Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
สายลมที่เปลี่ยนทิศทาง

เราได้ไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ สายลมที่เปลี่ยนทิศทาง แต่ต้องขอโทษด้วยคะ ที่จำชื่อคนแต่งไม่ได้ เพราะว่า ให้แม่ยืมไปอ่านต่อคะ ชื่อตัวละครก็จำไม่ได้นะคะ แต่อ่านแล้วประทับใจมากเลยคะ ก็เลยจะมาเล่าเรื่องย่อให้เพื่อนฟังบ้าง

เนื้อเรื่องเป็นช่วงสมัยที่เรียกว่า สมัยปฎิวัติทางวัฒนธรรมของประเทศจีนคะ นางเอกเป็นบุตรสาวของคหบดีผู้หนึ่ง แม่ของเธอคือ ภรรยาหลวงของบ้าน พ่อของเธอเป็นคนที่มีภรรยาหลายคน แต่เธอมีพี่ชายที่เกิดจากมารดาเดียวกัน เพียงคนเดียว

พี่ชายของเธอ ถูกส่งไปเรียนยังต่างประเทศ พร้อมๆ กับบุตรชายของเพื่อนพ่อของเธอ ซึ่งก็คือ คู่หมั้นของเธอ

เธอได้รับการสอนสั่งแบบกุลสตรีผู้สูงศักดิ์ตามขนบธรรมเนียบและประเพณ๊ของจีนทุกประการ ต้องรัดเท้าให้เล็กที่สุด (การรัดเท้าให้เล็ก ยิ่งเล็กเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแสดงว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้ที่มีเกียรติมากเท่านั้น เพราะงั้นคนจีนสมัยก่อนจึงพยายามจะรัดเท้าของลูกสาวให้เล็กที่สุด ผู้ที่มีเท้าเล็กจะได้ค่าสินสอดทองหมั้นที่แพงมาก ยิ่งเล็กก็จะยิ่งแพง)

แล้ววันหนึ่ง พี่ชายที่อยู่แดนไกลได้ส่งจดหมายมาถึงแม่ของเธอ ในข้อความนั้นได้บอกเล่าว่า พี่ชายของเธอนั้น กำลังจะกลับมาบ้าน แต่เขาได้ตัดผมเปีย ทำผมแบบฝรั่ง มิหน่ำซ้ำยังได้แต่งงานโดยไม่ได้บอกกล่าว มีภรรยาและลูกด้วยกันแล้ว

แม่และเธอรู้สึกว่า พี่ชายของเธอ ได้ทำเรื่องใหญ่และเสื่อมเสียอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งยังผิดต่อบรรพบุรุษอย่างมากมาย แม่ของเธอเฝ้าพร่ำรำพันว่า เธอทำผิดมากมาย ที่ไม่อาจสั่งสอนลูกหลานให้ได้ดี แต่แน่นอน แม่ของเธอไม่ยอมรับเรื่องนี้ จนถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ

เธอได้นำความนี้ ไปแจ้งแก่บิดา ซึ่งอยู่อีกส่วนหนึ่งของบ้าน (ผู้ชายและผู้หญิงจะอยู่แยกส่วนกันในบ้านของผู้ที่เป็นคหบดี) ตอนที่เธอไปหาผู้เป็นบิดาเป็นเวลากลางคืน ในคืนนั้นมีการจัดงานเลี้ยง พ่อของเธอกำลังนั่งดื่มสุรากับชายหลายคน และข้างบิดาของเธอ คือ ภรรยาน้อยคนหนึ่ง เธอมีใบหน้าที่งดงามและยิ้มแย้ม ปากของเธอทาด้วยสีแดงเป็นที่โดดเด่นยิ่งนัก

เมื่อบิดาของเธอ ได้ทราบความเรื่องพี่ชาย เขากลับหัวเราะ แล้วพลางพูดว่า ข้าอยากเห็นสะใภ้ฝรั่งเสียจริงๆ ว่าจะสวยงามเลิศสักเพียงใด

