Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
11 กันยายน 2554
 
All Blogs
 

ภพชาติฤๅภาพฝัน - ภพ : เสี้ยวที่ ๓ ครึ่งแรก

ประกาศ : ภพชาติฯเสี้ยวที่ ๒ มีการแก้ไขเล็กน้อย แต่ไม่ได้เสียหายถึงเนื้อเรื่องค่ะ แค่เปลี่ยนบางฉากว่าเข้าใจมากขึ้นหรือไม่ สะดวกกลับไปอ่านหรือไม่ก็ได้ค่ะ ^^




ภพ : เสี้ยวที่ ๓



(ครึ่งแรก)



จิรวดีหันขวับกลับไปทันที การอยู่ที่นี่มาร่วมสองสัปดาห์ทำให้หญิงสาวเรียนรู้ว่าไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่จะมีสิทธิ์เปิดประตูห้องของ‘อัครราชธิดา’ด้วยอากัปการอึกทึกแบบนั้นได้ ผนวกกับคำถามสุดท้ายของอนาลาทำให้หญิงสาวเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันใด


ไม่ควรจะมีใครกล้า....เว้นแต่ผู้ประสงค์ร้าย!


ความคิดที่แวบผ่านเข้ามาทำให้จิรวดีเกือบถอยหลังหนีก่อนที่สายตาจะรับรู้ว่าเบื้องหลังบานประตูที่เปิดออกนั้นมีเพียงความว่างเปล่า


กับสายลมเย็นเยือกที่แม้แผ่วเบา ทว่าก็เย็น..เฉียบเสียจนราวจะเกาะกุมกระดูกสันหลังของจิรวดีให้กลายเป็นน้ำแข็งก่อนพัดผ่านไปที่คันฉ่องกรอบไม้


ความรู้สึก...กับสัญชาตญาณอีกเล็กน้อยคือสองสิ่งที่ผนวกรวมตัวกัน จนหญิงสาวต้องหันขวับกลับไปยังอุปกรณ์สื่อสารชั่วคราวของหล่อนแทบจะทันที


บัดนี้แผ่นโลหะขัดเงาซึ่งเคยสะท้อนภาพได้ชัดเจนแทบไม่ต่างจากกระจกเงาในโลกที่หล่อนจากมากลับพร่าเลือน เหมือนสายน้ำที่ต้องโขดหินกลายเป็นระลอก รูปเงาที่เคยเห็นชัดว่าไม่ผิดเพี้ยนกับจิรวดียามนี้บิดเบี้ยว...จนดูราวกับมีอีกเงาร่างซ้อนทับ


“จีจี้...ระวัง...”


กังวานเสียงเสนาะหวานนั่นก็อีก... มันฟังเหมือนมาจากที่ไกลแสนไกลจนจิรวดีใจหาย ขยับปราดไปแทบจะทุบคันฉ่องเรียกอีกฝ่ายอย่างกังวล


“อนาลา...เกิดอะไรขึ้น” หล่อนร้องถาม...ติดต่อกันเร็วปรื๋อ “ใครกันที่ฆ่าเธอ เธอรู้ใช่ไหม บอกมาก๊อนนนน”


แม้รูปเงาจะพร่าเลือน ทว่าจิรวดีก็มั่นใจว่ารอยยกมุมปากที่หล่อนเห็นจากอีกฝ่ายนั้นคือรอยขบขันไม่ผิดเป็นแน่ หากก่อนที่ความขุ่นเคืองจะพลุ่งพล่านขึ้นอีกรอบ เสียงหวานก็ตอบมาด้วยความดังที่ไม่ต่างจากกระซิบ


“....ระวัง ... ไสยะ ... ...ส่ง....ถา...”


“อนาลา!” จิรวดีร้อง เมื่อรูปสะท้อนของหล่อนแตกกระจายและเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หลงเหลือไว้เพียงคำเตือนขาดห้วงที่สะท้อนก้องไปมาในหัวคนฟัง


ระวัง? อะไรล่ะ??


