วันที่สามในฮ่องกงคนเดียวกับการเที่ยวกับหนุ่มฮ่องกงคนเดิมเพิ่มเติมด้วยผู้หญิงอีกคน
ใครยังไม่ได้อ่านตอนก่อน ๆ กลับไปอ่านก่อนนะค้า เพื่อความต่อเนื่อง เพราะหนุ่มวันที่สามคือหนุ่มคนที่เราเม้าเอาไว้ตั้งแต่บล็อคแรกถึงความเป็นมาเป็นไปละค่าเครื่องลงฮ่องกงปุ๊บก็นัดบอดหนุ่มฮ่องกงมากินข้าวมื้อแรกด้วยกันเล้ยวันที่สองในฮ่องกงคนเดียวกับการนัดบอดหนุ่มคนที่สองวันที่สามในฮ่องกงคนเดียวกับการเที่ยวกับหนุ่มฮ่องกงคนเดิมเพิ่มเติมด้วยผู้หญิงอีกคนวันที่สี่ในฮ่องกงคนเดียว ฝนเทกระหน่ำ หมดกันแผนการเดินเขากับหนุ่มฮ่องกงของช้านวันที่ห้าในฮ่องกงคนเดียว กับการเดินลงเขาที่มืดและน่ากลัวที่สุดในชีวิตเช้าวันที่สามหนุ่มก็นัดเราที่ป้ายรถเมล์ตรงข้ามโฮสเทลเราเลยเพราะเราจะนั่งรถเมล์ไปที่ Repulse Bayแต่ ๆเราหาหนุ่มไม่เจอเพราะตรงข้ามโฮสเทลมันมีหลายป้ายรถเมล์เหลือเกินเพราะที่บ้านเค้า ป้ายนึงมีแต่รถ 2-3 สายจอดถัดไปอีกหน่อยก็มีอีกป้ายนึงที่มีอีก 2-3 จอดไม่ใช่ป้ายเดียวจอดทุกคนเหมือนบ้านเราแล้วเราก็มัวแต่โอเอ้ไปซื้อกาแฟไต้หวันที่เราต้องกินทุกเช้าก่อนเริ่มเที่ยวอร่อยยังไง อ่านได้บล็อคที่แล้วนะแจ๊ะ เดินไปเดินมาอยู่หลายรอบกว่าจะเจอหนุ่มแล้วยังไงรู้มั้ยพอเจอหนุ่มตกใจมากหนุ่มมาในชุดเดิม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!คือ ๆ เข้าใจนะถ้ามาเสื้อหนาวตัวเดิมแต่ข้างในเปลี่ยนตัว เราโอเคนะ เพราะเสื้อกันหนาวซ้ำได้แต่นี่มาเหมือนเดิมตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกลิ่นตุ ๆ!!!!!!!!!!!!!เราไม่ได้คิดไปเองนะเพราะเราเอารูปที่ถ่ายกับหนุ่มเมื่อวานกับวันนี้มาเทียบกันเหมือนกันเป๊ะตั้งแต่เสื้อ เกงเกง ถุงเท้า รองเท้า!!!! เฮ้ย ไม่ไหวป๊ะ????เค้าคิดว่าเราจำไม่ได้เหรอว้าจริง ๆ ก็จะจำไม่ได้นะ ถ้าเมื่อวานเค้าไม่ได้ถอดเสื้อนอกออกเพราะที่ปีนเขาเมื่อวานเค้าถอดเสื้อนอกออกจะเป็นเสื้อโปโลสีฟ้าใช่มะ รูปหนุ่มบล็อคที่แล้วที่เห็นหลังไว ๆ นั่นแหละแล้ววันนี้ก็มาเหมือนเดิมเลยเฮ้ยคือ คิดว่านอนทั้งชุดนั้น และออกมาทั้งชุดนั้นไม่ได้อาบน้ำแน่เลยเพราะมาพร้อมกลิ่น เอิ่ม............. แต่ก็เอาวะ ช่างแม่ง ให้เค้าพาเที่ยว ไม่ได้มาเดท เหอะ ๆเราก็นั่งรถเมล์อย่างสบายใจมองวิวข้างทางเพลินเลยรถติดนี่มันแผงอัลไล ดูแล้วชวนเวียนหัว มโนว่าต้องแต่งมาอยู่ที่นี่ อยู่ไม่ได้นะ พูดเลยยยยก่อนที่รถเมล์จะขึ้นเขาไปอีกฟากนึงของเขาที่เราจะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกันหนุ่มก็เล่าให้ฟังว่ายูเห็นมั้ยว่ารถเมล์ขึ้นเขาน่ะ จะมีส่วนเสาตรงด้านหน้า เพื่อกันพวกต้นไม้ไหล่เขาที่ยื่นออกมาไม่ให้โดนกระจกรถแล้วรถเมล์ข้ามเขาเนี่ย มีอยู่แค่สองสายแล้วสองสายนี้ขาดทุนตลอดเนื่องจากไม่ค่อยมีคนใช้บริการแต่รถเมล์ก็ยังต้องวิ่ง เพราะก็ยังมีบางคนที่ต้องใช้ไม่งั้นก็จะไม่มีรถสาธารณะที่เข้าถึงเลย เราก็มองดูวิวภูเขาสังเกตได้ว่าบนเขา มีแต่คอนโดสวย ๆแล้วไม่ได้ติด ๆ กันหมดหนุ่มบอกว่าคนที่อยู่แถวนี้ได้ต้องรวยมากเพราะคอนโดบนเขาแพงมากกกกกกก กอไก่ล้านตัวจะมีของรัฐบาลบ้าง ซึ่งสังเกตง่ายมาก เพราะมันดูเก่าและสกปรกมีคนลงระหว่างเขาบ้างประปราย แต่น้อยมากนั่งวนขึ้นเขาไปไม่นาน หนุ่มก็เรียกให้ลง เราก็ผ่านชายหาดไปไหว้แม่เจ้ากวนอิมกันอากาศดีมากกกกกกกกกกกกก22 องศาแต่แดดเปรี้ยงเย็นสบาย ลมดี ไม่หนาวเพราะแดดเปรี้ยงชวนให้ตัวดำอย่างยิ่งเพราะไม่ร้อนแล้วอยากเดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆทรายละเอียดดีนะเรามาพร้อมคณะทัวร์คนจีนแต่รู้สึกว่าทัวร์คนจีนจะอยู่ที่ชายหาดนานเป็นพิเศษเราก็ถามหนุ่มว่ารู้ได้ไงว่าเค้าเป็นคนจีนถ้าเค้าไม่พูดหนุ่มบอกว่า ดูง่ายจะตายคนจีนจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าถูก ๆ ดูไม่มีสไตล์ใด ๆดูที่รองเท้าที่เค้าใส่ก็ได้ง่ายมากเพราะผู้หญิงจีนจะใส่รองเท้าบูทราคาถูกที่กันหนาวไม่ค่อยได้ แต่ดูแฟชั่นจ๋าแต่ผู้หญิงฮ่องกงมักจะใส่รองเท้าบูทที่แพง กันหนาวได้ดี และมีสไตล์ไว้ชั้นเจอแล้วเดี๋ยวชั้นชี้ให้ดูแต่ทั้งทริป ก็ไม่ได้ชี้ให้ดู