|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ไดอารี่ คนตกงาน โดย เลขาฯ ตัวแสบ! ตอนที่ 2: รูดปื๊ด
รูดปื๊ดกับหมอดูแม่น ๆ
วันนี้ฉันออกจากบ้านตามปกติทำท่าเหมือนไปทำงานเช่นเคย ขับรถไปตามจุดหมายเดิมคือ Canteen หรือห้องอาหารของธนาคารเหมือนเมื่อวาน ฉันกำลังคิดว่าจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักพิงทำงานขีด ๆ เขียน ๆ เหมือนเป็นออฟฟิศส่วนตัว จนกว่างานต่าง ๆ ที่วางแผนที่จะทำในช่วงตกงานแล้วเสร็จแล้วค่อยว่าเรื่องของอนาคตกันใหม่
แต่จะทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องเสียค่าที่จอดรถวันละเป็นร้อย เพราะฉันจะนั่งทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นเหมือนเวลาทำงานปกติ
ครุ่นคิดอยู่นานเป็นชั่วโมง ปิ๊งงงงงง!! อ๊ะ
ได้การล่ะ
ฉันคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว!
ฉันจำได้ว่าตามห้างสรรพสินค้าหลาย ๆ แห่งจะมีการกันที่จอดรถไว้เป็นพิเศษให้กับผู้ถือบัตรต่าง ๆ ฉันเคยใช้บริการที่จอดรถอภิสิทธิ์สำหรับผู้ถือบัตร Citi Bank Visa ครั้งหนึ่ง วันนั้นที่จอดรถในห้างเต็มเหลือที่จอดรถพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรฉันจึงได้ใช้บริการ สัปดาห์ถัดจากนั้นฉันก็ไปห้างเดิมอีกแต่ครั้งนี้ไม่อยากใช้อภิสิทธิ์บัตรจนน้องแซนดี้ถาม ทำไมวันนี้คุณแม่ไม่จอดรถตรงที่จอด VIP เหมือนครั้งที่แล้วล่ะ?
ฉันอธิบายพร้อมกับสอนน้องแซนดี้ที่นั่งอยู่ในรถกับฉันด้วยว่า สาเหตุที่คุณแม่ไม่จอดรถในที่ที่เขากันไว้เป็นพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เพราะว่าวันนั้นที่จอดรถเต็มเราไม่มีทางเลือก แต่วันนี้มีที่จอดรถให้เลือกมากมายเนื่องจากเรามาแต่เช้า คุณแม่ก็เลยอยากเก็บที่จอดรถพิเศษนี้ให้กับผู้ที่มาทีหลังและหาที่จอดไม่ได้ เขาจะได้ใช้สิทธิ์จากการที่เขาถือบัตรได้อย่างไรล่ะ
วันนี้ถ้าคุณแม่ใช้สิทธิ์นั้นไปแล้วและต่อมาที่จอดเต็ม คนที่มาที่หลังถึงแม้จะถือบัตรก็จะไม่มีที่จอด เป็นการตัดสิทธิ์ของเขาที่เราไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถ้าเราไม่ใช้สิทธิ์และคนมาทีหลังได้ใช้สิทธิ์นั้น หนูรู้ไหมว่าเขาจะมีความรู้สึกดีใจสักเพียงใด ความรู้สึกของเขาก็จะเหมือนกับที่คุณแม่รู้สึกในวันนั้น จำไว้นะหนูว่าจะทำอะไรให้คิดถึงผู้อื่นด้วยเสมอ
