เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่ง
เพื่อความต่อเนื่องไปอ่านตอนก่อน ๆ ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้จ้ะเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พักเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบินเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียวเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรกเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วยเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรกเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอนเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดินเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJเช้าวันเสาร์ ตื่นมาให้ห้องของสาวสิงคโปร์ที่เรามาขอนอนด้วยเป็นคืนแรกตื่นมาปุ๊บ เจ็บคอเลย น้ำมูกมาเต็ม เราเป็นหวัดเข้าให้แล้วหลังจากเดินตะลอนกลางแดดเปรี้ยงวันละ 8-9 ชั่วโมงหน้าร้อนในโตเกียวกินน้ำก็น้อย อาศัยกดตู้ชาเขียวเอาเป็นระยะ แต่ชาเขียวก็แพงเหลือเกินขวด 500 มิล ตั้ง 50 กว่าบาท แถมไม่หวานด้วย เหมือนกินน้ำเปล่า ขวดละ 50 บาทจะกดบ่อยก็ไม่ไหว วันนึงเลยกดกินแค่ วันละ 2 ขวด ฮา ๆร่างกายเลยขาดน้ำ แถมแดดเปรี้ยง เจ็บคอไปตามระเบียบตื่นเช้ามา สาวสิงคโปร์ยังไม่ตื่น แต่ไม่เป็นไร วันนี้เรามีนัดกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นไว้ที่รถใต้ดินตอน 9 โมงเช้าตื่นมามองไปหน้าต่างไต้ฝุ่นเข้าแต่เช้า ฝนตกปรอย ๆ ท้างงงงวันเรานัดคนญี่ปุ่นคนนึงเอาไว้เป็นชาวญี่ปุ่นแท้ ๆ คนเดียวที่เราสามารถนัดเจอเค้าได้นอกนั้นที่นัดเจอเป็นจีนหรือสิงคโปร์ที่ไปอยู่ ไปเรียน ไปทำงานที่โตเกียวกันหมดเรามีบอกคร่าว ๆ แล้วล่ะว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ เราอยากไปเดินเล่นตลาดนัดแบกะดินแถว ๆ สวน yoyogi แล้วก็ไปเดินเล่นในสวนแล้วก็ไปศาลเจ้า แล้วอาจจะไปตลาดนัดอีกซักที่กะว่าจะไป 2 ตลาดนัด เอาให้จุใจ ฉ่ำปอดสมกับที่อยากมาโตเกียวเลยเพราะมี 2 สิ่งหลัก ๆ ที่เราอยากมาทำที่โตเกียวเลยคือ 1. มาเดินสวนสาธารณะในโตเกียว แล้วก็ 2. มาเดินตลาดนัดแบกะดินอันยิ่งใหญ่ในโตเกียวเนี่ยแหละ2 วันแรก เราไปสวนกับศาลเจ้ามาจนอิ่มละ2 วันเกือบสุดท้าย เราควรจะอิ่มกับการเดินตลาดนัดบ้านเค้าสาวญี่ปุ่นบอกว่า โอเค ๆ ไม่มีปัญหา ฉันจะมาจอยด้วย