Group Blog
 
 
เมษายน 2553
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
28 เมษายน 2553
 
All Blogs
 

ความฝันน้อยๆ(ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม)

สวัสดีค่ะทุกๆคน ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อกของตุ๊กบ้างนะคะ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ

เห็นหลายคนเขียนนิยายลงบล็อกแล้วอยากเขียนให้ได้แบบนั้นบ้างจัง แต่ก็ยังมีปัญหาหลายอย่าง โดยฉเพาะการที่มองไม่เห็นทำให้การบรรยายบางสิ่งบางอย่างเช่น ลักษณะรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ลักษณะสถานที่หรือสิ่งของต่างๆ ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย ยังติดๆขัดๆอยู่

กลัวว่าถ้าเดาๆไป คนอ่านอ่านแล้วตลกเพราะการบรรยายอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่เป็นท่าก็แย่สิ แล้วจะทำยังไงล่ะนี่! ถึงจะนึกภาพได้แล้วบรรยายได้อย่างเหมาะสมเหมือนคนปกติ

ส่วนการบรรยายเนื้อเรื่องและอื่นๆก็คงไม่มีปัญหาอะไร ถึงจะเพี้ยนๆอยู่บ้างก็คิดว่าฝึกฝนบ่อยๆก็คงจะดีขึ้นตามลำดับ แต่ประสบการณ์ก็ยังน้อยนิดอยู่ เป็นอุปสรรคเหมือนกันข้อนี้ การวางโครงเรื่อง พล็อตเรื่อง ก็ยังไม่กู๊ดไอเดียเอาเสียเลย

จะมีมั๊ยน้า...สักวัน ที่จะมีผลงานของนักเขียนพิการทางสายตาคนนี้ได้ตีพิมพ์หรือได้นำมาลงบล็อกให้ใครๆได้อ่านกัน

หรือว่า...วันใดวันหนึ่ง จะเกิดความท้อแท้เสียก่อนจนไปได้ไม่ไกล ความฝันน้อยๆของคนๆคนนี้ จะเป็นไปได้ไหมที่จะประสบความสำเร็จในสักวันหนึ่ง?

ตุ๊กนำผลงานอันแสนจะยอดแย่มาลงไว้ในบล็อกให้ได้อ่านกัน แต่ว่า...ยังเขียนไม่จบเลยค่ะ มาจากความรู้สึกและประสบการณ์จริงๆส่วนหนึ่งและแต่งขึ้นด้วยค่ะ อ่านแล้วช่วยติกันหน่อยนะคะ

เป็นเรื่องสั้นนะคะ บอกเลยว่าแย่จริงๆค่ะ (เรื่องสั้นยังเอาไม่รอดเล๊ย แล้วนิยายจะไปรอดได้ยังไงกัน)


