Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
29 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 

ไดอารี่ “คนตกงาน” โดย “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอนที่ 2: รูดปื๊ด…รูดปื๊ดกับหมอดูแม่น ๆ



วันนี้ฉันออกจากบ้านตามปกติทำท่าเหมือนไปทำงานเช่นเคย
ขับรถไปตามจุดหมายเดิมคือ Canteen หรือห้องอาหารของธนาคารเหมือนเมื่อวาน
ฉันกำลังคิดว่าจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักพิงทำงานขีด ๆ เขียน ๆ เหมือนเป็นออฟฟิศส่วนตัว
จนกว่างานต่าง ๆ ที่วางแผนที่จะทำในช่วงตกงานแล้วเสร็จแล้วค่อยว่าเรื่องของอนาคตกันใหม่…

แต่จะทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องเสียค่าที่จอดรถวันละเป็นร้อย
เพราะฉันจะนั่งทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นเหมือนเวลาทำงานปกติ

ครุ่นคิดอยู่นานเป็นชั่วโมง
ปิ๊งงงงงง!!
อ๊ะ…ได้การล่ะ…ฉันคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว!

ฉันจำได้ว่าตามห้างสรรพสินค้าหลาย ๆ แห่งจะมีการกันที่จอดรถไว้เป็นพิเศษให้กับผู้ถือบัตรต่าง ๆ
ฉันเคยใช้บริการที่จอดรถอภิสิทธิ์สำหรับผู้ถือบัตร Citi Bank Visa ครั้งหนึ่ง
วันนั้นที่จอดรถในห้างเต็มเหลือที่จอดรถพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรฉันจึงได้ใช้บริการ
สัปดาห์ถัดจากนั้นฉันก็ไปห้างเดิมอีกแต่ครั้งนี้ไม่อยากใช้อภิสิทธิ์บัตรจนน้องแซนดี้ถาม
“ทำไมวันนี้คุณแม่ไม่จอดรถตรงที่จอด VIP เหมือนครั้งที่แล้วล่ะ?”

ฉันอธิบายพร้อมกับสอนน้องแซนดี้ที่นั่งอยู่ในรถกับฉันด้วยว่า
“สาเหตุที่คุณแม่ไม่จอดรถในที่ที่เขากันไว้เป็นพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเหมือนครั้งที่แล้ว
ก็เพราะว่าวันนั้นที่จอดรถเต็มเราไม่มีทางเลือก
แต่วันนี้มีที่จอดรถให้เลือกมากมายเนื่องจากเรามาแต่เช้า
คุณแม่ก็เลยอยากเก็บที่จอดรถพิเศษนี้ให้กับผู้ที่มาทีหลังและหาที่จอดไม่ได้
เขาจะได้ใช้สิทธิ์จากการที่เขาถือบัตรได้อย่างไรล่ะ

วันนี้ถ้าคุณแม่ใช้สิทธิ์นั้นไปแล้วและต่อมาที่จอดเต็ม
คนที่มาที่หลังถึงแม้จะถือบัตรก็จะไม่มีที่จอด
เป็นการตัดสิทธิ์ของเขาที่เราไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง

แต่ถ้าเราไม่ใช้สิทธิ์และคนมาทีหลังได้ใช้สิทธิ์นั้น
หนูรู้ไหมว่าเขาจะมีความรู้สึกดีใจสักเพียงใด
ความรู้สึกของเขาก็จะเหมือนกับที่คุณแม่รู้สึกในวันนั้น
จำไว้นะหนูว่าจะทำอะไรให้คิดถึงผู้อื่นด้วยเสมอ”

น้องแซนดี้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแสดงความเข้าใจและดีใจที่ได้เรียนรู้วิธีคิดจากฉันในวันนี้
ฉันก็หวังว่าลูกจะจดจำในสิ่งที่ฉันสอนและแนะนำ
เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในทุก ๆ เรื่องต่อไป

อ้าว…ออกนอกเรื่องมาซะไกล…ไปถึงไหนแล้วล่ะ
อ้อ…ถึงเรื่องปิ๊งไอเดียเกี่ยวกับที่จอดรถอภิสิทธิ์สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตนะเอง

