จันทน์กะพ้อ บทที่ ๑๒
มาซะค่ำเลย...แหะๆ ลืมไปค่ะ บางทีก็ลืมว่าแต่ละวันเป็นวันอะไร เพราะไม่ได้ทำงานแบบมีวันหยุด -*-
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วยเอาพี่ใหญ่ไปเก็บด้วยครับ...เรตติ้งดีเกินหน้าเกินตา
...เขตชลไม่ได้พูด...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จันทน์กะพ้อ บทที่ ๑๒
เขตชลเป็นคนแปลก...จันทน์กะพ้อคิดแบบนั้นตั้งแต่ตอนที่รู้จักเขาใหม่ๆ แม้เวลาผ่านไปจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันแล้วเธอก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกอยู่ดี จันทน์กะพ้อไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชายมากนัก เพื่อนสมัยประถมก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเพราะเมื่อขึ้นชั้นมัธยมเธอเข้าเรียนโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด แทบไม่ได้เจอกับเพื่อนประถมอีกเลย ถึงแม้ว่าช่วงมัธยมปลายจะเปิดรับนักเรียนชาย แต่อัตราส่วนก็น้อยมากอยู่ดี หากเมื่อมาเรียนมหาวิทยาลัย ในคณะของเธอมีนักศึกษาชายเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ แต่เธอก็ไม่มีปัญหาเรื่องการคบเพื่อนผู้ชาย หากเขตชลเป็นผู้ชายในแบบที่เธอไม่เคยเจอ เธอรู้ว่าเขามาจากกรุงเทพฯ แค่คำว่ากรุงเทพฯ ก็ทำให้เธอไม่ประทับใจอยู่มากแล้ว จันทน์กะพ้อก็รู้ตัวเองล่ะว่าอะไรที่มีความเกี่ยวข้องกับ คนบ้านนั้น อย่างอะไรที่เกี่ยวกับกรุงเทพฯ จะทำให้เธอมองในแง่ลบได้ไม่ยาก จะยกเว้นก็แต่ ลุงเกริกกับป้าภา ที่ทำให้เธอเกลียดไม่ลง และก็ทำให้เธอพอที่จะยอมรับคนกรุงเทพฯ อื่นๆ ได้บ้าง เธอมีเพื่อนที่ไปเรียนด้วยกันในหลากหลายคณะเพราะว่าเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่และอยู่ใกล้บ้านเกิดที่สุด จึงเป็นตัวเลือกหลัก หากก็มีเพื่อนเลือกไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่น แม้จะมีเพื่อนมาจากห้องเดียวกัน แต่จันทน์กะพ้อก็เริ่มมีเพื่อนใหม่ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเปิดเทอมที่มีกิจกรรมรับน้องและงานสำคัญอย่างกีฬาน้องใหม่ เธอลงเล่นกีฬาบาสเก็ตบอลซึ่งเล่นมาตั้งแต่อยู่ม.ต้นแล้ว ก็ได้กลุ่มเพื่อนใหม่เป็นนักกีฬาด้วยกัน แต่ที่ไม่นึกก็คือ...