น้องแซนดี้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแสดงความเข้าใจและดีใจที่ได้เรียนรู้วิธีคิดจากฉันในวันนี้ ฉันก็หวังว่าลูกจะจดจำในสิ่งที่ฉันสอนและแนะนำ เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในทุก ๆ เรื่องต่อไป
อ้าว
ออกนอกเรื่องมาซะไกล
ไปถึงไหนแล้วล่ะ อ้อ
ถึงเรื่องปิ๊งไอเดียเกี่ยวกับที่จอดรถอภิสิทธิ์สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตนะเอง
ฉันกำลังถือบัตร รูดปื๊ด
รูดปื๊ด ของธนาคารแห่งนี้อยู่ และทางธนาคารก็น่าจะมอบสิทธิพิเศษบางอย่างให้กับลูกค้าเช่นฉันบ้างก็ได้
ว่าแล้วฉันก็หมุนเบอร์โทร 02 7777777 (จำง่ายดีไหม เบอร์นี้อ่ะ? ขอค่าโฆษณาด้วยนะ
ฮา) พอพนักงานรับสายฉันก็พูดว่า สวัสดีค่ะ
ดิฉันเป็นลูกค้าถือบัตรเครดิตอยู่ค่ะ อยากจะสอบถามว่าปกติบัตรเครดิตต่าง ๆ จะกันที่จอดรถพิเศษให้ลูกค้าตามอาคารห้างร้านต่าง ๆ ไม่ทราบว่า บัตร รูดปื๊ด
รูดปื๊ด ของคุณมีให้บริการเช่นเดียวกันด้วยหรือไม่คะ?
พนักงานให้ฉันรอสายสักครู่แล้วกลับมาพร้อมคำตอบว่า ขณะนี้ทางธนาคารยังไม่มีบริการดังกล่าวตามห้างร้านต่าง ๆ แต่เราจะมีที่จอดรถพิเศษฟรีจนถึง 18.00 น. สำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร ที่มาจอดรถตามอาคารสาขาต่าง ๆ ของธนาคารค่ะ
ฉันแอบคิดในใจว่า WoW! เริ่ด แต่เก็บอาการดีใจไม่ให้ออกนอกหน้าแล้วถามต่อว่า แล้วดิฉันต้องติดต่ออะไรกับใครหรือต้องไปแสตมป์บัตรในธนาคารพร้อมแสดงบัตรหรือไม่คะ พนักงานตอบว่า ไม่ต้องค่ะ..เพียงแค่แสดงบัตรเครดิตพร้อมบัตรจอดรถก็ได้แล้วค่ะ
อีกครั้งที่ฉันแอบคิดในใจแบบตื่นเต้นว่า WoW! แจ่ม แล้วพูดว่า ขอบคุณค่ะ นี่ถ้าฉันฉลาดแบบนี้มาตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเสียค่าโง่เป็นค่าจอดถึง 80 บาทไปเมื่อวานนี้ 80 บาทสำหรับคนตกงานอย่างฉันสามารถซื้อข้าวราดแกงต่อชีวิตได้ถึง 4 จานทีเดียวนะ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปจะใช้จะจ่ายอะไรต้องคิดทุกบาททุกสตางค์ เหมือนที่ภาษาฝรั่งเขาพูดว่า Every Cent counts ถ้าแปลเป็นไทยก็คงจะคล้าย ๆ กับสุภาษิตของเราที่ว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาทนั่นแหละ
เอ้า
เขียนต่อให้จบเพื่อให้เห็นภาพกันชัด ๆ ก็แล้วกันว่า
มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
วันนี้ฉันก็มานั่งทำงานใน Canteen เหมือนเมื่อวานจนได้เวลาปิดจึงไปออกกำลังกายเหมือนเดิม คราวนี้ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องค่าจอดรถแล้วเพราะสามารถใช้บัตร รูดปื๊ด
