เรื่องนี้ ขออนุญาตเขียนให้คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ขึ้นเครื่องบิน หน่อยนะคะ อะไร ๆ ก็มีครั้งแรกใช้มั้ยค่ะ ใครมีอะไรช่วยแนะนำ ก็ช่วย ๆ กันเขียนนะคะ

สำหรับมือใหม่ หัดนั่งเรือบินนะคะ ลองทำตามนี้ดูค่ะ จะช่วยลดอาการ “ประหม่า“ ได้ค่ะ และขอยืนเรื่อง ที่การเดินทางออกนอกประเทศนะคะ

1. Seat Assignment เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว อย่าลืมให้เอเจ้นท์ จองที่นั่ง ให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันปัญหาเรื่อง สายการบินไม่มีที่นั่งค่ะ เนื่องจากสายการบิน (ทุกสาย) จะขายตั๋วมากกว่า จำนวนที่นั่งค่ะ เพราะว่า แต่ละเที่ยวบิน จะมีผู้โดยสารจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ได้มาขึ้นเครื่อง เรียกว่า “No Show Factor”

แต่ก็มีบางครั้ง ที่ทุกคนมากันครบ แต่ว่า มีที่นั่งไม่พอ ดังนั้น ผู้โดยสารที่มีตั๋ว แต่ยังไม่มีที่นั่ง ก็จะไม่ได้ที่นั่งค่ะ (แม้คุณจะบอกว่า คุณจ่ายเงินค่าตั๋วไปแล้วก็ตาม) ดังนั้น แก้ปัญหาได้ด้วยการ ทำที่นั่ง ให้เรียบร้อย ตั้งแต่จองตั๋วค่ะ

2. >Window or Aisle ? เวลาจองที่นั่ง ถามตัวเองว่า อยากจะนั่งริมหน้าต่าง หรือริมทางเดิน มือใหม่ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ชอบนั่งริมหน้าต่าง เพราะคิดว่าจะเห็นอะไร ๆ แต่ความจริงแล้ว ที่ความสูง 30,000 ฟุต ไม่มีอะไรให้มองหรอกค่ะ นอกจากตอนเครื่องขึ้น - ลง

ข้อดีของที่นั่งริมหน้าต่าง คือ สามารถเอนหัวไปพิงผนังได้ แต่ข้อเสีย คือ ถ้าปวดฉี่ จะต้องฝ่าด่านมหาภัย ของคุณพี่ข้าง ๆ นะคะ บางทีเค้าอาจจะนอนหลับอยู่ ทำให้เราเกรงใจ ไม่อยากปลุกเค้า เป็นเหตุให้จะต้องอั้น “ฉี่“ ไปอีกหลายชั่วโมง

3. Check-in ปัจจุบันนี้ ทางสายการบิน แนะนำให้ผู้โดยสารเช็คอินก่อนเวลาเครื่องออก ประมาณ 3 ชั่วโมง เนื่องจากระบบการรักษาความปลอดภัย ที่เข้มงวดกว่าเดิม ดังนั้น เผื่อเวลารถติด หรือ เหตุการณ์เหนือความความหมายไว้ด้วย จะได้ไม่ตกเครื่องค่ะ

เวลาเช็คอิน ไม่มีอะไรมาก ถ้าเดินทางออกนอกประเทศ ก็ยื่นหนังสือเดินทาง พร้อมตั๋วเครื่องบิน ให้พนักงาน ปัจจุบันตั๋วเครื่องบิน เป็นตั๋วอิเล็คทรอนิค (E-Ticket) ถ้าตั๋วคุณเป็นแบบนี้ แนะนำให้ปริ้นท์ Confirmation Number มาเก็บไว้กับตัวด้วย

ถ้ายังถือตั๋วกระดาษอยู่ ขอบอกว่า คุณโบราณจังค่ะ ที่อเมริกาเค้าไม่ใช้กันแล้วอ่ะ อิอิ อ่ะค่ะ ถ้าถือตั๋วกระดาษ ก็เก็บตั๋วไว้ดี ๆ ค่ะ อย่าทำหาย

4. Boarding Pass เมื่อเสร็จพิธีเช็คอิน เจ้าหน้าที่จะให้ตั๋วโดยสาร (เป็นกระดาษแข็ง ๆ) เรียกว่า Boarding Pass บัตรนี้ จะระบุ

- ชื่อ (Name)
- หมายเลขเที่ยวบิน (Flight Number) เช่น TG612
- จุดหมาย (Destination) เช่น Paris
- หมายเลขที่นั่ง (Seat Number) เช่น 10G
- ประตูทางขึ้นเครื่อง (Gate) เช่น B-42
- เวลาเครื่องออก (Departure Time)
- เวลาเรียกขึ้นเครื่อง (Boarding Time)

สำหรับ Boarding Pass นี้ ถ้าจะต้องต่อเครื่องกี่ครั้ง ก็จะได้รับ Boarding Pass เท่านั้นใบนะคะ ก่อนเดินออกจากเค้าท์เตอร์เช็คอิน ตรวจสอบให้เรียบร้อยว่า ได้รับบัตรโดยสาร และหนังสือเดินทาง เรียบร้อยหรือยัง

