『มาลัยสามชาย/ช่อง 5』

บทประพันธ์โดย : ว.วินิจฉัยกุล
บทโทรทัศน์โดย : ปราณประมูล
กำกับการแสดงโดย : ผอูน จันทรศิริ
ควบคุมการผลิตโดย : เอ็กแซ็กท์ ซีเนริโอ
อำนวยการผลิตโดย : นิพนธ์ ผิวเณร , ถกลเกียรติ วีรวรรณ
ออกอากาศ :ทุกวันจันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางช่อง 5 เริ่มตอนแรก อังคารที่ 21 กันยายน 2553 นี้


ชมการประชัน บทบาทครั้งสำคัญของ พิยดา จุฑารัตนกุล, ภูธเนศ หงษ์มานพ, สหรัถ สังคปรีชา, อรจิรา แหลมวิไล, สน ส่งไพศาล ในละครชีวิตเรื่องยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยนักแสดงมากฝีมืออีกมากมาย อาทิ จารุณี สุขสวัสดิ์, ศศิกานต์ อภิชาติวรศิลป์, กาญจนา จินดาวัฒน์, รัญญา ศิยานนท์, พงษ์สิรี บรรลือวงศ์, ธิตินันท์ สุวรรณศักดิ์, รุ่งเรือง อนันตยะและนักแสดงสมทบอีกคับคั่งในละคร มาลัยสามชาย ทางช่อง 5


เรื่องย่อ


เรื่องราวชีวิตของ ลอออร (พิยดา จุฑารัตนกุล) สตรีผู้มีความดีและความงาม บริสุทธิ์ดุจมาลัย แต่โชคชะตานำพาให้ต้องผ่านการมีคู่ครองถึงสามครั้ง กับชายที่มีคุณลักษณะแตกต่างกันถึงสามชาย ชายคนแรกคือ ยศ พลาธร (ภูธเนศ หงษ์มานพ) หนุ่มเจ้าสำราญที่เป็นรักแรกของลอออร เขาคือชายที่สอนให้เธอได้รู้จักกับด้านที่เลวร้ายของความรัก ชายคนที่สองคือ เทพ ราชศักดิ์ (สหรัถ สังคปรีชา) นายทหารผู้แข็งแกร่งและมั่นคง เขาเป็นเสมือนร่มโพธิร่มไทรให้เธอได้พักพิงได้ไม่นานเขาก็ถูกพรากจากไป และต่อมาเธอก็ได้พบกับ เจ้าดิเรกรุจ (สน ส่งไพศาล) ชายคนที่สาม นายแพทย์หนุ่มรูปงามที่เสมือนน้ำทิพย์ชุบชีวิตของลอออรให้ฟื้นกลับคืนขึ้นมา ใหม่อีกครั้ง

ตลอดเวลาถึงแม้จะผ่านมาถึงสามชาย ลอออรก็เป็นที่รักเป็นที่ยกย่องเชิดชูของทุกผู้คนที่ได้รู้จัก เพราะความดีและกรอบประเพณีที่ดีงามที่เธอยึดมั่นเอาไว้ในใจ ต่างจาก ทองไพรำ (อรจิรา แหลมวิไล) สาวน้อยจาก ซ่องยี่สุ่นเหลือง เธอใช้ความสวยล่อลวงให้ผู้ชายมาหลงใหล ไม่ใช่เพียงครอบครัวของยศและลอออรที่ต้องพินาศเพราะเสน่ห์ของทองไพรำ แต่กิเลศและความทะยานอยากของทองไพรำ แผดเผาทำลายชีวิตของผู้ชายทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ

คะนอง (ภูริ หิรัญพฤกษ์) บ่าวคนสนิทของยศ ยอมทรยศเจ้านายผู้มีพระคุณเพื่อเธอ แต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยมือของ ใบ (อาณัตพล ศิริชุมแสง) คนฝึกม้าของยศชู้อีกคนของทองไพรำ นรินทร์ (วิทวัส สิงห์ลำพอง) ชายหนุ่มผู้อ่อนไหว บุตรชายของ เจ้าคุณนราภิบาล (จักรกฤษณ์ อำมรัตน์) ก็ถูกดึงให้เข้ามาพัวพันในวังวนแห่งเสน่ห์นี้ จนเกิดโศกนาฏกรรมที่ผลาญชีวิตทั้งพ่อและลูกไปอย่างน่าสลดใจ

