Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2560
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
5 สิงหาคม 2560
 
All Blogs
 
เที่ยวมาเลย์คนเดียววันสุดท้าย...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด จบ




ใครเพิ่งมาอ่านบล็อคนี้ครั้งแรก
ลองกลับไปอ่านตอนแรก ๆ ก่อนได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้นะคะเพื่อความต่อเนื่อง



เที่ยวมาเลย์คนเดียววันแรก...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด

เที่ยวมาเลย์คนเดียววันแรก...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด ตอนที่ 2

เที่ยวมาเลย์คนเดียววันที่สอง...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด

เที่ยวมาเลย์คนเดียววันที่สอง...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด ตอนที่2

เที่ยวมาเลย์คนเดียววันที่สาม...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด

เที่ยวมาเลย์คนเดียววันสุดท้าย...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด จบ





วันสุดท้ายในมาเลย์
ตื่นมา 7 โมงกว่า อาบน้ำแต่งตัว แพ็คของ ซึ่งใช้เวลาประมาณนึง
กะว่ากระเป๋าจะว่าง เพราะขนมต่าง ๆ ที่หอบมาจากเมืองไทยก็แจกจ่ายไปเกือบหมดแล้ว
อ้อ จริง ๆ คือ เหลืออีก 1 ชุด
เพราะวันเสาร์
มีหนุ่มที่ว่าจะเจอกันวันจันทร์ส่งข้อความมาบอกว่า มาเจอไม่ได้แล้วนะ เพราะป้าเค้าเสีย
เราก็เออ ๆ อืม ๆ ไม่เป็นไร
ทริปนี้ หนุ่มตี๋มาเลชั้น แผนพังหมด
ก่อนมาคิดไว้สวย ๆ เจอหนุ่มวันละคน ให้พาเที่ยวทั้งวัน
ไม่ต้องคิดว่าจะเที่ยวไหน กินอะไร พาไปเลย คุยกันมุ้งมิ้ง
ความจริงมันโหดร้าย ได้เจอหนุ่มคนเดียว แถมได้เจอตอนทุ่มนึง เวงกำ
แต่ในความโชคร้ายนั้น ก็มีความโชคดีตรงที่ได้หนุ่มสิงคโปร์มาเที่ยวด้วยทุกวัน
ยกเว้นวันแรกที่ได้สาวมาเลพาเที่ยว
เหลือเที่ยวจริง ๆ เดี่ยว ๆ แค่ครึ่งวันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง
เพราะหนุ่มสิงคโปร์ต้องกลับตอนบ่ายโมงกว่า

เราก็ต้องแพ็คของกลับ ซึ่งของก็เยอะเหมือนตอนมาเลย
เพราะได้ขนมถุงใหญ่หลายชิ้นจากหนุ่มตี๋มาเล
แล้วก็ของที่เหล่าเพื่อน ๆ ฝากซื้อและซื้อฝากอีกหลายถุง
สรุป ตอนมาก็หนัก ตอนกลับก็หนักไม่ต่างกัน 555

แพ็คของเสร็จ
ส่งข้อความไปหาผู้ชาย
ผู้ชายเพิ่งตื่นจ้า
เออ ไม่ว่ากัน เพราะไม่ได้นัดกันอยู่แล้ว
ผู้ชายก็ถามว่าอยากไปไหน
เราก็บอกว่าไม่มีไอเดียเลย ไปไหนก็ได้
ยูอยากไปไหน
มันบอกว่าอยากไปกินร้านอาหารจีนร้านนึงที่ china town เราก็โอเคทันใด
เพราะเราไม่มีแผนอยู่แล้ว
จริง ๆ มานี่ก็ไม่ได้ทำการบ้านใด ๆ เลย
กะมาพึ่งผู้ชาย 3 คน 3 วันเลย
นี่ล่ะหนา เค้าถึงว่า ควรจะเตรียนแผนสำรองไว้บ้าง
เผื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราจะได้ทำการเที่ยวของเราเองได้
แต่จากเหตุการณ์น้องพม่าและอิแขกขายซิมแล้ว
ทำเอาเราไม่อยากเดินไปเที่ยวที่ไหนคนเดียวอีกเลย

เราก็ให้เวลาผู้ชายอาบน้ำ แพ็คของ จัดกระเป๋า
แล้วเราก็ขึ้นไปกินข้าวบน roof top ข้างบนที่เรามีคูปองอาหารเช้าฟรี
ซึ่งผู้ชายจองทีหลัง ไม่มีอาหารเช้าฟรีนะแจ๊ะ
2 เช้าที่ผ่านมา เราขึ้นมากินตอน 9 โมงกว่ารอบนึง แล้วก็ 7 โมงเช้ารอบนึง เลยยังไม่ค่อยเห็นใคร
แต่วันนี้ขึ้นมากินตอน 8 โมงครึ่ง
คนเต็มคาเฟ่เลย
คือมองแล้ว มีทั้งหน้าเอเชียและฝรั่งหัวทองพอ ๆ กัน ครึ่ง ๆ เลย
ส่วนใหญ่ฝรั่งหัวทองมาเป็นครอบครัว แล้วก็เป็นวัยรุ่นคู่รัก
ส่วนเอเชีย ส่วนใหญ่เป็นเกาหลีเกือบหมดเลย
ตลกดี ที่พักที่เราจองต่างประเทศนะ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเกาหลีด้วยนะ
สงสัยเรามีความชอบเหมือนคนเกาหลี ฮา ๆ
เกาหลีก็ส่วนใหญ่มาเป็นกลุ่ม ไม่ก็เป็นคู่
ทั้งคาเฟ่ มีอินี่คนเดียวจ้าที่นั่งคนเดียว โห มองไปแล้วก็เศร้าใจ
รีบกินอย่างแรง
กินไปเขินไป เพราะเป็นโต๊ะเดียวจริง ๆ ที่นั่งอยู่คนเดียว
ทุกโต๊ะ นั่งกันเป็นคู่และเป็นกลุ่มหมดเลย

