ธันวาคม 2551

 
1
2
3
4
5
6
7
9
11
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
เก็บตกจากทริป "ปาย"และ "เชียงใหม่"
เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้จะเล่าให้ชาวพันทิปฟังตั้งแต่กลับมาเมื่ออาทิตยก่อนแล้วล่ะค่ะ (30 พ.ย.) แต่มึนกับการงานหลังจากหนี เอ๊ย ลางานไปพักร้อนกับหวานใจมาอาทิตย์นึงเต็มๆ คราวนี้ได้ฤกษ์ แบบว่านอนไม่หลับเลยลุกขึ้นมาเขียนบล็อกนี่แหละ เรื่องของเรื่องเราต้องการจะนินทาคุณชายและตัวเองจากทริปล่าสุด รับรองได้ว่ามีทุกรสชาติในทริปนี้ค่ะ เริ่มกันเลยนะคะ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา บังเอิญว่าไม่ได้จับยามสามตาก่อนออกเดินทาง เราเลยเลือกวันนี้ในการเหินฟ้าไปแอ่วเมืองเหนือ เรื่องของเรื่องคือไฟลท์เราออกสองทุ่มกว่าๆ ม็อบบุกปิดสนามบินสามทุ่มครับพี่น้อง พอขึ้นเครื่องปุ๊บเราก็ปิดเครื่องปั๊บ กระทังถึงเชียงใหม่เราก็ยังไม่เปิดเครื่องเพราะไปถึงก็ดึกแล้วง่วงนอนไม่เปิดดีกว่าเรา ทำให้เราไม่รู้ตัวเลยว่าทั่นหัวหน้าโทรตามเรายิกๆเรื่องงาน(เช็คข่าวปิดสนามบินนั่นเองพี่น้อง)



ยัง ยังไม่สำนึกครับพี่น้อง หลังจากนั้นก็เป็นเช้าวันที่ 26 พ.ย.เรากับคุณชายก็ลัลล้า (หมายถึงแค่มีความสุข อย่าคิดเป็นอื่นไกล) ตื่นมาก็กินข้าวเช้ากันชิลล์ จากนั้นก็นั่งสองแถวแดงจากหน้าโรงแรมไปสนามบินเพื่อไปขึ้นเครื่องไปปาย จุดหมายที่สองระหว่างทางก็กระหนุงกระหนิง มีความสุขมากมายครับพี่น้อง





ราวๆ 5 โมงกว่าๆเราสองคนก็ถึงปาย เมืองในฝันของใครหลายคน ยังครับ ยังไม่รู้สึก มือถือยังปิดเช่นเดิม พอถึงปายปุ๊บก็พักผ่อน นอนเล่นกัน มีความสุขกันเหลือเกินพี่น้อง สักพักคิดออก เปิดมือถือดีกว่าเรา เรายังแปลกใจว่าทำไมไม่มีใครโทรหาเราเลยหว่า (แบบว่ามือถือเราคงสัญญาณต่ำ หุหุ)





ระหว่างนั้นเราแทบไม่ได้รับโทรศัพท์จากใคร เรียกว่าโลกนี้มีแค่เราสองคนว่างั้น กระทั่งวันสุดท้ายก่อนกลับมาเชียงใหม่อีกรอบก่อนจะบินกลับกรุงเทพในวันที่ 29 พ.ย.และคุณชายก็จะบินกลับไปอเมริกาในวันที่ 30 พ.ย. แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นครับพี่น้อง เนื่องจากเพิ่งรู้ว่า สนามบินทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิถูกม็อบยึดไปเรียบร้อยแล้ว โอว พระเจ้าช่วย เรื่องของเรื่องคือที่ห้องพัก ไม่มีทีวี มีเฉพาะที่ล็อบบี้เท่านั้น ไอ้เราก็ไม่ค่อยชอบดูข่าวในวันหยุด โดยเฉพาะวันลาพักร้อน (ชีวิตประจำวันก็อยู่กับข่าวเลยขอพักยก) โน้ตบุ้กที่คุณชายหอบไปด้วยก็ต่ออินเตอร์เน็ตยากเย็นเลยไม่พยายามกัน เลยทำให้เราสองคนไม่ได้รับรู้ข่าวสารบ้านเมือง





