My Life; My Destiny.
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
Paris (4) Day 1: Romantic Walk Along River Seine

เมื่อลืมตาขึ้นมาได้ ท้องก็ร้องคล่อก ๆ หิวอ่ะดิคราวนี้ อีเมียเป็นโรคลุกจากที่นอนยากมาก ๆ ขี้เกียจอย่างรุนแรง แม้นายจอมยุ่งจะกระแหนะกระแหนว่า จะมาเปลี่ยนที่นอนเหรอ ศรีภรรยาอย่างเรา ก็ได้แค่ยักคิ้วนิด ๆ ตอบไปเบา ๆ ว่า “แน่นอน“

กว่านายตัวโตจะลากเมียสุดที่รัก ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ก็ต้องออกแรงตบตีกันพอควร แต่พอเราเดินเข้าห้องน้ำ พ่อคุณ กลับไปนอนต่อ กวนขนาดไหน ???

อาบน้ำปะแป้งเรียบร้อย วันนั้นอากาศค่อนข้างเย็น เนื่องจากฝนตก โชคดีที่เราจัดเสื้อกันลมบาง ๆ ไปด้วย (แต่ว่าลืมเอาร่มไป) แต่งตัวกันทะมัดทะแมงพอควร พร้อมแล้วที่จะท่องเมืองน้ำหอม แต่ก่อนอื่นต้องขอไปหาอะไรมารองท้องก่อน ว่าแล้วก็เดินไปถามเจ้าหน้าที่ของโรงแรมทันที แต่ได้ความว่า ภัตตราคารส่วนใหญ่ในปารีส จะปิดช่วงบ่าย แล้วไปเปิดอีกที่ตอน 1 ทุ่ม แต่สามารถหาอาหารรองท้องประเภทแซนวิชได้ตามร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วไป

ได้การดังนั้น เราพากันจูงมือข้ามถนน เปิดประตูเข้าไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ ตรงข้ามกับโรงแรมทันที ร้านน่ารักดี ความจริงเป็นเหมือนร้านขายเหล้ามากกว่า โต๊ะอาหารเป็นเพียงโต๊ะกลมเล็ก ๆ พอว่างแก้วกับจานเล็ก ๆ ได้เท่านั้น มอง ๆ ดูเมนูที่เค้าเขียนไว้บนกระดานดำ ก็ได้แต่ทำตาปริบ ๆ อันดับแรก คือ สาวไทยอ่านไม่ออก อันดับสอง คือ มะกันก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน

นายตัวโตบอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวส่งภาษาปะกิตบ้าง ภาษาใบ้บ้าง ได้กินแน่ ๆ (แต่จะได้กินอะไรกันแน่นั้น เป็นของไม่แน่นอน!) คุณเมียได้แต่บอกว่า กินอะไรก็ได้แต่อย่างสั่งของประหลาด ๆ เช่น กบ เขียด หรือ หอยทาก มาให้ชั้นกินล่ะกัน

ภายหลังจากออกวิทยายุทธความมั่วได้ไม่นานแล้ว ก็ได้แซนวิช 2 อัน โค้ก 1 ขวด น้ำเปล่า 1 ขวด มาวางตรงหน้า พี่คนเสิร์ฟพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย (นิดจริง ๆ ค่ะ เพราะว่า มันพูดภาษาอังกฤษได้ 2 คำ นอกนั้นมันแพร่มภาษาฝรั่งเศสหมดเลย) จำความได้ว่า มันพูดความว่า แฮมกับชีส เลยเออ ๆ ไปกับมันด้วย นึกว่ายังไงก็ดีกว่ากินหอยทากล่ะว่ะ แซนวิชที่ได้มาบนขนมปังฝรั่งเศส กินแล้วปวดกรามมาก ขนาดนายตัวโตกินแล้ว ยังบ่นว่า เคี้ยวแล้วเมื่อยว่ะ กว่าจะกินหมด ฟันแทบจะหมดปาก เราต้องกำชับสามีว่า แกอย่ามาเร่งให้ชั้นกินเร็ว ๆ นะ เคี้ยวอยากมาก แต่ก็อร่อยดี ส่วนหมูแฮมเป็นแฮมลมควัน หน้าตาและรสชาติไม่เหมือนในเมืองมะกันเลย แต่ก็ต้องจำใจกินเข้าไป เพราะว่าหิวค่ะ