รูดปื๊ด พอยื่นบัตรให้กับยามตรงป้อมยามเขาดูบัตรแล้วพยักหน้าและส่งบัตรคืน เขากล่าวคำ ขอบคุณครับ พร้อมส่งสัญญาณว่าไป (ฟรี) ได้ ขอบคุณค่ะ ฉันกล่าวตอบแล้วก็บึ่งรถออกไป
ว๊าว
รู้สึกดีกับความเป็นอภิสิทธิ์ชนในครั้งนี้ยังไงไม่รู้แฮะ ขอบคุณเจ้าของบัตรรูดปื๊ด
รูดปื๊ดที่มอบสิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้า (ในยามยาก) อย่างฉันด้วยนะ
วันต่อมาฉันก็เข้ามาจอดรถและทำงานส่วนตัวของฉันเป็นปกติ วันนี้นั่งอยู่ที่นี่นานกว่าเมื่อวาน เพราะฉันอยู่จน Canteen ปิดไฟไล่ตอน 4 โมง จากนั้นก็เข้าห้องน้ำแปลงกาย ใส่กางเกงสามส่วนสวมถุงเท้าและรองเท้ารัดส้นสบาย ๆ ไว้เตรียมเดิน ส่วนเสื้อไม่กล้าใส่สายเดี่ยวแบบวันก่อนเพราะกลัวสาวน้อยขี่จักรยานคนนั้น จะเหลียวหลังหันมามองแล้วมองอีกแบบเมื่อวันนั้น (แต่ถ้าเป็นหนุ่ม ๆ หันมามองก็อาจจะอยากใส่อีก
ฮา)
ตอนขับรถออกจากอาคารและให้บัตรจอดรถพร้อมแสดงบัตร รูดปื๊ด
รูดปื๊ด ยามก็คืนบัตรเครดิตให้และส่งสัญญาณให้ขับออกไปได้เหมือนเมื่อวาน
พอขับมาถึงทางออกกำลังเตรียมจะเลี้ยวออกถนนใหญ่ ยามคนนั้นวิ่งกระหืดกระหอบมาเคาะกระจกรถแล้วพูดว่า คุณผู้หญิงยังไม่ได้แสตมป์บัตรจอดรถครับ อ้าว
ต้องแสตมป์ด้วยเหรอ
แล้วทำไมเมื่อวานไม่ต้องล่ะ?
ยามทำท่างง ๆ ฉันจึงพูดต่อว่า เมื่อวานไม่เห็นมีปัญหาอะไรและตอนโทรถามเจ้าหน้าที่เขาก็บอกแค่ยื่นบัตรก็ผ่านได้แล้ว ตกลงจะเอายังไงกันแน่ล่ะเนี่ย?
ฉันเริ่มเสียงแข็งและปฏิเสธเมื่อยามบอกให้ฉันถอยหลังไปจอดแล้วไปแสตมป์บัตรก่อน ผมไม่ทราบหรอกครับแต่ถ้าคุณพี่ไม่แสตมป์ผมต้องรับผิดชอบตายเลย และดูซิเนี่ยคุณพี่เข้ามาตั้งแต่แปดโมงกว่า
ฉันบอก ฉันต้องรีบไปทำธุระคุณช่วยไปถามหัวหน้าดูว่าต้องทำอย่างไร เขากวักมือเรียกยามอีกคนหนึ่งซึ่งพอวิ่งมาถึงเขาก็บอกว่า ที่จริงคุณพี่ต้องยื่นบัตร รูดปื๊ด
รูดปื๊ด นี้ตั้งแต่ตอนเข้ามานะครับ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมอบบัตร VIP ให้ซึ่งสามารถจอดได้ฟรีโดยไม่ต้องแสตมป์ ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณพี่ช่วยเขียนเบอร์บัตรและขอเบอร์โทรด้วยได้ไหมครับ
ขอเขียนชื่อและเบอร์มือถือให้ก็พอและถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้เจ้าหน้าที่โทรติดต่อก็แล้วกัน ว่าแล้วฉันก็เขียนชื่อพร้อมเบอร์โทรบนบัตรจอดรถส่งให้ยามแล้วก็ขับรถออกไป
เฮ้อ
แล้วก็ไม่บอกกันตั้งแต่แรก ปล่อยให้ค่อย ๆ ฉลาดวันละเรื่อง ๆ แต่ก็ยังดีที่ไม่โง่ไปตลอดซะทุกเรื่อง!!