เพราะเราก็ลืมเรื่องนี้กันไป ฮา ๆ แล้วเราก็ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกันเราไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าต้องไหว้อะไรบ้างเลยนั่งเปิด google กับหนุ่ม ซึ่งหนุ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องไหว้ยังไงเค้าบอกว่าเค้าไม่ได้มาเป็นสิบปีเลยมั้งแต่ระหว่างที่หาดู เราก็ได้ยินเสียงคนไทยเป็นระยะเราก็เลยขี้เกียจจะหา เดินไปถามกลุ่มคนไทยแถวนั้นเลยเป็นน้อง 3 คนซึ่งกำลังจะกลับเค้าก็บอกว่า เข้าไปถามกลุ่มคนไทยเลยพี่ ข้างในยังมีอยู่เราก็เข้าไปถามคนไทยกลุ่มนึง เป็นคู่แฟนแล้วมากับครอบครัวทั้งคู่คิดว่าผู้หญิงเป็นหาข้อมูลมาก็เลยร่วมไหว้ไปกับเค้าด้วย เพราะเค้าเพิ่งมาถึงแล้วกางโพยพอดีครอบครัวนี้บอกว่า จริง ๆ น่าจะมาเร็วกว่านี้นิดนึงเพราะทัวร์เพิ่งออกไป เป็นทัวร์ไหว้พระ เราก็จะสบาย ทำตามไกด์ไปกับกลุ่มทัวร์เลยเราก็เริ่มไหว้จนครบ เสมือนเป็น 1 ในครอบครัวเค้าเลยส่วนหนุ่มชั้นก็เห็นว่าเราเอ็นจอยคุยกับกลุ่มคนไทย ก็เลยไหว้เงียบ ๆ ของเค้าไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรกับเรา ซึ่งโอเคเลย เราจะได้เม้ากับกลุ่มคนไทยต้องไม่ต้องเกรงใจแปลให้ฮีรู้เรื่องด้วย ไหว้เสร็จ ให้กลุ่มคนไทยถ่ายรูปให้เสร็จถึงเวลาฉี่ ให้หนุ่มหาที่ฉี่ให้อี๊กดีนะ มันมีห้าง ห้องน้ำสะอาด รอดตัวไปแล้วเราก็เดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายสังเกตได้ว่า รถยนต์ที่วิ่งบนเขานี่ มีแต่รถแพง ๆ เปิดประทุนคงจะจริงว่าถ้าบ้านอยู่คนเขาได้นี่ต้องรวยมากแล้วส่วนใหญ่คนขับรถเปิดประทุนก็หน้าฝรั่งจ๋าเชียว เสร็จแล้วเราก็นั่งรถเข้าเมืองกันวัดที่เราจะไปอีกที่คือวัดหวังต้าเซียนรู้สึกว่าเป็นวัดที่คนไปขอพรเรื่องสุขภาพกันแต่ก่อนจะไปที่นั่น เราแวะเดินเล่นย่าน wanchai กันก่อนซึ่งเมื่อวานก็ได้ผ่านแว้ป ๆ แล้วแต่ยังไม่ได้เดินเล่นเลยเพราะขึ้นใต้ดินมาก็มุ่งไปร้านที่จะกินเลย กินเสร็จก็ไปที่อื่นต่อเลย หนุ่มก็ชี้ชวนให้ดูว่า ย่านนี้มีอะไรบ้างมีตึกเก่าเป็นร้อยปีอยู่ รู้สึกว่ามีตึกนึงเคยเป็นไปรษณีย์มาก่อน แล้วตอนนี้เป็นอะไรไม่รู้จำไม่ได้แต่มันอยู่มาเป็นร้อยปีเลยแล้วหนุ่มบอกว่า มาแถวนี้บ่อย เพราะอากง อาม่าอยู่ที่นี่Wan chai เป็นเหมือนย่านธุรกิจหน่อย ๆ แต่ไม่เป็นดงเท่าตรง central ออกมานิดนึงมันจึงมีความย้อนแย้ง มีทั้งตึกใหม่และตึกเก่า โทรม 4-5 ชั้น เก่า ๆ สกปรก ๆ อยู่แซม ๆ กันอยู่ซึ่งอากง อาม่าของหนุ่มเราก็อยู่ตึกเก่า ๆ โทรม ๆ ตึกนึงแถวนี้แหละอยู่ชั้น 5 ด้วยนะ ไม่มีลิฟต์จ้ะ ปีนกันขึ้นไปดูท่าทางจะเป็นคนแก่ที่แข็งแรงน่าดูจริง ๆ เค้าอยากย้ายนะ แต่รอให้มีคนมาซื้อตึกแล้วให้เงินก่อนค่อยย้ายคงอยู่ตึกนั้นมาชั่วชีวิต แล้วรอเมืองขยายซึ่งเค้าก็มีซื้อตึกเก่า ๆ โทรม ๆ เยอะแล้วเหมือนกัน แล้วสร้างเป็นตึกออฟฟิศ แล้วหนุ่มก็พาไปดูวัดเล็ก ๆ ในชุมชมตรงแถวนั้นที่สมัยเด็ก ๆ ก็มากับอากง อาม่าอยู่บ่อย ๆเป็นวัดท้องถิ่นจริง ๆ คิดว่าคงไม่มีอยู่ในไกด์บุ๊คที่ไหนสำหรับคนฮ่องกงที่อยู่ย่านนั้นไว้พักใจจริง ๆเราก็เข้าไปไหว้ตามสไตล์เราแล้วพอดีมีเซียมซี เราก็บอกให้หนุ่มลองเสี่ยงเซียมซีดูสิ ไหน ๆ ก็มาวัดแล้วหนุ่มก็เลยเสี่ยงพอเสี่ยงเสร็จ ไปรับใบเซียมซีเห็นหนุ่มจ่ายเงินไป 20 เหรียญก็นึกว่าบริจาคให้วัดจริง ๆ ไม่จ้ะ เป็นค่าเอาใบทำนายเลขเซียมซี!!!!!!!!!!ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ มารู้อีกทีที่วัดหวังต้าเซียน เพราะบริเวณวัด มีร้านเป็นห้องแถวเล็ก ๆ มีซินแสนั่งกันสลอนเป็นร้อยร้านเลย ซึ่งเราแปลกใจมากที่วัดที่ฮ่องกง เวลาเสี่ยงเซียมซี เสี่ยงฟรีนะแต่จะเอาผล ต้องเสียเงิน 20-30 เหรียญ เฮ้ย นี่มันอัลไล ธุรกิจชัด ๆจริง ๆ เอาใบทำนายที่เป็นเลขน่ะ ควรจะฟรีนะแล้วถ้าอ่านไม่เข้าใจ ค่อยจ่ายเงินให้แปลยังรู้สึกว่าโอเคหน่อยแต่นี่ขนาดใบทำนาย ยังต้องจ่ายเงินเพื่อจะเอาใบนั้นเลย ไม่ไหว ๆ ดีนะไม่เสี่ยง หนุ่มก็ไปให้ซินแส ซึ่งวัดชุมชนนี้มีอยู่แค่คนเดียวซึ่งคุยนานมากกกกกกกกกกกกกแล้วหนุ่มก็มาเล่าให้ฟังว่าซินแสบอกว่า