คราวนี้เมื่อรู้แล้วจะทำยังไงดีล่ะ เราก็บอกค่อยกว่ากันที่แน่ๆคือเราคงไม่ได้นั่งเครื่องกลับตามแผนเดิม ส่วนคุณชายก็ต้องหาไฟลท์จากเชียงใหม่บินออกไปต่างประเทศที่มีสายการบินของ Delta Air บินเพื่อต่อเครื่องไปอเมริกา แทนการบินไปเริ่มต้นที่กรุงเทพตามแผนเดิม คราวนี้คุณชายมีอาการเครียดน่าดู เราก็บอกใจเย็นๆ ทุกปัญหามีทางออกตัวเอง (ทั้งที่ความจริงเราก็เครียดเหมือนกัน) เมื่อเครียดบวกกับอาการ Jet Lag ของคุณชายอันเป็นผลมาจากการนั่งเครื่องบินมาเป็นเวลานานและยังไม่มีเวลาพักผ่อน (เนื่องจากเดินทางตลอดทริป อย่าคิดลึก) คราวนี้คุณชายก็บ่นว่าไม่ค่อยสบาย เราก็ไม่คิดอะไร กระทั่งถึงเวลาเดินทางไปสนามบินปาย คุณชายเป็นลมขอรับท่าน ตายๆๆๆๆ ณ ตอนนั้นเราเองก็ตกใจ เราะเดินจูงมือกันอยู่ดีๆคุณชายตัวโตของเราก็หน้ามืด เป็นลมต่อหน้าต่อตา เราก็กรี๊ด ร้องไห้เลย เรียกให้คนช่วย พนักงานในรีสอร์ทต้องช่วยกันอุ้มและหามคุณชายเข้าห้องเหมือนส่งตัวเจ้าสาวยังไงยังงั้น .... หลังจากพักผ่อนราวชั่วโมงกว่าคุณชายก็ดีขึ้นจากนั้นก็เดินทางไปสนามบิน .....แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก...

เมื่อคุณชายเวียนหัวอย่างแรง และอ้วกออกมาด้วย ตายแล้ว คราวนี้เราต้องเรียกรถพยาบาลมารับ ระหว่างนี้คุณชายยังมีสติตลอดเวลาพูดคุยกับทุกคนเหมือนไม่ได้ป่วย เราก็ใจเสียเพราะเรารู้ว่าเค้าไม่อยากให้เราไม่สบายใจ เลยต้องพยายามมีสติอยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่นั่งรถพยาบาลไปนั้นน้ำตาเราก็ไหลออกมา เพราะเรากลัวว่าเค้าจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ ส่วนคนไข้ก็ต้องมีหน้าที่ปลอบใจเราว่า I am fine.Do bot worry.แถมยังบอกให้เราถ่ายรูปตอนที่นอนแผ่บนเตียงรถโรงพยาบาล ดูซิยังอุตส่าห์มีอารมณ์ขัน




ถึงโรงพยาบาลคุณหมอก็จัดการวัดความดัน ตรวจเลือดผลออกมาทุกอย่างปกติ อ้าว งั้นเป็นอะไรหนอ เพราะนั่งแทบไม่ได้ต้องนอนตลอดเวลา เราก็คิดว่าเป็นอาการความดันต่ำ โรคที่คุณชายเป็นอยู่ แต่เมื่อมาวัดความแล้วความดันก็ปกติ งงนะเนี่ยว่าคุณเธอเป็นยังไงแล้วจะหายมั้ยเนี่ย (จะรอดมั้ยเธอ)

จากนั้นเราก็หอบหิ้วกันไปสนามบินปายจนได้ คุณชายได้ยาดม ยาหม่อง (จากผู้คนที่มีน้ำใจจากปาย) และยาจากโรงพยาบาลจากปาย คุณชายก็ดู(เหมือนจะ)ดีขึ้น แต่ก็ยังบอกว่าเวียนหัวเราก็ชวนให้นอนแผ่บนพื้นสนามบินที่ปาย เพื่อรอเวลาขึ้นเครื่อง อ่อ เกือบลืมบอกไปว่าพี่เจ้าหน้าที่ริมปายฯมีน้ำใจมากๆเพราะเค้ามาเลื่อนไฟลท์ให้เป็นบ่ายสามกว่าจากเดิมบ่ายโมง แถมยังรอเป็นธุระคอยรับส่งเราไปสนามบินอีกต่างหาก ขอบคุณมากค่ะ






ตัดภาพมาบนเครื่องบินจากปายไปเชียงใหม่ โชคดีผู้โดยสารไม่เต็มคุณชายเลยได้โอกาสนอนยาวบนเบาะให้สบายใจ โดยมีเราคอยเหลือบมองเป็นระยะๆเพราะนั่งคนละแถว .. สักพักใหญ่ๆเราสองคนก็มาถึงเชียงใหม่ ระหว่างนั่งแท็กซี่มาโรงแรมเดิมที่เคยพักคืนแรก คุณชายก็พยายามจะทำท่าว่าสบายดี แต่เรารู้ว่าเค้าไม่ไหว จะพาแวะหาหมอเค้าบอกไม่ต้อง ดื้อจังแฟนใครหว่า