โอ้...ทำไมบิดาของเธอถึงได้เห็นเรื่องน่าอาย เป็นสิ่งที่น่าดีใจเฉกเช่นนี้ เธอเองได้แต่พลางครุ่นคิดแบบนั้น แต่ที่แน่ๆ สีแดงจากรอยยิ้มของภรรยาน้อยผู้นั้น ยังติดตาเธออย่างไม่ลืมเลือน

ต่อมาไม่นาน เธอได้รับการแจ้งข่าว ถึงการเข้าพบคู่หมั้นเป็นครั้งแรก (การหมั้นของคนจีนสมัยก่อน จะหมั้นกันตั้งแต่เกิด บ้างก็จับจองกันตั้งแต่ยังไม่เกิด) เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก คู่หมั้นของเธอ ก็ไปเรียนประเทศเดียวกันกับพี่ชายของเธอ คู่หมั้นของเธอได้เรียนหมอ และกลับมาทำความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่

ในงานพิธีวันนั้น เธอได้แต่งกายแบบเต็มยศตามแบบหญิงสาวผู้ดีจักพึงแต่งกัน เธอมั่นใจในความงามของตัวเองมาก เธอสวมใส่กำไลหยก ตรวจดูเท้าอันภาคภูมิใจของเธอ ใส่สร้อยคอมุก ผ้าไหมปักดิ้นทองอย่างดี

แต่เมื่อพบกับคู่หมั้น เธอได้แค่ชำเลืองเปลือกตาขึ้นมองหน้าคู่หมั้นเพียงเล็กน้อย (ตามมารยาทผู้หญิงจะจ้องมองผู้ชายแบบตรงๆ ไม่ได้) แต่เธอกลับต้องพบกับความผิดหวัง คู่หมั้นไม่เหลียวแลเธอเลย ทั้งๆ ที่พ่อแม่ของคู่หมั้นของเธอกลับกล่าวชมความงามและการเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วของเธอไม่ขาดปาก

ในวันนั้น เธอได้กลับไปหามารดาของเธอ ซึ่งนอนล้มป่วยอยู่ แม่ของเธอกลับตำหนิเธอว่า เธออาจจะทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องระหว่างการพบกัน ให้เธอลองกลับไปทำใหม่ แม้ว่าเธอจะแย้งว่าเธอได้ทำทุกอย่างตามที่มารดาได้สอนสั่งแล้วก็ตาม

ในที่สุด เธอและคู่หมั้นก็ได้แต่งงานกัน ในคืนวันแต่งงานนั้น สามีของเธอไม่แม้แต่มองหน้าของเธอ และแยกออกไปนอนต่างหากอีกห้องหนึ่ง

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...ความภาคภูมิใจในการเป็นกุลสตรีที่เธอได้ถูกสอนสั่ง กำลังพังทลายลงต่อหน้าของเธอ

ในวันรุ่งขึ้น หลังจากวันแต่งงาน เธอได้กลับมาบ้าน (ธรรมเนียมจีน วันรุ่งขึ้นหลังจากแต่งงานแล้ว เจ้าสาวต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน 1 มื้อ) เธอได้ผ่านไปทางเดินที่ในวัยเยาว์ ที่ๆ เธอได้เติบโตมา ผ่านห้องครัว ผ่านกลิ่นคุ้นเคยที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านไปแค่ 1 วัน แต่มันกลับทำให้เธอคิดถึงมากมาย บัดนี้ เธอไม่ใช่เด็กหญิงคนเดิมที่เคยอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว เธอได้มายืน ณ.ที่แห่งนี้ในตำแหน่งใหม่

ในขณะที่ทานอาหาร เธอสังเกตว่า แม่ของเธอผอมลงไปมาก แหวนที่เคยสวมใส่ติดข้อนิ้วประจำ กลับหลวมจนแทบจะหลุดร่วงออกจากาปลายนิ้วของแม่เธอได้เลย หญิงรับใช้เก่าแก่ของแม่เธอ ได้แอบกระซิบกับเธอว่า พี่ชายของเธอจะขอกลับมาอยู่บ้าน และจะนำภรรยาฝรั่งของเขามาอยู่ด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่แม่ของเธอถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่กำลังล้มป่วยอยู่