แต่อาจจะครึ่งวันนะแค่เดินตลาดนัดกับเดินสวน yoyogi ถ้าฉันเหนื่อย ฉันก็ขอแยกกลับก่อนอ่ะ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว แล้วเธอบอกว่า ฉันขอเอาสามีฉันไปด้วยนะเริ่ด ฉันยิ่งไม่ว่าอะไรใหญ่เลย เพราะฉันอยากคุยกับผู้ชายญี่ปุ่นมั่งเหมือนกันได้แต่แอบถ่าย แอบส่งกระแสจิตมา 2 วันเต็มละคราวนี้ได้มองตา ได้พูดคุย ฉันกำลังอยากพอดี ฮา ๆสาวญี่ปุ่นที่เรานัดเจอวันนี้ เธอชื่อ ซายากะ อายุ 27-28 ปีเนี่ยแหละ เป็นน้องเราอีกสามีก็อายุพอ ๆ กันเราไปสายนิดหน่อย เพราะฝนตก แล้วก็มัวแต่เดินถ่ายรูปทางจะบ้านไปรถใต้ดิน เพราะตอนกลับจะได้ไม่หลง แต่จริง ๆ ไม่มีทางหลงหรอก เพราะมันเดินตรงอย่างเดียว ไม่ได้เลี้ยงไปไหนเลย จะหลงก็เดินเลยตึกไปซะมากกว่า แล้วนี่คือเส้นทางเดินจากที่พักของเราไปรถใต้ดินที่อยู่มุมซ้ายบนสุดของโตเกียวบรรยากาศในรถใต้ดินขึ้นจากรถใต้ดินมาก็เจอคู่หนุ่มสาวคู่นี้ยืนกัน 2 คนโดยไม่มีคนอื่นให้เข้าใจผิดเลยฝั่งภรรยาพูดภาษาอังกฤษพอได้ ส่วนฝั่งสามีแทบไม่ได้เลยเราเลยได้คุยแต่กับน้องซายากะอย่างฝ่ายเดียวน้องซายากะน่ารักมาก สดใสร่าเริงสไตล์สาววัยรุ่นญี่ปุ่นพูดอะไรไปก็ขำแล้วก็สุโค่ย ๆ ตลอดเวลา สร้างความมั่นใจให้คนเล่าไปอีก 200%เราขึ้นจากรถไฟใต้ดิน ฝ่ายสามีก็เดินนำพากันไป2 สาวก็คุยแนะนำตัว เล่านู่น นั่น นี่ ชี้นก ชี้ไม้ อธิบายกันไปหนุงหนิง ๆ พอมาถึงสถานที่จัดงานเหมือนฟ้าถล่มมันไม่มีงาน!!!!!!!!!!ไต้ฝุ่นเข้า เค้าเลยยกเลิก!!!!!!!!!!แม่เจ้า นี่ชั้นมาติดเสาร์ อาทิตย์แค่อาทิตย์นี้อาทิตย์เดียวนะโว้ยหวังจะมาช้อปเต็มที่ แต่ไม่มีงาน ไม่มีคน so sad!!!เคว้งเลยทีนี้ ไต้ฝุ่นดับฝันฉันทั้งวันเลย ได้แต่แอบร้องไห้ในใจเบา ๆฝ่ายสามีเลยชวนเดินไปหาอาหารเช้ากินกันที่ร้านอาหารแถวนั้นที่ราคาไม่แพงมีสั่งพวกสลัด แฮมเบอร์เกอร์ ชุดอาหารเช้าฝรั่ง น่ารัก ๆ ตกเซ็ทละ 200 บาทได้ โอเครับราคาได้ ก็สั่งแล้วขึ้นไปกินชั้นบนที่คนยังค่อนข้างน้อย เราเลยได้นั่งเม้ามอยกันเป็นชั่วโมงอยู่ที่นั่นหลบฝนเราก็คุยว่าแต่ละวันไปทำอะไรมาบ้างเจออะไรแปลก ๆ บ้าง แล้วก็ไม่ลืมบอกว่าซาราริมังญี่ปุ่นหล่อ สะอาด เนี้ยบ และหุ่นดีมาก ๆพร้อมควักรูปหนุ่มในฝันของเราขึ้นมาโชว์ ฮา ๆซายากะบอกว่า ทำไมไม่เข้าไปทักเลยเพราะผู้ชายญี่ปุ่นขึ้เก๊ก และ ขี้อายมากไม่มีทางที่เค้าจะเข้ามาหาเราก่อน ยิ่งถ้าเป็นต่างชาติเนี่ย หมดสิทธิ์ด้วยภาษาด้วย