ชอบในสิ่งที่เลือก กับเลือกในสิ่งที่ชอบ อยู่ที่คุณตัดสินใจ ชีวิตของคุณ คุณคือผู้ลิขิต
Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
21 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
จดหมายจากฝั่งกว๊าน 8(สิ่งที่น่ากลัวในความมืด)

กราบเท้าคุณแม่ที่เครพ

แม่ค่ะความมืดมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน มันคือสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว เพราะรู้สึกว่าในความมืดไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ไม่รู้ว่ามันมีอะไรบ้าง ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่แม้แต่คิดที่จะลืมตาขึ้นมามองหาสิ่งที่อยู่ในความมืด จึงไม่เคยรับรู้ว่าในความมืดมันมีอะไร

แต่แม่ค่ะ แม่รู้หรือเปล่าค่ะว่าลูกเจอสิ่งที่น่ากลัวกว่าความมืดอีก เมื่อก่อนลูกไม่กล้าที่จะลืมตาในความมืดเพราะไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น กลัวว่าลืมตาขึ้นมองแล้วจะเจอผี เจอสับประหลาด เจอสิ่งที่ไม่อยากเจอ เจออะไรสารพัดที่น่าเกลียดน่ากลัว กลัวว่ามันจะทำอันตราย

ตอนนี้ลูกไม่กลัวความมืดที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นอีกแล้วค่ะ แม่จึงไม่ต้องมาคอยรับลูกออกจากที่นอนตอนเช้ามืดอีกแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนลูกจะไม่ยอมลุกจากที่นอนเองหลังจากตื่นนอน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบใครนอนข้างๆ ลูกจะต้องร้องไห้ทุกครั้ง แล้วแม่ก็จะต้องกุลีกุจรจากห้องครัวมารับลูกออกจากที่นอนไปอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัว ทานข้าว แล้วไปโรงเรียน

ความมืดที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมันก็เป็นเพียงแค่ ความเปลี่ยนแปลงของการเวลา ทำให้เรารู้ว่ามีกลางวันและกลางคืน เมื่อถึงเวลากลางวันความมืดก็หายไป แล้วแสงสว่างก็เข้ามาแทนที่ แต่ความมืดที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์เรานี้สิค่ะ ไม่รู้กลางวันหรือกลางคืน ไม่ว่าเวลาใหนๆเวลากลางวันก็มืด กลางคืนก็มืด



ขอบคุณโค๊ตเพลงจากพี่สเลเต



ลูกได้เจอกับคุณป้าคนหนึ่ง ความจริงลูกเองก็รู้สึกผิดที่มีส่วนไปทำให้แกหวนนึกถึงมัน แต่ลูกไม่ได้ตั้งใจเพราะลูกไม่รู้จริงๆ ครั้งแรกที่พบกับคุณป้า ป้ากำลังเก็บกวาดบริเวณลานหน้าบ้าน จึงได้เข้าไปพูดคุยด้วย ตอนที่เข้าไปคุยด้วยแรกๆป้าแกไม่ยอมหันมามอง เหมือนแกจะไม่ได้ยินเสียงที่ทักทายกับแกอยู่ขณะนั้น จึงเรียกแกช้ำอีกครั้งหนึ่ง แกจึงหันมามอง ลูกจึงแนะนำตัวเองก่อนที่แกจะหันกลับไป แล้วแกก็หันกลับไปยุ้งกับกองขยะที่อยู่ตรงหน้าแกต่อ

ป้าคนนี้ดูแปลกกว่าคนอื่นๆ ที่ปกติเวลาแนะนำตัวแล้วจะให้การต้อนรับจนรู้สึกเกรงใจ แต่รายนี้กับไม่สนใจ ด้วยเหตุที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จึงทำตัวไม่ค่อยถูก เพื่อนที่มาด้วยก็กระชิบว่าให้ไปหากรณีศึกษารายใหม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินออกมาอย่างไร จึงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จะชวนคุยก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร ดูท่าป้าแกจะไม่สนใจเราเลย