เฟรชชี่คนดังของคณะนี่แหละ เธอได้คุยกับเขาครั้งแรกก็คือวันที่ถูกรุ่นพี่เลือกให้เป็นตัวแทนคณะ วันที่ต้องไปประชุมที่องค์การนักศึกษาตามคำสั่งรุ่นพี่ในตอนหลังเลิกเรียน จากตึกเรียนไปตึกกิจกรรมก็เดินเหนื่อยเลยทีเดียว เขตชลบอกว่าเดี๋ยวไปรถเขาดีกว่า เธอรู้ว่ารถของเขาคือรถสุดหรูที่สะดุดตาของทุกคนนั่นแหละ แต่ระยะทางแค่นี้... ไปมอเตอร์ไซค์ดีกว่า พาหนะส่วนใหญ่ของนักศึกษาที่นี่คือรถจักรยานยนต์ รวมทั้งตัวเธอด้วย วันที่ขนของมายังหอพักนอกจากของใช้ส่วนตัวแล้วก็มีจักรยานยนต์กลางเก่ากลางใหม่ที่ตายกให้มาด้วย เขตชลทำท่าเหมือนจะค้านแต่ก็ไม่พูดอะไร ตามเธอไปยังที่จอดรถ จันทน์กะพ้อไม่ได้คิดอะไรเมื่อส่งกุญแจรถให้เขา เพราะปกติแล้วถ้ามีเพื่อนผู้ชายไปด้วยเธอก็ให้ผู้ชายเป็นคนขี่รถ เพราะให้ผู้ชายซ้อนจะดูแปลกไป เขตชลรับกุญแจไป เขาใช้เวลานิดหน่อยกว่าจะสตาร์ทรถของเธอได้ เธอคิดว่าขี่รถคนอื่นครั้งแรกก็คงขลุกขลัก ก่อนจะมาเอะใจเมื่อเขาไม่ได้เหยียบเกียร์ รถเธอไม่ใช่เกียร์ระบบอัตโนมัติ หรือว่าเขตชลขี่มอเตอร์ไซด์ไม่เป็น จันทน์กะพ้อรีบร้องบอกให้เขาจอดรถ เขาเบรกจนเธอหัวทิ่มชนไหล่กว้างนั่น ก่อนจะลงจากรถ ขี่มอเตอร์ไซด์ไม่เป็นเหรอ จันทน์กะพ้อมองใบหน้าหล่อที่ตอนนี้ยิ้มเขิน...หากแววตาระยิบระยับเหมือนเด็กที่ได้รับของเล่นชิ้นใหม่ แหะๆ เพิ่งเคยครั้งแรก เขตชลเกาะท้ายทอยเขินๆ มองเพื่อนสาวที่เริ่มหัวเราะอย่างไม่เกรงอกเกรงใจกันเลย ก็เขาไม่เคยขี่รถจักรยานยนต์มาก่อนนี่ แม้จะเคยนึกแวบๆ ว่าอยากลองบ้างก็ตาม แต่พ่อกับแม่เขาไม่มีทางอนุญาตให้ใช้มันแน่ จันทน์กะพ้อพยายามหยุดหัวเราะแต่ก็ทำยาก เธอไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีใครขี่รถจักรยานยนต์ไม่เป็น ก็คนรอบตัวเธอไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายขี่เป็นกันตั้งแต่ประถมเสียด้วยซ้ำ งั้นลงมาก่อน เราจะขี่เอง จันทน์กะพ้อบอก ขอขับไม่ได้เหรอ...นะ เขตชลลดเสียงลง...อ้อนนิดๆ ได้มีโอกาสแบบนี้ทั้งที...บางทีเขาน่าจะเปลี่ยนมาใช้มอเตอร์ไซค์ เราอยากไปประชุมมากกว่าไปโรงพยาบาลนะ จันทน์กะพ้อส่ายหน้า เธอมั่นใจว่าขี่รถซ้อนผู้ชายตัวโตอย่างเขตชลได้ไม่มีปัญหา แต่เห็นแววตาละห้อยของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแย่งของเล่นเด็ก...ไม่สิ เหมือนแย่งของจากลูกหมาที่ตัวโตเกินอายุมากกว่า ขากลับก็แล้วกัน...เดี๋ยวสอนให้ จริงเหรอ...ขอบคุณนะ...อ้าย จันทน์กะพ้อกะพริบตา ใช่ล่ะ...เหมือนกับจะเห็นหูกับหางกระดิกไปมาอย่างนั้น มันทำให้เธอนึกถึง...ลูกสุนัขตัวยักษ์อย่างโกลด์เดนรีทรีฟเวอร์ เมื่อประชุมเสร็จก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะออกจากตึกกันได้ ไม่ใช่อะไร ก็...