ฉันกำลังถือบัตร “รูดปื๊ด…รูดปื๊ด” ของธนาคารแห่งนี้อยู่
และทางธนาคารก็น่าจะมอบสิทธิพิเศษบางอย่างให้กับลูกค้าเช่นฉันบ้างก็ได้

ว่าแล้วฉันก็หมุนเบอร์โทร 02 7777777 (จำง่ายดีไหม เบอร์นี้อ่ะ? ขอค่าโฆษณาด้วยนะ…ฮา)
พอพนักงานรับสายฉันก็พูดว่า “สวัสดีค่ะ…ดิฉันเป็นลูกค้าถือบัตรเครดิตอยู่ค่ะ
อยากจะสอบถามว่าปกติบัตรเครดิตต่าง ๆ จะกันที่จอดรถพิเศษให้ลูกค้าตามอาคารห้างร้านต่าง ๆ
ไม่ทราบว่า บัตร “รูดปื๊ด…รูดปื๊ด” ของคุณมีให้บริการเช่นเดียวกันด้วยหรือไม่คะ?”

พนักงานให้ฉันรอสายสักครู่แล้วกลับมาพร้อมคำตอบว่า
“ขณะนี้ทางธนาคารยังไม่มีบริการดังกล่าวตามห้างร้านต่าง ๆ
แต่เราจะมีที่จอดรถพิเศษฟรีจนถึง 18.00 น. สำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร
ที่มาจอดรถตามอาคารสาขาต่าง ๆ ของธนาคารค่ะ”

ฉันแอบคิดในใจว่า “WoW! เริ่ด” แต่เก็บอาการดีใจไม่ให้ออกนอกหน้าแล้วถามต่อว่า
“แล้วดิฉันต้องติดต่ออะไรกับใครหรือต้องไปแสตมป์บัตรในธนาคารพร้อมแสดงบัตรหรือไม่คะ”
พนักงานตอบว่า “ไม่ต้องค่ะ..เพียงแค่แสดงบัตรเครดิตพร้อมบัตรจอดรถก็ได้แล้วค่ะ”

อีกครั้งที่ฉันแอบคิดในใจแบบตื่นเต้นว่า “WoW! แจ่ม” แล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะ”
นี่ถ้าฉันฉลาดแบบนี้มาตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเสียค่าโง่เป็นค่าจอดถึง 80 บาทไปเมื่อวานนี้
80 บาทสำหรับคนตกงานอย่างฉันสามารถซื้อข้าวราดแกงต่อชีวิตได้ถึง 4 จานทีเดียวนะ
เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปจะใช้จะจ่ายอะไรต้องคิดทุกบาททุกสตางค์
เหมือนที่ภาษาฝรั่งเขาพูดว่า “Every Cent counts”
ถ้าแปลเป็นไทยก็คงจะคล้าย ๆ กับสุภาษิตของเราที่ว่า
มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาทนั่นแหละ

เอ้า…เขียนต่อให้จบเพื่อให้เห็นภาพกันชัด ๆ ก็แล้วกันว่า

“มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท
อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง
อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน”

วันนี้ฉันก็มานั่งทำงานใน Canteen เหมือนเมื่อวานจนได้เวลาปิดจึงไปออกกำลังกายเหมือนเดิม
คราวนี้ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องค่าจอดรถแล้วเพราะสามารถใช้บัตร “รูดปื๊ด…รูดปื๊ด”
พอยื่นบัตรให้กับยามตรงป้อมยามเขาดูบัตรแล้วพยักหน้าและส่งบัตรคืน
เขากล่าวคำ “ขอบคุณครับ” พร้อมส่งสัญญาณว่าไป (ฟรี) ได้
“ขอบคุณค่ะ” ฉันกล่าวตอบแล้วก็บึ่งรถออกไป

ว๊าว…รู้สึกดีกับความเป็นอภิสิทธิ์ชนในครั้งนี้ยังไงไม่รู้แฮะ
ขอบคุณเจ้าของบัตรรูดปื๊ด…รูดปื๊ดที่มอบสิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้า (ในยามยาก) อย่างฉันด้วยนะ