กินเสร็จ กลับมาห้อง เช็คความเรียบร้อยของห้องอีกรอบ
แล้วไปเช็คเอาท์ตอนเกือบ 10 โมง เอา 100 ริงกิตคืน ถ้าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย
แล้วก็นั่งรอผู้ชายอยู่ตรงล็อบบี้นั่นแหละ
อีก 15 นาที ผู้ชายก็วิ่งหน้าตื่นมาเช็คเอาท์
แหม ไม่ต้องรีบ เรามีเวลา เพราะเราไม่มีที่เที่ยวอยู่แล้ว


แผนของผู้ชายก็คือ
เค้าจะฝากกระเป๋าเค้าไว้ที่นี่
ซึ่งกระเป๋าผู้ชายเล็กมาก
เป็นแค่กระเป๋าหูรูดสะพายหลัง ใส่เสื้อผ้าแค่ 2-3 ชุด แค่นั้นเลยจริง ๆ
แล้วก็ถุงพลาสติกถุงใหญ่ ก็อิขนมจากเมืองไทยที่เราให้และขนมที่เค้าซื้อจากมะละกา
แค่นั้นจริง ๆ ง่ายมาก

คือเค้าจะฝากของเค้าไว้ที่โรงแรม
เพราะเค้านั่งรถบัสมาจากสิงคโปร์
แล้วนั่งรถบัสกลับ ซึ่งที่ขึ้นรถบัสอยู่ใกล้ ๆ โรงแรมเนี่ยแหละ

เค้าจะไป KL sentral ซึ่งเป็นที่ขึ้นรถบัสไปสนามบินของเรา
แล้วเอากระเป๋าไปฝากล็อกเกอร์ไว้ก่อน
แล้วเรานั่งรถไฟฟ้าไปกินอาหารจีนกันที่ china town
นี่แหละคือแผนการเที่ยวของเราวันนี้
เรายังไงก็ได้อยู่แล้ว
มีมันเที่ยวเป็นเพื่อน โคดจะอุ่นใจ


Image Hosted by PicturePush



มันก็เรียก uber ให้ไปส่งที่ KL Sentral
แล้วก็เดินวนหาล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า
ซึ่งมีน้อยมาก มีอยู่จุดเดียวเอง
มีอยู่แค่ 2 ราคา คือ 10 ริงกิต กับ 40 ริงกิต เวงกำ
ด้วยความที่เราเอาใบ ประมาณ 22-24 นิ้วมา
แบบที่ขึ้นเครื่องไม่ได้ เลยต้องใส่แบบ 40 ริงกิต
เสียดายมาก เพราะจริง ๆ เกือบใส่แบบ 10 ริงกิตได้แล้ว
แต่ติดแค่ล้อเกินมาหน่อยนึงเลยเลยใส่ไม่เข้า
มีแขกมาบอก แล้วก็บอกว่าเอาเงินมา 40 ริงกิต
เราก็งงดิ กลัวโดนแขกหลอกอีก เพราะคิดว่า coin locker เราก็หยอดเหรียญเองได้นี่หว่า
แต่เราก็ให้แบงค์ 50 ไปนะ
มันก็เดินไปเข้าเครื่องแลกเป็นเหรียญมาให้แล้วหยอดเหรียญ เอากุญแจพร้อมตังทอน 10 ริงกิต
ก่อนจะหมุนกุญแจ ฮีก็ย้ำอีกรอบว่าไม่มีอะไรใส่แล้วใช่มั้ย
เพราะตู้แม่งใหญ่มาก เหมาะกับกระเป๋า 28 นิ้ว 2 ใบใส่เข้าไปได้อ่ะ
แต่เราใส่กระเป๋าแค่ 22-24 นิ้วแค่ใบเดียว โคดไม่คุ้มอ่ะ
แล้วเราฝากไว้ไม่กี่ชั่วโมงเอง รู้สึกว่ามันฝากได้ 24 ชั่วโมงนะ

Image Hosted by PicturePush

อันนี้รูปตอนกลับมาเอาจ้ะ
สั่งเกตได้ว่ามันก็แพงสำหรับนักเรียนจ้ะ
เลยไม่ฝาก แต่กองไว้หน้าตู้มันนั่นแหละ ฮา ๆ


Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

ก็บอกว่าไม่มีแล้ว มันก็ล็อคตู้แล้วเอากุญแจให้เรา
แล้วบอกว่าห้ามทำกุญแจหาย
ถึงเวลาก็มาไขตู้แล้วค้างกุญแจไปตรงตู้นี่แหละ
แล้วก็ได้เวลาเสาะหาอาหาร งานถนัดของผู้ชายกัน