“อนาลา” จิรวดีลองร้องเรียกอีกครั้ง “อย่าเพิ่งไปสิ กลับมาพูดให้จบแล้วก็ชัดๆก่อน”


หล่อนครวญ...แม้ใจหนึ่งจะรู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ อนาลานึกจะมาก็มา นึกอยากไปก็ไปเช่นนี้เสมอ จิรวดีไม่เคยรู้ล่วงหน้า....


‘ก็เธอขัดฉันเสียทุกทีนี่นา จีจี้ เลยไม่ทันพูดเรื่องสำคัญให้จบสักครั้ง’


สุ้มเสียงล้อเลียนกับถ้อยความที่เคยฟังผ่านๆมาหลายรอบวนกลับมาแทนที่เจ้าประโยคขาดห้วงนั้นแทบจะทันทีเหมือนกัน พาให้จิรวดีอดจ้องเขม็งไปที่คันฉ่องอย่างระแวงไม่ได้


ก็จะให้หล่อนทำใจเย็นได้ยังไงกันล่ะ...คนแถวนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ เคยฟังหล่อนพูดจบเมื่อไรกัน เห็นตีความกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!



จิรวดีส่ายหน้าไปมาช้าๆอย่างใช้ความคิด เงาสะท้อนคืนกลับมาและยังเป็นรูปลักษณ์ของอนาลา หากหญิงสาวก็แน่ใจว่าแววตายุ่งยากใจที่มองกลับมานั้นเป็นของหล่อนเอง... เป็นสัญญาณอันแน่ชัดว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจริงๆ


เหลือแต่ปัญหาให้หล่อนแก้...


หญิงสาวสืบเท้าถอยกลับมา หากจะให้ไปนั่งไปที่เดิม อารมณ์พาลพาโลอยากหาที่ลงก็ทำให้ไม่อยากนั่งอยู่เฉยๆอีกต่อไป ยิ่งเมื่อนึกถึงงานเลี้ยงที่อีกฝ่ายว่าไว้ จิรวดีก็เพิ่งเกิดสำนึกเพิ่มว่า หล่อนควรจะเริ่มกังวลจริงจังได้แล้ว


เพราะต่อให้มันมีทางกลับไปได้จริง มันก็คงไม่ใช่ทางง่ายๆประเภทที่ว่าแค่หล่อนล้มตัวลงนอนตั้งจิตมั่นคิดถึงบ้านเกิด หล่อนก็จะเดินทางกลับได้แน่ๆ...วิธีนี้หล่อนลองจนแน่ใจแล้ว


ดังนั้นจึงไม่มีทางที่หล่อนจะกลับก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มได้เด็ดขาด...


“ก็แล้วงานเลี้ยงนี่มันทำอะไรบ้างล่ะ” หญิงสาวปรารภ เสียงไม่เบานัก ก่อนมองซ้ายขวาเพราะไม่มีเสียงตอบรับมาจากทิศทางใดทั้งสิ้น


และวินาทีต่อมา ศีรษะของอนาลาก็เริ่มเต้นตุบๆให้จิรวดีแทบกุมขมับ เมื่อรำลึกได้ว่าเหตุใดหล่อนถึงได้อยู่คนเดียวในห้องจนเป็นโอกาสให้อดีตเจ้าของร่างมาปรากฏในคันฉ่องสนทนากับตนได้


“ถาด...” จิรวดีพึมพำ พลางเดินกลับไปที่แท่นตั้งคันฉ่องซึ่งหล่อนวางถาดไม้ใบนั้นเอาไว้


เอียงซ้ายพินิจ เอียงขวาพิจารณา หญิงสาวก็ยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง ว่ามันมีความหมายอะไรเคลือบแฝง แม้จะยอมรับในความแปลกประหลาดของมันที่หล่อนสังเกตได้ก็ตาม แต่จิรวดีก็ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายหรือคนส่งมาจะอยากให้หล่อนเห็นสิ่งนี้


มันเป็นถาดไม้เปล่าๆ....