พอถึงตอนเช็คบิล คิดเป็นเงินราว ๆ 20 ยูโร จากนั้นมะกันใจใหญ่ก็ถามว่า ต้องทิปเท่าไร เราก็ตอบอย่างแน่วแน่ว่า อ่านหนังสือมา เค้าบอกว่าไม่ต้องทิป อย่างดีก็ทิ้งเศษตังค์ไว้ นายตัวโตไม่เชื่อค่ะ หาว่าเมียงก อุตส่าห์เดินกลับเข้าไปทิปพี่คนเสิร์ฟอีกนะ พอเดินกลับออกมา เราก็ถามเล่น ๆ ว่า ให้เงินเค้าไปเท่าไรล่ะ ฝรั่งแบบมือออกมา บอกว่า ให้เหรียญแบบนี้ไป 3 เหรียญ

หุ หุ มองแล้วสะดุ้งเลย บอกว่า แกทิปไปตั้ง 6 ยูโรเชียวรึ นายตัวโตยังงงอยู่เลย แต่พอรู้ว่าตัวเองเสียค่าโง่ไป ก็รู้สึกเสียฟอร์มอย่างรุนแรง ถึงขนาดไม่กล้าเดินผ่านร้านนั้นอีก เมียสุดที่รัก ก็ต้องกระทืบซ้ำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว จึงได้แต่แซวเล่น ๆ ตลอดทางว่า ป่่านนี้นายนั่นเอาไปพูดแล้วมั้งว่า “ไอ้มะกัน นี่แม่งโคตรโง่เลย“ ฮ่า ฮ่า นายตัวโตพูดได้คำเดียวค่ะ “Shut Up: หุบปากซะ“ โอ้ย ขำ

หลังอาหารก็พากันเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงแม่น้ำเซน ซึ่งห่างจากโรงแรมแค่ 2 บล็อคเท่านั้น ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น เสื้อกันลมของเรามีฮูด จึงเดินสบาย ไม่ต้องสนใจสายฝน แต่นายจอมยุ่งเริ่มจะเปียกโชก คนตัวโตจึงเริ่มจะงี่เง่า หาว่าทำไมไม่เอาร่มมา (อ้าว คนเรามันก็ลืมกันได้นี่หว่า)

ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหาซื้อร่มเล็ก ๆ เอาล่ะกัน มันต้องมีขายแถว ๆ นี้แน่นอน และก็เป็นไปตามที่คิดค่ะ ร้านขายหนังสือกับของจุกจิกทั้งหลาย ตรงทางขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดิน มีลมคันเล็ก ๆ ขาย ราคา 6 ยูโร ได้ร่มมาแล้ว นายจอมยุ่งก็ค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ค่อยมีกระจิตกระใจเดินหน่อยคราวนี้

เมื่อข้ามถนนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำได้ มองไปแล้วก็เห็นหอไอเฟลอยู่ไม่ไกลมาก สองศรีตัดสินใจว่าเดี๋ยวเดินไปที่โบสถ์นอเธอร์ ดาม ก่อนดีกว่า เพราะอยู่ใกล้ที่สุด ห่างจากแม่น้ำไม่ถึงครึ่งกิโลเมตรดี เดินตากฝนกันไปเรื่อย ๆ กลิ่นฝนหอมดี ฟ้ายังไม่มืด น้ำในแม่น้ำไหลเชีี่ยวทีเดียว เนื่องจากฝนเริ่มจะตกหนักขึ้น เราเดินกันช้า ๆ สองฝั่งแม่น้ำมีตึกเก่า ๆ เต็มไปหมด