ก่อนไปก็เข้าห้องน้ำสาธารณะตรงสถานีกันก่อน
อ้อ
เรายังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าห้องน้ำสาธารณะที่มาเลแม่งเหม็นและสกปรกทุกที่ตั้งแต่สนามบินยันขนส่ง
ถ้าเป็นไปได้ หาห้างหรือโรงแรมแวบเข้าเถอะ
แล้วห้องน้ำห้าง รู้สึกจะเสียเงินด้วยนะ ที่ขนส่งบางที่ก็เสียเงิน
ไอ้ที่ขนส่งเสียเงิน แล้วเข้าไปเจอความโสโครกนี่ อารมณ์เสียมากมาย


เสร็จแล้วเราก็ซื้อตั๋วรถไฟไปสถานี Pasar Seni เพื่อไป China Town กัน
ทำไมไม่เรียกว่าสถานี China Town เลยวะ นักท่องเที่ยวจะได้ไม่สับสน
แค่ 1 สถานีจาก KL Sentral
ไปถึงก็เดินเล่นเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรจะซื้อหรอก
มันก็เหมือนเดินแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา
เหมือนเดินแผงสีลมตอนกลางคืนน่ะ แผงขายของเหมือนกันเลย
พวกของขายฝรั่งน่ะ
คนขายก็มีแต่หน้าแขก ๆ หน้าตาน่ากลัว กึ๋ย ๆ
จริง ๆ เราก็มาแล้วรอบนึงในคืนแรกกับเพื่อนสาวมาเลของเรา
ซึ่งก็ได้รับสายตาจับจ้องแบบนี้แหละ
สายตาแขกนี่มันน่ากลัวจริง ๆ


Image Hosted by PicturePush


แล้วก็ตามผู้ชายไปที่ร้านอาหารจีนแถวนั้น
ก่อนเข้าร้านก็แวะซื้อร้านน้ำร้านนึง
เป็นน้ำลำไยหล่อฮั่งก้วย เหมือนร้านที่เราซื้อกินที่มะละกาเลย
แต่ร้านนี้มีขายอย่างเดียว ไม่มีเฉาก๊วยขายเหมือนที่มะละกา
คิวยาวมาก ส่วนใหญ่มีแต่วัยรุ่น นักท่องเที่ยวจีน
ซึ่งคงเป็นร้านดังย่านนี้
ซื้อมากินก็อร่อยดี แก้วเล็ก ๆ ดูด 3 ทีหมด 555


Image Hosted by PicturePush



Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush



แล้วก็มีเต้าฮวยขายด้วย วันนี้แดดเปรี้ยงเหมือนอยู่กรุงเทพเลย
ไม่สามารถกินเต้าฮวยน้ำขิงร้อน ๆ ตอนเที่ยงได้นะจ๊ะ ขอบาย
แล้วเราก็ไปกินร้านอาหารที่ผู้ชายอยากกิน
เป็นร้านอาหารจีน
ที่เต็มไปด้วยอาตี๋ อาหมวยหน้าจีน ไม่มีหน้าแขก หน้าฝรั่งเจือปนเลยแม้แต่น้อย ฮา ๆ




Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush



ผู้ชายก็จับหลักเราได้แล้ว คือ ไม่ต้องถามเรา
สั่งสิ่งที่ตัวเองอยากกิน แล้วเดี๋ยวเราขอแทะเล็มเอง
แต่ไม่ค่อยได้คุยกับผู้ชายหรอกนะ
อย่างที่บอก มันติดมือถือมาก แชทกับสาวคนนึงตลอด
ถ้าไม่แชทกับสาว ก็ search หาที่กินว่าจะไปกินไหนแต่ละมื้อ ฮา ๆ
เราเลยจะได้เห็นฮีอยู่กับมือถือแบบนี้ตลอดเวลา
จริง ๆ เราคิดว่าเราจะสนิทกันมากกว่านี้นะ
แต่เอาจริง ๆ แล้ว เวลาที่จะคุยกัน เราแทบไม่ได้คุยกันเลย
เพราะไม่ว่าฮีจะนั่งแท็กซี่ นั่งกินข้าว เดินถนน ฮีอยู่กับมือถือแทบจะตลอดเวลา!
แล้วเรารู้ชื่อร้านวันนี้ก็จากรูปที่แอบถ่ายมือฮีเนี่ยแหละ นี่คือร้านที่เรามากิน


Image Hosted by PicturePush


ผู้ชายก็สั่งผัดก๋วยเตี๋ยวดำมาจานนึง แล้วก็ซุปหอยลาย
ซึ่งก็ตลกดี
ผู้ชายตี๋แม่งต้องชอบซุบหอยลายแน่เลย
เพราะตอนให้ตี๋มาเลสั่ง 1 ในอาหารที่เค้าสั่งก็มีไอ้ซุปหอยลายเนี่ยแหละ
แต่รสชาตไม่เหมือนกันนะ
ร้านนั้นกับตี๋มาเล มันออกอมเปรี้ยวหน่อยหอมขิงข่า (เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยมื้อนั้น เพราะแทะไก่มื้อเปื้อน)
แต่ร้านนี้กินกับตี๋สิงคโปร์ มันอมหวานแล้วหอมขิง
แล้วฮีก็สั่งผัดฮกเกี้ยนหมี่ดำมาอีกจาน
คือผัดเส้นดำจานแรกเนี่ย จะคล้าย ๆ ผัดซีอิ้ว แต่เส้นคล้าย ๆ เกี้ยมอี๋อ่ะ
เส้นมันจะหนึบ ๆ ลื่น ๆ กินกับซีอิ๊วดำปรุงรส ไม่มีผักเลยแฮะ