แม้ลอออร กับทองไพรำจะแตกต่างกันเหมือนน้ำกับไฟ แต่โชคชะตาก็เล่นตลกให้ทั้งสองต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทุกช่วงของชีวิต โลกอันสงบร่มเย็นของลอออรต้องล่มสลาย เพราะไฟแห่งกิเลสและราคะของทองไพรำที่ลุกโชนโชติช่วง


ดารานักแสดง

พิยดา จุฑารัตนกุล แสดงเป็น ลอออร
ภูธเนศ หงษ์มานพ แสดงเป็น ยศ พลาธร
สหรัถ สังคปรีชา แสดงเป็น เทพ ราชศักดิ์
สน ส่งไพศาล แสดงเป็น เจ้าดิเรกรุจ
อรจิรา แหลมวิไล แสดงเป็น ทองไพรำ
ภูริ หิรัญพฤกษ์ แสดงเป็น คะนอง
อาณัตพล ศิริชุมแสง แสดงเป็น ใบ
วิทวัส สิงห์ลำพอง แสดงเป็น นรินทร์
จักรกฤษณ์ อำมรัตน์ แสดงเป็น เจ้าคุณนราภิบาล
เก็จมณี วรรธนะสิน แสดงเป็น สราญ
ศศิกานต์ อภิชาต์วรศิลป์ แสดงเป็น เสด็จ
จารุณี สุขสวัสดิ์ แสดงเป็น จรวย
รัญญา ศิยานนท์ แสดงเป็น คุณแม่ลิ้ม
กาญจนา จินดาวัฒน์ แสดงเป็น ท่านผู้หญิงพัน ราชศักดิ์
มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ แสดงเป็น ประยงค์
พงศ์สิรี บรรลือวงศ์ แสดงเป็น ศักดิ์
รุ่งเรือง อนันตยะ แสดงเป็น วิศาล
ธิตินันท์ สุวรรณศักดิ์ แสดงเป็น สุด
ณพสิทธิ์ เที่ยงธรรม แสดงเป็น อรรถ
สมภพ เบญจาทิกุล แสดงเป็น เจ้าพระยาพลาธร
วิวัฒน์ ผสมทรัพย์ แสดงเป็น เจ้าคุณวรพันธ์
วาสิฐี ศรีโลฟุ้ง แสดงเป็น แม่พะยอม
นีรนุช ปัทมสูต แสดงเป็น ป้ายศ
เมตตา รุ่งรัตน์ แสดงเป็น นางพูน
วรวิทย์ แก้วเพชร แสดงเป็น นายมณี



» ที่มา : baanseries





Create Date : 19 กันยายน 2553
Last Update : 21 กันยายน 2553 19:25:19 น.
Counter : 1147 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไลเดเลีย
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



ร้อยรส...กลอนกานท์




O ฤดูลม...O

O ฉับพลันฝนก็เร้นเก็บเส้นสาย
ดวงวันฉายแสงช่วงโลมห้วงหน
ขับความชื้นลบเลือนรอยเปื้อนปน
ลบหมองหม่นแผ่นฟ้าจนพร่าเลือน

O คล้ายเมฆสีเทาทึมเมื่อครึ้มฝน
ถูกแสงสรวงเบื้องบนเข้าปนเปื้อน
ย้อมสีเทาเป็นขาว..เมื่อหนาวเยือน
มาตามเตือนเลื่อนยามให้งามตา

O ลมต้นหนาวเกรียวกรูเสียงวู่ไหว
โลมกิ่งใบไม้ตื่นทั้งผืนป่า
เขยื้อนขยับยวบไหวอยู่ไปมา
เหมือนบอกลาล่วงพ้น..คาบฝนปลาย

O ความเปลี่ยนแปลงผ่านสู่..ให้รู้เห็น
จากเมื่อสีเลื่อนเส้น..แล่นเป็นสาย
เสียงครืนครั่นก้องอยู่ไม่รู้วาย
แปลบปลาบว่ายเวียนย้ำโลมค่ำคืน