วันต่อมาฉันก็เข้ามาจอดรถและทำงานส่วนตัวของฉันเป็นปกติ
วันนี้นั่งอยู่ที่นี่นานกว่าเมื่อวาน
เพราะฉันอยู่จน Canteen ปิดไฟไล่ตอน 4 โมง
จากนั้นก็เข้าห้องน้ำแปลงกาย
ใส่กางเกงสามส่วนสวมถุงเท้าและรองเท้ารัดส้นสบาย ๆ ไว้เตรียมเดิน
ส่วนเสื้อไม่กล้าใส่สายเดี่ยวแบบวันก่อนเพราะกลัวสาวน้อยขี่จักรยานคนนั้น
จะเหลียวหลังหันมามองแล้วมองอีกแบบเมื่อวันนั้น
(แต่ถ้าเป็นหนุ่ม ๆ หันมามองก็อาจจะอยากใส่อีก…ฮา)

ตอนขับรถออกจากอาคารและให้บัตรจอดรถพร้อมแสดงบัตร “รูดปื๊ด…รูดปื๊ด”
ยามก็คืนบัตรเครดิตให้และส่งสัญญาณให้ขับออกไปได้เหมือนเมื่อวาน

พอขับมาถึงทางออกกำลังเตรียมจะเลี้ยวออกถนนใหญ่
ยามคนนั้นวิ่งกระหืดกระหอบมาเคาะกระจกรถแล้วพูดว่า
“คุณผู้หญิงยังไม่ได้แสตมป์บัตรจอดรถครับ”
“อ้าว…ต้องแสตมป์ด้วยเหรอ…แล้วทำไมเมื่อวานไม่ต้องล่ะ?”

ยามทำท่างง ๆ ฉันจึงพูดต่อว่า
“เมื่อวานไม่เห็นมีปัญหาอะไรและตอนโทรถามเจ้าหน้าที่เขาก็บอกแค่ยื่นบัตรก็ผ่านได้แล้ว
ตกลงจะเอายังไงกันแน่ล่ะเนี่ย?”

ฉันเริ่มเสียงแข็งและปฏิเสธเมื่อยามบอกให้ฉันถอยหลังไปจอดแล้วไปแสตมป์บัตรก่อน
“ผมไม่ทราบหรอกครับแต่ถ้าคุณพี่ไม่แสตมป์ผมต้องรับผิดชอบตายเลย
และดูซิเนี่ยคุณพี่เข้ามาตั้งแต่แปดโมงกว่า”

ฉันบอก “ฉันต้องรีบไปทำธุระคุณช่วยไปถามหัวหน้าดูว่าต้องทำอย่างไร”
เขากวักมือเรียกยามอีกคนหนึ่งซึ่งพอวิ่งมาถึงเขาก็บอกว่า
“ที่จริงคุณพี่ต้องยื่นบัตร “รูดปื๊ด…รูดปื๊ด” นี้ตั้งแต่ตอนเข้ามานะครับ
แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมอบบัตร VIP ให้ซึ่งสามารถจอดได้ฟรีโดยไม่ต้องแสตมป์
ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณพี่ช่วยเขียนเบอร์บัตรและขอเบอร์โทรด้วยได้ไหมครับ”

“ขอเขียนชื่อและเบอร์มือถือให้ก็พอและถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้เจ้าหน้าที่โทรติดต่อก็แล้วกัน”
ว่าแล้วฉันก็เขียนชื่อพร้อมเบอร์โทรบนบัตรจอดรถส่งให้ยามแล้วก็ขับรถออกไป

เฮ้อ…แล้วก็ไม่บอกกันตั้งแต่แรก
ปล่อยให้ค่อย ๆ ฉลาดวันละเรื่อง ๆ แต่ก็ยังดีที่ไม่โง่ไปตลอดซะทุกเรื่อง!!

วันนี้ไปถึงสวนสาธารณะ 5 โมงพอดี...