กระทั่งเช็คอินเสร็จ คุณชายเปลี่ยนชุดนอนได้ก็ล้มตัวลงนอน ไม่พูดไม่จา คราวนี้ผิดปกติมากมาย แถมตัวร้อนจี๋อีกต่างหาก ที่สำคัญเค้าหนาวจนสั่น เราก็ไม่ไหวแล้ว กลัวว่าเค้าจะเป็นอะไรมากกว่านี้ เลยตัดสินใจโทรตามหมอโรงแรม เราเองก็ใจคอไม่ดีเพราะอาการเค้าดูน่าเป็นห่วง เช็ดตัวให้ตัวก็ยังร้อนจี๋ เหมือนเดิม

เมื่อหมอมาถึงคุณหมอเช็คนั่นเช็คนี่เสร็จก็สรุปได้ว่าคุณชาย "ลำใส้อักเสบ" พระเจ้าช่วยกล้วยทอด เพิ่งรู้ว่าคนที่เป็นลำใส้อักเสบน่ะจะมีอาการประมาณนี้ คือเบื่ออาหาร ท้องเสีย(เล็กน้อย) พอกินไม่ได้ก็ทำให้เพลีย (ที่เราคิดว่าความดันเค้าต่ำนั่นแหละ) มิน่าล่ะตอนตรวจความดันเค้าถึงปกติ จากนั้นก็ก็จะทำให้เป็นไข้ ตัวร้อน แต่หนาว (ดูอาการไม่น่าสัมพันธ์กันได้เลยเนอะ) เราโทรไปบอกน้าเรา น้าบอกว่าอาการเหมือนตอนที่ลูกชายเค้าเป็นลำใส้อักเสบเลย (ลำใส้อักเสบมันเป็นเช่นนี้นี่เองพี่น้อง) เราเลยคิดไปกินอะไรมาล่ะนั่น เพราะกินเหมือนเราทุกอย่าง อ๋อ เรามันกระเพาะเหล็ก เค้ามันกระเพาะบาง เราว่าเป็นเพราะอาหารอตาเลี่ยน Dinner ก่อนจะกลับมาเชียงใหม่แน่ๆ เพราะเรารู้สึกว่ามะเขือเทศไม่ค่อยสด เพราะกินอาหารไทยมาหลายมื้อก็ไม่เห็นเป็นอะไร ต้องเป็นเพราะอาหารอิตาเลี่ยนแน่ๆ คอนเฟริ์ม!!!



หลังจากคุณหมอวินิจฉัยเสร็จ คุณหมอก็จัดการจิ้มน้ำเกลือ ฉีดยา ให้ยาเม็ดเป้งกับคุณชาย คุณหมอบอกว่าสักภายในคืนนี้ต้องหาย แต่หากไม่หายให้ทำใจว่าเป็นไข้เลือดออก ซะงั้น คุณหมอรอกระทั่งน้ำเหลือหมดกระปุกราว 4 ทุ่มกว่าๆ ระหว่างที่คุณหมอเช็คอาการอยู่นั้นเราก็บอกให้คุณหมอคุยกับ Dad เรื่องของเรื่อง Dad เป็นคุณหมอ ที่อเมริกาผื่อเค้าจะให้คำแนะนำป็นอะไรกันได้ และเพื่อความสบายใจของคุณชายเองด้วย และคุณชายก็ยังมีสติสตังค์คุยกับ Dad สอบถามอาการกันใหญ่ เราคิดถ้า Dad มาเองได้แกคงมาป้อนยาลูกชายหัวแห้วหัวแหวนแกเองแหงมๆ

พอน้ำเกลือหมดคุณหมอก็กลับพร้อมกับเงิน $120 คุณชายยังอุตส่าห์มีแรงกระซิบเบาๆ ว่า Expensive แต่ค่ายาและรถโรงบาลที่ปายเมื่อตีเป็นเงินดอลล์แค่ $9 ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน จากนั้นคุณชายก็หลับยาว โดยมีเรานอนเฝ้าไข้ เป็นนางเอกหนังไทย (ซะเมือไหร่) เปล่าหรอก เพราะความเป็นจริงข้าพเจ้านั้นนอนน้ำลายยืด แถมเผลอแย่งผ้าห่มคคนป่วยมาห่ม อีกต่างหาก รู้ตัวอีกทีตอนคนป่วยสะกิดเบาๆว่า ขอแบ่งผ้าห่มป๋มมั่งดิเจ๊ ตอนนั้นแหละค่อยงัวเงียแบ่งผ้าห่มให้คนเปื่อย เห็นมั้ยว่าดูแลกันดีจริงๆ