Image Hosted by PicturePush





แล้วก็หอยลาย (อยู่บ้านตัวเอง ไม่กินหอยนะจ๊ะ กินอยู่หอยเดียวคือหอยเชลล์ แต่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ได้หมดจ้ะ ลองทุกอย่าง)
แล้วจานสุดท้าย ฮกเกี้ยนหมี่ดำ




Image Hosted by PicturePush



เราไม่ค่อยชอบนะ เพราะเส้นหมี่ไข่อันนี้ กลิ่นแป้งแรงมาก ขนาดผัดกับซีอิ๊วดำแล้ว กลิ่นแป้งยังแรงอยู่เลย
ก็บอกฮีไป ฮีบอกว่ายูพูดเหมือนแฟนเก่าชั้นเลย
นางก็ไม่ชอบกลิ่นแป้งเหมือนกัน เวลาชั้นอยากกินต้องมากินคนเดียว ฮา ๆ


แล้วฮีก็ลุกไปหาชามมาใส่เปลือกหอย
แหม่ มีผู้ชายมาด้วยมันดีงี้นี่เอง
มีคนแบกเป้ให้ ถ่ายรูปให้ เรียกแท็กซี่ให้ เปิดประตูรถแท็กซี่ให้ สั่งอาหารให้ ตักอาหารให้ ไปซื้อน้ำ ซื้อขนมมาให้ ตามใจหมดทุกอย่างขอแค่บอกว่าอยากไปไหน ไปทำอะไร เดี๋ยวจัดการให้หมด
คือทุกทีเวลาเที่ยวคนเดียวก็ทำเองหมดทุกอย่างอ่านะ ลก ๆ ลน ๆ หลง ๆ เมื่อย ๆ เหนื่อย ๆ
แต่จะดีหน่อย ตอนได้เจอผู้ชาย
ซึ่งผู้ชายบางคนก็ช่วยแบกเป้ให้ ถ้าเค้ามาตัวเปล่าหรือกระเป๋าสะพายข้างอ่านะ
เค้าก็จะช่วยแบกเป้ข้างหลังให้
แล้วเป้เราเนี่ย หนักเอาเรื่องอยู่นะ เพราะเราใส่น้ำเปล่าด้วย
จริง ๆ ถ้าไม่ใส่น้ำเปล่าก็หนักประมาณนึงแล้วนะ
เพราะมันมีทั้งกระเป๋าสตางค์ passport พวกกระดาษ print out ทั้งหลายกันเหนียวพวกโรงแรม เที่ยวบิน ประกัน
แถมยังมีทั้งอุปกรณ์เข้าห้องน้ำสาธารณะอีก ไม่ว่าจะเป็นทิชชู่เปียก ทิชชู่แห้ง แอลกอฮอล์
นี่ยังไม่รวมร่ม power bank ยาดม ยากิน ยาฉีด ยาหม่อง สารพัดยา
ไหนจะกระเป๋าเครื่องสำอางไว้ touch up ระหว่างวัน (มีนิดเดียว แค่ลิปกะกระจก แต่ลิปหลายแท่ง ฮา ๆ)
แต่หนักสุดก็คงจะเป็นน้ำเปล่าเนี่ยแหละ แต่ทริปมาเล น้ำเปล่าถูกก็ไม่แบกนะ
แต่ไปฮ่องกง สิงคโปร์ น้ำเปล่าขวดละ 50 นี่ เราต้องกรอกน้ำเปล่าจากโฮสเทลติดตัวไปด้วยเลย 2 ขวดระหว่างวัน
คือเราแบกน้ำ 1 ลิตรในกระเป๋านะจ๊ะ
อันนี้คือสิ่งที่คิดได้ในเป้นะ ยังมีอะไรจุ๊กจิ๊กอีกประปราย แต่จำไม่ได้ แต่หลัก ๆ คือประมาณนี้

อันนี้รูปก่อนแยกกัน เราชอบตึกนี้มากเลย มันเรียบง่าย แต่ สวย less is more จริง ๆ


Image Hosted by PicturePush


อย่างตอนไปฮ่องกง ไปปีนเขา ผู้ชายก็จะมีเป้ของเค้าอยู่แล้ว
เค้าก็ไม่ได้จะมาถือให้เรา
แต่ประทับใจทริปสิงคโปร์มากอ่ะ
ทริปสิงคโปร์นี่ เจอผู้ชาย 4 คน
2 คนที่ไม่ได้ขับรถ แล้วเราอยู่กับ 2 คนนี้นานที่สุด
จะมี common sense ที่ดีมาก
มาถึงปุ๊บ ให้เราถอดเป้บนหลังเลย บอกว่าเดี๋ยวสะพายให้ น่าร้ากกกกกกกกก กรี๊ดมากกกกกกก
อีก 2 คนขับรถ เจอแป๊บ ๆ ชั่วโมงกว่า 2 ชั่วโมง
เค้าก็ไม่ได้จะช่วยอะไร แต่คิดว่าด้วยความที่มีรถด้วยมั้ง เลยไม่คิดว่าเป้จะหนัก
แล้ว 1 ใน 2 คนที่ช่วยแบกเป้ให้ ยังคุยกันจนถึงทุกวันนี้จ้า
แต่อีกคนเค้าก็เลิกคุยไปละ คงเพราะไม่มีโอกาสเจอกันล่ะมั้ง
แต่เราก็บอกคนที่ยังคุยกันอยู่นะว่า เราจะไปสิงคโปร์อีก
เค้าก็เลยยังคุยกับเราอยู่มั้ง
แต่คนนี้ก็แอบอยากคบนะ
คิดว่าไปสิงคโปร์คราวหน้า
คงใช้เวลาอยู่กับคนนี้คนเดียว ถ้าเค้ามีเวลาให้เราทั้งทริปอ่านะ