หนุ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ รวมถึงคนในครอบครัวด้วยแล้วก็บอกอีกว่า หนุ่มทำงานกะกลางคืนใช่มั้ยซึ่งบางครั้งมันดูง่ายป่าวว้า (มิได้ลบหลู่)แต่ใต้ตาหนุ่มเราคล้ำมาก แล้วซินแสอาจจะเจอลูกค้าแบบนี้มาเยอะเลยทายถูกเพราะหนุ่มเราจบวิศวะแล้วเป็นพนักงานขับรถไฟฟ้าใต้ดินกะกลางคืนแล้วไหนจะเรื่องแม่เค้าอีกที่เพิ่งผ่าตัดเปลี่ยนไตอยู่จีน อยู่นอนอยู่ รพ ที่จีนรอว่าไตที่เปลี่ยนจะเข้ากันได้มั้ยภายใน 2 อาทิตย์ซึ่งซินแสก็ทำนายได้เหมาะเหม็งในเรื่องที่หนุ่มเค้ากังวลอยู่เลยทั้งเรื่องสุขภาพของเค้าและแม่เค้า แล้วเราก็เห็นว่าเราจะทำพิธีแก้ชง หรือล้างซวย หรืออะไรซักอย่างที่จ่ายค่ากระดาษเงิน กระดาษทอง กระดาษแดงและธูปเทียนเครื่องเซ่นอะไรหลายอย่างไป 200 เหรียญ (ก็ร่วมพันบาทบ้านเรา)แล้วซินแสก็เรียกเราเข้าไปหาเฮ้ย ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เนอะว่าเรียกไปทำไม เพราะหนุ่มยังไม่แปลให้ฟังอยู่ดี ๆ เรียกเราเข้าไป ตูไม่ทำพิธีด้วยนะเว้ย จะมาทำเสน่ห์อัลไล ไม่อยู่นะฮ๋องกง อยู่ไม่ได้โว้ยอิป้านี่ก็มโนเข้าไปจริง ๆ แล้วซินแสให้มาดูก่อนทำการสะเดาะเคราะห์ว่ายูดูนะ ตอนนี้หน้าผากหนุ่มดูมัวหมองไม่สดใสเดี๋ยวสะเดาะเคราะห์เสร็จ หน้าผากจะผ่องใส แต่ใต้ตาจะคล้ำลงมันมหัศจรรย์อย่างนั้นเลยเราก็โอเค ๆ เดี๋ยวจะรอดูซินแสเรียกมาให้ดูหน้าหนุ่มเวอร์ชั่น before ก่อน แล้วให้จำไว้ เดี๋ยวดู after อีกทีแล้วเราก็ปล่อยหนุ่มไปทำพิธีซึ่งจะคล้าย ๆ กับการฮู้ในวัดจีนบ้านเรานั่นแหละจริง ๆ คือเราไปเอาบ้านเค้ามามากกว่า ฮา ๆคือการเอากระดาษปึกนั้นสวดมนต์หรือท่องอะไรเนี่ยแหละแล้วก็เอามาลูบตั้งแต่หัวจรดเท้า กี่รอบก็ไม่รู้แล้วซินแสก็เรียกให้เรามาดูเวอร์ชั่น afterคือใต้ตาเนี่ย คล้ำลงรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะใต้ตาหนุ่มเราก็คล้ำอยู่แล้วเพราะเค้าทำงานกะกลางคืน นอนกลางวันแต่ที่เห็นได้ชัดคือ หน้าผากสว่างขึ้นนิดนึงแล้วก็อมชมพูตรง 3 จุดนูน ๆ ตรงหน้าผากซึ่งเราไม่รู้ว่ามันคือว่าอัศจรรรย์หรือเพราะกระดาษแดงที่เค้าให้ไล่ตั้งแต่หัว ผ่านหน้าผากจรดปลายเท้าก็ไม่รู้ แล้วซินแสก็คุยกับหนุ่มอีกอีกนานชาติ จนเรารอเมื่อยต้องเอามือถือขึ้นมาเล่นนานเลยทีเดียวแล้วหนุ่มก็กลับมาเล่าให้ฟังว่าเนี่ย ซินแสเค้าพูดว่าหนุ่มต้องมาสะเดาะเคราะห์รอบใหญ่อีกรอบนึงอีกประมาณสองสามพันเหรียญเพื่อที่จะดูเรื่องชาติที่แล้วด้วยเพราะสังเกตได้ว่า หนุ่มเรา มือเค้าผิดปกติน่ะคือมือก็ใช้การหยิบจับอะไรได้นะ แต่ผิดปกติจริง ๆคือมือเค้าจะเหลืองและแห้งลอก แล้วนิ้ว+เล็บจะแหลมเหมือนมนุษย์ต่างดาวอ่าคือ....จะพูดไงดีด้วยความที่เราไม่เคยจับมือเค้านะแต่ที่เราเห็น มือเค้าจะมีหนังแข็ง ๆ หุ้มทั้งมือเลยแล้วมือมีสีเหลืองแบบเหลืองผิดปกติแล้วนิ้วกับเล็บก็จะแหลมมากแบบผิดปกติแต่ใช้การได้เหมือนคนทั่วไปน่ะซึ่งเค้าบอกว่า มือเค้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว ซินแสก็บอกว่าที่ทำพิธีไปวันนี้เป็นชุดเล็กแต่ภายในเดือนสองเดือนนี้ควรจะมาทำชุดใหญ่เพื่อเปิดดูอดีตชาติว่าทำอะไรมา ถึงได้เกิดมาด้วยมือผิดปกติแบบนี้แล้วอาจจะต้องคุยกับเจ้ากรรมนายเวร แล้วหาทางแก้ไขซินแสคิดว่าชาติก่อน หนุ่มอาจจะเคยทำโรงฆ่าสัตว์ เป็นมือสังหารนั่นแหละชาตินี้ถึงเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ ต้องมาจ่ายเงินอีกเป็นหมื่นนั่นเอง (เราคิดว่านะ) หนุ่มก็คิดหนักว่าควรทำดีมั้ยเพราะปีนี้เป็นปีที่ไม่ดีของเค้าเลย เพราะเค้าป่วยบ่อย แล้วเพิ่งล้มหรือสะดุดข้อเท้าแพลงด้วยไหนจะเรื่องแม่เค้าอีกหนุ่มเครียดเลยทีเดียวแล้วการเที่ยวของเราก็ไม่สนุกตั้งแต่บัดนั้นเพราะหนุ่มเราคำพูดของซินแสมาคิด แล้วก็โทรหาเพื่อนว่าควรทำดีมั้ยอธิบายเหตุการณ์ให้ฟังแล้วก็โทรหาญาติอีกรอบแต่ญาติบอกว่า ไม่ต้องเชื่อมากก็ได้ เราก็อยู่มาได้ ถ้าไม่เจอซินแสทักแล้วเราก็ทำพิธีไปแล้วนี่คือ เพื่อนหนุ่มบอกว่า นี่หนุ่มก็เชื่อซินแสอยู่แล้วเพราะถ้าไม่เชื่อก็จะไม่ทำพิธีวันนี้หรอก (เออ ก็จริง) แล้วเราก็ไปกินร้านอาหารตามสั่งห้องแถว ๆ นั้นที่ก่อนไปวัดเราผ่านร้านนี้รอบนึงแล้ว แล้วรู้สึกว่ามันต้องอร่อยแน่เพราะคนฮ่องกงกินกันเต็มร้านเลยมีสามพัดผัดราดข้าว หมี่ผัดก็มีแล้วเลยชวนหนุ่มกินร้านนี้กัน ซึ่งหนุ่มก็โอเคหมดเพราะหนุ่มมัวแต่คุยโทรศัพท์ปรึกษากับคนนั้นคนนี้ว่าจะต้องจ่ายอีกหลายร้อยเหรียญเพื่อทำพิธีชุดใหญ่ดีมั้ยเราก็สั่งข้าวผัด ส่วนหนุ่ม สั่งไร จำไม่ได้เหมือนกันเรานั่งรวมกับคุณลุงอีกสองคนซึ่งสั่งเข้ามานั่งทีหลังและสั่งทีหลังเราแต่อาหารคุณลุงน่ากินมาก เป็นปลาทอดราดซอสข้าวโพดหรืออะไรไม่รู้น่ากินได้ ข้าวผัดของเราอร่อยนะมาเป็นเซ็ตพร้อมชานมร้อนซึ่งคนที่นี่กินชานมร้อนกันเป็นเรื่องปรกติ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ในเซ็ทคือข้าว 1 อย่าง กับ ชนนมร้อน 1 แก้ว 40 กว่าเหรียญตลอด ๆเซ็ทเราก็ 42 เหรียญของหนุ่มก็ 42 เหรียญเท่ากันแล้วมื้อนี้แหละ เป็นมื้อที่เราสามารถจ่ายเงินเลี้ยงหนุ่มคืนบ้างหลังจาก 2 มื้อเมื่อวานที่หนุ่มแย่งเราจ่ายตลอด ๆที่เราเลี้ยงหนุ่มคืนได้เพราะหนุ่มยังคุยโทรศัพท์ปรึกษาเพื่อน ๆ ญาติ ๆ อย่างกังวลใจอยู่ แล้วเราก็เดินทางต่อไปที่วัดหวังต้าเซียนระหว่างทางเด็กเลิกเรียนพอดี น่ารักมากกกกวัดหวังต้าเซียนเป็นวัดใหญ่มาก ท่าทางเซียมซีที่นี่จะศักดิ์สิทธิ์เพราะวัดนี้มีลานสำหรับเสี่ยงเซียมซีกลางแจ้งใหญ่เว่อวัง อลังการมากด้วยความที่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เนอะว่าเราต้องเสียเงินค่าเอาใบทำนายเราก็เลยไปเสี่ยงตรงลานดูเหมือนโดนสะกดจิตน่ะเพราะทุกคนที่มาก็ต้องไปเอาเซียมซีมาเสี่ยงตรงกลานกว้างนั้นแล้วเราก็ลองให้หนุ่ม ซึ่งกังวลเรื่องพิธีนั่นมาเสี่ยงดูอีกรอบเพื่อคอนเฟิร์มเนอะเสี่ยงเสร็จ ได้เลขมาไปขอใบเซียมซีฮีบอกว่า ต้องไปเสียเงินเอาใบและให้เค้าอ่านและแปลคำทำนายตรงร้านซินแสด้านซ้ายของวัดซึ่งแบ่งซอยเป็นห้องเล็ก ๆ สำหรับซินแส 1 คนอยู่เป็นร้อยห้องเลยแต่วันที่เราไป เปิดไม่ถึงครึ่งตอนที่เราสองคนเดินผ่าน เหมือนซินแสทุกคนพยายามกวักมือเรียกให้เค้าไปให้เค้าทำนายเหมือนร้านหมอดูแถวท่าพระจันทร์ยังไงยังงั้นแล้วมันน่าเชื่อถือมั้ยว้าแล้วจะเอาอะไรมาตัดสินว่าน่าเชื่อถือรึเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้แต่ที่รู้ ๆ กรูไม่จ่ายเงินแน่นอน ได้เลขมาก็ช่างมันคิดซะว่าเป็นเรื่องดีก็แล้วกัน ไม่อยากเสียเงินแต่หนุ่มเราต้องการรู้ผลคำทำนายเราก็เดินกันสองรอบรอบแรกคือพาเราทัวร์ร้านซินแสทั้งหมดก่อนรอบสองค่อยเลือกว่าจะเอาซินแสคนไหนดีซึ่งซินแสแต่ละคนก็จะมีบุคลิคต่างกันบางคนก็ hard sale ซะเหลือเกินคือควักมือเรียกไม่พอ ตะโกนเรียก ลดค่าดูให้ด้วย แถมพูดเป็นภาษาอังกฤษอีกต่างหากเพราะเจ๊ซินแสคนนึงคงพอรู้ว่าอิหมวยนี่เป็นต่างชาติแน่เลยเพราะพูดกวางตุ้งใส่แล้วทำหน้าเหวอไม่รู้ไม่ชี้ 555 แต่หนุ่มก็เลือกซินแสผู้ชายดูมีวัยข้าง ๆ เจ๊ซินแสที่ตะโกนโหวกเหวกนั่นแหละแล้วเราก็ปล่อยให้หนุ่มนั่งฟังคำทำนายไปเราก็ไปเดินเล่นดูรอบวัดว่ามีอะไรบ้างซึ่งข้างหลังวัด ทำเป็นสวนจีน สวยเชียว มีศาลาเก๋งจีน มีทำเป็นแม่น้ำ มีสะพาน มีภูเขา น้ำตกไม่รู้ว่าเอาตามหลักฮวงจุ้ยรึเปล่า ซึ่งคิดว่าก็ชัวร์อยู่แล้วเพราะฮ่องกงเป็นเมืองแห่งฮวงจุ้ยอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าวัดนี้แหละที่เค้ามาขอพรความรักกันด้วยที่มีการผูกด้ายแดงเวงละ ไม่ได้ศึกษาเล้ย กะมาไหว้ขอขำ ๆ แต่อยากได้จริงจัง ก๊าก ๆเดิน ๆ แป๊บ ๆ หนุ่มก็ส่งข้อความตามแล้วหนุ่มก็บอกว่า ซินแสคนนี้ก็บอกคล้าย ๆ กันให้ระวังเรื่องสุขภาพเอิ่ม....