ภายหลัง การรับประทานอาหาร แม่ของเธอได้เรียกเธอไปถาม ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอและสามี เธอได้สารภาพเรื่องที่สามีของเธอนั้น ไม่...แม้แต่ใบหน้าของเธอ ทั้งๆ ที่เธอได้ทำตามคำแนะนำของแม่เธอทุกประการ แม่ของเธอได้กล่าวว่า ให้ลองทำทุกอย่างดูอีกหนหนึ่ง และถ้าหากไม่ได้ผล เจ้าจงทำตามที่สามีของเจ้าปรารถนาก็แล้วกัน...

หลังจากกลับมาจากบ้านเดิม ในคืนนั้น เธอได้ทำตามที่แม่เธอให้คำแนะนำทุกประการ สามีของเธอนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าเธออยู่นาน ก่อนที่จะเอ่ยขอดูเท้าของเธอ ในหนแรกเธอค่อนข้างตกใจ ที่จู่ๆ สามีก็จะขอดูเท้าของเธอ เธอนำเท้าที่สวมใส่รองเท้าสวยงามให้สามีดู แต่จู่ๆ สามีของเธอก็ถามขึ้นมาว่า ฉันขอดูเท้าของเธอได้ไหม? อ่า...ช่างเป็นสิ่งน่าอายจริงๆ ที่จะถอดรองเท้าต่อหน้าสามี

แต่ถ้าเธอไม่ต้องการ ฉันก็จะไม่ฝืนใจเธอหรอกนะ...สามีกล่าวพร้อมกับหันหลังเตรียมกลับไปอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเขาใช้นอนในวันแต่งงาน

ในที่สุด เธอก็ยอมให้สามีของเธอได้ดูเท้า สามีของเธอก้มลงถอดรองเท้าของเธอออก พร้อมกล่าวว่า "เธอคงทนทุกข์ทรมานมานานแล้วสินะ น่าสงสารจริงๆ"

มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมสามีของเธอกลับกล่าวเช่นนี้? เท้าอันเป็นที่ภาคภูมิใจของเธอ บัดนี้ความภาคภูมิใจของเธอกำลังถูกทลายอย่างไม่มีชิ้นดีต่อหน้าต่อตาของเธอ

สามีของเธอได้นำชามใบใหญ่ใส่น้ำอุ่น มาแช่เท้าของเธอ เขาดูเหมือนจะสนใจเท้าของเธอมาก สามีของเธอก็ได้ร้องขอต่อเธอว่า "ฉันไม่ต้องการให้เธอสวมใส่รองเท้าเล็กๆ แบบนี้ต่อไปแล้ว ต่อไปนี้เธอจะต้องไม่มัดเท้าอีกต่อไป"

อะไรกัน...สามีของเธอกำลังบอกให้เธอเลิกมัดเท้าอันเป็นสิ่งเดียวที่เชิดชูหน้าตาของเธอเสีย เขาต้องการให้ฉันมีเท้าใหญ่แบบพวกยักษ์(ชาวต่างชาติ) เหล่านั้นอย่างงั้นเหรอเนี่ย ?

แต่ในที่สุด เธอก็ยินยอมทำตามที่สามีของเธอได้ร้องขอ ทุกๆ คืนสามีของเธอจะกลับจากการไปรักษาคนไข้ เขามักจะนำเรื่องแปลกใหม่มาเล่าให้เธอฟังทุกๆ คืน จนความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอแนบแน่นกัน

เธอกำลังจะมีลูกคนแรก วันนี้เธอเย็บเสื้อผ้าเด็กสีสรร สดใสไว้หลายตัว และกำลังมีความสุขกับการจะได้เป็นแม่คน เย็นวันนั้น หลังจากที่สามีของเธอกลับบ้าน เขายังคงนำเรื่องราวที่แปลกใหม่สำหรับเธอ มาเล่าให้ฟัง และกล่าวก่อนเข้านอนว่า พรุ่งนี้เขาจะพาเธอไปเยี่ยมเพื่อนชาวต่างประเทศของเขา เขาได้เล่าว่า เพื่อนของเขานั้น ก็มีลูกๆ หลายคน และเขาเองก็อยากจะให้เธอได้เห็น

เมื่อเธอได้เดินทางไปถึงหน้าบ้านของเพื่อนชาวต่างชาติของสามี ทันทีที่สามีของเธอได้เคาะประตูบานใหญ่ มียักษ์ผมสีแดงฉาน ออกมาทักทายพร้อมสวมกอดผู้เป็นสามี หลังจากที่สามีของเธอได้แนะนำเธอกับยักษ์ผู้นี้แล้ว ยักษ์ได้เข้ามาสวมกอดของเธอเช่นเดียวกับสามี ซึ่งเธอนั้นตกใจเป็นอันมาก หากแต่สามีของเธอกลับกล่าวว่า มันเป็นธรรมเนียมของฝรั่งเขา เธอจึงนิ่งเฉย...

หลังจากได้คุยกับสักพัก สามีของเธอได้กล่าวกับภรรยาของยักษ์ผู้นั้นอะไรบางอย่าง ทั้งสองพยักหน้ากัน และเธอได้ถูกเชิญให้ไปดูห้องนอนของเด็กๆ ในห้องนั้น ทั้งห้องเป็นสีขาว มีเตียงนอน เรียงรายกันมากมาย ผ้าม่านก็สีขาว เด็กๆ ทุกคนก็สวมใส่เสื้อผ้าสีขาว

ระหว่างทางกลับบ้าน เธออดสงสัยไม่ได้ จึงได้ถามสามีของเธอไปว่า บ้านนั้นมีญาติผู้ใหญ่ท่านใดเสียหรือ? สามีของเธอทำหน้าสงสัยพร้อมกับกล่าวว่า ทำไมเธอจึงคิดเช่นนั้น? "ก็ทุกคนๆ ล้วนแล้วแต่แต่งกายสีขาวและในห้องของเด็กๆ ก็ล้วนแล้วแต่ใช้สีขาวทั้งสิ้น" สามีหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับกล่าวว่า "ไม่มีผู้ใดเสียหรอกนะ แต่การที่เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวให้เด็กๆ เพราะต้องการให้เด็กๆ ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดอยู่ตลอดเวลา"

เธอได้คลอดลูกแล้ว ลูกที่แสนภูมิใจของเธอเป็นเด็กผู้ชาย เมื่อครั้งที่เธอและสามีได้พาลูกชายไปให้คูณปู่คุณย่ารับขวัญ พ่อแม่ของสามีได้แนะนำถึงวิธีการเลี้ยงเด็กและพิธีกรรมต่างๆ นานาให้กับเธอ

หลังจากการกลับจากบ้านพ่อแม่ของสามี เธอเพิ่งจะสังเกตว่า สามีของเธอนั้น นิ่งเงียบมาตลอดทางและดูเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา แล้วจู่ๆ เขาก็พูดกับเธอออกมาว่า "สัญญาได้ไหม? เธอจะไม่ทำตามที่พ่อแม่ของฉันบอกกล่าว เหลวไหลจริงๆ นี้มันหมดสมัยที่เชื่อเรื่องงมงายเหล่านี้แล้ว เธอเป็นภรรยาของฉัน นี่เป็นลูกของเรา เธอจะต้องไม่ทำแบบที่พวกเขาเหล่านั้นบอกเด็ดขาด" เธอได้แต่อึ้งและยอมรับปากเพื่อให้สามีสบายใจ

เธอได้นำลูกชายของเธอ เดินทางกลับไปบ้านเดิม เพื่อให้คุณตาคุณยายรับขวัญ พ่อของเธอ หัวเราะร่วนด้วยเสียงที่ดัง พร้อมกับหยอกล้อกับหลานชายไม่ได้ขาดปาก พ่อของเธอได้เล่าว่า พี่ชายของเธอได้พาแฟนฝรั่งของเขามาอยู่ที่บ้านของเราด้วย พร้อมกับชี้มือไปยังด้านที่อยู่ไกลสุดจากตัวบ้านให้กับเธอได้ดู (บ้านของคหบดีสมัยก่อน จะมีหลังเล็กๆ หลายๆ หลังในกำแพงเดียวกัน)