เราก็ขอบคุณผู้ชายแล้วก็บอกผู้ชายแบบที่เราเขียนแบบนี้นะ
ฮีก็ขำแล้วบอกว่า งั้นยูก็หาผู้ชายของตัวเองซักคนสิ
แหม่ ถ้ามันหาได้ง่าย ๆ ก็ดีสิ
พร้อมไปนะโว้ย สิงคโปร์เนี่ย ตั๋วไปกลับกรุงเทพ-สิงคโปร์ก็โคดจะถูก
Passport สิงคโปร์ก็โคดอยากจะได้ แม่งไม่ต้องขอวีซ่าซักประเทศ
ดูของไทยซิ ทุกประเทศที่เจริญแล้วแม่งต้องขอหมด
แล้วค่าวีซ่าแม่งก็ไม่ใช่ถูก ๆ เผลอ ๆ แพงกว่าค่าตั๋วเครื่องบินอีก
เสียไปแล้วก็ใช่ว่าจะได้วีซ่าเลย ต้องลุ้นอีก
โอ๊ย เรื่องเยอะ อยากได้ passport สิงคโปร์จุงเบย
แต่ผู้ชายบอกว่า
งั้นยูก็ต้องหาหนุ่มสิงคโปร์แต่งงานอ่านะ
แต่ใช่ว่าแต่งแล้วจะได้สัญชาตินะยู
ตอนนี้ได้สัญชาติสิงคโปร์ยากมาก
ต้องแต่ง 5 ปีขึ้นไปแล้วอะไรอีกหลายอย่าง
ไม่ใช่แต่งปุ๊บได้ปั๊บนะแจ๊ะ
โห่ แต่งแล้วก็ลุ้น
งั้นขอจ่ายเงินค่าวีซ่าแล้วลุ้นเองยังดีกว่า
แต่งไปแล้วอยู่ไม่ได้ มีปัญหา อึดอัดคับข้องใจ มันใหญ่กว่าเรื่องเงินเยอะเลย





กินเสร็จก็ได้เวลาแยกย้ายกับผู้ชาย
เค้าก็เดินมาส่งตรงสถานีรถไฟ
แล้วเค้าก็เรียก uber กลับโรงแรม
คราวนี้ได้เวลาเที่ยวคนเดียวจริง ๆ แล้ว
เราก็เงอะ ๆ งะ ๆ กับการหาสถานี
เพราะมันปิดซ่อมไปส่วนนึง
เดินผิดทาง เป็นทางเชื่อมเข้าตึกอีก เวงกำ
เลยถามหนุ่มออฟฟิศแถวนั้น
มากัน 2 คน แขกคน จีนคน แต่ดูแก่กว่าเราเยอะ
เค้าก็บอกว่าให้ตามเค้าสองคนมาเพราะเค้าก็กำลังจะไปเหมือนกัน
แล้วเราเหลือเงินเป็นแบงค์ 50 ริงกิต
ซึ่งค่ารถไฟมัน 1.3 หรือ 1.6 ริงกิตเองก็ต้องเดินไปแตกแบงค์
เพราะตู้มันไม่รับแบงค์ใหญ่ ๆ สุดแค่ 5 ริงกิต
เรากำลังจะเดินไปแลก
แต่พี่แขกบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเอาเงินเค้าจ่ายให้เรา
โอ๊ย
อยู่มา 4 วัน เพิ่งจะเจอแขกดีก็วันนี้
แล้วเค้าก็เดินจากไป ไม่คุกคามเราอีก
ก็ขอบคุณเค้าไปหลายรอบมาก

พอกลับมา KL Sentral มันจะมีห้าง NU Sentral เราก็ไม่รู้จะฆ่าเวลาอะไร
เลยเดินมันอยู่ในห้างนั่นแหละร่วม 2 ชั่วโมง
คิดดูสิ ทรมานมากเลย
เพราะเราเป็นผู้หญิงไม่เดินห้าง และไม่ชอบเดินซุปเปอร์
เออ เพิ่งรู้ว่าในซุปเปอร์สิงคโปร์ มีป๊อกกี้และเพรสรสลาบและทุกรสจ้ะ


Image Hosted by PicturePush



แต่ต้องมาฆ่าเวลาในห้าง 2-3 ชั่วโมง
เดินไปได้ชั่วโมงกว่าก็ทนไม่ไหว
ไปเปิดล็อกเกอร์ เอากระเป๋าขึ้นรถบัสไปสนามบินดีกว่า
ไปถึงสนามบินก่อนเวลาเยอะ ๆ แล้วไปนั่งเล่นเน็ทที่นั่นดีกว่ามานั่งเดินห้างฆ่าเวลาหลายชั่วโมง