คิดแบบชั่ว ๆ หน่อยนะคือวัดนี้เนี่ย ดังเรื่องสุขภาพ คนก็มาขอพรเรื่องสุขภาพอาจจะดังเรื่องเซียมซีแม่นแต่ส่วนใหญ่คนที่มาเซียมซีคือคนที่ตัวเองหรือญาติพี่น้องมีปัญหาเรื่องสุขภาพป่าวว้าแอบรู้สึกแย่ตั้งแต่ เสี่ยงเซียมซีฟรี แต่ต้องจ่ายเงินเพื่อเอาใบทำนายละ ทำไมเราต้องจ่ายวะไปประเทศไหน ไม่เห็นต้องจ่ายเลยแหม่ เคยเสี่ยงแค่เมืองไทยกะญี่ปุ่น ทำเป็นพูด ทำอย่างกะตูไปเสี่ยงมันทุกประเทศ ก๊าก ๆด้านหลังวัดเป็นสวน มีภูเชาจำลอง น้ำตก สะพาน น่ารักมากชอบบบบรู้สึกว่าอยู่ในสวนจำลองนี้แล้วเย็นจิตเย็นใจ เดินในวัดจนวัดปิดเลย 5-6 โมงเย็นเนี่ยแหละออกมาเจอทัวร์กลุ่มนึง แต่งชุดดำล้วนทั้งคณะ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นกลุ่มทัวร์คนไทยเราว่าน่ารักดีนะ ที่ไว้ทุกข์กัน ไม่ว่าจะไปเที่ยวไหนก็ไว้ทุกข์เรามาเที่ยวเดือนพฤศจิ ซึ่งก็เลย 1 เดือนที่รัฐบาลกำหนดให้ไว้ทุกข์แล้ว เราก็ดำแต่งดำล้วน ไม่ก็ดำขาวอยู่เหมือนคนไทยกลุ่มนี้เหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุทั้งคณะแต่งกันสีดำเรียบร้อยซึ่งเราก็บอกหนุ่มเลยว่า เนี่ย ภายใน 1 ปีนี้นะให้สังเกตดู ถ้ากลุ่มไหนแต่งที่ดำล้วนหลาย ๆ คน มั่นใจได้เลยว่าเป็นทัวร์คนไทยไม่เหมือนเพื่อนอิชั้นค่าไปยุโรปปลายเดือนตุลา หอบเสื้อโค้ทแป๋น ๆ ไปจ้าบอกว่า ออกนอกประเทศไม่เป็นไร อยู่ที่ใจก็จริง เค้าก็ไม่ผิดแต่เราว่าแต่งสีมืด ๆ มันดูเรียบร้อยกว่าเป็นไหน ๆ เย็นวันนี้ เรามีนัดกับอาเจ้ฮ่องกงคนนึงที่ชีเป็นทอม แต่เป็นทอมที่ไม่ได้แมนมาก แต่ตัดผมสั้น หุ่นก็ผอมบางทำงานระดับสูงเราเคยเจออาเจ้คนนี้ที่เมืองไทยก่อน ตอนอาเจ้มาเที่ยวกับแฟนดี้ของอาเจ้ด้วยความที่อาเจ้หาตังได้เยอะอาเจ้นอน รร 5 ดาวริมแม่น้ำจ้าเราก็ถามเจ้ว่าไปนอนทำไมตรงนั้น ไกลแหล่งช้อปปิ้งเจ้พูดเลยว่า ไม่อยากนอนใกล้กลุ่มทัวร์คนจีนกลุ่มทัวร์คนจีนจะนอนแหล่งแหล่งช้อปปิ้ง ไม่นอนริมแม่น้ำเจ้เลยจองนอนริมแม่น้ำจ้าแล้วเจ้มาก็ไม่ช้อปประตูน้ำนะจ๊ะ เจ๊ช้อปแต่บนห้างหรูแล้วก็เข้าสปาใน รร ตัวเองจ้า เริ่ด ๆ สวย ๆ ชอบเจ้จริง ๆ ตอนเราไปฮ่องกง เราก็บอกเจ้ล่วงหน้าไปแล้วแหละว่าจะไปเจ้ก็บอกว่าได้ ๆ เจอกันวันเสาร์แล้วกัน เดี๋ยวพาเดินเล่น กินข้าวในเมืองครึ่งวันเช้าเพราะตอนบ่ายเจ้มีอะไรอย่างอื่นต้องทำไอ้เราก็คิดโห่ เจ้ เสาร์ อาทิตย์ เป็นวันที่หนุ่ม ๆ เค้าว่าง ขอไปใช้เวลากับหนุ่มทั้งวันแล้วกันเลยบอกเจ้ว่า งั้นเปลี่ยนเป็นนัดกินข้าวกันวันศุกร์ดีกว่าเพราะวันเสาร์ชั้นจะไปจอยกลุ่มปีนเขาแล้วไปปีนเขาทั้งวันดีกว่าเพราะรู้อยู่แล้วว่าเจ้ไม่ไปปีนเขาด้วยแน่ ๆ เจ้ก็ถามว่าจะกินอะไร กินติ๋มซำมั้ยเราก็กินอะไรก็ได้อยู่แล้ว เจ้เสนออะไรมาก็มีหน้าที่สนองอย่างเดียวแต่ด้วยความที่เจ้ติดหรูรู้เลยว่าติ๋มซำที่เจ้จะพาไป มันต้องไม่ใช่ติ๋มซำข้างทางเข่งละร้อยครึ่งร้อยแน่ ๆอย่ากระนั้นเลยรีบชิงซื้อของฝากจะเมืองไทยไปให้เจ้เยอะ ๆ ดีกว่าเพราะคิดว่าเจ้ต้องเลี้ยงแน่นอน เอาแบบว่าราคาอาหารพอ ๆ กะค่าของฝากให้ไม่น่าเกลียด แผนสูงนะยะ เจ้ก็นัดมาว่าให้ไปเจอกันที่ร้าน Social Place สถานี Central ตอนทุ่มครึ่งเราเลยมีเวลาเหลือ แล้วพยายามไล่หนุ่มที่มาด้วยกลับหนุ่มก็ไม่ยอมกลับ จะส่งให้ถึงมือเจ้ก่อนหนุ่มเลยพาไปเดินมงก๊กมั้งที่มันมีตลาดดอกไม้ อุปกรณ์ตกปลาอะไรต่าง ๆเพราะมันมีเวลาเหลือตั้ง 2 ชั่วโมงได้ก่อนไปเจออาเจ้ที่ขายเกาลัดในฮ่องกงเป็นของหายาก เพราะทางการฮ่องกงไม่ชอบ เพราะมันสกปรก อยากกวาดล้างให้หมดไปแต่ยังพอเห็นได้เจ้า สองเจ้า เลยถ่ายมาซะหน่อยไปดูตลาดดอกไม้ให้เจริญตา เจริญใจกันแล้วระหว่างเดินเล่นดูดอกไม้อยู่นั้นน้องคนไทยที่จะกลับวันนี้ก็ส่งข้อความมาให้หนุ่มเราแปลให้หน่อยคือน้องคนนี้ เราเจอที่สนามบิน นั่งแอร์เอเชียมาด้วยกันแล้วเรามารู้ทีหลังว่าจริง ๆ น้องเค้าจองฮ่องกงแอร์ไลน์ไว้แต่สุดท้ายเปลี่ยนวัน น้องเลยซื้อแอร์เอเชียมาฮ่องกงขาเดียวแล้วขากลับกะว่าจะกลับกับฮ่องกงแอร์ไลน์ที่ซื้อแบบไปกลับเอาไว้แล้วพอน้องเข้าไปเลือกที่นั่ง มันเลือกไม่ได้ ต้องติดต่อหน้าเคอร์เตอร์ที่สนามบินเท่านั้นแล้วสุดท้ายฮ่องกงแอร์ไลน์บอกว่า บินกลับไม่ได้ เพราะขามาฮ่องกงไม่ได้บินมาเฮ้ยเป็นความรู้ใหม่ว่าถ้าไม่ได้นั่งขามา ขากลับก็ต้องโดนแคนเซิลไปเลยน้องเค้าเลยจำใจต้องซื้อแอร์ เอเชียขากลับตอนนั้นด้วยแอบถามน้องว่าน้องซื้อแอร์ เอเชียขาเดียวกลับ กทม เท่าไหร่น้องบอกว่า 6,800!!!!!!!!!!!!!!