ปิดภาคเรียน
โดย รัตติกาล

ปิดภาคเรียน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆตั้งหน้าตั้งตารอคอย หลังจากที่เรียนมาตลอดระยะเวลาเกือบสี่เดือน เด็กส่วนใหญ่มักใช้เวลาช่วงนี้เพื่อพักผ่อนกับครอบครัว บางคนต้องทำงานเพื่อหารายได้พิเศษ หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นทุนการศึกษาของตนเอง ส่วนเด็กอีกหลายๆกลุ่มมักจะเรียนพิเศษ
ไปจนถึงเปิดภาคเรียนเลยทีเดียว
ศศิกาญจ์ก็เช่นเดียวกัน หล่อนอยากเรียนพิเศษในช่วงปิดภาคเรียนเสมอ ทุกครั้งที่ต้องกลับบ้าน
หล่อนมีความรู้สึกราวกับว่า เวลานั้นหมุนไปอย่างเชื่องช้าจนน่าเบื่อ
แต่หล่อนก็หาโอกาสในการเรียนพิเศษได้ไม่ง่ายนัก เว้นแต่ว่า ครูท่านใดจะใจดียอมสละเวลา
เพื่อมาสอนพิเศษเท่านั้นเอง ทำไมน่ะหรือ?
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พบเจอกับศศิกาญจน์ สาวน้อยวัย 16 ปี หล่อนมีใบหน้าที่สะสวยก็จริง
แต่ทุกคนก็ย่อมมองออกว่าหล่อนคือ “คนตาบอด” แม้คำว่า “คนตาบอด” เป็นคำที่ไม่สุภาพเท่าใดนัก สำหรับผู้ที่มีความพิการทางสายตา แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นคำที่แสนจะธรรมดาสำหรับคนปกติทั่วไป
สำหรับศศิกาญจน์นั้น หล่อนไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด เพราะหล่อนได้ยินคำนี้มานานนับสิบกว่าปี
จนชินเสียแล้ว แต่เพื่อนๆของหล่อนมักรู้สึกไม่ดีเสมอ เมื่อได้ยินใครเอ่ยคำๆนี้
หล่อนบอกเพื่อนๆเสมอว่า ถ้าเรายอมรับความจริงว่าเราคือคนพิการประเภทหนึ่งที่เรียกว่า
“คนตาบอด” คำๆนี้ก็คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดแต่อย่างใด
ศศิกาญจ์พักอยู่ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ หล่อนกำลังจะศึกษาต่อในระดับชั้นม.ปลาย หล่อนและเพื่อนๆเพิ่งจะไปสอบเข้าที่โรงเรียนระดับจังหวัดแห่งหนึ่งเมื่อวานนี้เอง
บรรยากาศภายในหอพักของโรงเรียนสอนคนตาบอดตอนนี้ค่อนข้างเงียบเหงา ไม่ครึกครื้นเหมือนอย่างเคย เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ ทยอยกลับบ้านกันเกือบหมดแล้ว ศศิกาลก็ต้องกลับบ้านภายในวันนี้เช่นกัน
หล่อนนั่งอยู่ในรถยนต์ที่ค่อนข้างเก่าคันหนึ่ง โดยมีผู้หญิงสองคนเป็นเพื่อนร่วมทาง
เจนนี่และมารดาของเธอนั่นเอง
เจนนี่นั้นเป็นเพื่อนที่ศศิกาญจน์ค่อนข้างสนิท เธอมองเห็นแค่เลือน ราง ทั้งสองพักอยู่หอพักเดียวกัน
ศศิกาญจน์จึงตัดสินใจมาอยู่ที่บ้านของเจนนี่ในช่วงปิดภาคเรียน เพราะในใจของหญิงสาวนั้นมีสารพัดเหตุผลที่ไม่อยากกลับบ้าน
ข้อแรก อีกสองสัปดาห์ หล่อนและเจนนี่ก็ต้องไปติดต่อเรื่องการศึกษาต่อในระดับ ม.ปลาย
บ้านของหล่อนนั้นอยู่ไกลมาก จะต้องกลับไปกลับมาให้เปลืองค่าน้ำมันทำไม
ข้อถัดมา กลับบ้านไปก็แสนจะน่าเบื่อ นอกจากงานบ้านเล็กๆน้อยๆที่หล่อนพอจะช่วยได้แล้ว
เช่นปัดกวาดเช็ดถู หล่อนก็ไม่รู้จะทำอะไรให้หายเบื่อได้อีก เพราะเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันก็ไม่มีให้หล่อนได้พูดคุยเลย ส่วนข้อสุดท้ายนี่แหละเป็นสิ่งที่หล่อนไม่อยากกลับบ้านเป็นที่สุด
เพื่อนๆของหล่อนมักได้นอนดึกตื่นสาย คุยโทรศัพท์ และทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ แต่บิดามารดาของหล่อนต้องห้ามโน่นห้ามนี่สารพัดอย่าง หล่อนเองเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยากมีอิสระเหมือนเพื่อนคนอื่นๆบ้าง ด้วยเหตุนี้ ศศิกาญจน์จึงรักความอิสระเป็นที่สุด ยิ่งต้องอยู่ในกรอบ
ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้มากเพียงใด หล่อนก็ยิ่งอยากจะใฝ่หาความอิสระมากเพียงนั้น