เมื่อตั้งสติได้จึงบอกว่า “ให้ช่วยกวาดไหมค่ะ ขยะเยอะแยะกวาดคนเดียวคงจะเสร็จช้าให้หนูสองคนช่วยนะค่ะ”
จนในที่สุดป้าแกก็หันมามองอีกครั้ง แล้วแกก็พูดว่า “หนูจะช่วยป้ากวาดขยะหรือ ไม่ต้องหรอก ช่วยเอาลูกชายป้าคืนมาดีกว่า ในตอนนี้ป้าไม่ต้องการอะไรนอกจากต้องการลูกชายของป้าคืน”

เราสองคนก็นึกว่าแกกับลูกคงจะทะเลอะกัน แล้วลูกก็หนีออกจากบ้านไป จึงถามป้าแก่ว่า “ลูกชายของป้าไปไหนละค่ะ เดียวเขาก็คงจะกลับมา”
ป้าแกก็บอกว่า “ไม่กลับมาแล้ว เขาตายแล้ว ป้าอยากได้ลูกชายคืน เอาเขาคืนให้ป้าได้หรือเปล่า”

สถานการณก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่รู้จะพูดกับป้าว่าอะไร เมื่อป้าแกเห็นว่าเราเงียบ แกจึงหันกลับไปสนใจขยะอีกครั้ง เมื่อลูกตั้งสติได้เป็นรอบที่สอง จึงทำท่าว่าจะพูด แล้วก็ต้องหยุดเมื่อเพื่อนข้างๆก็สะกิดให้ลูกอ่านอะไรบางอย่า

“โคลนนั้นเกิดจากน้ำ น้ำนั้นแหละใช้ล้างโคลน
ทุกข์นั้นเกิดจากใจ ก็เอาใจนั้นแหละล้างทุกข์
ถ้าหยุดขุ่น ก็ใสตรงนั้น
ถ้าหยุดวุ่น ก็ว่างตรงนั้น
ไม่ต้องหาที่ใหน อยู่ที่ใจนั้นเอง”


จึงนึกขึ้นได้ว่ากลอนบทนี้ อาจารย์จิตวิทยาคนหนึ่งเคยยกมากล่าวกับเหล่านักศึกษา ในห้องเรียน หลังการรับน้องเสร็จ ตอนนั้นก็สงสัยว่าทำไมไม่เอามาบอกช่วงรับน้อง มาพูดอะไรตอนที่รับน้องมันเสร็จไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร เหมือนว่าท่านจะอ่านใจนักศึกษาออก ท่านจึงกล่าวต่อว่า “ความจริงตั้งใจจะมาพูดกับนักศึกษาตั้งแต่ช่วงรับน้องก็ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาและที่สำคัญ นักศึกษาจะไม่มีวันเข้าใจความหมายของมันอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ปัญหาเกิดจากความรู้ ไม่ได้เกิดจากความไม่รู้ ถ้านักศึกษาได้ยินในตอนนั้นมันก็จะกลายเป็นคำพูดที่ผ่านหูให้รู้ แต่ไม่เข้าใจในตอนนั้นว่ามันสื่ออะไร แต่เมื่อนักศึกษาได้ผ่านมันกับตัวเอง แล้วมาอ่านนักศึกษาก็จะเห็นว่ามันเท็จจริงแค่ไหน แล้วจะได้นำไปใช้ในครั้งต่อไป โดยไม่ต้องมีใครมาคอยย้ำเตือน”

ใจหนึ่งก็บอกให้พูดปลอบใจป้าเขา แต่ใจหนึ่งก็บอกว่าไม่ดีกว่า ถ้าลูกยังยืนอยู่ตรงนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการปลอบใจ การปลอบใจอาจช่วยให้ป้าแกเข็มแข็งขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็จะสร้างความอ่อนแอให้กับป้าแกด้วย ได้แต่หวังว่าสักวันแกจะเข้าใจด้วยตัวแกเองว่าการตาย การพรากจากเป็นเรื่องปกติ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับการทำใจ แต่ขอให้ป้าขจัดเอาความมืดที่เกิดจากความยึดติดออกไปได้ เหมือนกับกองขยะที่ถูกป้าเก็บกวาดรวมกันแล้วเผามันทิ้งไป เมื่อคิดได้อย่างนี้จึงตัดสินใจเดินออกมา ลูกไม่รู้ว่าที่ทำไปถูกต้องหรือเปล่า แต่ก็ได้ทำลงไปแล้วได้ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ป้าไป

