|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
สบู่ดำ คุณรู้จักหรือยัง ???
สบู่ดำ เป็นพืชน้ำมันอีกชนิดหนึ่งที่เราจะมองข้ามไม่ได้เลยในภาวะที่น้ำมันดีเซลมีราคาสูงขึ้น ซึ่งขณะนี้หลาย ๆ ประเทศเริ่มที่จะกระตือรือร้นในการปลูกต้นสบู่ดำเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนกันมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ประเทศอินเดียที่มีการปลูกสบู่ดำจำนวนเป็นล้านไร่ ภายในช่วงระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ส่วนประเทศอื่นๆ ที่มีการปลูกได้แก่ แซมเบีย แทนซาเนีย อินโดนีเซีย ศรีลังกา ปากีสถาน มาลี เป็นต้น สำหรับประเทศไทยแม้ว่าที่ผ่านมาน้ำมันสบู่ดำ จะไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ก็มีหน่วยราชการบางหน่วยงานและกลุ่มคนบางกลุ่มที่นำเอาสบู่ดำมาทำการศึกษาค้นคว้า วิจัยรวมถึงปรับปรุงพันธุ์อย่างจริงจัง เพื่อให้พืชน้ำมันชนิดนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันดีเซล ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานน้ำมันสบู่ดำจะมีบทบาทที่สำคัญและได้รับการยอมรับมากขึ้นตามไปด้วย สบู่ดำ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Jatropha curcus Linn. เป็นพืชพื้นเมืองของอเมริกาใต้ ชาวโปรตุเกสนำเข้ามาในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเพื่อรับซื้อเมล็ดเอาไปบีบน้ำมันทำสบู่ สบู่ดำมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ภาคเหนือเรียกว่า พมักเยา มะเยา มะหัว มะหุ่งฮั้ว ภาคกลางเรียกว่า สลอดดำ สบู่หัวเทศ สี่หลอด เป็นต้น ต้นสบู่ดำเป็นไม่พุ่มสูงประมาณ 2-7 เมตร ไม่ใช่ไม้เนื้อแข็ง ไม่มีแก่น ทนความแล้งได้เป็นอย่างดี อายุยืนกว่า 20 ปี ต้นสบู่ดำมียางเหนียวสีเหลือง ใบมี 3- 5 หยัก ดอกเล็กสีเหลืองอมเขียว ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเป็นสีเหลืองและน้ำตาลตามลำดับ ในผลหนึ่ง ๆ จะมีเมล็ด 3 เมล็ด ลักษณะเมล็ดมีสีดำ สีตรงปลายเมล็ดมีจุดสีขาวเล็ก ๆ ติดอยู่ เมล็ดมีความยาวประมาณ 1.7-1.9 เซนติเมตร หนา 0.8-0.9 เซนติเมตร โดยน้ำหนักเมล็ดสบู่ดำจำนวน 100 เมล็ด จะหนักประมาณ 69.8 กรัม จากการวิเคราะห์ของกองเกษตรเคมี กรมวิชาการเกษตรนั้นระบุว่าผลของสบู่ดำจะมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบประมาณ 34-35% ซึ่งเนื้อในเมล็ดสีขาวจะเป็นส่วนที่มีน้ำมันมากที่สุด โดยเมล็ดสบู่ดำจำนวน 4 กิโลกรัมสามารถนำมาบีบน้ำมันได้ประมาณ 1 ลิตร
จากการทดสอบของกรมวิชาการเกษตร น้ำมันสบู่ดำ สามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำมันดีเซล โดยใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลเกษตรขนาด 7-10 แรงม้าได้โดยไม่ต้องมีส่วนผสมอื่น มีไขมันน้อยจึงสามารถเก็บได้ในที่อุณหภูมิต่ำเพราะจะแข็งตัวที่อุณหภูมิ -7 องศาเซลเซียสจึงไม่ต้องกังวลเรื่องสภาวะอากาศหนาวเย็น อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อเครื่องยนต์ ไม่มีผลต่ออัตราเร่ง เครื่องยนต์เดินเรียบสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังพบว่าไอเสียมีกลิ่นหอม มีเขม่าควันดำและคาร์บอนมอนน็อกไซด์ในปริมาณน้อยกว่าน้ำมันดีเซล ที่สำคัญคือน้ำมันสบู่ดำไม่มีปริมาณของซัลเฟอร์ไดออกไซด์เลย ในขณะที่น้ำมันดีเซลมีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ถึง 125 ส่วนใน 1 ล้านส่วน จากการวิเคราะห์ของกองเกษตรเคมี กรมวิชาการเกษตร น้ำมันสบู่ดำมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 79% และกรดไขมันอิ่มตัวเพียง 20 % เท่านั้น นอกจากนี้กากที่ได้จากการสกัดน้ำมันสบู่ดำยังมีทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองของพืชตลอดจนอินทรียวัตถุในปริมาณมากพอที่จะใช้ในการบำรุงไม้ผลต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
Create Date : 01 เมษายน 2548 |
|
1 comments |
Last Update : 1 เมษายน 2548 11:46:30 น. |
Counter : 666 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: บิ๊ก IP: 117.47.200.34 16 เมษายน 2551 20:07:27 น. |
|
|
|
| |
|
|
ขอขอบคุณล่วงหน้าน่ะครับสำหรับท่านผู้รู้ที่ให้คำแนะนำแก่ผม