รถแล่นผ่านตัวเมืองที่จราจรติดขัดเหลือเกิน ถึงแม้ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ แต่ขึ้นชื่อว่าในเมืองแล้วก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก ผ่านไปเกือบชั่วโมง รถจึงแล่นเข้าสู่ชนบท ทางเข้าบ้านของเจนนี่นั้น
เป็นถนนลูกรัง และต้องผ่านเขาหลายลูก เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก แต่เจนนี่และมารดาคงจะคุ้นชินกับการเดินทางลักษณะนี้ดี ยกเว้นก็แต่ศศิกานต์เท่านั้น แต่หล่อนก็ไม่ได้แสดงกิริยาใดๆ “ก็เลือกจะมาอยู่บ้านของเขาเองนี่นา” หล่อนคิด
บ้านของเจนนี่เป็นบ้านชั้นเดียว มีเนื้อที่ไม่มากนัก ที่รับแขกด้านหน้านั้นมีเก้าอี้เพียงสองสามตัวพร้อมโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็ก ถัดมาเป็นโทรทัศน์ขนาด 21 นิ้ว ส่วนภายในบ้านนั้น
มีห้องนอนขนาดเล็กเพียงห้องเดียว ส่วนครัวและห้องน้ำก็อยู่ในสภาพที่พอจะใช้งานได้
ศศิกานต์อดคิดไม่ได้ว่า บ้านของหล่อนนั้นมีฐานะและความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้มาก แต่หล่อนก็ไม่ใช่คนเรื่องมากที่จะอยู่บ้านหลังเล็กๆแบบพอมีพอกินหลังนี้ไม่ได้
“กาญจน์ ฉันซื้อน้ำส้มมาให้ จะได้หายเหนื่อยไง” เจนนี่ว่าพลางส่งน้ำส้มมาให้หญิงสาว
“อุ๊ย! ตายจริง ทำเป็นตกอกตกใจไปได้ยายกาญจน์
ใจลอยคิดถึงใครอยู่จ๊ะหรือว่ามาบ้านฉันแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็คิดถึงบ้านเสียแล้ว” เจนนี่พูดยิ้มๆ
“ก็แค่คิดอะไรเพลินๆไปหน่อย ทำไมต้องหมายถึงบ้านด้วยล่ะ” ศศิกาญจน์พูดเชิงน้อยใจนิดๆ
“อ้าว! หรือว่าใจลอยไปหาพี่วิทย์ เลิกคิดถึงเขาได้แล้วนะรายนั้นน่ะ ช้ำใจเปล่าๆ”
“แกก็รู้ว่าฉันไม่อยากกลับบ้าน ถึงได้มาอยู่ที่นี่ ส่วนพี่วิทย์นั่นน่ะฉันไม่ได้คิดถึงเขาสักหน่อย
ทางที่ดีแกเลิกพูดถึงเขาดีกว่า” หญิงสาวดื่มน้ำส้มจนหมดแก้วแล้วเมินหน้าไปทางอื่น
“กาญจน์นะกาญจน์ แค่นี้ทำเป็นน้อยใจไปได้” เจนนี่พูดเสียงอ่อย แต่หล่อนก็ชินกับนิสัยของเพื่อนสาวจนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรมาก
“เจนนี่ แกว่าถ้าฉันโทรไปหาแม่ บอกแม่ว่าฉันอยู่ที่นี่ แม่ฉันจะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้นะ”
ศศิกาญจน์พูดแล้วถอนหายใจ แสดงสีหน้าครุ่นคิด “ฉันว่าแกบอกตอนนี้เลยดีกว่า
บอกตอนนี้หรือตอนไหนๆก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละฉันว่า” เจนนี่ให้คำแนะนำเท่าที่หล่อนจะให้ได้
“เออ โทรบอกตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน งั้นฉันยืมโทรศัพท์ของแกหน่อยสิ ของฉันพอมาอยู่บ้านแกก็สัญญาณไม่มีเลย” ศศิกาญจน์เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์จากเจนนี่แล้วจึงกดหมายเลขที่หล่อนคุ้นเคย
รอเพียงไม่นาน มารดาของหล่อนก็รับสาย “สวัสดีค่ะ” มารดาของหล่อนรับสายอย่างสุภาพ
เมื่อเห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นตา “ฮัลโหล แม่ นี่กาญจน์นะ กาญจน์ใช้เบอร์เพื่อนโทรมา”
“อ้าว! กาญจน์ ว่าไงบ้างลูก ตกลงว่าเรื่องรายงานตัวล่ะว่าไง” “แม่คะ... คือ...ตอนนี้
กาญจน์อยู่บ้านเพื่อนค่ะ” ปลายสายชะงักไปนิดก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “อยู่บ้านใครล่ะ
คู่แฝดนิดกับหน่อยหรือเปล่า” “เปล่าหรอกค่ะแม่ บ้านของเจนนี่ แม่ไม่รู้จักเขาหรอกค่ะ”
น่าแปลก มารดาของศศิกาญจน์ไม่ได้ว่าอะไรแม้แต่คำเดียว ทั้งสองคุยกันถึงเรื่องอื่นๆแล้วก็
วางสายไป “เจนนี่แ ม่ฉันไม่ว่าอะไรสักคำเลย แกว่าแปลกไหม ฉันดีใจจริงๆ เป็นไปได้หรือนี่”
ศศิกาญจน์พูดพลางกอดเพื่อนสาวไว้แน่นด้วยความดีใจ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “จริงไหมนี่
ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ” เจนนี่เองก็แปลกใจมากไม่แพ้เพื่อนสาว เพราะปกติมารดาของศศิกาญจน์มักจะตำหนิได้เสมอแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ
ค่ำวันต่อมา เสียงโทรศัพท์ของเจนนี่ก็ดังขึ้น ขณะที่เจนนี่และมารดา รวมทั้งศศิกาญจน์
กำลังรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เจนนี่จึงขอตัวไปรับโทรศัพท์
สักพัก หญิงสาวก็เดินมาอย่างรีบร้อน พร้อมส่งโทรศัพท์ให้ศศิกาญจน์ “กาญจน์ แม่แกจะคุยด้วย”
หล่อนกระซิบบอก ศศิกาญจน์รับโทรศัพท์มาด้วยใจที่ไม่สู้ดีนัก แต่หล่อนก็ฝืนใจคิดว่าคงไม่มีอะไรมาก หล่อนจึงทักทายมารดาด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด “แม่ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ลูกบอกแม่ว่าลูกอยู่ที่บ้านเพื่อนใช่ไหม อยู่ที่ไหนล่ะ” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆเช่นเดียวกัน
หัวใจของหญิงสาวเต้นแรง มือเริ่มเย็นเฉียบ มารดาของหล่อนต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ หล่อนรู้ดี
“ก็อยู่ในจังหวัดนี้แหละค่ะแม่” หล่อนพูดเลี่ยงๆอย่างระมัดระวังที่สุด “แม่ขอคุยกับแม่ของ
เพื่อนลูกหน่อยสิ” หล่อนหัวใจเต้นแรงกว่าเก่า รู้ดีว่าต้องมีปัญหาใหญ่ตามมา หญิงสาวส่งโทรศัทพ์
ให้มารดาของเจนนี่ “คุณป้าคะ แม่ของกาญจน์จะคุยด้วยค่ะ” พร้อมส่งโทรศัพท์ให้สตรีวัยกลางคน
มารดาของเจนนี่มีสีหน้างงๆ แต่ก็รับสายอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ” คงไม่มีคำทักทายอะไรดีกว่านี้
“สวัสดีคะ ไม่ทราบว่าลูกสาวของดิฉันไปอยู่บ้านคุณจนรบกวนอะไรหรือเปล่าคะ “เปล่าค่ะ ไม่รบกวนอะไรเลย” “แล้วบ้านของคุณอยู่แถวไหนเหรอคะ เผื่อดิฉันจะไปรับลูกสาวกลับบ้าน”
หญิงวัยกลางคนมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะบอกที่อยู่ของหล่อนให้กับปลายสาย แล้วจึงส่งโทรศัพท์ให้ศศิกาญจน์ “ลูกไปอยู่บ้านเขาได้ยังไง รู้จักบ้างไหมคำว่าเกรงใจน่ะ แม่ก็คิดว่าลูก
ยังอยู่ที่โรงเรียนเพื่อรายงานตัว เหมือนที่ลูกบอกไง แล้วบ้านเขาก็อยู่ไกลมากจนติดเขตจังหวัดอื่น
ไม่ใช่ใกล้ๆเลยนะ” มารดาของศศิกาญจน์ดุอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีคำตอบรับจากอีกฝ่าย หล่อนไม่รู้จะพูดอะไรให้มารดาของหล่อนเข้าใจ น้ำตาค่อยๆไหลรินมาอย่างไม่หยุดยั้ง ภายในใจนั้น
แสนรวดร้าวเหลือเกิน คงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้อีกแล้ว แม้กระทั่งครอบครัวของหล่อนก็ไม่มีวันเข้าใจ ศศิกาญจน์คิดอย่างปวดร้าว “รู้ไหมว่าพ่อโมโหขนาดไหนที่ลูกทำแบบนี้” ปลายสายยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม โดยที่ผู้ที่ว่าฉอดๆอยู่นั้นไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ ไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างสงบตามที่เข้าใจ เพราะปกติศศิกาญจน์ไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบเถียงผู้ใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร
“แม่ไม่มีวันเข้าใจลูกหรอก ก็มีแต่ว่า ว่า แล้วก็ว่า มีใครเคยเข้าใจความรู้สึกของลูกบ้างไหม”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น แต่เรื่องก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย “เอาเบอร์โรงเรียนมาเดี๋ยวนี้” มารดาของหล่อนพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “กาญจน์ไม่มีหรอกค่ะ จำไม่ได้แล้ว” หล่อนต้องจำใจโกหกเพราะไม่อยากให้ใครที่โรงเรียนต้องเดือดร้อน “ดี งั้นแม่หาเอง แค่นี้นะ” มารดาของหล่อนวางสายไปแล้ว
แต่น้ำตาของหญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้ อาหารมื้อนี้หล่อนไม่หิวอีกแม้แต่น้อย