วันนี้ไปถึงสวนสาธารณะ 5 โมงพอดี...
ช่วงที่กำลังเดินมีแสงแดดอ่อน ๆ สาดมาที่ใบหน้าด้วยทำให้รู้สึกชื่นใจดีจัง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาแสงแดดไม่ค่อยจะมีโอกาสได้แทะเล็มเนื้อตัวของฉันเลย
วันที่ 3 ทำให้ฉันเริ่มคุ้นกับการเดินออกกำลังกาย วันนี้รู้สึกตัวเองเก่งขึ้นเพราะสามารถเดินได้เร็วขึ้นรวดเดียว 2 รอบแบบ non-stop ท่าทางกระฉับกระเฉงกว่าวันที่เดินในชุดสูทและกระโปรงกับรองเท้าแตะ ทำให้สามารถเดินได้เร็วจนเหนื่อยและเหงื่อออก เดินได้ประมาณรอบครึ่งรู้สึกหอบจึงนั่งพักและคิดเรื่อยเปื่อย
ระหว่างนั่งพักมีลมโชยมาเบา ๆ ทำให้ได้กลิ่นเหงื่อของตัวเองพร้อม ๆ กับความรู้สึกเย็นสบาย นั่งมองดูผู้คนที่เริ่มทยอยเข้ามาในสวนสาธารณะเพิ่มมากขึ้น สังเกตได้ว่าผู้คนจะเริ่มเข้ามาวิ่งออกกำลังกันมากในช่วงหลัง 5 โมงเย็น ส่วนใหญ่จะเป็นคนในวัยทำงานมีทั้งชายและหญิง แต่จะเป็นชายซะมากกว่าและมีผู้สูงอายุบ้างประปราย ถ้าเป็นวันหยุดในช่วงเช้า ๆ จะมีผู้สูงอายุซะมากและมีผู้หญิงไม่น้อยกว่าชาย
ตอนเย็นส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ชายเสีย 80-90% นอกนั้นเป็นผู้หญิงบ้าง มากันเป็นครอบครัวบ้าง เป็นฝรั่งนักท่องเที่ยวและเป็นคนที่น่าจะทำงานในเมืองไทยบ้าง
ช่วงที่กำลังนั่งเหม่อสังเกตุพฤติกรรมผู้คนก็มีหญิงวัยกลางคนเดินผ่านพร้อมกับพูดว่า ดูหมอไหมคะ? และเดินต่อไปเรื่อย ๆ
มองดูผู้คนไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตามเรื่องจนได้เวลาเคารพธงชาติช่วงเย็น 18.00 น. ภาพที่เห็นเป็นภาพที่น่าประทับใจและน่าภาคภูมิใจในความเป็นเอกราชของชาติไทย ผู้ที่กำลังวิ่งหรือเดินก็จะหยุดยืนตรง ผู้ที่กำลังนั่งก็จะลุกขึ้นยืนเหมือนตัวฉัน หลังเพลงชาติจบก่อนที่แต่ละคนจะทำกิจกรรมต่อก็จะโค้งคำนับกันก่อน เป็นภาพที่น่าประทับใจและน่าภาคภูมิใจมากจริง ๆ ใช่ไหม?
ฉันไม่ได้ทำกิจกรรมนั่งเหม่อต่อเพราะได้เวลาเดินทางกลับบ้านแล้ว พอเพลงชาติจบจึงเดินต่อเพราะกว่าจะถึงที่จอดรถก็ต้องเดินอีกครึ่งรอบ ในระหว่างที่เดินก็เห็นหญิงวัยกลางคนที่เป็นหมอดูคนนั้นนั่งอยู่คนเดียว ฉันเดินเข้าไปถามว่า ดูหมอแบบไหนและคิดอย่างไรคะ?
