเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่นั่นก็คือ Antipasti Planks (สำหรับ 2 คน 580 บาท / สำหรับ 4 คน 1,180 บาท) เป็นเมนูที่ดูแล้วเรียกความสนใจได้ดีทีเดียว เพราะที่นี่เค้าเสิร์ฟบนเขียงไม้ planks ขนาดใหญ่ที่วางบนกระป๋องมะเขือเทศ ถือว่าเป็นกิมมิคของ Jamies Italian ที่น่าสนใจ โดยเมนูนี้จะมี Cold Cuts ที่ประกอบไปด้วย Fennel salami, mortadella, prosciutto และ wagyu bresaola ที่ให้เลือกทานที่ละอย่างจากนั้นก็ล้างปากด้วยชีสมอสซาเรลลานมควาย และ Rainbow slaw ซึ่งจะทำให้รับรู้รสชาติของ Cold cuts แต่ละชนิดได้ดี ถือว่าเป็นเมนู appetizer ที่อร่อยและเป็นจุดเด่นบนโต๊ะอาหารทีเดียวครับ
มาถึง main dish กันบ้างดีกว่าครับ ขอเริ่มที่ The Parma (380 บาท) ถ้ามาร้านอาหารอิตาเลี่ยนก็ไม่นึกถึงเมนูพิซซ่าคงไม่ได้นะครับ เพราะว่าพิซซ่าพาร์มาของที่นี่แป้งบางกรอบ มาพร้อมกับหน้าพาร์มาแฮม prosciutto ผักร็อกเก็ต และพาร์เมซานชีส เติมรสชาติเข้มข้นด้วยซอสมะเขือเทศ ถือว่าเป็นพิซซ่าที่ให้รสชาติจัดจ้านไม่เบา อร่อยได้รสชาติสไตล์อิตาเลี่ยนจริงๆ ครับ
มาดูเมนูพาสต้ากันบ้างดีกว่าครับโดยขอเริ่มที่ Penne Arrabbiata (250 บาท) เส้น penne ที่มาพร้อมซอส arrabbiata รสชาติจัดจ้าน มีรสเผ็ดนิดๆ ของ birds eye chillies
ต่อด้วยเมนูยอดนิยมของที่นี่ Our Famous Prawn Linguine (300 บาท) ลิงกวินี่หรือพาสต้าเส้นแบนที่มาในซอสมะเขือเทศ และกุ้งตัวโต รสชาติอร่อยกลมกล่อมไม่เบาเลยจ้า
ปิดท้ายเมนูพาสต้าด้วย Gennaros Tagliatelle Bolognese (280 บาท) เส้น tagliatelle ผัดกับซอส Bolognese หรือซอสเนื้อ ให้รสชาติกลมกล่อม ใครชอบทานเนื้อเมนูนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดี
เปลี่ยนบรรยากาศมาที่เมนู Chicken Al Mattone (520 บาท) เมนูสไตล์ทัสคานี ไก่ย่างสูตรพิเศษของทางร้านที่เนื้อนุ่ม หอมซอสครีมเห็ด ที่ช่วยให้เมนูนี้รสชาติกลมกล่อม ที่สำคัญไม่เลี่ยนด้วยนะครับ
ปิดท้าย main dish ด้วยของหนักอย่าง The Jamies Italian Burger (560 บาท) เบอร์เกอร์เนื้อชิ้นโตสะใจ ที่กริลล์มาแบบชุ่มฉ่ำ มาพร้อมกับ mortadella และ balsamic onion เมนูนี้แบ่งกันทานได้สบายๆ เลยครับ เพราะว่าชิ้นใหญ่จริงๆ ใครชอบทานเนื้อรับรองฟินสุดๆ จ้า
มาถึงเมนูของหวานกันบ้างดีกว่าครับ ขอเริ่มที่ Epic Chocolate Brownie (230 บาท) เมนูที่เหมาะสำหรับช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ บราวนี่รสชาติหวานเข้มข้นที่ราดด้วยซอสช็อกโกแลต มาพร้อมกับไอศกรีมรสอามาเรตโต และเติมลูกเล่นด้วยป๊อบคอร์น caramel amaretti
ต่อด้วย Raspberry Ripped Pavlova (200 บาท) เมอร์แรงรสหวานกรอบเบา ราดด้วยครีมสดและเติมรสชาติด้วยซอสราสเบอร์รี่ ที่ช่วยเพิ่มความหวานอมเปรี้ยวให้กับเมนูนี้ได้ดี ถือว่าเป็นเมนูของหวานที่น่าสนใจไม่เบา
ปิดท้ายด้วย Wobbly Panna Cotta (210 บาท) เมนูโปรดของผมกับพานนาคอตต้าเนื้อเนียนนุ่ม รสชาติกำลังดีไม่หวานเกินไปนัก เติมรสชาติด้วย mixed berry และซอสสตรอเบอร์รี่ ถือว่าเป็นเมนูของหวานที่ปลื้มสุดๆ เลยครับ
แค่นี้ก็ได้อิ่มอร่อย สะใจกับอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนแท้ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Jamies Italian ถึงได้รับการยอมรับอย่างดีไปทั่วโลก ใครที่ชอบอาหารอิตาเลี่ยนไม่ควรพลาดที่จะมาลิ้มลองความอร่อยที่ชั้น G สยามดิสคัฟเวอรี่ รับรองว่าจะอิ่ม อร่อยเพลิดเพลิน กับอาหารรสชาติดี และบรรยากาศร้านที่ดูสบายๆ แน่นอนจ้า