 

Create Date : 28 เมษายน 2553
5 comments
Last Update : 28 เมษายน 2553 10:47:01 น.
Counter : 535 Pageviews.

 

สวัสดียามเช้าวันพุธค่า.. ขอให้สนุกกับการทำงานนะคะ ^^

 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว 28 เมษายน 2553 11:05:34 น.  

 

ควรใช้คำว่า “เด็กสาว” มากกว่า “หญิงสาว” เพราะผู้หญิงคนนั้นอยู่ในช่วงวัยรุ่นสาว

ควรใช้คำแทนตัวสลับกับชื่อที่แท้จริง เพื่อกันความสับสน

ไม่ควรพิมพ์เนื้อหาให้ติดกันเป็นพืด ควรเว้นระยะระหว่างบรรทัด เพื่อการอ่านอย่างสะดวกของคนตาปกติ

และน่าจะเพิ่มที่มาที่ไป รวมถึงการรับสมอ้าง เหตุผลรองรับ เพื่อมิให้ดูเรียบเกิน

แบบว่าเนื้อเรื่องควรมีมิติอ่ะนะ (ขพจ.) คิดว่า (คุณตุ๊ก) น่าจะเข้าใจ

ว่าไปแล้วมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย ถ้าหาก (คุณตุ๊ก) ลองสังเกตุพฤติกรรมของคนหรือสัตว์อย่างจริง ๆ จัง ๆ

หากเราไม่ทราบในจุด ๆ ใด สิ่งเดียวที่ทำได้ และได้ดี คือ การสอบถามคนรอบข้างใกล้เคียง เขาต้องให้คำตอบกับคุณได้ดีแหละน่า

สุดท้ายนี้ หากมีข้อสงสัยอื่นใด ก็สามารถเข้าไปสอบถาม (ขพจ.) ได้ที่บล็อกของ (ขพจ.) ได้เสมอนะ ยินดีจะเป็นพี่เลี้ยงให้คุณตุ๊กจ้า