O จนฟ้าเปลี่ยนไม้ใบสั่นไหวระริก
น้ำก็พลิกแผ่นผิว..เป็นริ้วตื่น
จึงบัดนั้น..ภูมิทัศน์ก็หยัดยืน
ด้วยสายลมเย็นชื่น..เพื่อฟื้นตัว

O ถึงคราลมเย็นรื่น..วกคืนย้อน-
พรมสายอ่อนโอนระลอกเข้าหยอกยั่ว
ยอดหญ้าเรียวโค้งนั้น..ย่อมสั่นรัว
รอเกลือกกลั้วรับรู้..ฤดูลม

O จากยึดโยงรากแทงลงแหล่งดิน
ตราบฝนรินหยาดหลั่งลงสั่งสม
คลายความชุ่มความชื้นเหนือพื้น, พรม-
ภาวะอันอุดม..ห้อมห่มไพร

O เหยียดยอดเสียดขึ้นแทงรับแรงฝน
ที่คอยหล่นร่วงหยาด..ก่อนลาดไหล
ยืนต้นตั้งเป็นแถว..เป็นแนวไป
รอลมไหววาดวี..จักมีมา

O ไม่นานเลย..จากฝนฟ้าหม่นหลัว
จนยอดไม้ส่ายรัวอยู่ทั่วหน้า
โลกต่ำ-ใบขาบเขียวทุกเรียวคา-
จะออดอ้อนลมถา..อยู่คาพื้น

O ระบำแถวยอดหญ้าตรงหน้านั้น
จะค่อยสั่นใบพลิ้วเป็นริ้วตื่น
เขียวจากฝนฝากตอนจะย้อนคืน-
เป็นแพรผืนโยนระลอกยั่วหยอกลม

O ร้อนจะรุมสุมมาจากฟ้าไหน
เรียวจะไหววาดรับช่วยขับข่ม
รอค่ำคืนน้ำค้างมาพร่างพรม
เพื่อรับฉมชื่นมาลย์..กลิ่นซ่านซ้อน

O กาลย่อมผ่านโดยช่วงของดวงวัน
จากเม็ดพันธุ์แตกหน่อเป็นช่ออ่อน
จนกลีบใบเรียวแรกเริ่มแตก..ชอน-
ไชขึ้นอ้อนออดรู้ฤดูกาล

O ฝน..หนาว..ร้อนรุ่มถึงขุมขน
แล้วเวียนรอบให้ฝน..อีกฝนผ่าน
เพื่อหยัดกลีบเรียวช่อ..ขึ้นรอบาน
พร้อมเรณูหอมซ่านขึ้นหว่านรส

O ช้าเร็ว..มวลผึ้งภู่ย่อมรู้กลิ่น
เมื่อลมรินรวยเท..หันเหบท
คอยดูเถิดอีกประเดี๋ยว..การเลี้ยวลด-
เข้าจ่อจดหวานหอม..จะพร้อมแล้ว

O ฤดูลมพรมพรำ..อยู่ค่ำเช้า
อาจรุมเร้า, อ่อนโรย..จนโชยแผ่ว
รอกวัดใบหญ้าเต้นจนเป็นแนว
ซ้ำบทแล้วบทเล่า..แต่เช้าวัน

O เมื่อสายลมผ่านสู่..ฤดูล่อง
และฟ้าผ่องแผ้วงามสีครามนั่น
ก็เมื่อผิวต้องหนาวจนหนาวครัน
จึงบัดนั้นโลกกว้างย่อมวางรอ

O ให้ฟังเสียงลมเท..มาเห่กล่อม
สูดกลิ่นหอมเรณูที่ชูช่อ
ทั้งเสียงไม้เสียดยอด..แสงทอดทอ-
ลอดพุ่มกอก้านใบ..ที่ไหวรับ

O พอลมล่องลาดเทมาเห่กล่อม
โลกที่ล้อมรอบล้วนคล้ายครวญขับ-
ผ่านบทเพลงร่ายรำ..เพื่อสำทับ-
การเขยื้อนการขยับลำดับนั้น

O ก็ใช่- เป็นเพียงฤดูลม
หมุนรอบมาห้อมห่มให้ซมสั่น
เปลี่ยนผ่านสภาพธรรมเข้าค้ำยัน
ให้จิตใจทั้งนั้นรู้ผันแปร

O เมื่อเม็ดน้ำขาดช่วงจากห้วงหน
เมฆขาวบนฟ้าพลอย..เลื่อนลอยแผ่
เมื่อขาวครามกลมเกลียวให้เหลียวแล
ก็เห็นแต่ภาพงามของยามนี้

O โอบโลกให้งดงามอยู่ท่ามกลาง-
ดวงวันพร่างแสงพร้อยเรียงสร้อยสี
ลมหนาวร่ำสายผ่านลงคว้านตี
เมื่อปีกผีเสื้อลายบินบ่ายย้อน

O ช่องโสตก็จะแว่วเสียงแจ้วเจื้อย-
ของนก, ลมโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
ผืนแผ่นน้ำครวญครางในต่างตอน
จักซ้ำซ้อนภาพลวงอีกดวงวัน

O ให้มองเห็นลอยดวงบนสรวงฟ้า
ทั้งแจ่มจ้ายิ่งล้ำกลางน้ำนั่น
เท็จ-จริง..ที่มองผ่านก็ปานกัน
ย่อมแปรผันโดยจิต..การคิดตรอง

O ก็ใช่ – ที่เป็นเพียงธรรมชาติ
ทั้งดวงวันโอภาสคอยสาดส่อง
หรือคลื่นน้ำไหลลาดลงฟาดฟอง
และปีกผีเสื้อล่องบนท้องฟ้า

O เห็นไหมเล่ากลีบผการะย้าย้อย
ทุกช่อที่เคยช้อยอยู่คอยท่า
รอฝน..ต้องฝน..หมดฝนพา-
กันอ่อนโรยอ่อนล้า..ซบคาพื้น

O ฤๅ - อาจรู้ลูบโลมด้วยลมหนาว
หรือแสงงามวับวาวจากดาวดื่น
ครั้นสิ้นรอบลมร่ำกลางค่ำคืน
ฤๅ – อาจรู้ฉ่ำชื้นของพื้นดิน

O เพียงกาลผ่านเวียนแล้วเปลี่ยนช่วง
งามทั้งปวงถ้วนบทก็หมดสิ้น
ปีกลวดลายลมโชยเคยโบยบิน
อาจลาถิ่นไพรเถื่อนลับเลือนแล้ว

O ที่ไหนเล่าโลกกว้างและทางแคบ
เพียงหนีบแนบกลีบใบที่ไหวแผ่ว
ที่ไหนเล่าดีร้ายที่ปลายแนว-
ของเทือกแถวดอกมาลย์หอมหวานนั้น

O ก็นั่นแหละรูปธรรมในธรรมชาติ
ลมไหววาดแสงฉายน้ำพรายสั่น
ปีกลวดลายบินหยุด..ดอมบุษบัน
เกสรกลั่นหวานรส..อาจหมดฤๅ

O หากอีกสภาพธรรมในธรรมชาติ
เมื่อลมลาดล่องอยู่อาจรู้หรือ-
ว่าร้อน..ฝน..จนหนาว..อีกหนาวคือ-
การยึดถือตีความเอาตามใจ

O ฤดูลม-ยอดไม้ส่ายไหวอยู่
ปีกลวดลายหรุบชูก่อนลู่ไหล-
ลอดกลีบดอกนุ่มบางแทรกร่างไป
หวานเยี่ยงไรเล่าหนอ..จึ่งพอเพียง ?

O ฤดูลม..หวนระลอก, ดวงดอกไม้-
ก็หอมให้แถวถิ่นรู้กลิ่น, เสียง-
นกไพรเถื่อนก้องกรู..คล้ายอยู่เคียง-
ศัพท์สำเนียงก้องรัว..บางหัวใจ !



จากบล็อกพี่ สดายุ ค่ะ

Group Blog
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •   
  •  
  •  
กันยายน 2553

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30