เรื่องกิน เรื่องเที่ยว คือเรื่องเดียวกัน และเป็นเรื่องราวของเราสองคน :)

ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]




ปลาหมึกน้อย กับ นายโอเลี้ยง รายงานตัวครับ
เนื่องด้วยเราสองคนเป็นคนชอบเที่ยว ชอบกิน ดังนั้นก็เลยจัดการหาที่เก็บสถานที่หรือร้านอาหารที่เคยแวะเยี่ยมมาแล้ว

และเสมือนเป็น ไดอารี่ส่วนตัว ที่ทุกคนเข้าดูได้ อาจจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่ผ่านเข้ามาแล้วต้องการหาข้อมูลสำหรับสถานที่นั้นๆ

ขอให้สนุกกับ Blog นี้นะ

ตอนนี้ Eat and Travel Diary by ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง มี fan page เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อครับ ถ้าใคร "ถูกใจ" blog นี้ ฝากช่วยกด "Like" กันนะครับ จะได้ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ^_^

Click ข้างล่างได้เลยจ้า

click เพื่อเข้าสู่ facebook Eat and Travel Diary
New Comments
Group Blog
 
<<
มกราคม 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
13 มกราคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง's blog to your web]
Links
 

 
One fine day กินเที่ยว เขาใหญ่ สบายๆ กับ OPPO R7s




สวัสดีครับ วันนี้ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง ขอพาไปกินไปเที่ยวแบบสบายๆ แบบ one day trip ที่เขาใหญ่ (แต่ขอบอกว่าทริปนี้เน้นกินเป็นส่วนใหญ่ครับ อิอิ) และทริปนี้เป็นทริปแบบสบายๆ เลยขอพากล้องน้องใหม่ จะเรียกว่ากล้องก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะทริปนี้ผมขอพา OPPO R7S รุ่นใหม่ ไปรีวิวแทนกล้อง DSLR เหมือนเคยแทนครับ ซึ่งบอกเลยว่าสบายๆ กว่าเดิมเยอะ เพราะน้ำหนักเบากว่ากล้องใหญ่แน่นอนครับ





สิ้นปีแบบนี้คงไม่มีที่ไหนเหมาะสำหรับการขับรถขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศเย็นๆ สบายๆ ที่เขาใหญ่ แต่ด้วยมีเวลาว่างแค่วันเดียวดังนั้น ที่เขาใหญ่นี่เหมาะสำหรับการไปเที่ยวแบบไปเช้า เย็นกลับได้สบายๆ ครับ เพราะระยะทางไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ใช้เวลาเดินทางเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับผมเดินทางโดยใช้ถนนพหลโยธิน แล้วไปทางเลี่ยงเมืองสระบุรี จากนั้นก็เข้าสู่ถนนมิตรภาพ แล้วก็ขับรถตรงไปทางเขาใหญ่สบายๆ ครับ โชคดีที่วันนั้นรถไม่ติด ขับรถได้สบายๆ



อย่างที่บอกว่าทริปนี้เน้นเรื่องกินเป็นหลัก และด้วยความที่รถไม่ติด ทำให้ไปถึงปากช่องเร็วกว่าที่คิด ดังนั้นจุดหมายแรกที่แวะก็คือ Dairy Home นั่นเองครับ ร้านอาหารที่เป็นอาคารแบบฟาร์มโคนมสีแดง ตั้งเด่นอยู่ริมถนนฝั่งขาเข้า





ร้านนี้เป็นร้านที่ตั้งใจจะแวะหลายครั้ง แต่ก็พลาดทุกที เพราะแวะที่ไรรอคิวนานตลอด แต่วันนี้ไปถึงเร็ว จึงมีโต๊ะว่างพอดี เลยขอแวะทานอาหารรองท้องก่อนครับ เริ่มกันที่ พอร์คชอพ (330+) เสิร์ฟชิ้นใหญ่เหมือนกันครับ เนื้อนุ่ม รสชาติถือว่าใช้ได้ครับ ส่วนอีกจานเป็น สเต็กแกะ (ส่วนขา 390+) จานนี้ถือว่าเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้แย่เกินไปครับ ส่วนเครื่องดื่มเป็น น้ำอัญชันน้ำผึ้งมะนาว  (55+)และ น้ำว่านหางจระเข้ (35+) เสิร์ฟในแก้วไวน์ ทำให้ดูเหมือนเป็นน้ำไวน์แดง กับไวน์ขาวเลยครับ แต่ว่าไม่ใช่ อิอิ รสชาติเครื่องดื่มโอเคเลยครับ ได้ความเป็นสมุนไพรดี แถมเสิร์ฟเพียวไม่ใส่น้ำแข็งเลยครับ สำหรับบรรยากาศด้านนอกร้านก็ดูดี เพราะหลายๆ คนก็แวะออกมาถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนานเชียวครับ เราสองคนก็เลยขอมา Selfie เป็นสายแบ๊วกับเค้าบ้างครับ อิอิ