เดินบ้างหยุดดูโน่นดูนี่บ้าง อาเฮียของเราถึงกับหลุดบ้างออกมาว่า “โรแมนติคอย่างที่เค้าว่ากันไว้จริง ๆ“ กระเหรี่ยงฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เพราะกว่าจะบีบบังคับให้มาฝรั่งเศสได้ แทบจะตีกันตาย

เราทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวเต็มที่ มีกล้องถ่ายรูปคล้องอยู่ที่ข้อมือ อีกมือถือแผนที่ (แม้ในหนังสือจะบอกว่าอย่าเดินถือแผนที่ไปมา เนื่องจากจะทำให้เป็นจุดเด่น และอาจโดนกระชากกระเป๋าได้) ตื่นตาตื่นใจมาก คุณสามีก็ดื่มด่ำบรรยากาศเต็มที่ เดินเลาะริมแม่น้ำไปเรื่อย ๆ ก็เจอตรอกเล็ก ๆ ซึ่งมีร้านขายดอกไม้เต็มไปหมด ทั้งดอกกุหลาบกลีบงาม ดอกไฮเดรนเยีย พิชทูเนีย และไม้ดอกอีกหลาย ๆ ประเภท ดอกไลแลคส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา บวกกับกลิ่นน้ำฝน ทำให้คนเดินถึงกับยิ้มออกมาบาง ๆ โดยไม่รู้สึกตัว

เราสองคนเดินดมกลิ่นดอกนั้นดอกนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนคนบ้า จนมาถึงสุดถนน คราวนี้เดินต่อไม่ถูก มองหาป้ายบอกทางก็หาไม่เจอ สุดท้ายตกลงกันว่า เดินไปเรื่อย ๆ ล่ะกัน เดี่ยวก็เจอเอง เพราะมันอยู่บนเกาะเล็ก ๆ นี้แน่นอน

เดินสะเปะสะปะไปเรื่อย ๆ แบบไม่คิดอะไร ชมนกชมไม้ ชมอาคารโบราณกันไปตามเรื่อง ในที่สุดก็เดินมาเจอโบสถ์นอเธอร์ ดาม ที่ขึ้นชื่อ บวกกับตำนานเล็ก ๆ ของคนหลังคล่อมที่หลงรักนางยิปซี หน้าโบสถ์มีพี่ยุ่นเต็มไปหมดเลย สงสัยจะมากันกับทัวร์ ตอนที่เราไปถึงนั้น โบสถ์ปิดแล้ว จึงได้แต่เดินดูกันภายนอก เดินวนรอบ ๆ โบสถ์อยู่หนึ่งรอบ พร้อมกับพยายามมองหาหน้าต่างดอกกุหลาบ (Rose Windows) รวมทั้งจุดสำคัญ ๆ ตามที่หนังสือได้บอกไว้ เช่น ตัว Gargoyles ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์โบสถ์ (ตามตำนาน)

ประวัติเล็ก ๆ ของ Notre Dame นะคะ เริ่มจาก Pope Alexander III ได้วางอิฐก้อนแรกของโบสถ์นี้เมื่อปี 1163 ค่ะ เมื่อการก่อสร้างสำเร็จลงในปี 1330 (ประมาณเกือบ ๆ 170 ปีต่อมา) โบสถ์หลังนี้ก็มีความยาว 130 เมตร สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นแบบโรมัน - กอธิค พอดีกว่าเดี๋ยวเขียนผิดตำรา แล้วจะมีคนมาด่า

สังเกตุดูจากรอบ ๆ ตัวโบสถ์ เป็นอะไรที่เก่ามากค่ะ เหมือนจะผุด้วยซ้ำ อยู่ยงคงกระพันมาตั้งหลายร้อยปีนี่หน่า เราเดินตากฝนภายในสวนของ Notre Dame ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากหรอกค่ะ ทราบประวัติมาแค่งู ๆ ปลา ๆ