คนที่มากับเธอนั่นแหละ ใครๆ ก็อยากคุยกับเขาทั้งนั้น เห็นแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสารนะ ถึงเจ้าตัวจะไม่ได้พูดบ่นอะไรที่เป็นจุดสนใจขนาดนี้ แต่สีหน้าของเขตชลก็บอกว่าอยากออกไปจากตรงนั้นเร็วๆ เขาไม่ค่อยเหมือนคนหน้าตาดีคนอื่นที่มักจะภูมิใจที่ถูกผู้คนห้อมล้อม เป็นจุดสนใจ ไปขับรถกันเถอะ เขตชลรีบหาทางหนีออกจากวงผู้คน แล้วแทบจะลากเพื่อนสาวไปยังรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่หน้าตึก การหัดขี่รถจักรยานยนต์ไม่ได้มีอะไรยากเย็น แค่แป๊บเดียวเขตชลก็ขี่ได้แล้ว ขากลับเธอจึงเป็นคนนั่งซ้อนเขามายังรถคันหรูที่จอดอยู่คณะ เป็นเพื่อนกับเราได้ไหม หา... จันทน์กะพ้ออุทานด้วยความประหลาดใจ เงยหน้ามองคนพูด แล้วก็รู้สึกอยากเกาศีรษะขึ้นมาทันใด ต้องขอเป็นเพื่อนด้วยเหรอ...ก็ต้องเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ก็อยู่คณะเดียวกัน...ต้องเรียนด้วยกันตั้งสี่ปี หากเธอก็ตอบไป อือ...เป็นก็เป็น ยิ้มกว้างบนใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ได้ทำให้เธอใจเต้นอะไร แต่ขำมากกว่า เพื่อนใหม่ของเธอเป็นคนแปลกๆ
ค่ะ...วันอาทิตย์นี้เจอกันนะคะ คิดถึงป้าภากับลุงเกริกเหมือนกันค่ะ จันทน์กะพ้อวางโทรศัพท์ลง ป้าภาบอกว่าลุงเกริกกลับมาจากต่างประเทศแล้ว ตอนนี้ก็รอเธอไปอยู่ด้วยอย่างใจจดใจจ่อ เธอรู้ว่าทั้งสองท่านเอ็นดูเธอ น่าเสียดายที่คนดีๆ อย่างลุงกับป้าไม่มีลูกสักคน หญิงสาวมองข้าวของที่เริ่มทยอยเก็บลงกระเป๋าเดินทาง ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเสื้อผ้าของใช้ประจำวันเล็กๆ น้อยๆ กับหนังสือ ของน้อยกว่าตอนที่ย้ายเข้าหอพักของมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ป้าภาบอกว่าไม่ต้องเอาอะไรมามากก็ได้ เพราะเตรียมห้องแล้วก็ข้าวของไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว แต่นี่ล่ะที่เธอออกจะหวั่นใจ เพราะรสนิยมของป้าภาออกจะเลิศวิไลไฮโซห่างไกลจากตัวเธอมาก หากความใจดีและความน่ารักของท่านก็ทำให้เธอไม่กล้าปฏิเสธทำร้ายน้ำใจท่าน อีกสองวันแล้วสิ... ก็คงไม่มีอะไรจะต้องกังวลหรอก...เป็นไงเป็นกัน จันทน์กะพ้อออกจากห้องนอนลงมายังชั้นล่าง บ้านเงียบเพราะว่าพ่อแม่และน้องสาวไปโรงเรียน ส่วนตาก็ไปวัด เธอตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือสักหน่อย ยังมีการสอบขวางหน้าอยู่ โดยเฉพาะเธอเปลี่ยนสายไปทางด้านบริหาร ก็ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมหลายอย่าง อ้าว...กลับมาโดนหรือหยังจ้า จันทน์กะพ้อถามตาว่ามาถึงนานหรือยัง เมื่อเห็นว่าตานั่งอยู่ที่ตั่งไม้ในห้องโถงชั้นล่าง เธอไม่ได้ยินเสียงเลย สงสัยจะมัวแต่เก็บข้าวของ จักหน่อยแล้ว...