วัตถุเครื่องใช้ที่ไม่มีการสลักเสลาลงลวดลายชิ้นแรกที่จิรวดีได้เห็นในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา!


แค่แท่นที่ตั้งคันฉ่องซึ่งหล่อนสัมผัสอยู่นี้ แม้ด้านบนของมันจะได้รับการขัดเกลาราบเรียบไม่มีแม้แต่ความสากให้ระคายมือคนแตะ หากเพียงไล่สายตาลงมาเล็กน้อย จะเห็นลายรูปเถาไม้ที่ขอบด้านข้าง เกี่ยวพันกระหวัดมาบรรจบที่กึ่งกลางซึ่งเป็นรูปดอกไม้สามกลีบที่ละเอียดละออกกว่าทุกลายด้วยปลายกลีบที่พลิ้วไหวเหมือนกำลังเริงระบำเล่น


หญิงสาวคิดว่านี่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่...เพราะเครื่องมือเครื่องใช้ทุกชิ้นภายในห้องที่หล่อนอยู่มาเกือบ ๒๐ วันนี้ แม้จะมีลวดลายประกอบหลายแบบจนหล่อนลายตาคร้านจะสังเกต แต่ทุกชิ้นจะมีลายนี้เป็นลายหลักเสมอ


ซึ่งว่าไปแล้ว ถ้าเจ้าลายนี้มันไม่ได้ประดับอยู่ทุกที่...ทั้งแท่นนอน แท่นนั่ง ถาดที่ใส่ข้าวปลาอาหาร โอ่งใส่น้ำอันเล็กๆในห้อง หรืออีกสารพัด จิรวดีก็แน่ใจว่าตนไม่มีทางจะจำมันได้เหมือนกัน


ถ้าของทุกชิ้นมีลายสลัก...แล้วของที่ไม่มีลายสลักจะมีความหมายพิเศษหรือบ่งบอกถึงอะไรกันแน่???


อะไร...หรือว่าใคร?


ความคิดที่แล่นผ่านวาบ เหมือนมีใครสักคนจุดประกายแล้วแต้มเติมลงไปพร้อมกับรอบด้านซึ่งค่อยๆพร่าเลือนกลายเป็นสีขาวไปจนหมด คงไว้แต่ตัวตนของหล่อน


ของอนาลา...


หัวใจ...ที่ตอนนี้จิรวดีครอบครองเต้นรัว ผสานกับความรู้สึกประหลาดที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เมื่อยามหมอกขาวบางเบานั้นกระจายออก ด้วยการปรากฏของร่างหนึ่ง


โครงร่างนั้นแลดูสูงใหญ่เสียจนคนมองแทบจะรู้สึกถึงความเล็กกะจ้อยร่อยของตนในพริบตา แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากับความรู้สึกซึ่งกำลังพลุ่งพล่านที่เจ้าตัวจับได้แล้วว่ามันเป็นความหวาดหวั่น..ที่แทบจะเป็นความหวาดกลัว!


ไม่...


เสียงนั้นแผ่วเบาแทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบ หรือเสียงร่ำร้องของแมลงตัวเล็กๆ ที่แทบฟังไม่ได้ศัพท์สำเนียงใดๆราวกับ...


อย่าเข้ามา ออกไป ถอยออกไป


ถ้อยคำที่แผ่วเบายังดำเนินต่อไป พร้อมหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ...เชื่องช้าลง เมื่อจิรวดีบังคับตัวเองให้มองตรงไปได้พร้อมกับความสงสัย


ใครกันที่กำลังกลัว?


ความรู้สึกที่กำลังเต้นระทึกอยู่นั้นเป็นสิ่งที่หล่อนรู้สึกได้ ทั้งอาการหวาดผวาจนแทบจะกรีดร้องที่แสนเด่นชัดนั่นอีก แต่เหตุไฉน จิรวดีกลับรู้สึกว่าเสี้ยวหนึ่งในตัวของหล่อนกลับยังคงสงบนิ่ง กึ่งมองไปด้วยความสงสัยอีกประการ


ใครอีกคน...ใครกัน ที่เดินเข้ามานั่น?