มีอีกรายหนึ่งนะค่ะแม่ รายนี้ลูกไม่ได้พบด้วยตนเอง แต่ได้รับฟังในห้องเรียน เป็นเรื่องของน้องผู้หญิงที่โชคร้ายคนหนึ่ง ที่ความมืดมันได้ครอบงำจิตใจของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อคน น้องคนนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายคนเล็กของแม่ เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ย่าง 11 ปี ไม่เคยมีประจำเดือนมาก่อน วันหนึ่งน้องมีอาการป่วยคุณแม่ของน้องจึงพามาตรวจ แต่ผลที่ออกมาคือน้องท้อง โดยที่ถูกพ่อบังเกิดเกล้าข่มขืน พอได้ยินเรื่องนี้ แทบจะไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง อยากจะถามว่ามีข้อมูลผิดพลาดอะไรหรือเปล่า

เมื่อก่อนเคยได้ยินแต่ข่าวในโทรทัศน์ แต่นั้นก็รู้สึกว่ามันไกลตัวเรามากๆ แต่พอได้ยินว่ามันเกิดขึ้นใกล้ตัว มันทำให้รู้สึกว่าโลกที่เคยอยู่ที่ดูมันสวยงามมันหายไปไหนหมด เมื่อก่อนไม่เห็นว่าโลกมันจะน่ากลัวขนาดนี้ แม้แต่ในครอบครัวที่คิดว่าเป็นที่ปลอดภัยที่สุด ยังไม่ปลอดภัยสำหรับน้องคนนั้นอย่างนั้นหรือ

ความจริงเด็กในวัยขนาดของน้องไม่น่าจะต้องเจอกับสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ เมื่อก่อนตอนอายุเท่ากันน้อง ยังเคยถอดเสื้อผ้าลงเล่นน้ำที่ลำคลองหลังบ้านกับเพื่อนๆพี่ๆ ไม่กลัวว่าใครจะเห็น ไม่กลัวว่าจะถูกข่มขืน กลัวอยู่อย่างเดียวว่าจะโดยไม้เรียวฟาดที่ก้น ถ้าพ่อรู้ว่าแอบไปเล่นน้ำ เพราะฉนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้พ่อรู้ก็คือไม่ทำให้เสื้อผ้าเปียกน้ำ ดังนั้นเวลาเล่นน้ำเสื้อผ้าจะถูกเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด เป็นที่ที่มันใจว่าเวลาเล่นน้ำ น้ำจะไม่กระเด็นไปถูกใส่และจะไม่ตกน้ำแล้วลอยหายไป ในขณะที่กำลังเล่นน้ำ

เคยได้วิ่งเล่นน้ำฝนในสวนบ้านมีแต่ตัวกับหมวกคลุมอาบน้ำของแม่ครอบหัว เวลาฝนตกไม่ให้หัวเปียกน้ำ แล้วแม่ก็จะตะโกนมาจากบนบ้านว่าให้กลับขึ้นบ้านเร็วๆ แม่จะตะโกนทั้งหมดสามรอบ หากรอบที่สามไม่ยอมขึ้นบ้านก็จะมีไม้เรียวตามลงไปหา แต่แม่ก็ไม่เคยได้ตะโกนถึงรอบที่สามเลยสักครั้ง เพียงรอบที่สองลูกก็จะมายืนตัวสั่นที่ชานบ้าน ให้แม่จับอาบน้ำ เช็ดตัว แล้วก็บ่นไปด้วย พอตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้าก็จะรู้สึกว่า เป็นไข้ ปวดหัว นอนซมอยู่ที่นอนให้แม่เช็ดตัว แต่ก็ไม่เคยเข็ดหลาบสักที