เธอรีบตอบว่าดูทั้งแบบวันเดือนปีเกิดและไพ่ยิบซี ค่าดูอย่างใดอย่างหนึ่ง 59 บาทถ้าดูควบ 2 อย่างคิด 99 บาท ฉันทำท่าลังเลและพูดว่า อืมมม
ไม่ได้เอาตังค์ติดตัวมา หมอดูรีบตอบ ไม่เป็นไร๊
ดูเสร็จก่อนแล้วค่อยเดินไปเอาตังค์ที่รถก็ได้
ฉันคิดในใจ
โห
ท่าทางจะแม่น (ว่ะ)
รู้ได้ไงอ่ะว่าขับรถมาและมีตังค์ในรถด้วย! ว่าแล้วฉันก็นั่งลงข้าง ๆ หล่อนแล้วพูดว่า เอาอย่างงั้นก็ได้ เธอถามต่อว่า จะดูทั้งสองแบบเลยหรือยังไงคะ? ดูแบบเดียวก็แล้วกัน ฉันว่า
ท่านผู้อ่านลองทายซิว่าฉันเลือกแบบไหน? ถูกต้องนะคร๊าบบบบบ
พอได้วันเดือนปีเกิดไปแล้วคุณหมอดูก็หยิบกระดาษที่ดูเหมือนแบบฟอร์มขึ้นมา แล้วก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาขีด ๆ เขียน ๆ ลากเส้นโยงไปมา สักอึดใจใหญ่ ๆ จึงเงยหน้าขึ้นแล้วทำนายทายทักเป็นฉาก ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง
คำทำนายทายทักของเธอทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเพราะอย่างน้อยที่สุด ทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันในสองปีนี้ดีหมดยกเว้นปี 2553 ที่ดวงจะสะดุดเล็กน้อย เรื่องที่ถูกใจมากที่สุดก็คือเธอบอกว่าตอนนี้ดวงมีโชคให้ซื้อหวยแทงล็อตเตอรี่ได้เลย แต่คำทำนายที่ทำให้สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดมีเครื่องหมายคำถามทันทีก็คือตอนที่เธอบอกว่า การงานของคุณราบรื่นและจะได้รับการโปรโมท
แป่วววววววว!! ฉันเพิ่งตกงานมาได้ 3 วันดันมาทำนายแบบนี้ก็หมดกันละซิ
ว๊า
ปัทธ่อ!
เธอหัวเราะตอนฉันเฉลยความจริง เห็นว่าแม่หมอดูเป็นคนตรง ๆ ซื่อ ๆ อารมณ์ดีฉันก็เลยต่อด้วยการดูไพ่ยิบซี เธอแถมเซียมซีให้เสี่ยงทายด้วยนะ ฉันหยิบได้ใบที่สิบห้าฟังเธออ่านไปหน้าก็บานไป เพราะดูเหมือนดีทุกอย่างแต่เสียอยู่อย่างที่ดันมาตกงาน
ฮา
ดูได้ประมาณครึ่งชั่วโมงฉันก็ชวนเธอเดินไปที่รถด้วยกันเพื่อไปเอาตังค์ ระยะทางที่เดินประมาณเกือบ 1 กิโลเมตรกว่าจะถึงที่จอดรถ ในระหว่างนั้นฉันก็สัมภาษณ์เธอไปเรื่อย ๆ