โอ้วแม่จ้าวนี่ใช่มั้ยคือการทำกำไรจากสายการบินเราซื้อตั๋วตอนโปร จองล่วงหน้า 1 ปีพอดี รวมค่าประกันก็ 3,300แต่น้องซื้อหน้างาน ขากลับขาเดียว 6,800 หลังจากเดินเล่นเสร็จเราก็บอกหนุ่มว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวชั้นไปหาอาเจ้เองยูกลับไปเถอะกลับไปดูบ้าน ทำความสะอาดบ้านเพราะแม่ฮีจะมาฮ่องกงพรุ่งนี้แล้วแต่ฮีก็ไม่ยอมกลับ(ก็เข้าใจ กลับไปก็อยู่บ้านคนเดียวช่วงนี้ เพราะน้องชายเป็นนักข่าว กลับบ้านไม่เป็นเวลา บางครั้งก็ดึกมาก ไม่ก็เช้า ฮีเลยต้องอยู่บ้านคนเดียวช่วงนี้ เพราะพ่อก็ไปเฝ้าแม่ที่เพิ่งผ่าตัดเปลี่ยนไตอยู่กวางโจว)บอกว่าไม่เป็นไร ชั้นไปส่งยูดีกว่าสถานี Central ใหญ่จะตายเป็นดงตึกพรึบไปหมดเดี๋ยวยูจะงงว่าตึกไหนยังไงชั้นว่าตึกนี้ชั้นเคยเดินผ่าน เดี๋ยวชั้นไปส่งโว้ยไล่ไม่ไป ก็เลยตามน้ำ ไปด้วยกันก็ได้ก็ไปที่ สถานี Centralเออ แม่งดีนะที่หนุ่มมาด้วยเพราะตึกแม่งจะเยอะไปไหนว่า ติด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กันหมดเลยแล้วมันตึกไหนวะขนาดมากับหนุ่มก็ยังเดินเลยไป เลยมา เดินกลับไปกลับมาเลยแล้วหนุ่มก็มีถามอยู่ว่า พรุ่งนี้ไปไหนด้วยความที่นัดหนุ่มคนอื่น แต่ไม่อยากบอกก็เลยบอกว่า ไปกับเจ้ เดี๋ยวเจ้พาไป(แต่อย่างที่บอก เจ้ไม่ปีนเขา ไม่ได้พาไปหรอก)พูดให้หนุ่มสบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วงเราเฉย ๆ เพราะหนุ่มดูจะเป็นห่วงเรามาก เพราะเป็นผู้หญิงมาเที่ยวครั้งแรก แถมมาคนเดียวด้วยแล้วเสือกจะไปปีนเขาอีกต่างหากไม่ได้ไปเดินช้อปปิ้งสวย ๆ ในเมืองเผื่อตกเขา หลงป่าไปทำไม เพราะเส้นทางปีนเขาทุกเส้น ใต้ดินเข้าไม่ถึงอยู่แล้วมันต้องต่อรถ ต่อเรืออะไรไป ถ้าหลงทำยังไง กวางตุ้งก็พูดไม่ได้ ฯลฯเอิ่ม หนุ่ม.....แกจะเยอะเกินไปแล้วไม่ต้องห่วงตูเยอะขนาดนี้ก็ได้ ไม่ได้เป็นอะไรกัน วุ้ย เริ่มรำคาญ (แต่ถ้าหนุ่มที่ถูกใจ อาจจะไม่รำคาญได้ได้ ก๊าก ๆ)ระหว่างคุย ขอเอารูปร้านและอาหารจาก google มาคั่นให้พักสายตานะแจ๊ะจะได้ไม่รู้สึกว่าอ่านแต่ตัวหนังสือพรึบไปหมดพอเจอแล้วก็บอกว่า เออ ยูกลับไปได้แล้วล่ะเดี๋ยวชั้นรอเพื่อนชั้นอยู่นี่แหละ เพราะร้านมันอยู่ชั้นสองเองฮีก็ไม่ยอมกลับบอกว่ารอเป็นเพื่อน (โว้ย ไล่หลายรอบละนะ)เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เออ รอเป็นเพื่อนก็รอหนุ่มคงรอดูว่าเรานัดผู้หญิงจริงป่าววะหรือผู้หญิงที่จะเจอโอเคป่าววะ หรืออัลไลด้วยความที่ส่งข้อความไป เจ้ไม่อ่านเลยคงกำลังเดินมาอยู่ เพราะเจ้บอกว่าร้านนี้อยู่แถวที่ทำงานเจ้แต่เจ้มาสายนะรออยู่ประมาณ 15 นาทีมั้งเจ้ถึงมาเราก็คุ้น ๆ แต่ก็ไม่แน่ใจ เห็นเจ้ต่อคิวขึ้นลิฟเลยคือแบบว่ามาแล้วมองผ่านเราไปรีบจะไปขึ้นลิฟเราเลยเดินแทรกคิวโผล่หน้าเข้าไปทักอ้าว เป็นเจ้จริง ๆ ด้วย แหม่ ดีนะ ที่เราเห็นเจ้ก็จะให้เราขึ้นลิฟไปด้วยกันเลยแต่พอดีบอกเจ้ว่า งั้นขอลาเพื่อนก่อน พอดีเพื่อนมาส่งเจ้ก็เลยออกจากแถวมาเจอหนุ่มแล้วคุยกันยาวมากกกกกกมากจนอิชั้นกลัวว่าคุยอะไรกันมั่งวะ ไม่ได้เตี๊ยมกะเจ้เอาไว้ด้วย คุยเสร็จก็ร่ำลาหนุ่มบอกว่า เนี่ยวันสุดท้ายก่อนยูจะกลับ เราไปกินข้าวกันที่สนามบินนะเพราะฮีมีประชุมที่สนามบิน เพราะฮีขับใต้ดินสายสนามบินนั่นแหละแล้วมีประชุมเย็นวันนั้นพอดีก็เออ โอเค ๆ ถ้าเวลาได้นะก็ร่ำลา ฮีก็พยายามจะกอดลาแต่เราไม่ยกมือบ๊าย บายพอเพราะแหม ดูท่าทางหนุ่มจะไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อคืนบวกกับเมื่อเช้าก็คงไม่ได้อาบเพราะพูดจริง ๆ นะ ชุดเหมือนเดิม เหมือนชุดเมื่อวานเป๊ะ พร้อมกลิ่นตุ ๆ อ่ะมิกล้ากอดจริง ๆ ก๊าก ๆแล้วใครจะไปกล้ากอดวะ เที่ยวด้วยกันสองวัน กรูไม่ใช่ฝาหรั่ง บ้านกรูไม่มีธรรมเนียมกอดแต่หนุ่มคงเห็นว่า เรากอดน้องผู้หญิงคนไทยเมื่อวานเพราะเจอกันเมื่อคืน แล้วน้องบินกลับเมืองไทยวันนี้แล้วไงแล้วน้องเค้าเป็นผู้หญิงไง ทำไมจะกอดไม่ได้แต่ยูอ่ะ ชั้นเพิ่งเคยเจอยูนะ มิใช่ธรรมเนียมบ้านชั้นโว้ย 5555 แล้วอาเจ้ก็มาขึ้นลิฟไปชั้นสองเจ้บอกว่า เจ้โทรจองไม่ได้ เพราะมันเต็มมีสำหรับ walk in เท่านั้น ต้องมารอดูว่าจะเต็มรึเปล่าโชคดีที่ไม่เต็ม แต่เราได้นั่งหน้าเคาร์เตอร์เลยเจ้บอกว่า ถ้าจองมา จะนั่งได้แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นแต่ walk in นี่ไม่จำกัดเวลาก็ดีเหมือนกันเพราะเรานั่งเม้ากะเจ้จนถึงห้าทุ่มกว่าได้แต่ 5 ทุ่มกว่าคืนวันศุกร์ คนก็ยังเต็มร้านอยู่เลยสมเป็นเมืองของคนจีนมาก ๆตอนเราไปไต้หวัน หนุ่มพาไปกินติ๋มซำมื้อแรกที่ไต้หวันตอนเที่ยงคืนจ้าเข้าไปคนแน่นมากกกกกคือเมิงไม่หลับไม่นอนกันรึไง เที่ยงคืนคนยังแน่นร้านกินเสร็จตี 2 ครึ่ง มองไปรอบตัว คนยังแน่นร้านอยู่เลยจ้าถึงโฮสเทลคืนแรกเบา ๆ ตีสาม!!!!!!!!