ด้านข้างตัวโบสถ์ก็มีร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมด เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไป ราคาก็เจ็บปวดเหลือเกิน โพสต์การ์ดยังใบละเกือบ ๆ หนึ่งยูโร เราก็ซื้อมาเก็บไว้สองสามใบ ตามประสาคนชอบสะสมโพสต์การ์ด

จาก Notre Dame เราเดินเรื่อยเปื่อยเลาะตามริมฝั่งแม่น้ำเซน เมื่อถึงตอนข้ามสะพานกลับมายังฝั่งโรงแรม ก็เห็นตาแก่คนหนึ่งยืนสีไวโอลิน ตรงหน้ามีถุงเล็ก ๆ สำหรับให้คนโยนเศษตังค์ลงไป เรายืนฟังกันอยู่ซักพัก ฝนเริ่มจะซาลง แกเล่นเพลงอะไรเราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ทุก ๆ อย่าง ทั้งเสียงไวโอลิน เสียงน้ำฝน เสียงแม่น้ำ บวกกับบรรยากาศแบบยุโรปแท้ ๆ รอบ ๆ ตัว ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก โรแมนติคดีแท้จริง ๆ ก่อนเดินจากไปเราก็ไม่ลืมที่จะโยนตังค์ให้คุณลุงบ้าง ขอบคุณที่เค้ามาช่วยสร้างบรรยากาศให้เมืองปารีสดูอบอุ่นเข้าไปอีก

เมื่อข้ามสะพานมาได้ เราก็เริ่มเดินเข้าไปในย่าน Marais เขตนี้เริ่มต้นในราว ๆ ศตวรรษที่ 14 ค่ะ และเริ่มมีคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานมากขึ้นประมาณศตวรรษที่ 17 ซึ่งในช่วงนั้นเป็นแหล่งแฟชั่นสำคัญของกรุงปารีส ปัจจุบันนี้ Marais ก็ยังเป็นเขตแฟชั่นอยู่ค่ะ มีร้านเสื้อผ้าเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและร้านกาแฟเล็ก ๆ อยู่ทั่วไป ที่พลาดไม่ได้คือ มีร้านเบอเกอรี่เยอะมากกกกกกก เดินเข้าไปดูเค้กในร้านแล้ว น้ำลายไหลเป็นทาง นอกจากจะกลิ่นหอมแล้ว การตกแต่งยังสวยงามน่ากินอีกต่างหากค่ะ ใครชอบทานช็อคโกแลตอย่าพลาดค่ะ มีร้านทำช็อคโกแลตเยอะมาก ราคาพอทนได้นะ แต่ว่าต้องอมนาน ๆ หน่อย ให้คุ้มค่าเงิน ฮ่า ฮ่า

ถนนในย่านนี้แคบมาก มีตึกชิด ๆ กันเต็มไปหมด เดิน ๆ ไปต้องระวังขี้หมาด้วย นึก ๆ แล้วเหมือนเดินอยู่แถว ๆ พาหุรัต เดินไปต้องระวังก้อนระเบิด ชาวปารีสรักหมามาก มีแต่คนเดินจูงหมา แถมหมายังเข้าไปในร้านค้า และร้านอาหารได้อีกต่างหาก ต่างจากเมืองมะกันเป็นไหน ๆ

เห็นแล้วก็คิดถึงน้องพูกกี้จัง อยากเอามาด้วยจังเลย เดินจนหมดแรง ก็พอดีเลือบเห็นร้านกาแฟเล็ก ๆ มีเก้าอี้ให้นั่งข้างนอก พร้อมกับเตาผิงอุ่น ๆ ดาร์ลิ้งเลยชวนให้พักดื่มกาแฟเสียหน่อย นั่งดูคนเดินไปเดินมากับพักใหญ่ ๆ พร้อมกับคุยกันกระหนุงกระหนิงเรื่องไม่เป็นเรื่อง หัวเราะกันเหมือนคนเพิ่งสูบกัญชามา

