พระราชวังพระนครคีรี...เพชรบุรี
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง)

เป็นโบราณสถานเก่าแก่คู่เมืองเพชรบุรี ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง 92 เมตร เดิมเรียกว่า เขาสมนหรือเขาคีรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพอพระราชหฤทัย ที่จะสร้างพระราชวังสำหรับเสด็จแปรพระราชฐานขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาเพชรนิสัยศรีสวัสดิ์ ปลัดเมือง เพชรบุรีเป็นนายงานก่อสร้างจนสำเร็จเรียบร้อยเมื่อปี พ.ศ. 2403 ทรงพระราชทานนามว่า พระนครคีรี แต่ชาวเมืองเพชรเรียกกันติดปากว่าเขาวัง สืบมาจนบัดนี้พระนครคีรีมีพระที่นั่ง พระตำหนัก วัด และกลุ่มอาคารต่าง ๆ มากมาย ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบนิโอคลาสสิคผสมสถาปัตยกรรมจีน ตั้งอยู่บนยอดเขาใหญ่ ๆ 3 ยอด ดังนี้


ยอดเขาด้านทิศตะวันออก

บริเวณไหล่เขาเป็นที่ตั้งของวัดมหาสมณาราม ภายในพระอุโบสถ มีภาพเขียนฝีมือขรัวอินโข่ง บนผนัง ทั้งสี่ด้าน เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนบนยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดพระแก้ว เป็นวัดประจำ พระราชวังพระนครคีรี เช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวัง ในกรุงเทพฯ ภายในวัดพระแก้วประกอบด้วยพระอุโบสถขนาดเล็ก ประดับด้วยหินอ่อน ด้านหลังเป็น พระพุทธเสลเจดีย์ ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นหอระฆังรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมขนาดเล็ก


เขายอดกลาง

เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมเพชร มีความสูง 40 เมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน จากจุดนี้ สามารถมองเห็นพระที่นั่งต่าง ๆ บนยอดเขาอีก 2 ยอด รวมทั้งทิวทัศน์ของตัวเมืองเพชรบุรีได้อีกด้วย


ยอดเขาด้านทิศตะวันตก

เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ประทับอันได้แก่ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท พระที่นั่งราชธรรมสภา หอชัชชวาลเวียงชัย หอพิมานเพชรมเหศวร ตำหนักสันถาคารสถาน หอจตุเวทปริตพจน์


ศาลาทัศนา-นักขัตฤกษ์ นอกจากนี้แล้วยังมีโรงรถ โรงม้า ศาลามหาดเล็ก ศาลาลูกขุน ศาลาต่าน ศาลาเย็นใจ ทิมดาบ โรงครัว ตามแบบพระราชวังทั่วไป รอบพระราชวังมีป้อมล้อมอยู่ทั้ง 4 ทิศคือ ป้อมทศรถป้องปากทางทิศตะวันออก ป้อมวรุฬหกบริรักษ์ ทางทิศใต้ ป้อมวิรุฬปักษ์ป้องกันทางทิศตะวันตก และป้อมเวสสุวรรณรักษาทางทิศเหนือ

กรมศิลปากรได้ใช้บางส่วนของพระราชวังบนยอดเขาด้านทิศตะวันตกนี้จัดตั้งเป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี ภายในเก็บรักษาโบราณวัตถุต่าง ๆ ได้แก่ เครื่องราชูปโภคของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รูปหล่อโลหะสำริด และทองเหลืองที่ใช้สำหรับตกแต่งห้องต่าง ๆ ในพระที่นั่ง และเครื่องกระเบื้องของจีน ญี่ปุ่น และยุโรป เฉพาะส่วนของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินี้ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ทุกวัน

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 08.30-16.30 น. ค่าเข้าชม (รวมค่าเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี) ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างประเทศ 40 บาท นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมเขาวังได้ โดยการเดินขึ้น หรือโดยสารรถรางไฟฟ้า (ตั๋วไป-กลับ รวมค่าเข้าชมทั้งหมด) เสียค่าบริการ ชาวไทย 20 บาทชาวต่างชาติ 20 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ (032)425600



















































ขอบคุณข้อมูลจาก thai-tour ค่ะ






Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2554 16:50:01 น.
Counter : 1509 Pageviews.

5 comments
  
พี่ฝนนนนนนนนนนนน
เจคิดถึงมากๆเลยยยยยยยยยยยยย
สบายดีมั้ยคร๊า ^_^
คิดถึง คิดถึง คิดถึง อิอิ
จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
โดย: j (panaejon ) วันที่: 11 มีนาคม 2554 เวลา:12:25:35 น.
  
น้องเจจ๋า

หายไปนานมาก นึกว่ายุ่งจนไม่มีเวลา
คิดถึงคนแถวนี้แล้วซะอีก ^^
โดย: ไลเดเลีย วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:19:35:27 น.
  