อะไรด้วย เราเนี่ยต้องเข้าไปทำความรู้จักเค้าก่อนเลย(พูดเหมือนโฮสญี่ปุ่นบ้านแรกเราเปี๊ยบเลย)น้องซายากะน่ารักมาก เฟรนลี่ ยิ้มเก่ง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ทุกเรื่องที่เราเล่าเลยแต่น้องซายากะก็พูดเหมือนโฮสเราเลยว่าซาราริมังญี่ปุ่นไม่แข็งแรงหรอกเห็นเนี้ยบ ๆ แบบเนี้ย จริง ๆ ก๋องแก๋งจะตายไม่มีกล้าม ไม่มีแรง เพราะวัน ๆ นั่งทำแต่งานทั้งวันทั้งคืน กลับบ้านก็ดึกดื่น อย่าว่าแต่ออกกำลังกายเลย นอนยังไม่พอเลยต้องออกไปทำงานแต่เช้า กลับบ้านก็เที่ยงคืนนู่นฟังน้องแกเล่าไป ก็จินตนาการว่าเราเป็นเมียญี่ปุ่นไปคิดแล้วเครียด ฮา ๆแล้วเราก็คุยอะไรกันมากมาย แต่ด้วยความที่กว่าจะมาเล่ามันผ่านไปเกินครึ่งปีแล้วเราเลยจำไม่ได้แล้วว่าเราคุยอะไรกันบ้าง ฮา ๆจำได้แค่ว่า เค้า 2 คนเจอกันได้ยังไงน้องบอกว่า น้องนางเป็นครูสอนเปียโนคุณสามีอยู่ว่าง ๆ ระหว่างรอสอบเป็นครูโรงเรียนประถม แล้วมาลงเรียนเปียโนที่บ้านน้องนางเรียนไปเรียนมา ลูกศิษย์เลยได้คุณครูเป็นภรรยาซะเลยดีนะที่อายุพอ ๆ กัน ไม่งั้น อาจจะกลายเป็นความลับห้องม.6/3 เหมือน Club Friday บ้านเราแทน ฮา ๆตอนนี้น้องนางก็สอนเปียโนให้กับเด็ก ๆ อยู่ที่บ้านส่วนคุณสามีก็ยังเรียน แล้วก็รอสอบเข้าเป็นคุณครูโรงเรียนประถมอยู่ซึ่งเค้าบอกว่าการสมัครสอบเป็นครูที่ญี่ปุ่นยากมากสอบทั้ง IQ และ EQ กว่าจะได้ใบประกาศมา แล้วยังต้องไปแข่งขันสมัครอีกแล้วผู้ปกครองแต่ละคนก็เรื่องเยอะสุด ๆ เพราะบ้านเค้ามีลูกกันยากผู้ปกครองแต่ละคนเลยรักและห่วงลูกมากจนเกินพอดีเราก็ถามเค้านะว่าทำไมวัยรุ่นญี่ปุ่นบางคนถึงโกนหัวด้วยเค้าก็อธิบายว่า วัยรุ่นเหล่านั้นเป็นนักกีฬาเบสบอลซึ่งเป็นธรรมเนียมของนักเบสบอลญี่ปุ่นที่โกนหัวเป็น Japanese Spiritหลักสำคัญก็คือ ให้ไม่หล่อ ไม่ให้โฟกัสที่หน้าตาตัวเอง ให้ตั้งใจโฟกัสกับเบสบอลฟังดูเหมือนการโกนหัวบวชบ้านเราเหมือนกันนะเอ๊ะ แต่ทำไมแค่เบสบอลล่ะ แล้วกีฬาอย่างอื่นละ แต่เค้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แฮ่แล้วเค้าก็ให้เราเขียนชื่อเค้าทั้ง 2 คนเป็นภาษาไทย เพื่อที่ว่าเค้าจะได้เขียนเป็นสมเป็นคุณครูจริง ๆ จากนั้น กินเสร็จ หมดเรื่องคุย (จริง ๆ ยังไม่หมดหรอก คุยได้เรื่อย ๆ แต่เกรงว่าถ้าคุยติดลมมาก โปรแกรมเที่ยวของวันนี้เราจะหายไป) เลยพากันเคลื่อนตัวไปสวน yoyogi เพื่อเจอกับสาวจีนอีกคนที่เรานัดเจอเธอบอกว่าวันนี้ที่สวน