หลังจากประสบการณ์ประสบการณ์ตั้งแต่จำเวลาขึ้นเครื่องผิดเกือบตกเครื่อง
เกือบตกรถบัสเข้าเมือง
โดน uber เบี้ยวนัดไปมะละกา เกือบตกรถบัสไปมะละกา
ทำให้เรารู้สึกว่า ไปเผื่อเวลาดีกว่าต้องมานั่งวิ่งลุ้น
เลยไปถึงสนามบินก่อนไฟล์ 4 ชั่วโมงกว่า
ขากลับนั่งการบินไทยกลับจ้า ในราคา 2 พันตั๋วเที่ยวเดียวจากมาเลกลับกรุงเทพ
ถูกกว่าในประเทศอีกมั้ง

อ้อจริง ๆ สามารถเช็คอินออนไลน์ได้ 24+1 ชม.ก่อนไฟล์บิน
แต่เมื่อคืนเหนื่อยมาก ลืมสนิท
มานึกขึ้นได้ตอนเที่ยงที่ผู้ชายพูดถึงไฟล์กลับ
เลยมาเช็คอินออนไลน์ตอนเที่ยง
เข้าไปดู แทบไม่เหลือที่แล้ว เหลือแต่ที่ตรงกลาง ซึ่งไม่อยากนั่ง
ไอ้ที่ติดหน้าต่างหรือทางเดินก็อยู่ท้ายลำเลย
หรือที่ exit row ข้างทางเดินที่อยู่กลางเครื่อง ไม่รอช้ารีบบุ๊คเลยทีเดียว
เป็นครั้งแรกที่ได้นั่ง exit row เลยนะ ถึงแม้ว่าจะแค่ 2 ชั่วโมงก็เถอะ
ได้ลองนั่งยืดขาก็ดีเหมือนกัน
ถามว่าเปิดประตูเครื่องได้มั้ย อีกเรื่องนึงนะ
ก็หวังว่าไม่ต้องมีโอกาสได้เปิด

ไปถึงเคาร์เตอร์ TG ยังไม่มีพนักงานมาทำงาน
เพราะเค้าจะมาทำตอน 3 ชั่วโมงก่อนไฟล์
เลยไปเดินเล่นรอบ ๆ สนามบิน ซึ่งก็ไม่มีอะไร
เหลืออีก 20 นาทีก่อนเคาร์เตอร์เปิดก็รีบมาต่อแถว
โหยยยยยยยยย
คิวยาวแล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีพนักงาน
มากันเร็วสุดยอด
แล้วเท่าที่เห็น คนไทย 10% เอง
นอกนั้นเป็นแขกอีกแล้ววววววว


Image Hosted by PicturePush

ต่อแถวอยู่ 45 นาทีได้
นี่ขนาดอยู่แถวที่โหลดกระเป๋าอย่างเดียวนะ เพราะเช็คอินออนไลน์มาแล้ว ก็ยังยาวเลย
โหลดกระเป๋าเสร็จแล้ว
ก็เข้าไป ตม ขาออก เช็คกระเป๋า
แปลกใจมากที่ตรงสายพานเช็คกระเป๋า เค้าแทบไม่ตรวจไม่ดูอะไรเลย
ผ่านทุกคน
แล้วก็มาตรงดิวตี้ฟรี
ซึ่งไม่มีอะไรน่าซื้อสำหรับเราแล้วดิวตี้ฟรีเค้าเล็กมาก
แล้ว gate เราต้องนั่งรถไฟไปอีกที่นึง
พอนั่งไปถึง ดิวตี้ฟรีตรงนั้นก็ยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ เดินแป๊บเดียวก็หมด
เลยหาที่นั่งเล่นเน็ท หลังจากช้อปผ้าอนามัย Kotex ที่บ้านเราไม่มีและมีคนบอกว่าดีไปหมดริงกิต
เหลือติดตัวไม่ถึง 1 ริงกิต
ถ้าเกิดอะไรขึ้นนี่ เราไม่มีเงินริงกิตเหลือติดตัวเลยนะ
เราก็นั่งเล่นเน็ทมั่ง งีบมั่ง
Gate ก็เปลี่ยนอีก แต่อันนี้รู้ล่วงหน้าละ เพราะไปดูบอร์ดก่อนไปนั่งเล่นเน็ท
แต่ เราก็เอ๋ออีกละ ไปจำเวลาเครื่องออก แทนที่จะจำเวลา boarding time
วิ่งเลยล่ะทีนี้
แล้วการบินไทย เครื่องลำใหญ่ คนหลายร้อย
เลยต่อแถวกันอยู่ ไม่ได้ตกเครื่อง
มีการแสกนกระเป๋ากันอีกรอบ
ดีนะ เราไม่ซื้อที่ล้างเครื่องสำอาง
เพราะถ้าซื้อในดิวตี้ฟรีได้ทิ้งเลยมั้ง
เพราะหน้าเกท เค้าแสกนเข้มงวด พวกของมีคนและน้ำดื่ม
เราก็ว่าอยู่ว่าทำไมสแกนรอบแรก เค้าไม่เห็นเช็ค ตรวจตัวหรืออะไรเลย ผ่านกันทุกคน
มาตรวจอีกรอบหน้าเกทนี่เอง