มานี่มา ตาเมฆกวักมือเรียกหลานสาว ท่านตอบว่ามาได้สักครู่แล้ว จันทน์กะพ้อก้าวเข้าไปหาและนั่งลงที่ตั่งไม้กับตา เธอมองกล่องกำมะหยี่สีแดงซีดสามกล่อง เป็นกล่องแบนๆ หากกว้างยาวราวฟุตที่ตาเลื่อนมันมาตรงหน้าเธออย่างงงๆ ของหมั้นที่พ่อก้องให้แม่บุษของอ้าย ตาเมฆเอ่ย และให้หลานสาวเปิดดู ตอนที่แม่บุษเสีย พ่อของอ้ายก็หอบอ้ายกับของพวกนี่มาฝากกับตา ตาเมฆพยายามเอ่ยให้เป็นปกติ แต่ก็อดสะเทือนใจไม่ได้เมื่อนึกถึงบุษบา ลูกสาวตัวเล็กบอบบางของเขา หลังจากคลอดจันทน์กะพ้อ บุษบาก็เริ่มไม่ค่อยสบาย หมอบอกว่าเป็นโรคหัวใจ แล้วลูกสาวเขาก็จากไปเร็วเกินกว่าที่ทุกคนคิด เขาได้เห็นดวงตาแดงก่ำที่คลอไปด้วยน้ำตาของลูกเขยตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญก็คือลูกสาวตัวน้อย ก้องเกียรติยืนยันจะเลี้ยงลูกสาวเอง เขาก็ไม่อาจขัดใจ ได้แต่หาคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยเลี้ยงหลานสาว หากไม่นานก้องเกียรติก็พาลูกสาวกับข้าวของเหล่านี้มา บอกว่าขอฝากจันทน์กะพ้อไว้กับเขา เพราะจะต้องไปราชการที่อำเภออื่นหลายวัน เป็นอำเภอที่อยู่ไกลออกไปค่อนข้างกันดาน ราวกับเป็นลางร้าย แล้วก้องเกียรติก็กลับมาพร้อมกับเป็นไข้ป่าและจากไปอีกคน จันทน์กะพ้อสบตาคมของผู้เป็นตาก่อนจะเปิดกล่อง มันเป็นกล่องใส่เครื่องประดับอย่างที่เคยเห็น แม้ภายนอกกำมะหยี่จะซีดจางไปมากแล้ว หากภายในกล่องยังคงสภาพดี ของหมั้นที่พ่อมอบให้แม่ พ่อเราบอกว่า...เขามีแค่เงินเดือนข้าราชการกับเงินสะสมที่มีอยู่บ้าง ตาก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกนะ เงินทองเราก็พอมี แต่เขาก็ตระเตรียมมาดี ตาเมฆเอ่ย ปรายตามองสินสอดทองหมั้นของลูกเขยที่ฝากเขาเก็บไว้มานาน ในวันแต่งงานนั้นเขาคืนพวกทั้งหมดให้ลูกสาวและลูกเขย เพราะไม่ได้ต้องการข้าวของเงินทองอะไร ขอเพียงให้ลูกสาวเขามีความสุขก็เพียงพอ จันทน์กะพ้อมองผ่านทั้งทองแท่งและสร้อยทองในกล่อง สิ่งที่สะดุดตาเธอคือแหวนสองวง วงใหญ่เป็นแหวนปลอกมีดแบบเรียบๆ ส่วนวงเล็กนั้นมีเพชรรูปหัวใจฝังอยู่ด้วย เธอหยิบแหวนทั้งสองขึ้นมาดู ข้างในตัวแหวนมีตัวอักษรสลักเป็นชื่อย่อของทั้งคู่และนามสกุลของพ่อ บ.ก. อักขรลักษณา บุษบาและก้องเกียรติ อักขรลักษณา เธอลูบแหวนเบาๆ ก่อนจะบรรจงวางไว้ ปิดกล่องและวางไว้ข้างๆ เธอมองอีกสองกล่องที่เหลือ แล้วหยิบขึ้นมาเปิด เธอเหลือบมองผู้เป็นตา เป็นของที่ย่าแท้ๆ ของอ้ายให้ไว้รับไหว้สะใภ้ บนผ้ากำมะหยี่คือชุดเครื่องประดับ...มีทั้งสร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือ และเข็มกลัด ทุกชิ้นออกแบบมาเป็นชุดเดียวกัน อัญมณีที่สะท้อนแสงอยู่นี่...