ช่วงที่กำลังเดินมีแสงแดดอ่อน ๆ สาดมาที่ใบหน้าด้วยทำให้รู้สึกชื่นใจดีจัง
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาแสงแดดไม่ค่อยจะมีโอกาสได้แทะเล็มเนื้อตัวของฉันเลย

วันที่ 3 ทำให้ฉันเริ่มคุ้นกับการเดินออกกำลังกาย
วันนี้รู้สึกตัวเองเก่งขึ้นเพราะสามารถเดินได้เร็วขึ้นรวดเดียว 2 รอบแบบ non-stop
ท่าทางกระฉับกระเฉงกว่าวันที่เดินในชุดสูทและกระโปรงกับรองเท้าแตะ
ทำให้สามารถเดินได้เร็วจนเหนื่อยและเหงื่อออก
เดินได้ประมาณรอบครึ่งรู้สึกหอบจึงนั่งพักและคิดเรื่อยเปื่อย

ระหว่างนั่งพักมีลมโชยมาเบา ๆ ทำให้ได้กลิ่นเหงื่อของตัวเองพร้อม ๆ กับความรู้สึกเย็นสบาย
นั่งมองดูผู้คนที่เริ่มทยอยเข้ามาในสวนสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
สังเกตได้ว่าผู้คนจะเริ่มเข้ามาวิ่งออกกำลังกันมากในช่วงหลัง 5 โมงเย็น
ส่วนใหญ่จะเป็นคนในวัยทำงานมีทั้งชายและหญิง
แต่จะเป็นชายซะมากกว่าและมีผู้สูงอายุบ้างประปราย
ถ้าเป็นวันหยุดในช่วงเช้า ๆ จะมีผู้สูงอายุซะมากและมีผู้หญิงไม่น้อยกว่าชาย

ตอนเย็นส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ชายเสีย 80-90% นอกนั้นเป็นผู้หญิงบ้าง
มากันเป็นครอบครัวบ้าง
เป็นฝรั่งนักท่องเที่ยวและเป็นคนที่น่าจะทำงานในเมืองไทยบ้าง

ช่วงที่กำลังนั่งเหม่อสังเกตุพฤติกรรมผู้คนก็มีหญิงวัยกลางคนเดินผ่านพร้อมกับพูดว่า
“ดูหมอไหมคะ?” และเดินต่อไปเรื่อย ๆ

มองดูผู้คนไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตามเรื่องจนได้เวลาเคารพธงชาติช่วงเย็น 18.00 น.
ภาพที่เห็นเป็นภาพที่น่าประทับใจและน่าภาคภูมิใจในความเป็นเอกราชของชาติไทย
ผู้ที่กำลังวิ่งหรือเดินก็จะหยุดยืนตรง
ผู้ที่กำลังนั่งก็จะลุกขึ้นยืนเหมือนตัวฉัน
หลังเพลงชาติจบก่อนที่แต่ละคนจะทำกิจกรรมต่อก็จะโค้งคำนับกันก่อน
เป็นภาพที่น่าประทับใจและน่าภาคภูมิใจมากจริง ๆ ใช่ไหม?

ฉันไม่ได้ทำกิจกรรมนั่งเหม่อต่อเพราะได้เวลาเดินทางกลับบ้านแล้ว
พอเพลงชาติจบจึงเดินต่อเพราะกว่าจะถึงที่จอดรถก็ต้องเดินอีกครึ่งรอบ
ในระหว่างที่เดินก็เห็นหญิงวัยกลางคนที่เป็นหมอดูคนนั้นนั่งอยู่คนเดียว
ฉันเดินเข้าไปถามว่า “ดูหมอแบบไหนและคิดอย่างไรคะ?”