ดอกลั่นทมที่เขาวัง
ปลูกสองข้างทางระหว่างเดินขึ้น
ตอนนี้คงกำลังออกดอกสวยงาม

ไม่ได้แวะมาเสียนานเลย
คุณฝนคงสบายดีนะคะ
โดย: เพรง.พเยีย วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:8:34:56 น.
  

ส่งยิ้มมาทักทายกันนะค่ะ
โดย: พิรุณร่ำ วันที่: 31 มีนาคม 2554 เวลา:6:05:12 น.
  
คิดถึงเสมอนะคะคุณฝน
โดย: เพรง.พเยีย วันที่: 20 พฤษภาคม 2554 เวลา:5:33:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไลเดเลีย
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



ร้อยรส...กลอนกานท์




O ฤดูลม...O

O ฉับพลันฝนก็เร้นเก็บเส้นสาย
ดวงวันฉายแสงช่วงโลมห้วงหน
ขับความชื้นลบเลือนรอยเปื้อนปน
ลบหมองหม่นแผ่นฟ้าจนพร่าเลือน

O คล้ายเมฆสีเทาทึมเมื่อครึ้มฝน
ถูกแสงสรวงเบื้องบนเข้าปนเปื้อน
ย้อมสีเทาเป็นขาว..เมื่อหนาวเยือน
มาตามเตือนเลื่อนยามให้งามตา

O ลมต้นหนาวเกรียวกรูเสียงวู่ไหว
โลมกิ่งใบไม้ตื่นทั้งผืนป่า
เขยื้อนขยับยวบไหวอยู่ไปมา
เหมือนบอกลาล่วงพ้น..คาบฝนปลาย

O ความเปลี่ยนแปลงผ่านสู่..ให้รู้เห็น
จากเมื่อสีเลื่อนเส้น..แล่นเป็นสาย
เสียงครืนครั่นก้องอยู่ไม่รู้วาย
แปลบปลาบว่ายเวียนย้ำโลมค่ำคืน

O จนฟ้าเปลี่ยนไม้ใบสั่นไหวระริก
น้ำก็พลิกแผ่นผิว..เป็นริ้วตื่น
จึงบัดนั้น..ภูมิทัศน์ก็หยัดยืน
ด้วยสายลมเย็นชื่น..เพื่อฟื้นตัว

O ถึงคราลมเย็นรื่น..วกคืนย้อน-
พรมสายอ่อนโอนระลอกเข้าหยอกยั่ว
ยอดหญ้าเรียวโค้งนั้น..ย่อมสั่นรัว
รอเกลือกกลั้วรับรู้..ฤดูลม

O จากยึดโยงรากแทงลงแหล่งดิน
ตราบฝนรินหยาดหลั่งลงสั่งสม
คลายความชุ่มความชื้นเหนือพื้น, พรม-
ภาวะอันอุดม..ห้อมห่มไพร

O เหยียดยอดเสียดขึ้นแทงรับแรงฝน
ที่คอยหล่นร่วงหยาด..ก่อนลาดไหล
ยืนต้นตั้งเป็นแถว..เป็นแนวไป
รอลมไหววาดวี..จักมีมา

O ไม่นานเลย..จากฝนฟ้าหม่นหลัว
จนยอดไม้ส่ายรัวอยู่ทั่วหน้า
โลกต่ำ-ใบขาบเขียวทุกเรียวคา-
จะออดอ้อนลมถา..อยู่คาพื้น

O ระบำแถวยอดหญ้าตรงหน้านั้น
จะค่อยสั่นใบพลิ้วเป็นริ้วตื่น
เขียวจากฝนฝากตอนจะย้อนคืน-
เป็นแพรผืนโยนระลอกยั่วหยอกลม

O ร้อนจะรุมสุมมาจากฟ้าไหน
เรียวจะไหววาดรับช่วยขับข่ม
รอค่ำคืนน้ำค้างมาพร่างพรม
เพื่อรับฉมชื่นมาลย์..กลิ่นซ่านซ้อน

O กาลย่อมผ่านโดยช่วงของดวงวัน
จากเม็ดพันธุ์แตกหน่อเป็นช่ออ่อน
จนกลีบใบเรียวแรกเริ่มแตก..ชอน-
ไชขึ้นอ้อนออดรู้ฤดูกาล

O ฝน..หนาว..ร้อนรุ่มถึงขุมขน
แล้วเวียนรอบให้ฝน..อีกฝนผ่าน
เพื่อหยัดกลีบเรียวช่อ..ขึ้นรอบาน
พร้อมเรณูหอมซ่านขึ้นหว่านรส

O ช้าเร็ว..มวลผึ้งภู่ย่อมรู้กลิ่น
เมื่อลมรินรวยเท..หันเหบท
คอยดูเถิดอีกประเดี๋ยว..การเลี้ยวลด-
เข้าจ่อจดหวานหอม..จะพร้อมแล้ว

O ฤดูลมพรมพรำ..อยู่ค่ำเช้า
อาจรุมเร้า, อ่อนโรย..จนโชยแผ่ว
รอกวัดใบหญ้าเต้นจนเป็นแนว
ซ้ำบทแล้วบทเล่า..แต่เช้าวัน