Image Hosted by PicturePush



แล้วเราก็ได้ขึ้นเครื่องอย่างปลอดภัย
ตอนแรกแอบสงสัยว่า
คนนั่ง exit row งี้ก็ไม่มีหน้าจอเป็นของตัวเองสิ
ไหนจะถาดอาหารด้วย งี้ทำไง
ขึ้นไปถึง หนาวมาก ทำไม exit row เค้าให้แต่หมอน ไม่ให้ผ้าห่ม
แต่คิดว่าเพื่อความปลอดภัยมั้ง
พอขอแอร์ ๆ ก็หน้าดุ ๆ เหวี่ยง ๆ ใส่ บอกว่าเดี๋ยวเอาให้ตอนเครื่องขึ้นแล้ว
แล้วแอร์ก็บอกว่า เดี๋ยวขอผ้าห่มคืนก่อนเครื่องลงด้วย
คิดว่าเพื่อความปลอดภัยนะ กรณีฉุกเฉิน ผ้าห่มก็เป็นสิ่งกีดขวางแถว exit row เหมือนกัน
แต่แถวเค้าก็วางไว้ให้สามารถห่มได้ตั้งแต่ก่อนเครื่องขึ้นนะ


แล้วตอนเสริฟอาหาร ไอ้ถาดมันพับเก็บไว้นี่เอง
จริง ๆ exit row ก็มีถาดอาหาร และมีจอ เพียงแต่มันถูกพับเก็บข้างที่วางแขนนี่เอง
ถ้าไม่ได้มีโอกาสมานั่งก็ไม่รู้นะเนี่ย คิดว่าเค้าจะไม่มีเพื่อและกับที่ยืดขาได้กว้างขึ้น
อยู่ exit row เราจะได้นั่งประจันหน้ากับแอร์ด้วย เพราะแอร์จะนั่งตรง jump seat
แอร์ไฟล์มาเลจะเหวี่ยง ๆ หน่อย
เพราะรู้มาว่า บินมาเลเนี่ย งานหนักเงินน้อย
เพราะบินมาเลแค่ 2 ชั่วโมง ต้องเสริฟแบบ full คือเสริฟข้าวด้วยรอบนึง เครื่องดื่มรอบนึง เก็บอีกรอบนึง
แล้วการเสริฟข้าว คือต้องอุ่นอาหารมือเป็นระวิง
ต้องทำทุกอย่างในเวลาแค่ชั่วโมงครึ่งได้มั้งหรือไม่ถึงด้วย เพราต้องเผื่อเวลาเครื่องขึ้นลงที่ทำอะไรไม่ได้อีก
แถมเงินยังได้น้อยว่าบินในประเทศ ที่เสริฟแค่ของว่างพร้อมน้ำรอบเดียวแล้วเก็บ อะไรประมาณนี้
ดังนั้นไฟล์มาเลเนี่ย ลูกเรือจะแกล้งป่วยกันเยอะ เพราะงานหนัก เงินน้อย ผู้โดยสารเป็นแขกเยอะ ไม่มีใครอยากทำ
ทำให้ไฟล์มาเล ลูกเรือจะไม่ค่อยครบเต็มกำลังการทำงาน
คนก็ไม่ครบ ทำงานก็ยิ่งหนักขึ้น แล้วเงินก็ได้น้อย ใครมันจะอยากไปทำล่ะเนอะ
แต่ลูกเรือทุกคนก็ได้ไฟล์มาเลกันทุกเดือนนะ



Image Hosted by PicturePush



แหม เอาง่าย ๆ ถูกการบินไทยจากมาเลมาไทยก็แค่สองพันเอง
ถูกกว่าแอร์เอเชียรวมทุกอย่างอีกนะ ตอนเราจองล่วงหน้าแค่ 2 อาทิตย์น่ะ
เป็นใคร ๆ ก็เลือกการบินไทยสิ
อย่างนี้นี่เอง ตั๋วถูก แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปให้ลูกเรือล่ะเนอะ
แอร์เลยหน้าหงิกกันเกือบทั้งลำ ฮา ๆ
ไม่เป็นไร เราเข้าใจ เพราะเรารู้เบื้องหลัง เราเลยไม่เรียกร้องอะไรจากแอร์เลย
ให้กินก็กิน เครื่องดื่มก็เอาอะไรก็ได้ แล้วก็หลับ ไม่เรียกร้องอะไร
ทำตัวเป็นผู้โดยสารนิสัยดี ให้อะไรมาก็เอา อะไรหมดก็ไม่เป็นไร

แล้วเราก็ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
ประทับใจมั้ย ก็ประทับใจ
ต้องขอบคุณหนุ่มสิงคโปร์จริง ๆ ที่มาเที่ยวกับเราเกือบทั้งทริป
ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่อยากให้มันมาด้วยเลย เพราะเรานัดหนุ่มมาเลไว้หมดแล้วทุกวัน
แต่แหม หนุ่มตี๋มาเลก็ทำชั้นได้นะ
ก็หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป รักษาความสัมพันธ์นี้ไว้
เราเที่ยวด้วยกันได้ ไม่มีดราม่า ไม่มีโกรธหรือทะเลาะกันเลย
เริ่มรู้สึกชอบเที่ยวกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงซะละ
เพราะเคยเที่ยวกับผู้หญิง กลับมาก็ดราม่าใส่กันบ้าง
ต่างคนต่าต้องช่วยแบกกันเอง แรงก็ไม่ค่อยจะมีกัน
มากับผู้ชาย มีแรงช่วยแบก ช่วยขน ช่วยยก มันสบายอย่างนี้นี่เอง
ก็หวังว่าเราจะมีผู้ชายส่วนตัวของเราไปเที่ยวเมืองนอกด้วยกันไว ๆ
เอาใจช่วยเรากันหน่อยนะคะทุกคน