สวย ๆ นะจ๊ะ มือแรกที่ไต้หวัน กินตอนเที่ยงคืนถึงตี 3 เหมือนกรูไปเข้าผับเข้าบาร์ที่ไหนได้ อิเจ๊ไปกินติ๋มซำกับหนุ่ม แถมเลี้ยงมันด้วย กลัวมันคิดว่าจะมาหลอกรับประทานหนุ่มกินเป็นพายุเบย หมดไปเบา ๆ 2400 หยวน ซีดเลยตู 5555 พอได้ที่นั่งปุ๊บสิ่งแรกที่ถามเจ้เลยคือมะกี๊พูดอะไรกันกะหนุ่มเหรอเพราะคุยกันยาวมากเป็นภาษากวางตุ้งอ้อ เจ้ก็บอกว่าหนุ่มเค้าถามว่ารู้จักกันได้ยังไงอ่อ รู้จักจากทางเดียวกันแล้วหนุ่มก็ขอบคุณอาเจ้ว่าขอบคุณนะที่จะดูแลเราต่อจากหนุ่มที่จะพาเราไปปีนเขาวันหยุดนี้เจ้ก็ทำหน้างงว่า เอิ่ม ไม่ได้พาไปนะแจ๊ะแค่เจอ กินข้าวกันวันนี้เท่านั้น แถมมีปัญหาเรื่องคนจีนเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นคนฮ่องกงอีกซึ่งอันนี้หนุ่มเราก็คุยถึงเหมือนกันเฉลี่ยวัน ๆ นึง มีคนจีนย้ายสัญชาติมาเป็นฮ่องกงวันละ 150 คนซึ่ง 150 คนนี้ ไม่ใช่เป็นคนหัวกระทิ มีคุณภาพเหมือนคนจีนที่เปลี่ยนสัญชาติเป็นสิงคโปร์นะยูเป็นพวกไม่มีคุณภาพ แล้วมาหวังใช้ชีวิตใหม่ที่ฮ่องกงเป็นพวกที่คนฮ๋องกงไปแต่งงานด้วย แล้วก็ย้ายตัวเองกะลูก ๆ เข้ามาในฮ่องกงทั้ง ๆ ที่เมียกะลูกที่ย้ายมาก็ไม่มีงานทำ แล้วมาใช้สวัสดิการคนชาติฮ่องกงทำให้รัฐบาลเสียเงินเยอะมากในการจัดการกับคนพวกนี้ซึ่งคนฮ๋องกงก็ยิ่งเกลียดคนจีนเข้าไปใหญ่ ต่างจากคนจีนที่โอนสัญชาติเป็นสิงคโปร์คือเป็นพวกหัวกระทิ เป็นคนคุณภาพ เรียนเก่ง เรียนดี กีฬาเก่ง ทำงานเก่งรัฐบาลสิงคโปร์ก็จะยื่นข้อเสนอให้คนจีนพวกนี้มาเรียนฟรีในสิงคโปร์แล้วเสนอสัญชาติสิงคโปร์ให้ดังนั้นคนเศรษฐกิจสิงคโปร์จึงเจริญรุ่งเรืองเพราะมีแต่คนเก่ง ๆ เข้าไปอยู่และทำงานเราก็จะเห็นนักกีฬาโอลิมปิกชาวสิงคโปร์แต่จริง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่เป็นจีนที่ได้สัญชาติสิงคโปร์ทั้งนั้นซึ่งคนสิงคโปร์ไม่ได้ภูมิใจเลยนะมี Joseph Schooling นักว่าน้ำโอลิมปิคคนล่าสุดเนี่ยแหละที่คนสิงคโปร์ภาคภูมิใจขึ้นรถแห่ไปทั่วเมือง 3 วัน 7 วันเพราะเป็น Singapore True Blue ของจริง คือเป็นเลือดสิงคโปร์จริง ๆแต่จริง ๆ ถ้าขุดลงไปลึก ๆ แล้วเค้าก็ไม่ใช่สิงคโปร์แท้ ๆ เพียว ๆ นะเพราะปู่เค้ารึเปล่า มีเชื้อเป็นคนอังกฤษแต่น้องโจนี่ก็เกิดและเรียนที่สิงคโปร์ตั้งแต่เด็ก แล้วค่อยย้ายไปเรียนที่เมกาแล้วสุดท้ายตอนนี้น้องก็ขอเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมกันแล้วเพราะถ้ายังสัญชาติสิงคโปร์อยู่ ยังไง ๆ น้องก็ต้องมาเป็นทหารที่สิงคโปร์ 2 ปีซึ่ง 2 ปีที่น้องจะเสียไปกับการฝึกทหารที่สิงคโปร์ เสียหายหลายแสนนะอ้าว นอกเรื่องแต่เห็นมะ การคุยกับหนุ่มหลายประเทศมันก็มีข้อดีแบบนี้แหละเราจะได้ความรู้สึกของคนในประเทศนั้น ๆ จริง ๆ แล้วจริง ๆ แล้ว เค้ารู้สึกยังไงชอบหรือเกลียดอะไรแล้วเรียล ๆ ไม่อ้อมค้อมรักษาภาพพจน์หรืออะไรทั้งนั้นแล้วเจ้ก็ให้เราสั่งอาหารซึ่งเราพร้อมจะกินอะไรก็ได้อยู่แล้วเลยให้เจ้สั่งของที่เจ้อยากกินดีกว่าดูราคาอาหารแต่ละเมนูแล้วงานนี้ไม่ต่ำกว่า 2000 บาทนะ ตูว่า แล้วอาหารก็มากิน 2 คน สั่งไป 5 อย่างโคดหรูอ่าซาลาเปาที่ทำเป็นรูปเห็ด ครีเอทดีเพราะมันเป็นซาลาเปาไส้เห็ด แล้วดูจานข้าวนะคะมีกิมมิคด้วย มีรูปมด ของเจ้มีรูปแมลงวันด้วยตอนแรกตกใจนะ นึกว่ามันเป็นของจริง ฮา ๆ แล้วก็นั่งเม้ากะเจ้ยันห้าทุ่มกับข้าว 5 อย่าง กินแทบจะไม่หมดมีเหลือนิดหน่อยขนของฝากมาให้เจ้อย่างเยอะ เพื่อตอบแทนข้าวมื้อนี้ที่คิดว่าเจ้คงจะเลี้ยงแล้วพอจ่ายตังจะควักหารครึ่งซะหน่อย เจ๊รีบโบกมือห้าม ไม่เอา ๆ ชั้นเลี้ยง แฮ่นี่เราก็คุยกันยาวนะด้วยความที่เราหันหน้าเข้าเคาร์เตอร์แล้วหันข้างคุยกะเจ้เราเลยไม่เห็นเลยว่าผู้คนเหลือไม่ถึงครึ่งร้านแล้วตอนห้าทุ่มพอเดินออกมาเจ้ก็บอกเราว่าจะไปกินขนมกับเพื่อนต่อหืมมมมม????