เม้นให้คุณตุ๊กแล้ว คุณตุ๊กก็อย่าลืมไปเม้นให้ (ขพจ.) ในบล็อกบ้างนะ ไม่งั้นโกรธแน่

คือแบบว่าอยากศึกษามุมมอง รวมถึงชีวิตทั่วไปของคนตาบอด เลยเข้ามาอ่ะนะ ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าคุณจะมีรสนิยมชอบอ่านหนังสือ (นิยาย) และมีความใฝ่ฝัน เอาเป็นว่าจะเป็นกำลังใจช่วยนะจ๊ะ

ขอให้ทำได้โดยสำเร็จ

อ้อ...ลืมบอกไปว่า คุณตุ๊กเคยสังเกตุอะไรอย่างหนึ่งไหมใน (bloggang)

คำว่า “group blog” และคำว่า “all blogs” มีความแตกต่างกันอย่างไร และใช้ไปทำไม

เพราะ (ขพจ.) สังเกตุว่าคุณตุ๊กดูเหมือนจะใช้กันมั่วไปหมด เลยอยากแนะนำ ไม่คิดด้วยว่าจะสอนจรเข้ว่ายน้ำ

คำว่า “group blog” หมายถึง ก้อนกลุ่มใหญ่ ถ้าเปรียบกับบล็อก คือ หมวดในบล็อกของเรา อาทิ เช่น “ห้องนั่งเล่น” “ห้องดูทีวี” “ห้องรับแขก” “มุมอ่านหนังสือ” เป็นต้น

คำว่า “all blogs” หมายถึง กลุ่มย่อย หรือหากพูดถึงบล็อก ก็ให้ความหมายได้ว่า ชื่อหัวข้อ หรือชื่อเรื่องของบล็อกจ๊ะ

แล้ว “all blogs” นี่เราก็ต้องจัดแจงให้มันอยู่ในหมวดที่มันควรจะอยู่ หากเราจะแนะนำตัว ก็ควรอยู่ในหมวดทักทาย หรือหมวดคุยกับเจ้าของบล็อก อะไรทำนองนั้น หรืออย่างเรื่องงานเขียนของคุณตุ๊ก ก็ควรจัดให้อยู่ในหมวดของพวกงานเขียนของฉัน คือเราก็ต้องตั้งหมวดขึ้นมาด้วย

แล้วสังเกตุไหม กับพวก คอมโบ้บล็อก ในการเขียนบล็อกน่ะ ที่เขามีให้เลือกหมวด นั่นคนละอย่างกับที่ (ขพจ.) พูดมานะ

ไอ้คอมโบ้บล็อกอันนั้นน่ะ ไว้สำหรับคนที่เขาหาเนื้อหาบล็อกของเราจากหน้าเว็บใน “bloggang” จ้า

พูดมายืดยาวหวังว่าจะเข้าใจได้ไม่มากก็น้อยนะ

อ้อ...ลืมอีกอย่าง ใครที่จะมาเม้นพวกข้อความขยะน่ะ เมินไปเลยนะ อย่ามาเม้นให้คนอื่นเสียสุขภาพจิต

(ขพจ.) เจอจนอยากจะคลั่งตายแล้ว ขอความกรุณาจริง ๆ นะคุณหาแฟนตัวเป็นเกรียว และคุณคนอื่น ๆ เจอบ่อยมาก ไม่ว่าจะบล็อกใครต่อใครก็มี ไม่เชื่อลองไปดูในบล็อกของ (ขพจ.) บล็อกคุณกิ่งฉัตรก็เจอ

เราต้องการความคิดเห็น ไม่ใช่ริ้งบ้า ๆ “please”

 

โดย: (ขพจ.) (บ้านที่ไม่มีอะไร ) 28 เมษายน 2553 12:50:30 น.  

 

 

โดย: thanitsita 28 เมษายน 2553 13:59:11 น.  