เมื่อจ่ายตังค์ค่ากาแฟเรียบร้อย ความมืดก็เริ่มเข้ามาครอบคลุมแล้ว ตอนนั้นคงราว ๆ สามทุ่ม เราตัดสินใจกลับโรงแรมดีกว่า เดี๋ยวมืดแล้วกลับไม่ถูก เรื่องของเรื่อง คือ เดินกันเรื่อยเปื่อยจนไม่รู้ว่าตอนนั้นอยู่ที่ไหนกัน กะว่าจะไม่ถามทางใคร จึงตกลงกันว่า เดินไปเรื่อย ๆ ให้เจอแม่น้ำล่ะกัน ถ้าเห็นแม่น้ำปุ๊ป หาโรงแรมเจอทันที เดิน ๆๆๆๆๆ เดินเก่งกันจริง ๆ จูงมือกันไปเรื่อย ๆ วันนี้สามีอารมณ์ดีเหลือเกิน ผิดปกติ อีเมียได้แต่แอบมอง งงว่ะ!!! มาถึงก็หลายชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีใครหาเรื่องตีกันเลย ประหลาดแท้ ๆ (ไสยศาสตร์มีจริง)

กว่าจะกลับถึงโรงแรมก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ตอนแรกตกลงกันว่า วันนี้ไม่ต้องทานอาหารเย็นแล้ว เพราะแซนวิชก่อนหน้านี้ยังไม่ย่อยเลย กระเหรี่ยงอย่างเราเปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อยแล้ว นอนดูทีวีอยู่ดี ๆ (ฟังไม่ออกหรอก) กำลังเคลิ้ม ๆ อยู่เลย อีบ้านี่มาสะกิด ๆ บอกว่า “หิวอ่ะ“

โอ้ย พ่อทูนหัว จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ยังจะมาหิวอยู่อีก คุณเมียก็พยายามเบี่ยงประเด็น ถามว่าทนหิวได้หรือเปล่า กินพรุ่งนี้ได้มั้ย ตาชูชกก็บอกว่า ทนไม่ได้ หิวมาก ขอบอก! เมียสุดที่รักก็บอกว่า หิวก็ไปหาอะไรมากินล่ะกัน แต่ดาร์ลิ้งบอก “ไม่ได้ ต้องไปด้วยกันเท่านั้น“ เวรกรรมจริง ๆ

ศรีภรรยาอย่างดิฉัน จึงต้องลากสังขาร ลุกขึ้นมาแต่งตัวใหม่อีก กรรมเวร ง่วงก็ง่วง ต้องมานั่งทรมานสังขารเพื่ออีชูชกนี่อีก ไม่รู้จะกินอะไรกันหนักกันหนา ข้างนอกก็หนาวด้วย เพราะฝนตกทั้งวัน ลมก็แรง กระเหรี่ยงย้ำว่า ห้ามเลือกมาก เห็นอะไรก็ต้องกิน ขี้เกียจเดิน นายจอมยุ่งบอก “โอเค“

แต่ขอบอกนะว่า เวลาอีนี่บอกว่า โอเค เราไม่เคยเชื่อเลย คนแม่งเรื่องมาก สุดท้ายคนตัวโตรักษาคำพูด ยอมเข้าไปนั่งในร้านใกล้ ๆ โรงแรมนั่นเอง ดึกขนาดนั้นแล้ว ร้านอาหารยังมีคนตรึมอยู่เลยค่ะ ร้านน่ารักดี มีเครื่องทำความร้อนเป็นโคมห้อยอยู่ทั่ว ๆ ไป อุ่นดี

พลิกดูเมนูไปมา จอมยุ่งบอกว่า กินพิชซ่าล่ะกันเนอะ เราก็นึกในใจว่า แกจะกินอะไรก็กินไปเหอะ ชั้นง่วงนอน แต่เป็นคนดี สงบปากสงบคำ ไม่ได้พูด เออ ๆ ไปกับเค้า