แต่น่าเสียดายที่น้องๆในสมัยนี้นี้จะหาเวลาพิเศษแบบนั้นได้ยาก เพราะเหมือนโลกนี้จะน่ากลัวขึ้นทุกวัน ความมืดในจิตใจของคนเราน่ากลัวจริงๆ ในคืนเดือนมืดที่ว่ามืดมิดเพียงใด ยังไม่มืดมิดจนน่ากลัวเท่ากับความมืดในใจของคน ซึ่งมันมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆคน และพร้อมที่จะครอบงำตัวเราได้ทุกเมื่อ หากว่าใจเราไม่เข้มแข็งพอ

ด้วยรักและคิดถึง
เบญจวรรณ
16 กันยายน 2550






Create Date : 21 กันยายน 2550
Last Update : 26 กันยายน 2550 12:47:57 น. 9 comments
Counter : 419 Pageviews.

 
สวัสดีเย็นวันศุกร์

พรุ่งนี้มีการทำความสะอาดหอครั้งใหญ่ในรอบสัปดาห์อีกแล้ว
อีกวันก็ต้องร่วมกิจกรรมงานวันมินิมาราธอนไนติงเกล
จึงได้เวลาอัพบล็อกแล้ว ขอยกเอาคอมเม้นท์ของพี่ๆน้าๆและคุณลุงมาไว้ที่นี้ค่ะ


มีสาวๆ ใสๆ วิ่งกันมากมายขนาดนั้นเมืองพะเยาสดใสขึ้นอีกจมหูแน่เลย

ตกลงก็ยังไม่ได้กลับบ้านสินะ...แล้วเทอมนี้เขายังสลับกันหยุดหรือเปล่าล่ะ แต่ระดับมหาลัยก็ได้หยุดไม่นานเท่าเด็กๆหรอกเนอะ....แก่แล้วนิไม่ต้องไปเล่นมากเหมือนเด็กหรอก

เอ...แล้วปีนี้ลอยกระทงจัดเร็วไหมเนี่ยไม่ได้เที่ยวงานลอยกระทงที่บ้านนานแล้ว พี่ไม่ชอบประทัดเคยโดนประทัดลูกหนูวิ่งใส่ตอนเด็กเลยไม่อยากเที่ยว
แต่เทศกาลที่สนุกที่สุดที่บ้านก็ต้องสงกรานต์....สาดน้ำกันสนุก ปีนี้ก็ไปเป็นลูกหมาตกน้ำซะสองวันเต็มๆเลย...ตานุนะเล่นจนลืมแก่เลยล่ะ....

กิจกรรมเยอะจริงๆแหละ...มีให้ทำทั้งปี พี่มาอยู่ที่นี่จะเป็นงานเกี่ยวกับครอบครัวมากกว่าเพราะครอบครัวพี่นุเป็นคนจีนเก่า ทั้งงานเดือนสาม เดือนสี่ เดือนสิบเราก็ต้องอยู่ไหว้กะเขา แต่ถ้าเป็นหน้าฝนก็เรียบร้อย....นอน...นอน...แล้วก้อนอน
เพราะฝนที่นี่ตกจนอธิบายไม่ถูกน่ะว่าหน้าตามันตกได้ขนาดไหน.....

เมื่อตอนเด็กพี่ชอบดูดาวมากแล้วบ้านนอกแบบนั้นแสงไฟไม่มี แค่ทุ่มหนึ่งฟ้ามืดเห็นดาวชัดจนเห็นทางช้างเผือกเป็นร่องเป็นแนวชัดเลยล่ะ...แต่เด็กๆนะเราก็ขลาดเป็นธรรมดา
พ่อบอกว่า....จริงๆแล้วที่เรากลัวน่ะเราไม่ได้กลัวความมืด ความเงียบ หรือผีสางที่ไหนหรอก....แต่เรากลัวความคิดตัวเราเอง

สิ่งที่เราเห็นในความมืดมันย่อมไม่ชัดเจน พร่าเลือน ความคิดเราวูบไหวไปแล้วว่าต้องเป็นเช่นนั้น เช่นนี้