ตัดมาเวลาประมาณตีสอง คุณชายผู้ซึ่งเพิ่งสร่างเมา เอ๊ย สร่างไข้ก็ตื่นขึ้นมาพูดจ้อยๆ ตามสไตล์ โอว เค้ากลับมาแล้วพี่เป้าคนเดิมของชั้น พูดเป็นต่อยหอยเลยนี่แหละตัวจริงเสียงจริง เราก็ฟังมั่งไม่ฟังมั่ง ก็คนมันง่วงนี่นาที่รักจ๋า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะ ขอนอนก่อนนะที่ร๊ากกก แต่ดีใจที่รู้ว่าเธอหายเปื่อย เย้ๆๆๆ

รุ่งเช้า คุณชายหายเปื่อย 70% ยังไม่เต็ม 100% มีแรงจะเช็คเที่ยวบินซะด้วย เราก็ช่วยอีกแรง แต่โชคดีที่เรารู้จักกับผอ.ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เลยได้คำแนะนำดีๆมาเยอะ ด้วยการให้คุณชายจองตั๋ว China Air บินไปไทเป ค่อยต่อเครื่องไปอเมริกาอีกที (เดินทางวันจันทร์)คราวนี้คุณชายค่อยใจชิ้นมีอารมณ์ (ชะอุ๋ยอารมณ์อะไร) อารมณ์ในการเที่ยวเจ้าค่ะอย่าคิดลึก เราเองก็ดีใจ .... แล้วเราสองคนก็กลับมาลัลล้าได้อีกครั้ง.....แต่จองตั๋วเครื่องบินคุณชายได้แล้ว ...ชั้นล่ะ ทำไง หุหุ ทุกปัญหามีทางออกอย่างที่บอก ง่ายนิดเดียว รถทัวร์ไงจ้ะ จากเครื่องบิน เป็นรถทัวร์เศร้าแต่ไม่ใช่เพราะได้นังรถกลับนะคะ แต่ขากลับเราต้องกลับคนเดียวน่ะสิคะ จากเดิมจะได้นั่งเครื่องบินกลับพร้อมกับหวานใจและไปส่งหวานใจที่สุวรรณภูมิถึงประตูทางขึ้นเครื่อง (ขอบัตรผ่านไว้แล้วด้วย) แต่พอเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็เลยจ๋อยรับประทาน....
โดยเราต้องเดินทางกลับมาในช่วงสามทุ่มของวันอาทิตย์ ....


แม้ว่าเราจะรู้ว่าท้ายสุดแล้วเราจะต้องต่างคนต่างกลับ แต่อย่างน้อยในวันอาทิตย์เราก็มีเวลาอยู่ด้วยกัน เราสองคนเลือกที่จะเดินเล่นย่านนิมมาเหมินทร์ เลือกซื้อหนังสือเล่มที่ชอบไปคนละเล่มสองเล่ม หาอะไรๆอร่อยๆกิน โลกเหมือนจะหมุนช้าลงสำหรับเราสองคน... ตกเย็นเราสองคนก็เดินเล่นที่ถนนคนเดิน เราสองคนเลือกซื้อของแต่งบ้านสำหรับบ้านในอนาคตของเราสองคน (คิดการณ์ไกลมากๆ)

เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทางของเราคุณชายก็นั่งรถมาส่งด้วย ระหว่างทางใจหายแต่ก็มีความสุขเพราะรู้ดีว่ายังไงเราสองคนก็จะยังรักกันเหมือนเดิม(แต่แอบน้ำตาเล็ดหน่อยๆ ฮือๆๆๆ) และเราสองคนจะได้เจอกันอีกครั้งในเดือนเม.ย.52 คราวนี้เราจะไปทัวร์กระบี่และภูเก็ตค่ะ เห็นมั้ยคะว่า ทริปนี้ครบทุกรสจริงๆ






Create Date : 13 ธันวาคม 2551
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 22:28:23 น.
Counter : 524 Pageviews.

3 comments
  

*** สวัสดีคะ แวะมาทักทาย มีความสุขมาก ๆ นะคะ ***

โดย: หน่อยอิง วันที่: 13 ธันวาคม 2551 เวลา:10:13:18 น.
  
แวะมาทักทาย ชอบปาย เหมือนกันค่ะ
โดย: powerza วันที่: 14 ธันวาคม 2551 เวลา:12:50:41 น.
  
ไปมาเหมือนกัน แต่เอ๊ะ ฝรั่งเที่ยวปายยยยยยยยย

แวะมาชมรูปของผมมั่งนะครับ
โดย: Bowking วันที่: 17 ธันวาคม 2551 เวลา:14:24:35 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

loveTRAVEL1977
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เป็นคนชอบเดินทางและท่องเที่ยว ว่างๆก็อ่านหนังสือ มีความหวัง มีความฝัน และต้องอยู่อย่างมีความหมายบนโลกนี้