แม่หมอดูบอกว่าตอนนี้เธออายุ 42 ปีแล้วยังเป็นโสด เร็ว ๆ นี้เธอติดต่อบริษัทจัดหาคู่โดยจ่ายค่าดำเนินการไปแล้ว 2,000 บาท เธอบอกว่า spec. ของเธอคือต้องเป็นฝรั่งวัย 29-30 อะไรน๊า
29-30! ฉันร้องถามเสียงหลง
เธอหัวร่ออารมณ์ดีบอกว่า ชอบหนุ่ม ๆ มันทำงานเก่งดี ฉันก็ไม่ได้ถามต่อว่าคิดจะใช้เขาทำงานอะไรหรือถึงต้องการคนทำงานเก่ง สงสัยคิดจะเอาเปรียบฝรั่งโดยเอามาใช้ทำงานบ้านละซิเนี่ย? ฉันคิดในใจ
ฉันบอกเธอว่าผู้หญิงควรจะได้ผู้ชายที่อายุมากกว่าสัก 5-10 ปีน่าจะดี เพราะผู้หญิงแก่เร็วกว่าชายยิ่งถ้ามากกว่าถึง 20 ปีก็ยิ่งดีเราจะได้ดูเด็กในสายตาเขา
ฮา
แต่เธอก็ยืนยันว่าเธอชอบหนุ่ม ๆ มากกว่า ฉันอดที่จะสอดรู้สอดเห็นไม่ได้จึงถามเธอต่อว่า ว่าแต่ทำไมถึงตั้ง spec. ว่าต้องเป็นฝรั่งล่ะทำไมไม่ชอบหนุ่มไทยหรือ? เธอบอก ที่อยากได้ฝรั่งเพราะเผื่อว่าจะได้นำวิชาหมอดูไปเป็นอาชีพหากินในเมืองฝรั่งรายได้ดีไง แล้วนี่เคยดูหมอให้ฝรั่งบ้างไหม? ฉันถาม
เธอตอบว่า ก็มีบ้างแต่ไม่มาก..ถ้าดูให้ฝรั่งก็จะคิด 300 บ้าง 500 บ้างแล้วแต่กรณี ฉันถามต่อ อย่างนี้ก็คงจะเก่งภาษาอังกฤษล่ะซิ คำตอบของเธอทำให้ฉันเกือบหงายหลัง
พอ Speak ได้เพราะเรียนจบ AUA 15 Courses เธอพูดอย่างภาคภูมิใจ โห
แล้วเรียนจบอะไรมาล่ะเนี่ย? ฉันยิงคำถามต่อ เรียนจบแค่ ปวช. ดูหมอมา 12 ปีในสวนสาธารณะแห่งนี้ตั้งแต่เที่ยงวันถึง 1 ทุ่ม
เธอเล่าต่ออย่างสนุกสนานอารมณ์ดีว่า ตั้งแต่จ่ายค่าหาคู่ไป 2,000 บาทมา 6 เดือนแล้วยังไม่มีใครติดต่อมาเลย แต่คนอื่นส่วนใหญ่จะได้คู่กันไปเยอะแล้ว
เธอพูดจบฉันจึงโพล่งออกไปแบบไม่เกรงใจว่า ก็คุณอายุตั้ง 42 แล้วดันไปกำหนด spec. ผู้ชายอายุ 29-30 แบบนี้ คงไม่มีใครอยากได้ผู้หญิงที่อายุมากกว่าขนาดนี้หรอก
ที่จริงฉันหลีกเลี่ยงคำว่า สาวแก่ กับเธอ ไม่ได้กลัวว่าเธอจะไม่ชอบใจหรอกแต่เกรงใจตัวเองมากกว่า เพราะถ้าใช้คำนั้นก็จะโดนตัวเองตรง ๆ แบบหลบไม่ทันเลยล่ะ
ฮา
แล้วฉันก็คุยต่อว่า นี่ถ้าคุณกำหนด spec. ผู้ชายอายุ 50-70 ปีละก็ ป่านนี้คุณมีคนมาให้เลือกจนต้องกลุ้มใจแน่ ๆ เพราะอาจจะเลือกไม่ถูกเนื่องจากมีแต่ดี ๆ เข้ามาตรึม!