แต่ถ้าเรามีสติให้คงมั่นแล้วค่อยๆพิจารณาช้าๆ ชัดๆ เงาไหวนั้นอาจเป็นเพียงแมลงบินผ่านใบไม้ เสียงนั้นอาจเป็นเพียงเสียงสัตว์ยามค่ำคืน เรายืนอยู่ในความมืดเขาเองก็กลัวเราเช่นกัน....
ก็เลยต้องฝึกตัวเองมองสรรพสิ่งวูบไหวในค่ำคืนเป็นเรื่องปกติธรรมดา....เพราะว่าพ่อแกขี้เกียจลุกขึ้นมาส่งตอนมืดๆ ยิ่งหน้าหนาวหนาวจะตาย......นั่นนินทาพ่อแล้วเรา

พ่อพี่เสียไปสี่ปีแล้ว....พ่อหมดอายุขัยของพ่อ ไม่ได้ทิ้งอาลัย หรือห่วงไว้ในภพเราหรอก...แกไปแล้ว...

เอ๊า...พอแค่นี้ก่อนหิวข้าว

สนุกกับชีวิตในคุกสีขาวนะจ๊ะ


โดย: ปลายแปรง 20 กันยายน 2550 13:44:41 น.



ว้า ขอโทษทีน้าว่าจะส่งหนังสือให้หนูลืมสนิทเลย มาอ่านคอมเมนต์ของ ภู เชียงดาว เลยนึกออก พรุ่งนี้จะไปส่งให้นะคะ

เขียนเรื่องอาจารย์ใหญ่ ดีค่ะ พี่อยากรู้เรื่องนี้เหมือนกัน วันก่อนรายการ คนค้นคน เอามาเสนอแต่ไม่ได้ดู มัวทำอะไรสักอย่างที่สำคัญกว่า

ที่ว่าอยากรู้เพราะว่า น้ากับเพื่อน ๆ ได้บริจาคร่างให้กับโรงพยาบาล เพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่เหมือนกัน



โดย: แพรจารุ 20 กันยายน 2550 16:49:29 น.




สวัสดีจ้ะเบญจ์หลานรัก

ลุงโดมแวะเวียนเข้ามอยู่เป็นประจำ
แต่บางทีก็ไม่ได้ทิ้งคอมเม้นท์ไว้

หนูเก่งรู้จักเขียน รู้จักคิด รู้จักหาเพื่อนคุย มีต่างเพศต่างวัย เลือกสนทนากันเอาเองนะจ๊ะ


ลุงทดลองใส่เพลง ชื่อเพลงพุทธคุณ






ถ้าหนูไม่ชอบหนูก็ลบทิ้งได้นะ

ไม่รู้ว่าลุงจะทำสำเร็จหรือเปล่าน ลองดู !


โดย: พ่อพเยีย 20 กันยายน 2550 19:23:23 น.



น้องเบญจ์

มาขอบคุณที่ไปเยี่ยมที่บล็อกค่ะ และขอบคุณที่แจ้งเรื่องการฟังเพลง

พี่ทดลองวางเพลงไว้อีกครั้งหนึ่ง ไม่ทราบจะฟังได้มั้ย ถ้าได้หรือไม่ได้ช่วยแจ้งด้วยนะคะ พี่นกจะได้แก้ไขค่ะ

เวลาน้องเบญจ์เข้าไป ต้องไป Stop เพลงที่ Comment ของพี่สาวบ้านนอกน ก่อนนะคะ แล้วถึงค่อย Play เพลงที่พี่ร้อง ไม่งั้นเสียงตีกันจนฟังไม่รู้เรื่องค่ะ


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) 20 กันยายน 2550 19:52:51 น.




สวัสดีจ้ะหลานเบญจ์

ที่ห้องสมุดสถาบันที่หนูเรียนอยู่มีหนังสือ "อัจฉริยะสร้างได้" ของวนิษา เรซ หรือหนูดี ไหม ?