 

ขอบคุณที่เม้นให้ตุ๊กค่ะ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณขพจ. มากค่ะ

เป็นผลงานอันยอดแย่สมชื่ออย่างที่ตุ๊กว่าจริงๆ จะพัฒนาและปรับปรุงให้ดีกว่านี้ค่ะ

 

โดย: ตุ๊ก (แสงสว่างแห่งรัตติกาล ) 28 เมษายน 2553 14:18:55 น.  

 

มันไม่ได้เรียกว่าแย่หรอกน่า เพียงแต่ยังขาดในบางส่วน เช่น รายละเอียดจำพวกที่มาที่ไป รวมถึงความมีมิติของตัวดำเนินเรื่อง ความชัดเจนของคนที่เราจะอธิบาย ประมาณนั้น

อ่านแล้วหละกับอันที่เป็นเรียงความ อ่านแล้วก็ทำให้เข้าใจว่า เพราะความต่างกันทางร่างกาย จึงเกิดความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ต่อความสามารถของคนผู้นั้น

ต้องเข้าใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะเดียวกัน แต่คนเราก็ยังต่างกัน ไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม

(ขพจ.) คิดว่า ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายที่ตาบอด ความเสียเปรียบย่อมตกอยู่กับผู้หญิงแน่นอนเลย หรือคุณตุ๊กว่าไม่ใช่

แต่อย่าว่าแต่ผู้หญิงตาบอดเลย แค่ผู้หญิงปรกติก็ยังต้องลำบากต่อความไม่เสมอภาค ไหนจะต้องคอยระวังกับพวกเสือพวกตะเข้ และบางทีก็อาจจะต้องคอยระวังภัยกับพวกเดียวกัน

“เกิดเป็นหญิง...แท้จริง...แสนลำบาก”

ที่โบราณว่าไว้ สมัยนี้ยังใช้ได้ไม่ล้าสมัย

แล้วนี่ จะบอกให้ คนปกติเนี่ยก็ใช่ว่าจะสบายนะจ๊ะ ที่เห็นร่าเริง เที่ยวคอยแกล้งคนอื่นน่ะ ลึก ๆ ในใจเขาไม่มีเจตนาหรอก แล้วบางคนนะ เขามีปมในใจอยู่ ก็เท่านั้นเอง

ว่าไปแล้วเนี่ย คนทุกคนมีปมในใจหมดแหละ ไม่ว่าจะเป็นคนร่างกายปกติ หรือพิการในด้านใดก็ดี เพียงว่า เขาหรือเธอเหล่านั้นจะแสดงออกมาให้ดูเป็นปมด้อยหรือเปล่า

คนที่รู้จักความอดทน ปมในใจก็จะแสดงออกมาเป็นภาพความขยัน ทะเยอทะยาน

แต่หากไร้ความอดทน ไร้ความมีน้ำใจ ก็จะแสดงออกมาให้เห็นเป็นภาพ ความริษยา ชิงดี เห็นแก่ตัว อะไรประมาณนี้

คนทุกคนย่อมมีมุมแห่งความน่าสงสาร แต่ว่า เขาและเธอเหล่านั้นจะใช้มันให้ถูกทางหรือเปล่า

และอย่างที่เคยพูดไว้ในบล็อกของตนเองนั่นแหละว่า ทุกสิ่งอย่างที่เรามี นั่นคือ วิบากกรรมซึ่งเราเป็นผู้สร้างมันขึ้นเอง ทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ก็คือวิบากกรรมทั้งนั้น

เอาหละ ณ บัดนี้ ก็คงจะได้เวลาลงจากธรรมมาสน์เสียทีแล้ว ขอจงเจริญสุขสวัสดีถ้วนทั่วกัน

อ้อ...ลืมบอกว่า จะพูดยาวพูดสั้นก็พูดออกมาเถิดนะคุณตุ๊ก อย่างไรแล้ว นั่นคือมุมมองของคุณที่ (ขพจ.) อยากศึกษา

 

โดย: (ขพจ.) (บ้านที่ไม่มีอะไร ) 28 เมษายน 2553 16:56:15 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


แสงสว่างแห่งรัตติกาล
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แสงสว่างแห่งรัตติกาล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.