เสร็จจากร้าน Dairy Home แล้วเราสองคนก็ใช่เส้นทางนี้เพื่อไปยังถนนธนะรัชต์ ได้เลยครับ เพราะทางนี้ถือว่าเป็นทางลัดตรงไปเข้าเขาใหญ่ได้เลยครับ ขับรถไปซักพักขึ้นเขาไปตามทางเรื่อยๆ ก็จะถึงถนนธนะรัตช์แล้วครับ และร้านต่อไปที่จะพาไปชิมกันก็คือร้าน Chocolate Factory ซึ่งอยู่บนถนนธนะรัชต์ ประมาณช่วง กม.12 จากถนนมิตรภาพ ซึ่งเราไปถึงร้านประมาณเที่ยงนิดๆ ขอบอกเลยครับว่าคนแน่นร้าน ต้องรอคิวกันทีเดียว







ด้วยบรรยากาศการตกแต่งที่เหมือน Glasshouse แต่เน้นสีเข้มของสีดำเป็นหลัก ซึ่งคล้ายๆ กับว่าที่นี่เหมือนเป็นโรงงานผลิตช็อคโกแล๊ตเลยก็ว่าได้ ด้วยบรรยากาศที่ดูเข้มขรึม ทำให้แสงในร้านค่อนข้างน้อย แต่ด้วยระบบ Anti-shake Optimizations ที่มากับตัวกล้องของ OPPO R7s ซึ่งเป็นระบบกันสั่นอัตโนมัติ และบวกกับประสิทธิภาพการจับภาพระดับ HD ทำให้ถ่ายภาพได้ง่ายและชัดขึ้นแม้ในพื้นที่แสงน้อยก็ตามครับ



เอาเป็นว่ามาดูเรื่องอาหารกันต่อดีกว่าด้วยความที่เรากินมื้อแรกที่ Dairy Home กันเร็ว และทานไม่ได้เยอะนัก ทำให้เราต้องมาเติมพลังมื้อเที่ยงกันที่นี่อีกรอบ ตอนแรกตั้งใจจะมาทานของหวานอย่างเดียว แต่ด้วยความที่ยังไม่อิ่มดีเลยขอหม่ำของคาวด้วยซะเลยครับ อิอิ ขอเริ่มที่ Pan-fried foie gras with raspberry sauce (580.-) ฟัวกราส์ราดด้วยซอสราสเบอร์รี่ ซึ่งตัวฟัวกราส์นั้นทำได้ดีเลยครับ ด้านนอกกรอบนิดๆ แต่กัดเข้าไปด้านในเนียนนุ่มได้รสชาติดี แถมราดด้วยซอสรสเปรี้ยวอมหวานตัดกับความมันของฟัวกราส์ได้ดีทีเดียวครับ





ตามมาด้วย Charcoal grilled Australian racks of lamb with rose mary suace (780.-) ซี่โครงแกะย่างซอสโรสแมรี่ เนื้อแกะนุ่ม ไม่คาวด้วยครับ หน้าตาน่าทานเชียว







ต่อกันที่ Prosciutto di parma (450.-) พิซซ่าพาร์มาแฮม ขนาด 8 ชิ้น รสชาติดี แต่สรุปทานไม่หมดเพราะอิ่มเกินครับ เลยต้องห่อกลับมาทานที่บ้านต่อ อิอิ



จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยของหวานเย็นๆ ชื่นใจนั่นก็คือ ทีรามิสุ (160.-) นั่นเองครับ เมนูนี้ปลื้มมากเพราะเป็นไอศกรีมที่แต่งหน้าด้วยผงกาแฟมาพร้อมกับวิปปิ้งครีม ช่วยเติมความสดชื่นได้ดีทีเดียวครับ ที่นี่นอกจากจะเป็นร้านอาหารที่นั่งทานแล้ว ยังมีอีกส่วนที่เป็นมุมของหวานโดยเฉพาะช็อคโกแลตให้เลือกซื้อเป็นของฝากอีกด้วยนะครับ