อย่าได้ตกใจว่าจะต้องอ่านเรื่องนี้เพื่อเป็นอัจฉริยะนะ

ลุงโดมได้อ่านเนื้อหาในเล่มนี้แล้ว ต้องบอกว่าดีมาก เพราะหนังสือเล่มนี้จะทำให้เรารู้จักตัวเองว่า เรามีอัจฉิรยะภาพทางด้านไหนบ้าง แล้วจะได้พัฒนาตัวเองอย่างถูกทิศถูกทาง อย่างหนูยังเด็กยังมีเวลาที่จะได้ทำความรู้จักตัวเองและพัฒนาตัวเองให้เต็มความสามารถ

(ขนาดลุงโดมแก่ๆแล้วยังได้ประโยชน์เลย)

ถามหาจากอาจารย์ก่อน ถ้ายังไม่ได้ก็ไปดูที่ร้านหนังสือ ในพะเยาลุงเคยเห็นร้านหนังสือมีพ็อคเก็ตบุ๊คเยอะเหมือนกัน

สอบถามและขวนขวายทางพะเยาให้มากที่สุดก่อน แต่ถ้าไม่ได้จริงๆแล้วหนูค่อยบอกทางลุงมาก็แล้วกัน

ลุงอยากให้หนูได้อ่านหนังสือเล่มที่ว่านี้

ส่วนไดอะรี่ออนไลน์ก็คล้ายๆกับบล็อกนั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าบล็อกจะทำอะไรได้มากกว่าหรือเปล่า ? เมื่อก่อนนี้ลุงก็เริ่มต้นเขียนไดอะรี่ออนไลน์อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะมาเขียนบล็อก


โดย: พ่อพเยีย 21 กันยายน 2550 8:49:32 น.





โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:18:45:14 น.  

 
สวัดดียามเย็นอีกรอบค่ะ

พี่ปลายแปลง
ใช่แล้วค่ะเขาสลับกันหยุด แต่ละชั้นปีจะหยุดไม่พร้อมกัน
อย่างช่วงที่หนูหยุด พี่ปีสองกำลังจะเริ่มขึ้นวอด
พี่ปีสี่รู้สึกว่าจะได้ออกไปโรงพยาบาลต่างจังหวัดแถวๆภาคเหนือนี้แหละค่ะ
พี่ปีสามไม่แน่ใจว่าจะได้หยุดหรือเปล่า
ตอนนี้ห้องอื่นๆเขาสอบเสร็จหมดวันนี้แล้วค่ะ
แต่มีห้องหนูที่จะเริ่มสอบอาทิตย์หน้า

ลอยกระทงก็คงจะมีจัดเหมือนทุกๆปี
ได้ยินรุ่นพี่ว่าเด็กวิทยาลัยจะได้ไปร่วมทุกปี
โดยเฉพาะปี 1 ไปทุกงาน ไม่งานในความรับผิดชอบก็ไป
งานของตัวเองก็ไป ไปมันทุกงานเลยค่ะ
แต่สงกานต์ที่พะเยาหนูไม่เคยเล่น ปีนี้คงจะได้เล่นน้ำสงกานต์ที่พะเยา
เพราะช่วงสงกานต์ยังไม่ปิดเทอม จะปิดหลังสงกานต์ประมาณวันที่ยี่สิบต้นๆค่ะ
ดูแล้วกิจกรรมที่บ้านปลายฟ้าจะน่าสนุกนะค่ะ
พี่ปลายแปลงชอบหน้าฝนหรือเปล่าค่ะ หนูชอบหน้าฝนที่สุดเลย เพราะบรรยากาศน่านอน เสียอย่างเดียวเวลาตากผ้า ผ้ายังไม่แห้งแล้วฝนมันตกก็ต้องรีบไปเก็บ ผ้าก็จะเหม็นกลิ่นอับ ก็จะต้องซักใหม่อีกรอบ