ปรากฎว่า ไม่รู้อาเฮียใช้วิทยายุทธชั้นไหน สั่งพิชซ่า 1 ถาด แต่ได้มา 2 ถาด (แน่นอนว่าต้องจ่ายเงิน 2 ถาด) พยายามที่จะคุยกับพี่บ๋อย ก็ไม่เป็นผล คุณเธอพูดแต่ว่า เราสั่งไป 2 ถาด เมื่อไม่รู้จะทำยังไง เราก็ทำใจ กินกันต่อไป ยังไง ๆ ก็ต้องจ่ายเงินอยู่แล้ว จะมาทำงี่เง่าเหมือนอยู่เมืองมะกันไม่ได้ นอกจากนั้น สองสามีภรรยาสุดที่รัก ยังพากันซัดไวน์ไปอีก 2 ขวด ไม่รู้กินกันเข้าไปได้ยังไง

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวเมืองน้ำหอมของเราค่ะ แค่มาวันแรก ก็เดินซะขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อ กรุณาติดตามนะคะ


Waking up from our naps, we started to feel hungry. My problem with napping is that I never want to get up. My husband asked if I was just changing a place to sleep??. I winked at him and said, ?Yeah, sure?. As I got out of bed, he went right back to sleep. Hmm.

It was raining that afternoon. Luckily, I took along my windbreaker even though I totally forgot my umbrella. We went down to the concierge desk to get some information on ?What to do?, & most importantly, ?Where to eat?.

Most restaurants in Paris close during the afternoon hours and re-open around 7 p.m. However, you still can find small delis all over the city.

We stopped at a small sandwich shop across from the hotel. The shop was clean & cute. Although it looked more like a saloon than a restaurant, it really gave us the feeling of being in Europe.

The waiter came came to our table to give us the menu. We looked at it and quickly looked at each other. Ahhhh?.we couldn't read French! I was so afraid that we might end up ordering some frogs or snails! Yuk!

Anyway, after using some English & sign language, we managed to order 2 very delicious sandwiches, a coke and some water!

Our waiter spoke SOME English. That's right -- "SOME". He could say "Ham & Cheese". The rest of his sentences were in French (that we didn't understand).

The bill came to 20 Euros. Pretty darn expensive for just sandwiches & drinks, don't you think?

Note: Tipping is not necessary in France.

After the meal, we walked to the river Seine which was only 2 blocks away. The rain started to come down harder. We ended up having to buy an umbrella which cost 6 Euros.

Once we reached the river bank, the famous Eiffel Tower wasn't that faraway. We decided to visit first The Notre Dame Cathedral since it was the closest place within our walking distance.

In 1163, Pope Alexander III laid the first brick of the Cathedral. The construction was completed in 1330 (some 170 yrs later). The cathedral is 130 meters in length and is built using Roman-Gothic architecture.

When we got to the Cathedral we discovered it was closed for the evening. So we strolled around the outside trying to spot the infamous "Rose Windows" and "the legendary Gargoyles".

From Notre Dame, we made our way back to the Right Bank. (Paris is divided into Left & Right banks by the River Seine.) We spotted an old man playing a violin. We stopped & listened. The serenity of the rain, the river, the violin, and the atmosphere of a truely great European city made Paris an even more romantic place to be than usual. We felt very relaxed.

Once we reached the right bank, we were entering the Marais area. This area was established back in the 14th century, and was well known for fashion.

Nowadays, the Marais is still one of Paris' most famous fashion districts. In the Marais area, there were tons of coffee shops & bakeries. I almost died just looking at those pretty little pastries & chocolates. And just to think about them makes my mouth water.

Marais streets are very narrow. You kind of have to keep an eye on dog?s poo poo. It reminded me of streets in Chinatown in Bangkok !

The Parisians seem to really love their dogs. We saw a lot of people walking their dogs (or the dogs walking the owners?). Some dogs even went inside restaurants. Wish America would throw that stupid health issue away and let dogs go places.