เธอยังเล่าต่อว่า ใคร ๆ ก็บอกว่าหนูเป็นโรคประสาท! อ้าว
ไหงเป็นงั้นไปได้ล่ะ ฉันถามเสียงหลงอีกรอบ จริง ๆ นะ
ตอนนี้กำลังกินยารักษาอยู่
หาเงินได้เท่าไรก็เสียค่ายาหมด ฉันปลอบใจเธอว่า อย่าไปฟังคนอื่นเลยเพราะไม่เห็นว่าคุณมีอาการผิดปกติอย่างที่ว่า แถมยังพูดจาฉะฉานและคุยสนุกสนานออกอย่างนี้ ถ้าคุณเป็นโรคประสาทคนอื่นรวมทั้งฉันก็ประสาทกันไปหมดแล้ว!
ฉันหมายความเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะกว่าครึ่งชั่วโมงที่ได้คุยกับแม่หมอดูคนนี้ เธอเรียกเสียงหัวเราะร่าของฉันได้ตลอดเวลา
เม้าท์กันยังไม่ทันหายมันส์ก็เดินไปถึงรถที่จอดอยู่เธอบอกว่า โอ้ว
รถคันใหญ่และสวยจัง ฉันตอบขอบคุณพร้อมกับพูดว่า แต่เป็นรถเก่าแล้วล่ะ ตอบเสร็จแอบคิดในใจว่า อาจจะต้องเอาไปขายกินกันตาย เร็ว ๆ นี้ คิดเสร็จก็หันไปถามเธออีกทีว่า ตกลงค่าดูหมอเท่าไรนะ เธอบอก หนึ่งร้อย อ้าว
ตอนแรกบอก 99 บาทไม่ใช่หรือ อีก 1 บาทเป็นค่าติ๊บไง อิ อิ
เธอพูดพร้อมเสียงหัวเราะ
ฉันยื่นแบ๊งค์ 50 ใหม่เอี่ยม 2 ใบให้เธอพร้อมกับพูดว่า เอ้า
นี่ร้อยนึงเป็นค่าดูหมอไม่ต้องทอน
และนี่ 20 บาทเป็นค่าติ๊บ
ขอบคุณมากนะ
ขอบคุณค่ะ เธอยื่นมือมารับพร้อมยกมือไหว้และเดินจากไป
. สรุปแล้ววันนี้เสียตังค์ไปทั้งหมด 140 บาท (อีก 20 บาทเป็นค่าข้าวราดแกงตอนกลางวันงั๊ย!)
อืมมม
. วันนี้ฉันรู้สึกมีความสุขและอารมณ์ดีเป็นพิเศษกว่าหลาย ๆ วันที่ผ่านมา สงสัยจะเป็นเพราะการได้พูดคุยกับแม่หมอดูที่ซื่อและอารมณ์ดีตรงไปตรงมา ทำให้สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างวิเศษ
ฉันไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานเป็นเดือนแล้ว!!
Create Date : 29 พฤศจิกายน 2551 |
|
5 comments |
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2551 18:53:24 น. |
Counter : 1236 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ่่jeab.pari (Jeab_Soda55 ) 29 พฤศจิกายน 2551 20:57:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: = คิดผ่านสมอง ทำด้วยหัวใจ = IP: 58.64.51.209 30 พฤศจิกายน 2551 20:46:54 น. |
|
|
|
| |
|
|
ผมว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีของวลีที่ว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" แม้ว่าจะตกงาน แต่ก็ยังสามารถมองโลกในแง่บวกและสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข
ขอบคุณสำหรับไดอารี่ที่พิมพ์ให้อ่านนะครับ อ่านแล้วเพลินและได้เห็นแง่มุมที่แตกต่าง ทำให้ผมต้องคิดเผื่อตัวเองเหมือนกันว่า วันหนึ่งข้างหน้า หากผมตกงาน ผมจะทำอะไร คงต้องเตรียมตัว เตรียมใจไว้บ้าง...