น้ายายค่ะ

น้ายายบริจากร่างกายที่ใหน นานหรือยังค่ะ
ตอนนี้ที่วิทยาลัยรณรงค์ ไม่เชิงว่ารณรงค์ แต่จะมีการพูดเชิญชวนบ่อยๆคือการบริจาคดวงตา
ตอนแรกหนูก็คิดว่าเขาจะเอาลูกตาไปทั้งลูก
พึ่งจะมารู้ว่าเขาลอกเอาไปเฉพาะแก้วตาส่วนลูกตาเขาไม่เอาไป
แต่ก็ยังไม่มีใครตัดสินใจว่าอย่างไร ที่ไปบริจาคส่วนใหญ่ก็เป็นบริจาคเลือดเสียมากกว่า
หนูเคยไปบริจาคครั้งหนึ่ง ได้เข็มมาด้วย ตอนที่บริจาคเสร็จรู้สึกดี
แต่ก่อนที่จะไปบริจาคต้องทำใจนาน อย่างครั้งแรกไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เพราะอยากรู้จึงตัดสินใจง่ายหน่อย
แต่หลังจากครั่งแรกผ่านไป ถ้าจะไปคงต้องทำใจนานเหมื่อนกันค่ะ

ความจริงอาจารย์ใหญ่ที่หนู่เรียนด้วย จะได้ของเก่าของนักศึกษาแพทย์อีกทีค่ะ
อย่างเรียนระบบกระดูก ก็จะมีกระดูกเป็นชิ้นๆให้ศึกษาว่าเป็นกระดูกอะไร ชิ้นใหนอยู่ตรงใหน มีหน้าที่อะไร ไปสัมพันธ์กับอะไร หรือมีอะไรมาสัมพันธ์ อัตรายที่อาจเกิดขึ้นจะเกิดบริเวณไหนมากที่สุด การป้องกัน จะได้ท่องกระดูกที่สำคัญๆไม่ได้ท่องหมดทุกชิ้นเหมือนนักศึกษาแพทย์ ที่สำคัญไม่ได้เราะกระดูกเอง มีคนเขาเราะมาให้ดูเป็นชิ้นเลยค่ะ

หรือระบบอื่นๆ เช่นกล้ามเนื้อ สมอง หนูก็จะได้ดูที่เขาผ่ามาให้แล้ว ไม่ได้ผ่าเอง อาจารย์ที่พวกหนูศึกษาจะถูกแยกร่างออกเป็นส่วนๆ ส่วนหัว ส่วนขา ส่วนอวัยวะภายใน มาให้พวกหนูได้เรียนและเห็นของจริง นอกจากภาพที่เห็นในตำราค่ะ



ลุงโดมค่ะ

สำเร็จค่ะ หนูฟังได้
ขอบคุณลุงโดมสำหรับเพลงเพราะๆที่ลุงเอามาฝาก
แต่น่าเสียดายที่หนูก๊อปมาวางไว้ที่นี้ด้วยไม่ได้ไม่ได้
หนังสืออัจฉริยะสร้างได้หนูเคยได้รู้จักเหมือนกันค่ะ
ตอนที่พี่เขามาเปิดตัวในรายการสามหนุ่มสามมุมวาไรตี้
วันนั้นได้ฟังพี่เขาพูดเกี่ยววิธีอ่านหนังสือที่ได้ผลดีว่าจะต้องไม่อ่านออกเสียงในใจ (ไม่รู้ว่ามีในหนังสือหรือเปล่า)
หนูลองเอามาฝึกแต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้
หนูจะลองไปหาอ่านดูค่ะ ร้านหนังสือที่หนูรู้จักก็มีที่หน้าห้างที่เดียวค่ะ


พี่นกค่ะ

ฟังได้แล้วค่ะ
ไม่นึกเลยค่ะว่านอกจากจะแต่งกลอนเก่งแล้วยังจะเสียงดีอีกด้วย



โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:19:21:55 น.  

 
เรื่องใส่เพลงนั้นไม่ยากค่ะ
แต่สอนตรงนี้
หนูจะไม่เข้าใจสิคะ
เอางี้แล้วกันนะคะ
ช่วงแรกๆนี้
ถ้าหนูอยากใส่เพลงไหน
ส่งเพลงไปให้พี่ทางเมล์ก่อน
แล้วพี่จะไปอัพโหลดที่เว็บฝากเพลงให้
แล้วก้อปโค้ดมาให้หนูอีกที

ส่วนเรื่องการใส่เพลงนั้น
หากหนูสนใจ
ลงแวะไปอ่านที่บล็อกป้ามดดูนะคะ

เมล์ของพี่...
ไปดูได้ในโฟร์ไฟล์พี่ที่บล็อกนะคะ


โดย: สเลเต วันที่: 22 กันยายน 2550 เวลา:21:12:56 น.  