5. Claim Ticket ตั๋วนี้ คือ ตั๋วกระเป๋าค่ะ เวลาเราเช็คกระเป๋าลงใต้ท้องเครื่อง พนักงานจะให้หางตั๋วมาด้วย โดยมากจะเย็บติดมากับ ซองใส่ตั๋วโดยสารค่ะ หางตั๋วนี้สำคัญมาก กรณีที่ เมื่อมาถึงปลายทาง แล้วกระเป๋าหาย ให้เอาหางตั๋วนี้ ไปยื่นให้พนักงาน ที่สนามบินปลายทาง เค้าจะตามหากระเป๋าให้ค่ะ ส่วนมาก สายการบินจะจัดส่งกระเป๋าให้ด้วย

เช็คกระเป๋ากี่ใบ ก็จะได้ตั๋วเท่านั้นใบค่ะ กฎการเช็คกระเป๋าของสายการบิน มี 2 แบบหลัก ๆ

(1) ใช้น้ำหนักรวม -- อันนี้ คือ กรณีที่เดินทางไปไหนก็ตาม ที่ไม่ใช่ ทวีปอเมริกาเหนือ สำหรับชั้นประหยัด จะได้น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 20 กิโล

(2) จำนวนชิ้นของกระเป๋า -- ถ้าเดินทางมาทวีปอเมริกาเหนือ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือ แคนาดา สามารถเช็คกระเป๋าได้ 2 ใบ แต่ละใบมีน้ำหนักได้ไม่เกิน 23 กิโลกรัม (50 ปอนด์) สำหรับสายการบินของอเมริกา ส่วนสายการบินเอเชีย รู้สึกว่า จะยังให้ 70 ปอนด์ อยู่ แต่ให้เช็คให้แน่นอนก่อนเดินทางค่ะ

6. บัตรขาเข้า - ขาออก ที่เค้าน์เตอร์เช็คอิน อย่าลืมหยิบบัตรตรวจคนเข้าเมืองด้วยค่ะ กรอกให้เรียบร้อย ก่อนเดินผ่านด่าน “ตรวจหนังสือเดินทาง“

7. Airport Tax ที่กรุงเทพ จะต้องซื้อตั๋วภาษีสนามบิน ราคา 500 บาท สามารถซื้อได้จากตู้อัตโนมัติ หรือ บูธที่มีคนขายค่ะ ไม่ทราบว่า ถ้าสุวรรณภูมิเปิด จะยังต้องซื้อหรือเปล่านะคะ ใครมีอะไรมาอัพเดท ช่วยบอกด้วย

อ่ะคะ ถึงเวลาต้องร่ำลา คนทั้งตำบล ที่มาส่งเราแล้วนะคะ จะร้องห่มร้องไห้ ร้องกันให้เรียบร้อย แล้วอย่าลืมถ่ายรูป ตรงที่เค้าเขียนว่า “Passport Control” เหอ ๆ ไม่รู้ทำไมคนเค้าชอบถ่ายรูปตรงนี้กันจัง กลัวคนไม่รู้ว่าไป “เมืองนอก“ หรือไง ?

ที่ประตู จะมีสองสาว ยืนรอรับตั๋วภาษีสนามบิน ยื่นให้เค้าไป แล้วเดินไปผ่านด่านตรวจขาออกได้เลยค่ะ หลังจากนั้น จะเป็นร้านค้าปลอดภาษี เดินดูเล่น ๆ ได้ ซื้อก็ได้ แต่ช่วงนี้ ถ้ามาอเมริกา ห้ามนำของเหลวทุกชนิด เข้าไปในตัวเครื่องค่ะ ดังนั้น ไม่ต้องซื้อให้รุงรังดีกว่าค่ะ

ดูเวลาที่ตั๋วโดยสาร ว่า Boarding Time คือ เวลาเท่าไร เพราะว่าสายการบิน จะเรียกผู้โดยสาร ขึ้นเครื่อง 30-45 นาที ก่อนเครื่องออกค่ะ โดยจะทำการเรียก ผู้โดยสารชั้นหนึ่ง และชั้นธุรกิจก่อน
จากนั้น จะเป็นผู้โดยสารที่เดินทางกับเด็ก และผู้โดยสารที่ต้องใช้เวลาในการขึ้นเครื่องนาน (กว่าปกติ) เช่น คนชรา หรือ คนพิการ จากนั้น พนักงานถึงจะเรียกผู้โดยสารที่เหลือ ตามเลขที่นั่ง โดยจะเรียก จากที่นั่งด้านหลังสุดก่อนค่ะ

ออกตัวออกครั้งว่า เพื่อน ๆ ส่วนมากที่มาเยี่ยมบล็อคเรา คงชำนาญการขึ้นเครื่องแล้ว แต่ว่ามีบางท่าน ขอให้ช่วยเขียนให้หน่อย เพื่อลดความตื่นเต้นค่ะ ยังไง ๆ อ่านผ่าน ๆ ไปก็ได้นะคะ แล้วจะเอาเรื่องฮา ๆ มาเขียนในเร็ววันนี้ค่ะ

ตอนหน้า มาดูกันว่า ควรแต่งตัวกันยังไง สำหรับการเดินทางอันแสนไกล นะคะ