ถอยออกไป ไปให้ห่าง ไปให้พ้น


สุ้มเสียงนั้นเอ่ยต่อ ด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นที่เพิ่มขึ้นมาอีกประการ... ความรู้สึกดุจทำให้ประโยคพวกนั้นไม่ผิดกับคำภาวนา!


อย่าเข้ามา... อย่าให้‘มัน’เข้ามาใกล้!


นั่นไม่ได้เป็นคำที่กรีดร้องบอกต่อร่างนั้นที่เคลื่อนมาใกล้ หากเป็นคำที่พยายามบอกหล่อน...จิรวดีหรืออนาลายามนี้ต่างหาก!!


ใครบางคนที่หวาดกลัวอย่างที่สุด..กำลังร้องเตือนหล่อน


หากความรู้ที่ตระหนักขึ้นมาได้ไม่ผิดกับสายฟ้า แวบผ่านชั่ววูบแล้วจางหายเร็วจนไม่น่าเชื่อว่าเคยปรากฏขึ้น หญิงสาวกะพริบตาปริบ เมื่อรอบตัวกลับไปสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง เช่นเดียวกับที่หมอกรอบตัวละลายไปเกือบหมด


เช่นเดียวกับเงาดำนั่น


ทว่าจิรวดีก็คิดว่าหล่อนเห็น...เหมือนยามที่เห็น‘อนาลา’ในกระจกเงา เป็นความคล้ายคลึงอันไม่อาจบอกได้ชัดแจ้ง แต่ก็รู้แน่ว่ามีบางอย่างที่คล้าย


รูปเงาที่อยู่เบื้องหลังร่างสีดำทะมึนอันน่าสะพรึงนั่น คือเรือนกายแกร่งกำยำของบุรุษเพศที่มีแผ่นอกเปลือยเปล่า ปราศจากถนิมพิมอาภรณ์ใดๆ อันจะมาทำให้เขาหมองมัวมากกว่าจะเติมแต่งส่งเสริม


แม้แต่อัญมณีที่เลอค่าที่สุด ก็คงจะหม่นหมดสิ้นประกายแน่ เมื่อเทียบกับดวงตาสีน้ำเงินแปลกประหลาดนั่น


ดวงตาสีแปลก ใต้กรอบเรียวยาวราวรูปสลักจำลอง มากกว่ามีตัวตนจริงๆ ที่เพิ่มความสงสัยให้มากเสียจนผู้มองอดออกปากไม่ได้


“ใคร...?”


“หม่อมฉันเองเพคะ เจ้าหญิง”


เสียงหวานเสนาะ หากแฝงแววเย็นชาอยู่ในทีนั้นดุจสายลมที่กรรโชกรุนแรงปัดเป่าทุกหมอกควันเลือนรางให้สลายไป คงเหลือไว้แต่ ‘เจ้าหญิง’ ที่ยืนนิ่งงัน


“....” จิรวดีขยับริมฝีปาก ตระเตรียมจะเอื้อนเอ่ยคำ ก่อนชะงักงันไปอีกครา


หล่อน...กำลังจะพูดอะไรกัน???


คำถามนั้นน่าพิศวง... อย่างน้อยๆก็ในความรู้สึกของคนที่ถามตัวเอง เรียวคิ้วเรียวขมวดมุ่นเสียจนคนทำยังปวดหน้าผากตุบๆเสียเอง แต่ก็ยังไม่อาจบอกตนได้ว่าเพราะเหตุใด สมองจึงราวกลายสภาพเป็นผ้าสีขาวโพลนไปหมดเช่นนี้


“เจ้าหญิงเพคะ...” เสียงเพรียกแว่วขึ้นอีกครั้ง แต้มเติมรูปเงาลงบนสีขาวให้จิรวดีกะพริบตาอีกปริบ และเหลียวไปมองเจ้าของเสียงด้วยความงุนงง


บัดนี้ สตรีผู้โสภิตที่กะเกณฑ์คนออกไปในทีแรกได้กลับมานั่งพับเพียบบนพื้นเบื้องหน้าหล่อนแต่เมื่อใดก็สุดรู้!