 
สวัสดีค่ะ

ขอบคุณค่ะพี่เสลต
แล้วหนูจะลองไปดูที่บล็อกป้ามดค่ะ
ถ้าได้ผลอย่างไรจะแจ้งพี่อีกทีนะค่ะ


โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 23 กันยายน 2550 เวลา:19:02:57 น.  

 
วันนี้แวะมานอน....
ก็น้องเบญจ์บอกชอบหน้าฝนไง..นอนสบาย
ตอนนี้บ้านปลายฟ้า ฝนตกยังกะเทวดาอั้นมาห้าปี...
เลยว่าจะนอนให้ขนขึ้นหลังเตรียมตัวรับหน้าหนาวดีกว่า
เพราะขนขึ้นหลังเยอะๆ เสิ้อหนาวก็ไม่ต้องใส่...
ขนมันยาววววววววแล้วไง...

แล้วค่อยมาใหม่จ๊ะ


โดย: ปลายแปรง วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:11:20:33 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่ปลายแปลง

เช้าวันนี้ตื่นขึ้มมาพบว่าหมอกเริ่มลงแล้ว
อากาศเริ่มจะหนาวแล้วแต่ยังไม่หนาวจัดค่ะ
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อากาศจะเป็นอย่างไร
ที่บ้านปลายฟ้าฝนยังตกอีกหรือค่ะ

วันนี้สอบวันแรกตื่นเต้นมากค่ะ
เหลือเวลาสำหรับการสอบอีก 4 วัน
แล้วก็จะได้กลับบ้านแล้วค่ะ
ตอนนี้ก็นั่งมองพี่ๆปีสองที่ไม่ได้ขึ้นวอดเขากลับบ้านกัน
ตอนนี้ที่หอดูเงียบเหงาลงเยอะค่ะ
พี่ปีสองกลับบ้านกันเกื่อบครึ่ง
แต่อาทิตย์หน้าจะเหงากว่านี้เพราะน้องปีหนึ่งรุ่นที่ 18/1จะกลับบ้านกันหมด
เหลือแต่รุ่น 18/2ที่ยังเรียนต่ออีก 1 อาทิตย์

วันศุกร์จะสอบเสร็จตอน 11.00 น. ถ้าประเมิณต่อก็น่าจะเสร็จประมาณเที่ยง ตอนนี้เริ่มเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านแล้วค่ะ
กะว่าจะกลับตอนเย็นวันศุกร์เลย ไม่อยากรอกลับตอนเช้าวันเสาร์ อยากถึงบ้านไวๆ
ตอนนี้ขอตัวไปเตรียมความพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ก่อนค่ะ


โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:17:26:17 น.  

 

มาส่งกำลังใจให้คนสอบค่ะ มาแค่นี้ล่ะนะ


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:7:27:39 น.  

 

เขียนดีวันดีคืนเลย...
สะท้อนอารมณ์ ความคิด จิตใจได้ดีครับ
เป็นกำลังใจให้เน้อ...

ว่าแต่ว่า...ลองวางตัวอักษร ไล่เรียงลงมา ช้าๆ เหมือนกลอนเปล่า จะเห็นว่า อ่านง่าย ได้ความรู้สึกขึ้นอีกเยอะเลยครับ

..............................................
แม่ค่ะความมืดมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
มันคือสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว
เพราะรู้สึกว่าในความมืดไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ไม่รู้ว่ามันมีอะไรบ้าง
ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่แม้แต่คิดที่จะลืมตา
ขึ้นมามองหาสิ่งที่อยู่ในความมืด
จึงไม่เคยรับรู้ว่าในความมืดมันมีอะไร


โดย: pu_chiangdao วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:12:38:32 น.  

 
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him


โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:23:52:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

lukkongpoka
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add lukkongpoka's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.