เธอได้นำลูกชายไปเยี่ยมอาการป่วยของมารดา แม่ของเธอดีใจมาก พร้อมกับยิ้มให้เธอ รอยยิ้มของมารดาเป็นสิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่า มันไม่ได้เปลี่ยน แม่ของเธอบัดนี้จากหญิงผู้มีเนื้อหนังอันอวบอิ่ม บัดนี้ได้กลายเป็นหญิงชราผมขาวและผ่ายผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูก

เธอได้ไปเยี่ยมพี่ชายของเธอ แต่วันนั้นเขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน เธอได้พบกับพี่สะใภ้ของเธอ หญิงผู้นั้นสวมใส่เสื้อผ้าแบบคนจีน มีนัยต์ตาที่เหม่อลอย นั่งเศร้าซึม และ
เมื่อพบเธอครั้งแรก หญิงผู้นั้นถึงกับร่ำไห้ราวกับทำนบหรือเขื่อนที่แตกออก ความเศร้าโศกทั้งหลายได้ถูกระเบิดออกมา

หญิงผู้นั้นได้เล่าว่า เธอไม่เคยมีความสุขเลย นับตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาสู่บ้านหลังนี้ ไม่มีแม้ใครสักคนเดียวที่จะยอมพูดคุยกับเธอ มีแต่เพียงพ่อสามี(พ่อของเธอ) เท่านั้นที่พูดจาเป็นมิตรกับเธอ ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน จะต้องมีสายตาจ้องมองดูเธออยู่ตลอดเวลา หญิงผู้นั้นเฝ้าฟูมฟายราวกับคนไร้สติ และพยายามเหนี่ยวรั้งให้เธออยู่นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

แต่ท้ายที่สุด เธอก็กลับออกจากบ้านเดิม ระหว่างทางเธอได้พบกับศาลเจ้าแห่งหนึ่ง และได้แอบเข้าไปไหว้เจ้าขอพรแก่ลูกชายของเธอ พร้อมกับคำพิธีรับขวัญเด็กทารกตามแบบประเพณี ...เพียงแค่นี้ คุณคงไม่ว่าอะไรหรอกนะ...

ต่อมาไม่นาน พี่ชายของเธอได้หอบภรรยาของเขา ฝ่าฝนมาหาเธอในคืนวันหนึ่ง พี่ชายของเธอเฝ้าพร่ำราวกับคนเสียสติ ในขณะที่ภรรยาของเขาก็เอาแต่ร้องไห้

เขาเฝ้าพร่ำเพ้อว่า "แม้ตายก็จะไม่ขอกลับไปบ้านหลังนั้นอีก ถ้าภรรยาของเขาเป็นอะไร เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย เราไม่น่ากลับมาที่นี่เลย ฉันคิดผิดจริงๆ"

สามีและเธอได้ตัดสินใจให้พี่ชายและภรรยาของเขานอนในห้องนอนเล็ก ซึ่งสามีของเธอเคยใช้นอนในคืนวันแต่งงานนั่นเอง

ต่อมาไม่นาน สามีของเธอได้จัดการธุระให้พี่ชายของเธอและภรรยาของเขากลับไปยังเมืองที่พวกเขาจากมาด้วยกัน นับแต่นั้น เธอก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของพวกเขาอีกเลย

ภายหลังเธอจึงได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคืนวันนั้น พ่อของเธอได้เรียกภรรยาของพี่ชายเธอไปพบ พร้อมกับกล่าวว่า เขาจะให้ลูกชายของเขา แต่งงานกับหญิงผู้เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันแต่เยาว์วัย เขาได้ตามใจลูกชายมามากเพียงพอแล้ว และลูกชายของเขาก็หมดเวลาเล่นสนุกเสียที บัดนี้ เขาถึงเวลาที่จะต้องมาตอบแทนบุญคุณและทำหน้าที่ลูกชายของเขาเสียที และสำหรับเธอ ถ้าอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ แต่เธอต้องอยู่อย่างสงบ เธอมีค่าเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งของลูกชายฉันเท่านั้น หวังว่าเธอคงจะเข้าใจนะ อย่างไรเสีย ฉันก็ยอมรับได้แค่ลูกสะใภ้ที่เป็นชาวจีนเท่านั้น