วงหน้าเฉลาประดับเด่นด้วยดวงตาสีนิลลึกเหมือนมณีน้ำเอกเพิ่งจะแหงนเงยขึ้น และขยับรอยยิ้มหวานมอบให้จิรวดีซึ่งก้มหน้าลงไปมองพอดี ทว่าคนที่ถูกส่งยิ้มให้กลับตะครั่นตะครอแปลกๆ ก่อนหลุดถาม


“...เจ้า...เข้ามาเมื่อไรน่ะ??”


ศีรษะได้รูปที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีเดียวกับนัยน์ตาอันเกล้าเป็นมวยด้านหลัง และเสียบปิ่นไม้สลักอย่างเรียบง่ายค้อมลงน้อยๆละม้ายถวายความเคารพ ก่อนตอบ


“หม่อมฉันได้ยินรับสั่งเรียก จึงรีบเข้ามาเพคะ”


“ห๊า?” คนรับสั่งอุทาน....สมองที่เพิ่งหายจากการขาวโพลนกลับไปเต้นตุบๆใหม่อีกคำรบ “ฉันเรียก? เมื่อไร? ที่ไหน?”


คำถามสั้น แต่รัวและเร็วแถมตามติดกันเป็นชุดจนถามจบไปแล้ว จิรวดีก็เพิ่งสำนึกว่า ถ้าหากอีกฝ่ายตอบมาด้วยประโยคอันยืดยาวอย่างเวลาที่ใครๆชอบพูดกับ‘เจ้าหญิง’แล้วล่ะก็ หล่อนได้ระเบิดสมองตัวเองตายจริงๆแน่คราวนี้


หากพอจะเอ่ยปากห้าม ฝ่ายตรงข้ามก็ชิงตอบเสียก่อนด้วยใจความที่หญิงสาวต้องนึกทึ่ง


“เจ้าหญิงรับสั่งเมื่อสักครู่ จากที่แห่งนี้เพคะ”


จิรวดีเอียงคอ เกือบจะแคะหูตนเองให้แน่ในด้วยซ้ำว่าไม่ผิดเพี้ยน แต่เมื่อนัยน์ตาคมปลาบจนแลดูเกือบเป็นดุของอีกฝ่ายตวัดขึ้นมาอีกวูบ มือของหล่อนที่กำลังจะยกขึ้นก็แข็งค้างก่อนทิ้งลงข้างตัวโดยปริยาย พร้อมกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ แล้วพยักหน้าหงึกๆเป็นทำนองยอมรับ


“ดีเนอะ” หล่อนว่า หมายถึงทั้งตัวเองที่ได้ฟังอะไรรู้เรื่องง่ายๆสักที กับอีกฝ่ายที่พูดได้เข้าใจแจ่มแจ้งโดยไม่ต้องมีศัพท์วิลิศให้มากมาย


ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายเอ่ยว่าหล่อนเรียกนั้น จิรวดีไม่ได้ติดใจสงสัยมากเท่าไรหลังสติกลับคืนเข้ารูปรอยเป็นปกติ เพราะจากประสบการณ์สั่งสมครึ่งเดือนที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะหมดเวลาส่วนมากไปกับการนั่งเหม่อลอยหนีความจริง แต่หูของอนาลากลับใช้งานได้ดีพอจะจับสังเกตได้ว่า...นี่เป็นหนึ่งในลูกเล่นยอดฮิตของสาวๆแถวนี้


ดูเหมือนสาวๆ...โดยเฉพาะสาวที่แต่งตัวดี ดูมีอายุสกุลรุนชาติมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีวิธีการเดินเข้ามาหรือเดินออกไปทำนองว่าใครสักคนเรียก มากกว่าจะเป็นตัวเองที่เต็มใจมามุงหรือออกไปสืบความสนทนาใดๆ