ทับทิมล้อมเพชร จันทน์กะพ้อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูละครอยู่เลย... ของย่า... เธอจำได้ว่าย่าแท้ๆ นั้นเสียไปก่อนที่พ่อกับแม่จะแต่งงานกัน เธอไม่รู้เหมือนกันว่าย่าจะคิดอย่างไรที่พ่อเลือกแม่เป็นสะใภ้ จะเป็นเหมือน...ปู่ หรือเปล่า อืม... ตาเมฆยังคงมองเห็นภาพในวันแต่งงานของลูกสาวนั้นแจ่มชัด ก้องเกียรติทำดีที่สุดด้วยการเชิญท่านผู้ว่าฯ มาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวแทนผู้เป็นพ่อ และบรรดาเพื่อนปลัดอำเภอกับนายอำเภอ ข้าราชการทั้งหลายเป็นญาติฝ่ายชายในวันแต่งงาน ขณะที่กำลังจะเริ่มพิธี ญาติแท้จริงของฝ่ายเจ้าบ่าวซึ่งเป็นพี่ชายและพี่สะใภ้ก็มาถึงที่บ้าน ของที่แม่เตรียมไว้ให้ลูกสะใภ้ครับ พี่ชายของก้องเกียรติมอบกล่องกำมะหยี่สวยงามให้กับบุษบา แม่คงดีใจที่ได้สะใภ้คนเล็กทั้งสวยทั้งน่ารักอย่างนี้ ก้องเกียรติบอกทีหลังว่ามารดาเตรียมของรับไหว้เหมือนกันไว้สองชุด ชุดแรกมอบให้กับพี่สะใภ้ส่วนอีกชุดสำหรับภรรยาของเขา แต่ท่านก็เสียไปก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ชายเอามาได้อย่างไร เพราะบิดาเก็บของพวกนี้ไว้ เกริกเกียรติและศศิภาจึงเป็นเพียงสายสัมพันธ์เดียวที่ยังมีกับคนบ้านนั้นหลังจากลูกสาวและลูกเขยของเขาจากไป จันทน์กะพ้อวางกล่องลงและเปิดกล่องสุดท้าย ของรับไหว้แม่เราจากลุงกับป้า เป็นชุดเครื่องประดับเช่นกันหากขนาดย่อมลง ออกแบบเป็นรูปดอกไม้ร้อยเรียงกันด้วยเพชรเม็ดเล็กที่ดูเหมาะกับสาวรุ่น ซึ่งก็คงเหมาะกับแม่บุษบาของเธอ เป็นรสนิยมของป้าภาจริงๆ แล้วก็นี่...เงินของพ่อแม่เราที่เหลืออยู่ ตาฝากธนาคารบ้างซื้อพวกสลากออมสินบ้าง บ่ได้เอามาใช้หรอก ตอนนี้ตาก็คิดว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่พอจะดูแลข้าวของพวกนี้เองได้แล้ว ตาเมฆส่งสมุดบัญชีธนาคารให้หลานสาว เขากับพฤกษาตกลงกันว่าจะเก็บข้าวของพวกนี้ไว้ให้จันทน์กะพ้อ จนถึงวันที่เจ้าตัวโตพอจะดูแลเองได้ ตอนนี้ตัวเลขมันก็เพิ่มทวีขึ้นมามากทีเดียว จันทน์กะพ้อรับสมุดบัญชีมาโดยที่ไม่ได้เปิดดู...เธอไม่ได้ดีใจที่ได้รับข้าวของมูลค่าสูงขนาดนี้ หากของเหล่านี้คือหนึ่งในความรู้สึกที่ส่งทอดมาแทนพ่อกับแม่ เอาไปกรุงเทพฯ นำล่ะ ของแต่งตัวพวกนี้อาจจะได้ใช้ ตาเมฆเอ่ย มองใบหน้านวลของหลานสาว การไปอยู่บ้านหลังนั้น สังคมของจันทน์กะพ้อจะเปลี่ยนไป เขารู้ว่าลุงกับป้าทางนั้นก็อยากจะให้จันทน์กะพ้ออยู่กับพวกเขา เพราะจันทน์กะพ้อก็เป็นหลานเพียงคนเดียว แต่จันทน์กะพ้อก็โตพอที่จะตัดสินใจเองได้ว่าจะเลือกเดินไปทางไหน สักวัน...