พี่สะใภ้ของเธอกลับมายังห้องนอนและร้องไห้อย่างมากมาย ก่อนที่จะแขวนคอตายพร้อมกับลูกน้อยในท้องของเธอ หากแต่โชคยังดีที่พี่ชายของเธอกลับมาได้ทันเวลาเสียก่อน พวกเขาจึงหนีออกจากบ้านหลังนั้น แต่พวกเขาไม่มีที่พึงพิงใดๆ จึงได้บากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ

ภายหลังจากที่พี่ชายเดินทางจากไปไม่นาน พ่อของเธอต้องเสียหน้าที่ลูกชายหนีงานแต่ง พ่อของเธอโกรธพี่ชายของเธอเป็นอันมาก ส่วนแม่ของเธอนั้น จากที่สุขภาพไม่แข็งแรง ก็นอนป่วยไม่ยอมพูดจาอะไรกับใคร

ในวันหนึ่ง หญิงรับใช้เก่าแก่ของแม่เธอได้มาหาเธอ หญิงผู้นี้เป็นหญิงรับใช้ติดตัวของแม่เธอมาตั้งแต่ครั้นยังเยาว์ (ลูกคหบดีจะมีหญิงรับใช้ส่วนตัวทุกคน) เธอไม่เคยห่างจากกายของแม่เธอเลย และไม่เคยออกจากบ้านเดิมของเธอแม้แต่ก้าวเดียว จีงเป็นเรื่องประหลาดที่จู่ ๆ ก็เดินทางมาหาเธอเพียงลำพัง

ในคืนนั้น เธอได้คุยกับหญิงรับใช้เก่าแก่เพียงลำพัง หญิงผู้นั้นได้กล่าวว่า แม่ของเธอต้องการพบเธอมาก ท่านนายหญิงไม่ยอมกินข้าวกินปลานับแต่พี่ชายของเธอออกจากบ้านไป เอาแต่ปิดห้องสวดมนต์และนอนเหม่อลอย

เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตัดสินใจขออนุญาตสามีไปเยี่ยมมารดาพร้อมกับหญิงรับใช้เก่าแก่ เมื่อไปถึงเธอพบบิดาของเธอ ท่านเปลี่ยนไปอย่างมากมาย จากที่เป็นคนสนุกสนาน หัวเราะร่า บัดนี้ กลับการเป็นคนเงียบขรึมและกล่าวแต่เพียงว่า "แม่ของเจ้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว เข้าไปพบเขาเสียสิ" ...ก่อนที่จะเดินจากไป

เมื่อเธอเปิดประตูห้องนอนของมารดา ภาพที่เธอเห็นหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยสง่า หญิงผู้ที่แม้แต่บิดายังต้องยำเกรง บัดนี้ กลายเป็นหญิงชราผู้ผ่ายผอม ใบหน้าของเธอขาวซีดจนแทบจะไม่เห็นสีเลือดบนใบหน้า

"เจ้ามาแล้วเหรอ? เข้ามาสิ..." เธอพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แม่ของเธอกล่าวว่า แม่คงเหลือเวลาอีกไม่นาน แม่กำลังจะตาย เพียงเท่านั้น..น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา

หลังจากการเยี่ยมมารดาในหนนั้นไม่นาน แม่ของเธอก็จากไปอย่างสงบ เธอได้กลับไปร่วมงานศพของมารดา ภายหลังจากงานศพ เธอได้พบว่า บรรดาภรรยาน้อยของพ่อเธอ พยายามยื้อแย่งกันขึ้นเป็นใหญ่ภายในบ้าน พวกเธอพยายามจะแย่งกันสวมใส่เสื้อที่สวยงาม (หญิงที่เป็นภรรยาน้อยต้องสวมใส่แต่เสื้อผ้าสีจีดๆ ไม่มีสิทธิ์สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสรร จะใส่ได้แค่ภรรยาหลวงเท่านั้น) และยื้อแย่งเครื่องประดับที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของแม่เธอ