Wrapping up our first day in Paris, we stopped at a small coffee shop before heading back to the hotel.

Well, we went back to the hotel, but did we go to bed? Nope, we did not. Even though I already was in my nightgown, my dear husband still wanted to go out again - - of course to look for food !

We ended up at a restaurant near to the hotel. Most restaurants were packed! I guess the Parisian love to come out late at night. My husband ordered a pan of pizza but we ended up with 2 pans. Can you guess why? And of course, we had to pay for both pans. On top of that, we drained 2 bottles of wine into our systems. Ha Ha.

Then, it was a good night.

ที่ร้านแซนวิชค่ะ

AT THE CAFE



River Seine









Hop on & Off Bus


Notre Dame Cathedral



Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Rose Window

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Gargolye

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Back to the right bank

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Marais Area

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Hotel DeVille

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket







Create Date : 18 พฤษภาคม 2549
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 8:54:27 น. 8 comments
Counter : 352 Pageviews.

 
น่าสนุกนะคะ เราไปมาเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว เป็นเมืองที่โรแมนติคมากๆ หนุ่มๆสาวๆจูจุ๊บกันทุกที่เลยค่ะ


โดย: Rive Gauche วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:6:56:39 น.  

 
เหมือนกะเหรี่ยงจริง ๆ ด้วย


โดย: เรื่องจริง IP: 202.93.98.148 วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:36:01 น.  

 
สนุกจังเลยค่ะ ชอบจัง ชอบสำนวนของคุณกระเหรี่ยง ยินดีที่ได้รู้จักคุณ (ฝ่ายเดียว) รออ่านต่อนะคะ


โดย: ก้อย IP: 58.8.57.57 วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:28:55 น.  

 
ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันค่ะ คุณก้อย


โดย: lilac girl IP: 68.13.176.206 วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:06:42 น.  

 
คิดว่าจะไม่มีรูปมาใด้ดูซะแล้วสิจ๊ะ ไปต่อตอนที่ 6 ดีกว่า...


โดย: shnkitty วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:2:13:23 น.  

 
พี่กะเหรี่ยงไปเที่ยวน่าหนุกจังคะ ยังไงจะติดตามอ่านต่อไปนะคะ อยากไปเที่ยวบ้าง แต่ไม่มีคนพาไปอ่ะ


โดย: น้องเต้ IP: 125.25.134.134 วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:27:15 น.  

 
แวะมาให้กำลังใจค่ะ


โดย: sheer bliss IP: 71.106.26.61 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:0:54:12 น.  

 
เสียดายเงินทิปจังค่ะ ไม่ต้องทิปเลยยังได้


โดย: brasserie 1802 วันที่: 1 มิถุนายน 2549 เวลา:6:23:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Lilac Girl
Location :
The Land of 10,000 Lakes United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม Blog ของเรานะคะ มีอะไรแนะนำจะให้เขียน รบกวนเขียนฝากไว้ด้วยค่ะ

Disclaimer: ทุกข้อความใน Blog นี้ เราเขียนเรื่องจากประสบการณ์เท่านั้น ไม่มีเจตนาว่าร้ายใคร และหากเรื่องที่เขียนไปกระทบใจใคร ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ส่วนข้อมูลต่าง ๆ ที่ให้ไว้ ก็เป็นเพียงข้อมูลจากประสบการณ์จริงเท่านั้นค่ะ

***ประกาศ : ท่านที่นำเนื้อหาในบล็อคของเราไปแปะไว้ในเว็ปอื่น ยินดีอย่างยิ่งค่ะ ที่ช่วยกันเปิดเผยข้อมูล แต่ขอความกรุณาซักนิด แจ้งให้เราทราบด้วยนะคะ ให้เครดิตคนเขียนกันบ้างค่ะ ***

New Comments
Friends' blogs
[Add Lilac Girl's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.