เจ้บอกว่านี่มันคืนวันศุกร์นะใครเค้ากลับบ้านเร็วกันแล้วไอ้ 5 อย่างมะกี๊เจ้ไม่อิ่มเร๊อะเจ้บอกว่า ถึงอิ่มยังไงก็มีท้องเหลือสำหรับกินขนมเสมอ ฮา ๆ แล้วเจ้ก็เดินไปส่งเราที่ใต้ดินระหว่างทางก็มีร้านข้างทางที่มีคนมานั่งกิน hot pot หรือหม้อไฟ รับอากาศหนาวกันแน่นทุกร้านเลยเจ้บอกว่า คนฮ่องกงชอบกิน hot pot อ้าว คล้าย ๆ คนไทยเลยวุ้ยชอบกินหมูกระทะอารมณ์ว่าล้อมวงกินกันซึ่งเราเนี่ย เกลียดการกินหมูกะทะเป็นที่สุดเลยเพราะหัวเหม็นไม่ใช่สิ เหม็นแม่งตั้งแต่หัวจรดเท้ายันเสื้อใน เกงในเลยแล้วก็ไม่ใช่คนกินเนื้อหมูปิ้ง ๆ ย่าง ๆ ได้เยอะขนาดนั้นเรารู้สึกว่าหมูปิ้งข้าวเหนียวชุดละ 20-30 บาท ยังอร่อยกว่าหมูกระทะชุดละ 200-300 เล้ย แล้วให้มากินหน้าหนาวเนี่ยนะคือแบบรู้นะว่าไอ้เสื้อกันหนาวด้านนอกสุดเนี่ย ทุกคนคงไม่ได้ใส่ครั้งเดียวซักแล้วถ้ามีกลิ่นอิหม้อไฟไปด้วยเนี่ย บรรลัยเลยชีวิตไม่เอา ๆ คิดว่ายังขนลุก เดินผ่านยังต้องรีบ ๆ เดินเลย กลัวกลิ่นมันติดเสื้อหนาวเพราะต้องอยู่อีกหลายวัน เสื้อหนาวตูก็รีไซเคล กลับถึงโฮสเทลเดิมแต่คืนนี้เราต้องเปลี่ยนห้องเพราะเราจองแยกมาคนละออเดอร์แล้วไม่ได้บอกเค้าให้รวมเป็นออเดอร์เดียวมันก็เหมือนเราเช็คเอ้า แล้วเช็คอินใหม่ ห้องใหม่มาถึงห้องเกือบเที่ยงคืนยังไม่มีรูมเมทแฮะรื้อกระเป๋าเอาข้าวของออกมาอาบน้ำชิบหายละเสื้อกันหนาวหายไปตัวนึงแล้วเป็นตัวที่ยืมเค้ามาซะด้วยคิด ๆๆๆๆๆลืมที่ไหนอ๋อลืมไว้ใต้หมอนที่ห้องเก่าเพราะหมอนมันต่ำ แล้วเราเป็นคนชอบนอนหมอนสูงเลยเอาเสื้อหนาวตัวนั้นไปหนุนใต้หมอนให้สูงขึ้นแล้วขึ้นอื่นก็เอามาใส่ เพราะมันหนาวลงไปข้างล่างเจอ reception ดูแก่ ๆ ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยบอกว่าให้ติดต่อใหม่พรุ่งนี้ ที่เป็นกะวัยรุ่น พูดภาษาอังกฤษได้เลยขอเค้าดูว่าตกลงคืนนี้เรามีรูมเมทมั้ยสรุปคือ ไม่มีจ้าตายห่า นี่ตูต้องนอนคนเดียว กับอีกเตียงที่ว่างเปล่าหรือนี่จะมีผู้ใดที่มองไม่เห็นมาร่วมนอนรึเปล่าเล่นเอาคืนนั้น นอนไม่หลับเลย หลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืนห้องนี้ไม่ดีเลย ห้องน้ำไม่มีประตูเลื่อนปิดล็อคได้เหมือนห้อง 2 คืนก่อน เป็นแค่ผ้าม่านกั้นแต่ยังไงมันก็เปียกผ้าม่านหมด แถมเปียกออกมาข้างนอกด้วย เพราะห้องน้ำมันเล็กมากกกกกที่แขวนเสื้อในห้องนี้ก็ไม่มี สรุปคือห้องเก่าดีกว่าแถมจองห้องนี้มาคืนเดียว คือคืนวันศุกร์ แพงแทบจะเท่ากับนอนคืนวันพุธกับวันพฤหัสรวมกันอีกเช้าวันต่อมา ตอน 9 โมงเช้า เลยรีบลงไปถาม reception ว่าเจอเสื้อหนาวมั้ยโชคดีมากที่แม่บ้านเจอแล้วเก็บใส่ถุงไว้ให้แต่ก็คิดแหละว่าวัน ๆ นึงมันต้องมีคนลืมของแบบเราเนี่ยแหละ เค้าคงชินแต่เราไม่ชิน เพราะเวลาเช็คเอ้า เราแทบไม่เคยลืมของเลยยยยย ตั้งแต่เที่ยวมาทุกประเทศ (ซึ่งไม่กี่ประเทศหรอก)แต่อันนี้สะเพร่าจริง ๆ เพราะต้องเช็คเอ้า เราก็มองทั่วแล้วนะ ทั้งเตียงนอน ที่เก็บของ ห้องน้ำ ฯลฯแต่ไอ้เสื้อหนาวตัวนี้มันอยู่ใต้หมอนซึ่งหมอนกลบสนิทจริง ๆ วันหลังต้องยกหมอน รื้อผ้าห่ม เอาให้แน่ใจจริง ๆ ว่ามันได้ลืมทิ้งอะไรไว้บนเตียงเฮ้อ เป็นบทเรียน เล่นเอาใจหายหมดไว้มาเม้าต่อในบล็อคถัดไปนะค้า ถ้ารอนานอย่าว่ากันน้า บล็อคนึงเรื่องเม้าเพียบ รูปเพียบ ใช้เวลาเขียนหลายวันหรือหลายอาทิตย์กว่าจะได้แต่ละบล็อค แหะ ๆ ใครติดตามอ่านแล้วรออ่านวันต่อ ๆ ไป พิมพ์คอมเม้นท์มาบอกกันหน่อยนะจ๊ะ จะได้มีกำลังใจในการพิมเม้าตอนต่อไปเร็ว ๆ ค่า อิอิรักคนอ่านทุกคนค่า เลิฟ ๆ ปล. ใครรออ่านทริปฮ่องกงไม่ไหว กลับไปอ่านทริปที่ไปเจอหนุ่มสิงคโปร์ก่อนได้นะ แซ่บเหมือนกัล ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 1ช่วงนี้เราอัพช้ามาก เดือนละบล็อคได้มั้ง ไม่ค่อยมีเวลาเลย พอมีเวลาแค่คิดจะพิมพ์เล่าก็ขี้เกียจขึ้นมาซะงั้น เพราะมันใช้เวลาหลายชั่วโมง แฮ่