ถัดจากบริเวณนั้นออกไป เธอได้พบกับพ่อของเธอ บัดนี้ เขาได้กลายเป็นชายผู้ชราที่ไร้ซึ่งความสุข ไม่มีเสียงหัวเราะ หรืองานเลี้ยงยามค่ำคืนดั่งวันวาร ชายผู้นี้มีดวงตาที่แดงกร่ำเหมือนกับจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา เธอเดินจากบ้านเดิมกลับมายังบ้าน ที่ๆ สามีและลูกของเธอรอคอยเธออยู่ โดยมีหญิงรับใช้ผู้ชราติดตามเธอกลับไปอยู่ด้วยกัน

หญิงชราให้เหตุผลว่า บ้าน(เดิมของเธอ)ไม่มีนายหญิงอยู่แล้ว บ้านนั้นไม่ใช่บ้านของเธออีกต่อไป ถึงแม้ว่าหญิงชราจะอยู่บ้านหลังนั้นต่อไป เธอก็คิดว่าพ่อของเธอจะยังคงเต็มที่ใจที่จะให้หญิงชราอยู่ต่ออย่างแน่นอน แต่หญิงชรากลับเลือกที่จะมาอยู่กับเธอแทน เพราะเธอคือคนเดียวที่เป็นนายของเขา (หญิงรับใช้ จะถูกซื้อตัวจากพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นการซื้อขาด และหญิงผู้นั้นต้องรับใช้นายไปตลอดชีวิต)

ต่อมาภายหลัง ลูกชายคนเดียวของเธอได้ตายจากไป ด้วยโรคท้องร่วง

บัดนี้ เธอได้เรียนรู้ว่า สายลมที่เปลี่ยนทิศกับชีวิตที่เปลี่ยนไปตามกระแสของสังคมในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเปลี่ยนเสมือนคติเก่าๆ ความคิดเดิมๆ ของคนยุคก่อนกับกระแสสังคมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปฉันใดก็ฉันนั้น



Create Date : 04 มีนาคม 2551
Last Update : 11 มีนาคม 2551 22:20:56 น. 1 comments
Counter : 621 Pageviews.

 
อ่านแล้วเศร้า ๆ ยังไงก็ไม่รู้นะคะ แต่ชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้นะ เราไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ได้แต่เตรียมพร้อมให้ดีที่สุด เพื่อที่ว่าเราจะรับทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจและมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อเราต้องเป็นที่พึ่งของคนอื่น เราต้องอยู่ให้ได้


โดย: cereboss วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:23:48:02 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

วิหคลม
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




เพราะค่อนข้างติดภารกิจมากมาย ทำให้ไม่ค่อยได้มาอัพเดท แต่ก็ดีใจมาก ๆ ที่เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนยังไม่ลืมและแวะเวียนพร้อมเชิญชวนเพื่อนใหม่มาเที่ยวหน้าบล็อคของเราด้วย

หากต้องการให้เราช่วยเหลืออะไร ก็เมล์มาได้นะคะ ที่ leenal99@hotmail.com

และสำหรับเพื่อน ๆ ที่เล่นเฟสบุ๊ค สามารถใช้อีเมล์ของเราในการค้นหาและ add เราได้ทางเฟสบุ๊ค ในนาม Leena Lee

ที่ต้องใช้อีเมล์ในการค้นหา เนื่องจาก มีเพื่อนของเราเคยพยายามค้นหาเรา และปรากฎว่า มีคนใช้ชื่อนี้ค่อนข้างเยอะคะ ถ้าใช้อีเมล์ในการค้นหา ก็จะสามารถ add ได้ถูกตัวคะ

ขอบพระคุณมาก ๆ นะคะ ที่แวะมา ดีใจมากจริง ๆ คะ ^^

Friends' blogs
[Add วิหคลม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.