yoyogi มีงานเทศกาลอาหารยุโรปด้วยเลยอยากมาเจอกัน เราก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยิ่งเจอเยอะ ยิ่งสนุก แต่อาจจะเทคแคร์ไม่ครบทุกคนเท่านั้นเอง (ทำอย่างกะเป็นเจ้าบ้าน)อันนี้เป็นรูประหว่างทางไปสวนไม่คิดว่าสวนมันใหญ่มากขนาดนี้ เดินผ่านไป เสียงแมลงหึ่ง ๆ ตลอดทางดูสิ มี homeless ด้วยนะ แต่โฮสเลสญี่ปุ่นเป็นระเบียบเรียบร้อยมากคือตอนเช้าก็มีการเก็บกวาด เป็นระเบียบสุด ๆ สมกับเป็นคนไร้บ้านที่ญี่ปุ่นจริง ๆแล้วเราก็เดินมาถึงงาน ท่ามกลางฝนโปรยงานจัดตรงลานกิจกรรมในสวนเลยซึ่งมีขายอาหารหลากหลายชาติมากซึ่งแพง ๆ ทั้งนั้น ซื้อกินไม่ลงเลยทีเดียวคำนวณดูแล้ว 1 จานกระดาษกะโหลกกะลาก็ 200-300 บาท ไม่อิ่มอีกต่างหากอารมณ์ว่าได้ไก่ 1 ชิ้น ขนมปังอีก 1 ชิ้น 200 บาท พ่องงง กรูไม่ซื้อโว้ย แพงเกิ๊นก็เดินเล่นดูงานไป พยายามใช้พลังงานให้น้อยที่สุด มิเช่นนั้นความหิวจะทำให้เสียเงินไปกับอาหารต่างชาติโครตแพงเหล่านี้อ้อ มีร้านคนไทยด้วยนะน้ำมพร้าวแก้วละร้อยกว่าบาท เหมือนซื้อเมืองไทยแก้วละ 25 น่ะเมืองไทยแก้วละ 25 ยังได้ทั้งน้ำและเนื้อเต็ม ๆ ซื้อที่นั่น ได้น้ำแข็งมาด้วย ทำให้น้ำเหลือไม่ถึงครึ่งแก้ว ซื้อไม่ลงจริง ๆคนไทยขายด้วย แต่ไม่ว่าจะน้ำอะไรก็แก้วละร้อยกว่าบาทด้อม ๆ มอง ๆ เข้าไปคุยแล้วรีบเดินออกมาขออภัย หนูมาแบบยาจก ฮา ๆมีบางร้านแถวยาวมากเลยนะอย่างร้านข้าวผัดสเปนเนี่ย คิวยาวมากแต่ไม่ไปต่อหรอกนะ 1 จานกระดาษ 200-300 บาท ผ่านนนนนตรงลานอีกฝั่งนึงก็มีการแสดง เราร่วมแจมกันได้นะกว่าเราจะได้เจอกับน้องจีนก็ทุลักทุเลเพราะเราไม่มี free wifi แถวนั้นเลยเลยต้องพึ่งน้องญี่ปุ่นให้โทรหาน้องจีนคนนั้นหน่อยแล้วเราก็ได้เจอกัน น้องจีนภาษาญี่ปุ่นดีมาก มาทำงานเป็นพยาบาลอยู่โตเกียวได้หลายเดือนแล้วน้องเพิ่งจบพยาบาลจากที่จีนมา แล้วก็เรียนภาษาญี่ปุ่นที่นั่นก่อนมาทำงานที่นี่ญี่ปุ่นต้องการพยาบาลมาก มีพยาบาล import มาเพียบเพราะบุคลากรของเค้าไม่พอแล้วพวกเราทั้งหมดก็เคลื่อนตัวไปที่ศาลเจ้าเมจิวันนี้เราใช้สมองในการจดจำทิศทางน้อยมากเพราะสามีน้องซายากะนำตลอด พวกเราสาว ๆ ก็มีหน้าที่เม้ามอยและเดินตามอย่างว่าง่ายศาลเจ้าเมจิใหญ่โตอลังการกว่าที่เราคิดไว้มากมายแต่ประตูศาลเจ้าก็ทำให้เราอึ้ง ตะลึงไปชั่วขณะยิ่งเข้าไปด้านใน เป็นสวนใหญ่โต แต่สงบมากมายต้องเดินซักพักนึงเลยนะกว่าจะถึงด้านใน