O เมื่อสายลมผ่านสู่..ฤดูล่อง
และฟ้าผ่องแผ้วงามสีครามนั่น
ก็เมื่อผิวต้องหนาวจนหนาวครัน
จึงบัดนั้นโลกกว้างย่อมวางรอ

O ให้ฟังเสียงลมเท..มาเห่กล่อม
สูดกลิ่นหอมเรณูที่ชูช่อ
ทั้งเสียงไม้เสียดยอด..แสงทอดทอ-
ลอดพุ่มกอก้านใบ..ที่ไหวรับ

O พอลมล่องลาดเทมาเห่กล่อม
โลกที่ล้อมรอบล้วนคล้ายครวญขับ-
ผ่านบทเพลงร่ายรำ..เพื่อสำทับ-
การเขยื้อนการขยับลำดับนั้น

O ก็ใช่- เป็นเพียงฤดูลม
หมุนรอบมาห้อมห่มให้ซมสั่น
เปลี่ยนผ่านสภาพธรรมเข้าค้ำยัน
ให้จิตใจทั้งนั้นรู้ผันแปร

O เมื่อเม็ดน้ำขาดช่วงจากห้วงหน
เมฆขาวบนฟ้าพลอย..เลื่อนลอยแผ่
เมื่อขาวครามกลมเกลียวให้เหลียวแล
ก็เห็นแต่ภาพงามของยามนี้

O โอบโลกให้งดงามอยู่ท่ามกลาง-
ดวงวันพร่างแสงพร้อยเรียงสร้อยสี
ลมหนาวร่ำสายผ่านลงคว้านตี
เมื่อปีกผีเสื้อลายบินบ่ายย้อน

O ช่องโสตก็จะแว่วเสียงแจ้วเจื้อย-
ของนก, ลมโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
ผืนแผ่นน้ำครวญครางในต่างตอน
จักซ้ำซ้อนภาพลวงอีกดวงวัน

O ให้มองเห็นลอยดวงบนสรวงฟ้า
ทั้งแจ่มจ้ายิ่งล้ำกลางน้ำนั่น
เท็จ-จริง..ที่มองผ่านก็ปานกัน
ย่อมแปรผันโดยจิต..การคิดตรอง

O ก็ใช่ – ที่เป็นเพียงธรรมชาติ
ทั้งดวงวันโอภาสคอยสาดส่อง
หรือคลื่นน้ำไหลลาดลงฟาดฟอง
และปีกผีเสื้อล่องบนท้องฟ้า

O เห็นไหมเล่ากลีบผการะย้าย้อย
ทุกช่อที่เคยช้อยอยู่คอยท่า
รอฝน..ต้องฝน..หมดฝนพา-
กันอ่อนโรยอ่อนล้า..ซบคาพื้น

O ฤๅ - อาจรู้ลูบโลมด้วยลมหนาว
หรือแสงงามวับวาวจากดาวดื่น
ครั้นสิ้นรอบลมร่ำกลางค่ำคืน
ฤๅ – อาจรู้ฉ่ำชื้นของพื้นดิน

O เพียงกาลผ่านเวียนแล้วเปลี่ยนช่วง
งามทั้งปวงถ้วนบทก็หมดสิ้น
ปีกลวดลายลมโชยเคยโบยบิน
อาจลาถิ่นไพรเถื่อนลับเลือนแล้ว

O ที่ไหนเล่าโลกกว้างและทางแคบ
เพียงหนีบแนบกลีบใบที่ไหวแผ่ว
ที่ไหนเล่าดีร้ายที่ปลายแนว-
ของเทือกแถวดอกมาลย์หอมหวานนั้น

O ก็นั่นแหละรูปธรรมในธรรมชาติ
ลมไหววาดแสงฉายน้ำพรายสั่น
ปีกลวดลายบินหยุด..ดอมบุษบัน
เกสรกลั่นหวานรส..อาจหมดฤๅ

O หากอีกสภาพธรรมในธรรมชาติ
เมื่อลมลาดล่องอยู่อาจรู้หรือ-
ว่าร้อน..ฝน..จนหนาว..อีกหนาวคือ-
การยึดถือตีความเอาตามใจ

O ฤดูลม-ยอดไม้ส่ายไหวอยู่
ปีกลวดลายหรุบชูก่อนลู่ไหล-
ลอดกลีบดอกนุ่มบางแทรกร่างไป
หวานเยี่ยงไรเล่าหนอ..จึ่งพอเพียง ?

O ฤดูลม..หวนระลอก, ดวงดอกไม้-
ก็หอมให้แถวถิ่นรู้กลิ่น, เสียง-
นกไพรเถื่อนก้องกรู..คล้ายอยู่เคียง-
ศัพท์สำเนียงก้องรัว..บางหัวใจ !



จากบล็อกพี่ สดายุ ค่ะ

Group Blog
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •   
กุมภาพันธ์ 2554

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
25
26
27
28