Group Blog
 
 
ธันวาคม 2559
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
31 ธันวาคม 2559
 
All Blogs
 

วันที่สองในฮ่องกงคนเดียวกับการนัดบอดหนุ่มคนที่สอง

ใครยังไม่ได้อ่านตอนก่อน ๆ กลับไปอ่านก่อนนะค้า เพื่อความต่อเนื่อง เพราะหนุ่มวันที่สามคือหนุ่มคนที่เราเม้าเอาไว้ตั้งแต่บล็อคแรกถึงความเป็นมาเป็นไปละค่า



เครื่องลงฮ่องกงปุ๊บก็นัดบอดหนุ่มฮ่องกงมากินข้าวมื้อแรกด้วยกันเล้ย


วันที่สองในฮ่องกงคนเดียวกับการนัดบอดหนุ่มคนที่สอง


วันที่สามในฮ่องกงคนเดียวกับการเที่ยวกับหนุ่มฮ่องกงคนเดิมเพิ่มเติมด้วยผู้หญิงอีกคน



วันที่สี่ในฮ่องกงคนเดียว ฝนเทกระหน่ำ หมดกันแผนการเดินเขากับหนุ่มฮ่องกงของช้าน


วันที่ห้าในฮ่องกงคนเดียว กับการเดินลงเขาที่มืดและน่ากลัวที่สุดในชีวิต




ต่อ ๆ
หลังจากแยกย้ายจากหนุ่มคนแรกที่เจอกันคืนแรกแล้ว
เราก็กลับโฮสเทล เพิ่งจะได้เจอรูมเมท
เพราะตอนเช็คอินประมาณสามทุ่มกว่า เข้ามาห้องแล้วเราเป็นคนแรก
รูมเมทคืนแรกของเราเป็นสาวจีน น่าตาน่ารักเชียว
มาจากเซี่ยงไฮ้
มานอนแค่คืนเดียว
มา music festival เดี๋ยวคืนต่อ ๆ ไปจะไปค้างบ้านเพื่อน
กระเป๋าใบใหญ่ยักษ์มาก คือเปิดออกมาเต็มพื้นที่ทางเดินอันกระจิ๊ดริ๊ดพอดี
คือเปิดมาแล้วจะเปิดทิ้งไว้ไม่ได้เลย ต้องปิดกลับไปที่เดิม เพราะมันเดินไปห้องน้ำไม่ได้เลย
เธอบอกว่าตอนนี้เซี่ยงไฮ้ 5 องศา
มานี่เลยชิล ๆ 18-22 องศาเนี่ย
ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะมันเที่ยงคืนกว่าแล้ว
ต่างคนต่างอาบน้ำแล้วก็นอน
นอนก็หลับ ๆ ตื่น ๆ นะ เพราะเรารู้สึกว่ามันหนาว แล้วเตียงก็เล็กอย่างกะเตียงผ่าตัด
พลิกตัวทีอวัยวะไปบนผนังอันเย็นเฉียบก็จะสะดุ้งตื่น
แล้วเราเป็นคนที่รู้สึกตัวแล้ว กว่าจะหลับ ๆ ยากมาก
แต่ดีนะที่น้องไม่กรนทำให้พอจะหลับต่อง่ายหน่อย


เช้าวันที่สอง เรากว่าจะงัวเงียตื่นมาจริง ๆ ตอน 8 โมงครึ่ง
น้องก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อม check out ไปละ