เธอรีบตอบว่าดูทั้งแบบวันเดือนปีเกิดและไพ่ยิบซี
ค่าดูอย่างใดอย่างหนึ่ง 59 บาทถ้าดูควบ 2 อย่างคิด 99 บาท
ฉันทำท่าลังเลและพูดว่า “อืมมม…ไม่ได้เอาตังค์ติดตัวมา”
หมอดูรีบตอบ “ไม่เป็นไร๊…ดูเสร็จก่อนแล้วค่อยเดินไปเอาตังค์ที่รถก็ได้”

ฉันคิดในใจ…
“โห…ท่าทางจะแม่น (ว่ะ) …รู้ได้ไงอ่ะว่าขับรถมาและมีตังค์ในรถด้วย!”
ว่าแล้วฉันก็นั่งลงข้าง ๆ หล่อนแล้วพูดว่า
“เอาอย่างงั้นก็ได้”
เธอถามต่อว่า “จะดูทั้งสองแบบเลยหรือยังไงคะ?”
“ดูแบบเดียวก็แล้วกัน” ฉันว่า

ท่านผู้อ่านลองทายซิว่าฉันเลือกแบบไหน?
ถูกต้องนะคร๊าบบบบบ……

พอได้วันเดือนปีเกิดไปแล้วคุณหมอดูก็หยิบกระดาษที่ดูเหมือนแบบฟอร์มขึ้นมา
แล้วก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาขีด ๆ เขียน ๆ ลากเส้นโยงไปมา
สักอึดใจใหญ่ ๆ จึงเงยหน้าขึ้นแล้วทำนายทายทักเป็นฉาก ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง

คำทำนายทายทักของเธอทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเพราะอย่างน้อยที่สุด
ทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันในสองปีนี้ดีหมดยกเว้นปี 2553 ที่ดวงจะสะดุดเล็กน้อย
เรื่องที่ถูกใจมากที่สุดก็คือเธอบอกว่าตอนนี้ดวงมีโชคให้ซื้อหวยแทงล็อตเตอรี่ได้เลย
แต่คำทำนายที่ทำให้สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดมีเครื่องหมายคำถามทันทีก็คือตอนที่เธอบอกว่า
“การงานของคุณราบรื่นและจะได้รับการโปรโมท…

แป่วววววววว!!”
ฉันเพิ่งตกงานมาได้ 3 วันดันมาทำนายแบบนี้ก็หมดกันละซิ…ว๊า…ปัทธ่อ!

เธอหัวเราะตอนฉันเฉลยความจริง
เห็นว่าแม่หมอดูเป็นคนตรง ๆ ซื่อ ๆ อารมณ์ดีฉันก็เลยต่อด้วยการดูไพ่ยิบซี
เธอแถมเซียมซีให้เสี่ยงทายด้วยนะ
ฉันหยิบได้ใบที่สิบห้าฟังเธออ่านไปหน้าก็บานไป
เพราะดูเหมือนดีทุกอย่างแต่เสียอยู่อย่างที่ดันมาตกงาน…ฮา

ดูได้ประมาณครึ่งชั่วโมงฉันก็ชวนเธอเดินไปที่รถด้วยกันเพื่อไปเอาตังค์
ระยะทางที่เดินประมาณเกือบ 1 กิโลเมตรกว่าจะถึงที่จอดรถ
ในระหว่างนั้นฉันก็สัมภาษณ์เธอไปเรื่อย ๆ

แม่หมอดูบอกว่าตอนนี้เธออายุ 42 ปีแล้วยังเป็นโสด
เร็ว ๆ นี้เธอติดต่อบริษัทจัดหาคู่โดยจ่ายค่าดำเนินการไปแล้ว 2,000 บาท
เธอบอกว่า spec. ของเธอคือต้องเป็นฝรั่งวัย 29-30
“อะไรน๊า…29-30!” ฉันร้องถามเสียงหลง

เธอหัวร่ออารมณ์ดีบอกว่า “ชอบหนุ่ม ๆ มันทำงานเก่งดี”
ฉันก็ไม่ได้ถามต่อว่าคิดจะใช้เขาทำงานอะไรหรือถึงต้องการคนทำงานเก่ง
สงสัยคิดจะเอาเปรียบฝรั่งโดยเอามาใช้ทำงานบ้านละซิเนี่ย? ฉันคิดในใจ

ฉันบอกเธอว่าผู้หญิงควรจะได้ผู้ชายที่อายุมากกว่าสัก 5-10 ปีน่าจะดี
เพราะผู้หญิงแก่เร็วกว่าชายยิ่งถ้ามากกว่าถึง 20 ปีก็ยิ่งดีเราจะได้ดูเด็กในสายตาเขา…ฮา