ระหว่างทางก็เป็นเหมือนป่าเลย คือร่มรื่น สุขสงบใครอารมณ์ร้อน ๆ เข้ามา เดินยังไม่ถึงตัวศาลเจ้าด้านในก็จะสงบลงละเพราะทางเดินเข้าด้านในจะค่อย ๆ ปรับอารมณ์เราให้เย็นลงเองอย่างไม่ต้องพยายามแล้วก็เดินมาถึงอีกประตูนึง ซึ่งเหมือนกับประตูแรกนะ แต่ต้องเดินเข้ามาไกลเหมือนกันแล้วก็ยังต้องเดินเข้าไปอีกเออ เราเห็นคุณลุงคนนี้ที่ตั้งใจกวาดใบไม้มากเลยเราก็เลยบอกว่าคนญี่ปุ่นตั้งใจ๊ ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองที่เรารับมอบหมายดีเนอะทำแบบตั้งใจสุด ๆ ราวกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตตัวเองน้องซายากะเลยบอกว่าใช่ ๆ นี่เลย Japanese Spiritถึงซะทีประตูด้านในสุด กับบรรยากาศรอบ ๆ ศาลเจ้าพอไปถึงด้านในศาลเจ้าแม่เจ้าใหญ่โตอลังการ มีต้นไม้คู่ด้วย ดูน่ารักสมกับเป็นญี่ปุ่นมีคู่รักแต่งตัวชุดญี่ปุ่นมาเดินศาลเจ้ากันงุ้งงิ้ง ๆ ไม่วายไปขอถ่ายรูปกับเค้าด้วย น่ารักจุงให้ดูบรรยากาศในศาลเจ้าแล้วสิ่งที่เราอยากเห็น ก็ได้เห็นคือคนมาแต่งงานกันในศาลเจ้าแต่มีคนบอกว่ามีเกือบทุกวัน ไม่เห็นสิแปลกเราก็กลัวไม่เห็นนะ เพราะเวลาที่เค้าเดินออกมา เราอาจจะไปแล้วก็ได้แต่โชคดีที่ได้เห็นพอดีมีคนบอกว่าแต่งงานที่ศาลเจ้าเมจิต้องรวยมากนะ เพราะแพงมาก หลายแสนบาทเบื้องหน้าเบื้องหลังคู่บ่าวสาวคงเขินเหมือนกันเนอะพอเสร็จแล้ว ก็มาหลบฝนกันที่ร้านอาหารในศาลเจ้าหาอะไรกินกันนิดหน่อยสามีน้องซายากะน่ารักมาก หาน้ำท่ามาให้สาว ๆ ในกลุ่มทุกคนเลยแล้วพวกเราก็เริ่มง่วงนอนเราก็เริ่มมีอาการเหมือนเป็นไข้ หลังจากตากแดดมา 2 วันและตากฝนมาครึ่งวันเหมือนไม่ค่อยมีแรง ตาจะปิดให้ได้ แต่นี่มันเพิ่งบ่ายโมงกว่าเองนะไม่ได้ ๆ ชั้นขอคุ้ม ไปไหนต่อดีแผนพัง เลยคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรต่อสามีน้องซายากะเลยบอกว่า งั้นลองไปสเตเดี่ยมใกล้ ๆ กันมั้ยวันนี้มีเด็กม.ปลายมาแข่งยิมนาสติกกันพอดีเค้าให้เข้าฟรีด้วย ไปชม ไปเชียร์น้อง ๆ ม.ปลายได้ตามสะดวกโอ้ว คบคน local มันก็ดีอย่างนี้นี่เองได้ไปสถานที่ ๆ ไม่มีใน guide book ได้ไปสถานที่แปลกใหม่ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้นที่รู้ต่างชาติอย่างเราจะไปรู้ได้ยังไงว่าในนั้นมีการแสดง หรือเข้าได้รึเปล่าเป็นโชคดีของเราจริง ๆเราพากันไป Yoyogi National Gymnasiumมืดสลัวเกินไป เดี๋ยวไม่ชัด ขอปรับแสงขึ้นมาหน่อยละกันด้านในคนเยอะอลังการ เพราะเด็กม.