ผนวกกับลูกเล่นนี้ จิรวดีเคยอ่านในหนังสือมาเยอะว่า ส่วนมากสาเหตุที่บรรดาหญิงสาวทำอย่างนี้ร้อยละเก้าสิบจะเป็นเพราะเรื่องของศักดิ์ศรีการรักษาหน้าตา ขณะที่อีกร้อยละสิบจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังนำไปสู่ชนวนของเรื่องราวที่ใหญ่กว่า


แต่หลังจากฟังหู..เหลืออีกหูไว้ฟังตัวเองคร่ำครวญ จิรวดีก็ยังไม่พบประเด็นสำคัญอะไรจากสาวน้อยใหญ่รอบกายทั้งหลาย หล่อนจึงสรุปได้ว่าสิ่งที่ตนเผชิญน่าจะเป็นหนึ่งในร้อยละแปดสิบที่เคยอ่านเจอ


ขณะที่คนถูกจับไปเป็นค่าร้อยละซึ่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมอยู่บนพื้นดูจะไม่รู้เรื่องราวใด นอกจากพยักหน้าเล็กน้อยคล้ายส่งสัญญาณบางอย่าง


คนที่กำลังนึกเปรียบเทียบละครกับชีวิตตนเองเพลินๆ...จึงไม่ทันมีเวลามาสังเกตอากัปการนั้น และเป็นเหตุให้แทบสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือเย็นเฉียบที่แตะข้อเท้าอย่างกล้าๆกลัวๆ


จิรวดีก้มหน้า ก่อนแทบผงะเมื่อก้มหน้าลงไปเห็นก้อนสาวน้อยที่คลานออกจากห้องไปก่อนหน้านี้ มาเกาะกุมกันอยู่รอบตัวหล่อนละม้ายกองทัพอะไรสักอย่าง


กองทัพที่มีอาวุธเป็นทั้งขัน ทั้งก้อนใยท่าทางแข็งแปลกๆ กับอีกสารพัดผงกับก้อน.....


กองทัพที่กุมหล่อนไว้แน่น ราวกับนี่คือเชลยศึก ไม่ใช่เจ้าหญิงที่พวกหล่อนต้องปรนนิบัติ


กองทัพที่พร้อมแก่การลงมือแล้ว ขณะนี้




<>:<>:<>:<>:<>




เข็นตอนที่สามแบบครึ่งๆมาส่งเจ้าค่ะ ยังมีใครจำเรื่องนี้ได้ไหมคะ .... (จำเราได้ไหมหนอ )

ว่าแล้วก็วิ่งหนีอย่างอายๆ




 

Create Date : 11 กันยายน 2554
2 comments
Last Update : 11 กันยายน 2554 4:03:06 น.
Counter : 1086 Pageviews.

 

รอตอนต่อไปอยู่ค่ะ

 

โดย: nako IP: 203.154.149.228 11 กันยายน 2554 10:17:00 น.  

 

สวัสดีปีใหม่ครับคุณอมราวตี มีความสุข และสุขภาพดี ตลอดปีตลอดไปนะครับ

ส่งความสุข สวัสดี วันปีใหม่
หวังสิ่งใด สมหวัง ดังปรารถนา
ขอคุณพระ รัตนตรัย ดลได้มา
เปี่ยมหรรษา ตลอดปี ใหม่นี้เอย

 

โดย: สามปอยหลวง 27 ธันวาคม 2554 9:01:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


อมราวตี
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]





ครั้งหนึ่ง.....เคยนั่งอยู่
วันหนึ่ง.......เคยลุกมาก้าวเดิน
และอีกวัน...อาจหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน
-- -- -- -- -- -- -- -- -- --
"คนเรามักจดจำความเจ็บปวดของตนเอง แต่หลงลืมความเจ็บปวดของผู้อื่น"




New Comments
Friends' blogs
[Add อมราวตี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.