Image Hosted by PicturePush


อ่านแล้วเม้นท์ให้กำลังใจหน่อยนะจ๊ะ
อย่างน้อยจะได้รับรู้ว่าก็มีคนอ่านอะไรยาว ๆ ที่เราใช้เวลาหลายชั่วโมงนั่งพิมพ์เหมือนกันนะ
รักคนอ่านนะคะ

บล็อคนี้ไม่ใช่บล็อคแรกที่ไปเจอหนุ่มทางออนไลน์นะแจ๊ะ
เคยไปเจอแล้วทั้งสิงคโปร์และฮ่องกง
ตามไปอ่านประสบการณ์ฟิน ๆ ของหนุ่มที่เราไปเจอเมืองนอกกันต่อได้เล้ย

อันนี้ของสิงคโปร์


ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 1




อันนี้ของฮ่องกง


เครื่องลงฮ่องกงปุ๊บก็นัดบอดหนุ่มฮ่องกงมากินข้าวมื้อแรกด้วยกันเล้ย


อันนี้คือประสบการณ์ความเซ็งเมื่อไปเจอหนุ่มตี๋อินเตอร์ใน กทม เนี่ยแหละ


รวบรวมสถานการณ์เซ็ง ๆ จากผู้ชายที่ไปเจอทางออนไลน์ตอนที่ 1


รวบรวมสถานการณ์เซ็ง ๆ จากผู้ชายที่ไปเจอทางออนไลน์ตอนที่ 2



รวบรวมสถานการณ์เซ็ง ๆ จากผู้ชายที่ไปเจอทางออนไลน์ตอนที่ 3



ส่วนอันนี้ ประสบการณ์การเล่น tinder
ก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่เล้ย
เชิญเสพย์ต่อด้านล่างจ้ะ
เจ้ไม่ได้มาเล่น ๆ เจ้เล่นจริงจัง เก็บมาเม้าได้หลายบล็อคเลย ฮา ๆ


เม้าฝรั่งที่เจอในแอพ tinder หลังจากเพิ่งเล่นได้แค่อาทิตย์เดียว

เสียเซลฟ์กับหนุ่มใน tinder อีกละ

เรามาอ่าน tinder profile ขำ ๆ แย่ ๆ หรือสร้างสรรค์กันดีกว่า

มาอ่าน tinder profile ขำ ๆ กันต่อดีกว่า

มาอ่าน tinder profile สนุก ๆ ฝึกภาษากันต่อนะ

เม้าเรื่องที่แชทคุยกับหนุ่มสิงคโปร์

แชทคุยกับคนปลกหน้าที่เป็นผู้หญิงด้วยกันกว่า 4 ชม. เกี่ยวกับด้านมืดของเธอ

ลองให้หนุ่ม ๆ ทายหัวข้อนิทรรศการภาพถ่ายนึง มาดูซิหนุ่มแต่ละอาชีพทายกันว่าอะไรบ้าง

เม้าเรื่องต่าง ๆ ที่ได้แชทกะคนสิงคโปร์

คุยมาก็หลายเดือน ถึงเวลาเอาตัวเองบินไปเจอหนุ่มซักทีปีหน้า

นัดหนุ่มที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเข้าไปจับกันในความมืดเป็นชั่วโมง แล้วไกด์ก็ฮามาก ได้ใจสุด ๆ

นัดเจอหนุ่มทางเน็ทครั้งแรก แต่หนุ่มไม่ได้มาแค่ 1 แต่มาถึง 3!!!!

เรื่องเศร้า ๆ เคล้าคำพูดแย่ ๆ ของหนุ่มสิงคโปร์ที่คุยด้วยจากใน tinder


แชทน่ารัก ๆ ฟิน ๆ ของหนุ่มสิงคโปร์ที่ได้คุยด้วย







Create Date : 05 สิงหาคม 2560
Last Update : 6 สิงหาคม 2560 19:23:30 น. 3 comments
Counter : 3457 Pageviews.

 
ขอให้พบคนที่ไปเที่ยวด้วยกันส่วนตัวไวๆนะคะะ


โดย: Kate IP: 124.120.201.208 วันที่: 6 สิงหาคม 2560 เวลา:1:45:19 น.  

 
อยากเห็นหน้าจขกท.บ้างจุง ตามมาเม้ยรอบที่จะ10แหละ555 อ่านตามแล้วเชียร์ขอให้ได้พาสสิงคโปร์เร็วๆนะคะ


โดย: Rain IP: 1.46.72.195 วันที่: 18 สิงหาคม 2560 เวลา:22:55:18 น.  

 
อ่านแล้วสนุกมากกกก พิมได้สนุก น่าติดตาม ลุ้นระทึก อ่านแล้วอยากแบคแพคไปผจญภัยด้วย 555 ตอนนี้ติดเล่น tinder ด้วย อยากรู้จักเจ้าของบล็อค พลีสสส อยากเม้ามอยด้วย ^^


โดย: AuAi IP: 110.169.107.79 วันที่: 8 ตุลาคม 2560 เวลา:18:57:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.