จากนั้นก็ออกมาเดินถ่ายรูปเล่นที่ด้านร้าน เป็นมุมที่มีคนมาเซลฟี่กันเยอะทีเดียวครับ เราสองคนก็เลยขอบ้าง เพราะชอบรูปเซลฟี่ของ OPPO R7s มาก ซึ่งถ่ายออกมาแล้วดูหน้าเนียนใส อ่อนกว่าไวไม่ต้องรีทัชเพิ่มเลยครับ 555



แล้วถ้าหากชอบถ่ายภาพแนว Landscape ที่อยากเก็บภาพแบบเต็มๆ ก็สามารถเลือกฟังค์ชั่นถ่ายภาพแบบพาโนรามาได้นะครับ ใช้งานง่าย แถมได้ภาพสวยสมใจด้วยครับ หรือจะเลือกถ่ายโหมดอื่นๆ ก็เลือกได้ตามใจชอบครับ ไม่ใช้ใช้แอพพลิเคชั่นแต่งรูปเพิ่มเติมให้เสียเวลา สะดวกจริงๆ ครับ



เราใช้เวลาอยู่ที่นี้พอสมควร แต่ยังไม่หมดนะครับ เพราะช่วงบ่ายแก่ๆ เรานัดกับเพื่อนไว้อีกร้าน ซึ่งเป็น café น้องใหม่บนถนนธนะรัชต์ นั่นก็คือร้าน The Mew – Khao Yai นั่นเองครับ อยู่ห่างจากร้าน Chocolate Factory ไปเพียง 2 กม. โดยย้อนกลับไปทางถนนมิตรภาพ ร้านจะอยู่ทางขวามือครับ เราไปถึงที่ร้านก็เกือบบ่ายสามโมงแล้ว  สำหรับที่ The Mew นั้น ถือว่าเป็นคาเฟ่น้องใหม่ที่บรรยากาศดีสุดๆ

ครับ เพราะเป็นคาเฟ่ที่ตกแต่งโดยอยู่รายล้อมด้วยธรรมชาติ ด้านหน้าร้านมีสวนสวยๆ ที่มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน มีมุมให้นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่นกันเพลินเลยครับ แม้ว่าจะเป็นร้านที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ไปถึงปรากฏว่าร้านเต็มครับ ต้องรอโต๊ะซักพัก ก็เลยเดินเล่นภายในร้านชิลๆ ต่อ












สำหรับที่นี่แม้บรรยากาศจะดูเหมือนเป็นร้านกาแฟ แต่ก็มีของคาวให้บริการด้วยนะครับ ขอเริ่มกันที่เมนูเด่นของร้านนั่นก็คือ Mew Curry Puff  หรือกะหรี่ปั๊บฉบับ DIY ของทางร้าน ที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาอาจจะดูแตกต่างจากกะหรี่ปั๊บทั่วไปเพราะที่นี่เค้าแยกไส้กับแป้งออก โดยบอกว่าบางคนอาจจะไม่ชอบแป้ง บางคนอาจจะไม่ชอบไส้ ก็เลยแยกออกมาแล้วเลือกทานได้ตามใจชอบครับ ถือว่าแปลกตา แต่รสชาติก็อร่อยดีนะครับ




จากนั้นก็มาต่อกันที่ Homemade Herbal Fettuccine White Sauce with Black Truffles เฟตตูชินี่สมุนไพรไวท์ซอส สูตรของ The Mew ผัดเคล้ากับเห็ดทรัฟเฟิล หอมอร่อย ที่สำคัญไม่เลี่ยนด้วยครับ




ส่วนที่เด่นสุดๆ ของที่นี่ก็น่าจะเป็นของหวานครับ เพราะ Homemade Scone with Three Sauces สโคนสูตรโฮมเมด ที่มาพร้อมกับซอสสามแบบ คือ แยม เนย และเสาวรสครับ ที่ชอบสุดก็เป็นซอสเสาวรสนี่แหละครับ รสเปรี้ยวนิดๆ ตัดกับตัวสโคนได้อร่อยลงตัวเชียวครับ




และอีกเมนูที่ขอแนะนำนั่นก็คือ Mrs. Mew and Friend Tea Set เซ็ตน้ำชาหอมๆ น่ารักๆ ที่มาพร้อมกับขนมและของว่างมีให้เลือกหลากหลาย เสิร์ฟขนาดพอดีคำ ที่ชอบสุดเห็นจะเป็นทาร์ตมะม่วงครับ หอมหวาน อร่อยมากๆ