ปลายเค้ามาเชียร์เพื่อน ๆ ของเค้ากันนี่เองอย่าคิดว่าเด็กม.ปลายเล่นยิมนาสติกกะโหลกกะลานะเฮ้ย เก่งมากเลย ท่ายาก และ พร้อมเพรียงมากดูแล้วยังอึ้งเลยในนั้นเค้าห้ามถ่ายรูป แต่ก็อดใจไม่ไหวแอบถ่ายมาถ่ายมาทั้งไข้กิน ง่วง ๆ เพลีย ๆ นั่นแหละท่านี้เด็ดสุด ท่ายาก แถมพร้อมเพรียงกันสุด ๆ เอาใจไปเลยน้องแข็งแรงมั่ก ๆ หลังจากนั้นคู่สามี ภรรยาก็ขอตัวกลับบ้านก่อนเหลือเรากับน้องพยาบาลจีน น้องพยาบาลเริ่มหิว เราเลยกลับไปที่งานนั่งคุยกันเล็กน้อยน้องพยาบาลเล่าให้ฟังว่ามาทำงานที่ญี่ปุ่นเหนื่อยมาก การบริการเค้ามาตรฐานสูงมากจริง ๆ ที่ญี่ปุ่น เค้าต้องเช็ดตัว อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนไข้ด้วยแต่ที่จีน เค้าไม่ต้องทำ เพราะเป็นหน้าที่ของญาติซึ่งจริง ๆ เค้าไม่อยากทำเลย แล้วทั้งคนไข้และญาติก็ดูจะจิกหัวใช้เค้ามากคือทำงานบริการตามมาตรฐานก็ยากแล้ว เจอความเยอะและความคาดหวังของคนญี่ปุ่นกับการบริการยิ่งเหนื่อยและหนักกว่าหลายเท่า แต่เค้าก็ต้องอดทนแล้วก็คุยถึงเรื่องการมาเดินเล่นวันหยุดในหลาย ๆ ที่ที่จะต้องมีผู้ชายญี่ปุ่นหรือผู้ชายต่างชาติมาขอ one night stand กับน้องเค้าซึ่งน้องเค้าก็ไม่เข้าใจว่าหน้าตาอย่างน้องเค้าดูเป็นผู้หญิงอย่างว่าหรืออย่างไรซึ่งเราก็ว่าน้องก็หน้าหมวย ๆ ใส่แว่น เหมือนเรา ทำไมน้องเจอแต่ผู้ชายอย่างนั้นหว่านี่เป็น 2 เรื่องที่จำได้ระหว่างคุยกับน้องเค้า หลังจากผ่านมาเกินครึ่งปีแล้วเราก็จะเอาขยะไปทิ้งแล้วก็ต้องตกใจ แกมประทับใจที่ญี่ปุ่นเค้ามีคนมาแยกขยะกันเป็นเรื่้องเป็นราวเลยนะไม่ใช่ว่าขยะนี่ จะทิ้งยังไงก็ได้นะแล้วแหม น้องที่แยกขยะยังหน้าตาดีเลย เจ๊ชอบตรงนี้ ฮา ๆแล้วเราก็ไปเดินเล่นที่ฮาราจูกุกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไข้กิน ไม่มีแรง ตาจะปิด เจ็บคอ น้ำมูกไหล ฯลฯคือสภาพป่วยมาก แต่ยังอยากเที่ยวให้หมดวันน่ะ เข้าใจมั้ยญี่ปุ่นไม่ได้มีโอกาสมาง่าย ๆ แต่ร่างกายไม่ถนอมมันแย่กว่ามั้ยวะเนี่ยอันนี้บรรยากาศทางเดินไปฮาราจูกุถึงสถานีแล้ว ขนาดฝนตกนะเนี่ย คนยังเยอะมหาศาลเดินต่อจากสถานีไปตามทาง เดี๋ยวก็ถึงถึงแล้วปากทางเข้าซอยมันไม่ลึกมากนะ แต่คนเยอะ ทำให้กว่าจะไปถึงสุดซอย เล่นเอาเหนื่อยกับมวลมหาวัยรุ่นญี่ปุ่น และ ต่างชาติขี้เกียจบรรยายละ เชิญทรรศนารูปเยอะมาก ถ่ายเพื่อเอามาลงบล็อคโดยเฉพาะ ตัวเองยังไม่ได้ดูเลย ย่อรูปลงหมดทุกรูปดูการแต่งตัวไว้เป็นตัวอย่าง นี่ขนาดหน้าร้อนนะเนี่ยน้องคนนี้โครตเท่เบย ถูกใจเจ้ ให้ 10 ดาวเบย กรี๊ด ๆ หุหุอย่างว่านะ ผู้ชายคนไหนโอเค เจ้ขอถ่ายหลายช็อตหน่อยนะ เป็นธรรมดา อุอุชอบเจ๊ชุดชมพูคนนี้มาก เลยถ่ายเก็บซะหลายช็อต ซูม ๆ เสื้อผ้า หน้าผมของเธอ ท่าทางชอบสีชมพูจริงจังนะเนี่ยถ่ายผู้ชายบนรถใต้ดินมาเยอะละเปลี่ยนมาถ่ายขุ่นแม่บ้างดีกว่ากลับมาถึงห้อง โฮสสิงค์โปร์ทำข้าวปั้น ซุปและเค้กชาเขียวให้กินจ้าซึ้งใจมาก ๆ กลับมาแบบป่วย ๆ เหนื่อย ๆ หิว ๆ แล้วมีอาหารรอนี่ มันสุดยอดเลยรีบกิน รีบคุย แล้วก็ตบท้ายด้วยยาแก้ไข้ แก้หวัด แก้ไอ แก้เจ็บคอดูซิว่าเช้าวันต่อไปจะรอดมั้ย กึ๋ย ๆๆๆๆปล. อัพช้าหน่อยนะ เพราะบล็อคญี่ปุ่นมันใช้เวลามากเหลือเกิน ทั้งเวลาในการพิมพ์ เวลาในการเลือกรูป ย่อรูป โหลดรูป ฯลฯ แต่จะพยายามให้เสร็จในเร็ววันเพราะเราจะได้ไปญี่ปุ่นอีกแล้ว ปลายเดือนนี้ แล้วไม่ใช่โตเกียวด้วยจ้า ไปหาหิมะที่ญี่ปุ่นจ้าเลยอยากรีบอัพโตเกียวให้เสร็จ เพื่อทริปญี่ปุ่นถัดไป เป็นใบไม้ผลิ แต่ไม่รู้ได้เห็นซากุระรึเปล่านะ เพราะขึ้นเขาไปหาหิมะแทน ตอนนี้ news feed บน facebook มีแต่คนไปญี่ปุ่น ตั้งแต่เหนือ จรด ใต้ เห็นซากุระจนเบื่อ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่เคยเห็นของจริง เพราะเพิ่งเคยไปครั้งแรกก็หน้าร้อนที่ผ่านมานี่แหละ ติดตามอ่านแต่ละตอนได้ตามลิงค์ด้านล่างนะคะเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พักเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบินเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียวเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรกเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วยเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรกเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอนเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดินเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJIเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่งเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 12 ไต้ฝุ่นเข้า เลยต้องเข้าดองกี้แทนตลาดนัดแบกะดินเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 13 วันสุดท้ายในโตเกียว วัดเซ็นโซจิและสวนอุเอโนะ