ผมก็อยากให้คุณพ่อเขายอมรับความรักของผม คำพูดของก้องเกียรติตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล ตอนนั้นเจ้าตัวอาการหนักมากแล้ว เขาเป็นคนเฝ้าดูแลก้องเกียรติเอง เพราะนึกถึงคำพูดของลูกเขยนี่แหละที่เขายอมรับคำขอร้องของพี่ชายและพี่สะใภ้ของก้องเกียรติในครั้งนี้ เกริกเกียรติบอกว่าเขาจะกลับมาอยู่ที่เมืองไทยอาจจะถึงสองปี จึงขอจันทน์กะพ้อไปอยู่ด้วยเพราะจันทน์กะพ้อก็ตั้งใจจะเรียนต่อปริญญาโทอยู่แล้ว เป็นโอกาสดีที่สุดแล้วในการที่จะประสานรอยร้าวที่หยั่งลึกมานาน คุณพ่อท่านรักก้องมาก...ถึงจะไม่พูดแต่ก็อยากจะเห็นหน้าหลานสักครั้ง...อย่างไรอ้ายก็เป็นหลานสาวคนเดียวของท่าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่เชื่อคำพูดของเกริกเกียรติ รักลูกประสาอะไรถึงกับตัดพ่อตัดลูก...ห้ามเหยียบเข้าบ้านอีกเมื่อลูกไม่ทำตามความต้องการของตัวเอง แต่เวลามันผ่านมานาน...นานจนความโกรธเกลียดที่มีก็ต้องทิ้งไปบ้าง ลืมมันไปบ้าง เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นปู่ของจันทน์กะพ้อ สิเอาไปเฮ็ดหยัง...อ้ายไปเรียนบ่แม่นไปเป็นไฮโซ จันทน์กะพ้อยักไหล่ แล้วก็ต้องหลบมือใหญ่ๆ ของปู่ที่เหมือนจะแจกมะกอกให้เธอ เว่าดีไป...ตาซิคอยเบ่งว่าสิกลับมาซอยตาดำนาอยู่บ่ ตาเมฆเอ่ยกลั้วหัวเราะ มองแววตารั้นๆ ของหลานสาวแล้วโคลงศีรษะ ไปๆ เอาของไปเก็บ แล้วมาเล่นหมากรุกกับตา จันทน์กะพ้อหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นเองของไปเก็บ แล้วลงมาเล่นหมากรุกกับตา จนกระทั่งแม่อัญชลีกลับมาจากโรงเรียน จึงไปช่วยแม่ทำอาหารเย็น
เขตชลยิ้มกว้างเมื่อเดินเข้าไปในห้องแพนทรีของบ้านใหญ่ มารดากำลังง่วนอยู่กับการทำขนมโดยมีน้ำหวานเป็นผู้ช่วย กลิ่นหอมของขนมอบอวลไปทั่วห้อง มารดาของเขาชอบทำขนมและทำอร่อยด้วย ใครได้ชิมก็ติดใจทั้งนั้น อื้อหือ...คุณแม่จะเปิดร้านเหรอครับ เขตชลแซวมารดา เพราะที่โต๊ะกลางห้องมีถาดขนมที่เพิ่งอบเสร็จหลายถาดและหลายอย่าง รวมถึงกระปุกแยมอีกหลายกระปุก แค่ลูกชายแม่ก็ไม่พอทานกันแล้วมั้ง คุณวรัญญาหัวเราะ นี่แม่ทำเผื่อฝากหนูแพงไปให้ที่บ้านต่างหากล่ะ หือ...คุณแพงจะกลับบ้านเหรอครับ ใช่จ้ะ...พี่ชายเราก็จะไปด้วย พรุ่งนี้เหรอครับ จ้ะ...มีอะไรหรือเปล่า คุณวรัญญามองรอยยิ้มกว้างของลูกชาย และดวงตาก็มีประกายระยิบระยับ เหมือนมีเรื่องถูกใจอะไรสักอย่าง...หรือจะทำอะไรแผลงๆ เปล่าครับ เขตชลปฏิเสธ...หากก็ยังยิ้มกว้าง คุณวรัญญาได้แต่ส่ายหน้า ขอชิมก่อนได้หรือเปล่าครับ ไปล้างมือก่อนสิจ๊ะ คุณวรัญญาหัวเราะ มองร่างสูงของลูกชายที่เดินไปตามคำพูด พักนี้รู้สึกว่าเธอจะเห็นหน้าเห็นตาลูกชายคนกลางบ่อยขึ้น น้ำหวาน...