สำหรับเครื่องดื่มที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลายเช่นกันไม่ว่าจะเป็นชาหอมๆ หรือกาแฟร้อนซักแก้ว ก็ช่วยเติมความสดชื่นได้อย่างดีทีเดียวครับ สำหรับราคาอาหารและขนมที่ร้าน The Mew ต้องขออภัยด้วยนะครับที่จำไม่ได้ เอาเป็นว่าใครผ่านไปผ่านมาแถวถนนธนะรัชต์ก็ลองแวะดูนะครับ เพราะแถวนั้นมีร้านน่ารัก น่านั่งให้เลือกหลายร้านทีเดียวครับ หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารทั้ง 3 ร้านแล้วก็ได้เวลาขับรถกลับบ้านแล้วครับ เห็นมั้ยละครับทริปนี้เน้นกินจริงๆ เพราะอิ่มอร่อยทุกร้านที่แวะเลยครับ แถมแต่ละร้านก็บรรยากาศดีสุด










และสำหรับรีวิวนี้รูปทั้งหมด (ยกเว้นรูปที่ถ่ายเห็นสมาร์ทโฟน) นั้นเป็นรูปที่ถ่ายจากกล้องของ OPPO R7s ซึ่งที่ผมชอบมากๆ ก็คือ ถ่ายภาพอาหารได้ชัดมาก กล้องหลังขนาด 13 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล รูปทั้งหมดนั้นไม่ได้นำออกมารีทัชเพิ่มเติมแต่อย่างไร มีบางรูปแค่ปรับแสงให้ดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีการนำมาปรับสี หรือความคมชัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะให้ได้เห็นว่ารูปที่ออกมาจากกล้องนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งหากจะแต่งภาพก็ทำได้ง่ายๆ เพียงใช้ฟังค์ชั่นที่มีในเครื่องก็สามารถปรับแต่งภาพได้สบายๆ ไม่ต้องแต่งภาพคอมพิวเตอร์ครับ






ไม่ว่าจะเป็นการที่เราถ่ายภาพติดคนอื่น ซึ่งหากอยากจะทำโมเสกที่หน้าคนเหล่านั้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ




หรือหากถ่ายภาพที่อยากเน้นอาหารอย่างเดียว เราก็สามารถเลือกฟังค์ชั่น Blur Background แค่นี้ก็ทำให้อาหารดูโดดเด่นน่าทานสุดๆ ครับ






นอกจากเรื่องรูปถ่ายที่คมชัดแล้ว และฟังค์ชั่นการถ่ายภาพที่มีให้เลือกหลากหลายแล้ว เรื่องการเร็วของตัวเครื่องก็ถือว่าโอเคด้วยครับกับ Ram 4 GB นอกจากเร็วแล้วยังถ่ายภาพได้เยอะ และนานทั้งวัน แถมยังชาร์จแบตได้เร็วเพราะระบบ VOOC Flash Charge อันนี้รู้สึกได้จริงๆ ครับ ซึ่งอีกอย่างที่ช่วยได้เยอะเลยก็คือน้ำหนักเบา บาง พกง่าย สะดวกกว่ากล้อง DSLR หลายเท่าครับ เท่านี้ไม่ว่าจะทริปเล็กทริปใหญ่ก็สามารถพึ่งพารูปสวยๆ จากสมาร์ทโฟนได้ง่ายๆ แล้วครับ




สำหรับรีวิวนี้ต้องขอจบเพียงเท่านี้ และต้องขอบคุณ OPPO R7s ที่ช่วยสนับสนุนการรีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ Smiley




Create Date : 13 มกราคม 2559
Last Update : 13 มกราคม 2559 17:06:45 น. 4 comments
Counter : 1541 Pageviews.

 
อยากไปกินร้าน Mew ที่สุดคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 13 มกราคม 2559 เวลา:21:43:58 น.  

 
@ คุณทนายอ้วน : ร้าน The Mew น่ารักมากๆ เลยครับพี่ทนาย เดี๋ยวจะมารีวิวแบบละเอียดอีกทีนะครับ


โดย: ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง วันที่: 18 มกราคม 2559 เวลา:15:40:52 น.  

 
ร้าน mew นี้กำลังดัง มาแรงเชียวค่ะ แต่แอบแปลกใจกับคุณภาพของกล้องมือถือค่ะ


โดย: Sai Eeuu วันที่: 24 มกราคม 2559 เวลา:13:48:53 น.  

 
@คุณ Sai Eeuu : ร้าน The Mew น่ารักจริงๆ ครับ ผมชอบมากๆ เลย


โดย: ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา:21:13:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.