แต่เธอก็ยืนยันว่าเธอชอบหนุ่ม ๆ มากกว่า
ฉันอดที่จะสอดรู้สอดเห็นไม่ได้จึงถามเธอต่อว่า
“ว่าแต่ทำไมถึงตั้ง spec. ว่าต้องเป็นฝรั่งล่ะทำไมไม่ชอบหนุ่มไทยหรือ?”
เธอบอก “ที่อยากได้ฝรั่งเพราะเผื่อว่าจะได้นำวิชาหมอดูไปเป็นอาชีพหากินในเมืองฝรั่งรายได้ดีไง”
“แล้วนี่เคยดูหมอให้ฝรั่งบ้างไหม?” ฉันถาม

เธอตอบว่า “ก็มีบ้างแต่ไม่มาก..ถ้าดูให้ฝรั่งก็จะคิด 300 บ้าง 500 บ้างแล้วแต่กรณี”
ฉันถามต่อ “อย่างนี้ก็คงจะเก่งภาษาอังกฤษล่ะซิ”
คำตอบของเธอทำให้ฉันเกือบหงายหลัง…

“พอ Speak ได้เพราะเรียนจบ AUA 15 Courses” เธอพูดอย่างภาคภูมิใจ
“โห…แล้วเรียนจบอะไรมาล่ะเนี่ย?” ฉันยิงคำถามต่อ
“เรียนจบแค่ ปวช. ดูหมอมา 12 ปีในสวนสาธารณะแห่งนี้ตั้งแต่เที่ยงวันถึง 1 ทุ่ม”

เธอเล่าต่ออย่างสนุกสนานอารมณ์ดีว่า
“ตั้งแต่จ่ายค่าหาคู่ไป 2,000 บาทมา 6 เดือนแล้วยังไม่มีใครติดต่อมาเลย
แต่คนอื่นส่วนใหญ่จะได้คู่กันไปเยอะแล้ว”

เธอพูดจบฉันจึงโพล่งออกไปแบบไม่เกรงใจว่า
“ก็คุณอายุตั้ง 42 แล้วดันไปกำหนด spec. ผู้ชายอายุ 29-30 แบบนี้
คงไม่มีใครอยากได้ผู้หญิงที่อายุมากกว่าขนาดนี้หรอก”

ที่จริงฉันหลีกเลี่ยงคำว่า “สาวแก่” กับเธอ
ไม่ได้กลัวว่าเธอจะไม่ชอบใจหรอกแต่เกรงใจตัวเองมากกว่า
เพราะถ้าใช้คำนั้นก็จะโดนตัวเองตรง ๆ แบบหลบไม่ทันเลยล่ะ…ฮา

แล้วฉันก็คุยต่อว่า “นี่ถ้าคุณกำหนด spec. ผู้ชายอายุ 50-70 ปีละก็
ป่านนี้คุณมีคนมาให้เลือกจนต้องกลุ้มใจแน่ ๆ เพราะอาจจะเลือกไม่ถูกเนื่องจากมีแต่ดี ๆ เข้ามาตรึม!

เธอยังเล่าต่อว่า “ใคร ๆ ก็บอกว่าหนูเป็นโรคประสาท!”
“อ้าว…ไหงเป็นงั้นไปได้ล่ะ” ฉันถามเสียงหลงอีกรอบ
“จริง ๆ นะ…ตอนนี้กำลังกินยารักษาอยู่…หาเงินได้เท่าไรก็เสียค่ายาหมด”
ฉันปลอบใจเธอว่า “อย่าไปฟังคนอื่นเลยเพราะไม่เห็นว่าคุณมีอาการผิดปกติอย่างที่ว่า
แถมยังพูดจาฉะฉานและคุยสนุกสนานออกอย่างนี้
ถ้าคุณเป็นโรคประสาทคนอื่นรวมทั้งฉันก็ประสาทกันไปหมดแล้ว!”

ฉันหมายความเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะกว่าครึ่งชั่วโมงที่ได้คุยกับแม่หมอดูคนนี้
เธอเรียกเสียงหัวเราะร่าของฉันได้ตลอดเวลา…

เม้าท์กันยังไม่ทันหายมันส์ก็เดินไปถึงรถที่จอดอยู่เธอบอกว่า “โอ้ว…รถคันใหญ่และสวยจัง”
ฉันตอบขอบคุณพร้อมกับพูดว่า “แต่เป็นรถเก่าแล้วล่ะ”
ตอบเสร็จแอบคิดในใจว่า “อาจจะต้องเอาไปขายกินกันตาย” เร็ว ๆ นี้
คิดเสร็จก็หันไปถามเธออีกทีว่า “ตกลงค่าดูหมอเท่าไรนะ” เธอบอก “หนึ่งร้อย”
“อ้าว…ตอนแรกบอก 99 บาทไม่ใช่หรือ”
“อีก 1 บาทเป็นค่าติ๊บไง อิ อิ…” เธอพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

ฉันยื่นแบ๊งค์ 50 ใหม่เอี่ยม 2 ใบให้เธอพร้อมกับพูดว่า
“เอ้า…นี่ร้อยนึงเป็นค่าดูหมอไม่ต้องทอน…
และนี่ 20 บาทเป็นค่าติ๊บ…ขอบคุณมากนะ”

“ขอบคุณค่ะ” เธอยื่นมือมารับพร้อมยกมือไหว้และเดินจากไป….
สรุปแล้ววันนี้เสียตังค์ไปทั้งหมด 140 บาท
(อีก 20 บาทเป็นค่าข้าวราดแกงตอนกลางวันงั๊ย!)

อืมมม….
วันนี้ฉันรู้สึกมีความสุขและอารมณ์ดีเป็นพิเศษกว่าหลาย ๆ วันที่ผ่านมา
สงสัยจะเป็นเพราะการได้พูดคุยกับแม่หมอดูที่ซื่อและอารมณ์ดีตรงไปตรงมา
ทำให้สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างวิเศษ…

ฉันไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานเป็นเดือนแล้ว!!






 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2551
5 comments
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2551 18:53:24 น.
Counter : 1236 Pageviews.

 

ตามมาอ่านต่อครับ...

ผมว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีของวลีที่ว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" แม้ว่าจะตกงาน แต่ก็ยังสามารถมองโลกในแง่บวกและสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข

ขอบคุณสำหรับไดอารี่ที่พิมพ์ให้อ่านนะครับ อ่านแล้วเพลินและได้เห็นแง่มุมที่แตกต่าง ทำให้ผมต้องคิดเผื่อตัวเองเหมือนกันว่า วันหนึ่งข้างหน้า หากผมตกงาน ผมจะทำอะไร คงต้องเตรียมตัว เตรียมใจไว้บ้าง...

 

โดย: Mega-Batt 29 พฤศจิกายน 2551 20:10:35 น.  

 

พึ่งตกงานวันนี้เองค่ะ เข้ามาอ่านแล้ว
มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ
อย่างน้อยก้อจะดูพี่เป็นตัวอย่างในการมองโลกในแง่ดีนะคะ
ขอบคุณค่ะ

 

โดย: ่่jeab.pari (Jeab_Soda55 ) 29 พฤศจิกายน 2551 20:57:13 น.  

 

น่าติดตามมากๆเลยค่า

 

โดย: girl in love 29 พฤศจิกายน 2551 22:39:36 น.  

 

ตกงานเหมือนกัน ตามมาอ่านหลาย version หล่ะ

กำลังใจมีเหลือ เผื่อแผ่กันนะค่ะ

 

โดย: = คิดผ่านสมอง ทำด้วยหัวใจ = IP: 58.64.51.209 30 พฤศจิกายน 2551 20:46:54 น.  

 

เข้ามาสวัสดีทุก ๆ ท่าน
และขอขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและความคิดเห็น
ทำให้มีแรงบันดาลใจในการเขียนประสบการณ์มาแชร์กันต่อไป...

^_^

 

โดย: "เลขาฯ ตัวแสบ!" 30 พฤศจิกายน 2551 20:58:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"เลขาฯ ตัวแสบ!"
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add "เลขาฯ ตัวแสบ!"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.