จัดโต๊ะเลยก็ได้จ้ะ เดี๋ยวตาใหญ่กับหนูแพงคงมาถึงล่ะ เธอหันไปสั่งแม่บ้านสาวให้จัดโต๊ะน้ำชาได้ พี่ใหญ่กับคุณแพงมาเหรอครับ เขตชลเดินกลับมาที่เดิม เมื่อเช้าเขาเข้าไปประชุมที่ออฟฟิศ แล้วก็ออกไปไซต์โปรเจคโรงแรม งานยังราบรื่นดี เขาจึงกลับมาที่บ้านเพราะวันนี้ก๊วนบาสของเขาติดธุระกันหมด แล้วก็มาเจอว่ามารดาอยู่ที่บ้านจึงแวะเข้ามาที่บ้านใหญ่ก่อน จ้ะ...เดี๋ยวคงมาล่ะ คุณวรัญญายิ้มน้อยๆ น่านฟ้ามักจะพาพะนอขวัญมาที่บ้านบ่อยๆ คงเพราะอยากให้คนรักคุ้นเคยกับครอบครัวเร็วๆ ซึ่งเธอก็ยิ่งถูกใจเพราะเหมือนได้ลูกสาวเพิ่มมาอีกคน ตอนนี้เธอก็รอเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่น่านฟ้าจะทำให้พะนอขวัญยอมตกลงเรื่องแต่งงาน...เธอรู้ว่าเมื่อลองปักใจแล้วน่านฟ้าคงไม่รอนานนักหรอก สโคนของคุณแม่อร่อยที่สุด เขตชลกลับมาที่เดิมแล้วหยิบสโคนมาชิมเปล่าๆ โดยไม่ทาอะไร สโคนสูตรของคุณแม่แค่อบใหม่ๆ ร้อนๆ ก็อร่อยมากอยู่แล้ว คุณวรัญญาหัวเราะ ได้ยินคำนี้แล้วคิดถึงหนูอ้ายเลยนะ เขตชลแทบสำลักขนม เวลาแม่ไปเยี่ยมเราทีไร...ก็ต้องทำไปให้ทุกที รายนั้นชอบจริงๆ คุณวรัญญาเอ่ยยิ้มๆ นึกถึงเพื่อนสนิทของลูกชาย เวลาเธอไปเยี่ยมเขตชลทีไรก็มักจะเจอกับเพื่อนๆ ลูกชายเป็นโขยง แต่ที่เห็นว่าสนิทกันที่สุดก็มีสองคนคืออ้ายกับขันติ ว่าแล้วก็คิดถึง...นี่ยังทำงานอยู่กับคุณนารีอยู่หรือเปล่า แม่ชวนมาทำงานด้วยก็ไม่ตกลงสักที ครับ...ยังอยู่กับพี่นารี เขตชลค่อยๆ กลืนขนม แล้วรีบหยิบแก้วน้ำที่น้ำหวานจัดมาให้ก่อนมาจิบ แล้วก็แทบสำลักน้ำอีกครั้ง เพราะประโยคถัดมาของมารดา ถ้ากลางมีแฟนให้ได้สักครึ่งของอ้ายนี่แม่ก็สบายใจเลยนะ คุณวรัญญาค้อนน้อยๆ เมื่อเห็นยิ้มแหยๆ ของลูกชาย พูดถึงเรื่องแฟนทีไรก็ชอบทำหลบๆ เลี่ยงๆ ทุกที แล้วถ้าเป็นอ้ายเลยล่ะครับ เขตชลลองเอ่ย เขารู้ล่ะว่ามารดาถูกชะตากับจันทน์กะพ้อ เวลามาหาเขาก็ทำขนมมาให้จันทน์กะพ้อทุกครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าเขาอยากเปลี่ยนสถานะของจันทน์กะพ้อล่ะ...แม่จะว่ายังไง คุณวรัญญาเลิกคิ้ว...ก่อนจะยิ้ม ยาก...หมายถึงอ้ายนะ ไม่ใช่แม่... คุณวรัญญาเอ่ยกลั้วหัวเราะ รู้ไส้รู้พุงเราดีขนาดนั้น... โห...พูดเหมือนลูกชายแม่แย่ขนาดนั้น เขตชลแกล้งโอด ก็ไม่แย่...แค่ใกล้เกลือกินด่าง...เท่านั้นเอง
==================================================================
Create Date : 25 พฤษภาคม 2558 |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 19:21:36 น. |
|
10 comments
|
Counter : 3009 Pageviews. |
|
|
ถ้าสะใภ้กลางเป็นสาวอ้าย คุณแม่ไฟเขียวตลอดเส้นทางแบบนี้ เขตจะว่าไง?