Image Hosted by PicturePush


เรานัดหนุ่ม 10 โมงแถว ๆ โฮสเทลเรา
หนุ่มคนนี้ก็คือหนุ่มคนเดียวกับที่เราเม้าไว้ในบล็อคแรก
คือคนที่คุยกันมาอย่างยาวนานเกินครึ่งปี
แล้วดูหนุ่มจะอินกับเราม๊าก มากทั้ง ๆ ที่แกยังไม่เคยเห็นหน้าชั้นเล้ย
เห็นแต่ในรูป profile ใน whatsapp ที่ชั้นเปลี่ยนเดือนละครั้งสองครั้ง
แล้วก็คนนี้แหละที่แม่ป่วยในช่วงที่เราไปพอดี
แต่ฮีก็มาเจอเราได้เพราะแม่ไปผ่าตัดอยู่กวางโจวแล้วเค้าให้มีญาติเฝ้าได้คนเดียวคือพ่อของฮี
คนนี้เราไม่ค่อย surprise เท่าไหร่
เพราะชอบส่งรูปที่ไปปีนเขากับเพื่อนมาให้ดูอยู่แล้ว
เออ เหมือนในรูป ไม่ได้อ้วนกว่าในรูป สูงกว่าเราประมาณนึง
ฮีจบวิศวะ ทำงานเป็นพนักงานขับรถไฟฟ้าใต้ดินกะกลางคืนในฮ่องกง เพราะได้เงินดีกว่า
คนฮ่องกงจะเหมือนคนสิงคโปร์เลย คืออะไร ๆ ก็เงิน มีศาสนาเดียวคือศาสนาเงิน
คือคุยอะไรก็ตาม มันต้องมีเรื่องตัวเลขราคามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ โดยที่เราไม่ได้ถามและไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องราคาเท่าไหร่

พอเจอกัน
ฮีก็พาเดินรอบ ๆ บริเวณที่เราพัก พาไปเดินซอยตลาดสด
ซึ่งเราชอบเลย ชอบเดินตลาดเช้า ตลาดสดแบบนี้แหละ
ซึ่งเราบอกฮีมานานละว่าเราไม่ชอบเดินห้าง ไม่ว่าจะประเทศตัวเองหรือประเทศไหน เราก็ไม่ชอบเดินห้าง เพราะเราไม่มีตังซื้อของห้าง 5555
ตลาดสดเนี่ยแหละ สมฐานะคนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเราดี ก๊าก ๆ

Image Hosted by PicturePush

แล้วซอยตลาดสดนี่นะ
ฮีก็บอกว่า ตอนค่ำ ๆ อย่างมายืนแถวนี้นะ
เพราะเดี๋ยวเค้านึกว่าขายตัว
เพราะตั้งแต่ค่ำ ๆ เป็นต้นไป ตรงตึกแถวตรงโน้น จะมีผู้หญิงจีนอายุ 35+ แต่งตัวโป๊ ๆ หน่อยมายืนรอแขก
แล้วก็จะมีบรรดาเหล่าอาแปะ อากงเข้ามาคุย เข้ามาถามราคา แล้วก็ใช้บริการกันบนตึกเก่า ๆ นั่นแหละ


Image Hosted by PicturePush


อ้าว
เพิ่งรู้นะเนี่ย
ว่าย่านที่ตูอยู่ ซอกติดกัน ขายตัวเหรอเนี่ย
ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้มายืนเลย อยากรู้ว่าตัวเองราคาเท่าไหร่ ก๊าก ๆ
แต่ฮีบอกว่า ตรอกนี้สำหรับผู้หญิงขายบริการที่อายุเยอะหน่อย แล้วก็ไม่ค่อยสวย
อารมณ์เกรดบี ราคาถูก ประมาณนั้น
ถ้าเกรดเอ รู้สึกว่าจะอยู่มงก๊ก หรืออะไรเนี่ยแหละ กลับมานานละ จำไม่ได้
(เฮ้อ เนี่ยแหละนะ กลับมาแล้วไม่เขียนเล่าเลย พวก conversation หลายอย่างก็ลืมไปหมดแล้ว)
แล้วสาวจีนพวกนี้ก็อยู่ในฮ่องกงได้แบบนี้แหละ


Image Hosted by PicturePush

คนฮ่องกง ไม่ชอบคนจีนแผ่นดินใหญ่นะ ซึ่งเค้าเรียกว่า mainland
เพราะคนจีนจะไม่มีมารยาท แย่งซื้อของกินของใช้ในฮ่องกงไปหมดเลย
โดยเฉพาะนมผง
เพราะมันมีข่าวว่านมผงในจีนใส่สารอะไรก็ไม่รู้
ทารกกินเข้าไป ป่วยตายไปเลย
มีคดีฟ้องร้อง แต่สุดท้าย บริษัทนมก็ชนะ เพราะยังไงรัฐบาลก็ยังหนุน
คนจีนเลยบินมาฮ่องกงแล้วเหมาซื้อนมผงในฮ่องกงไปจดหมด
จนเด็กในฮ่องกงไม่มีนมผงกินกันอยู่ช่วงนึงเลย

แล้วหนุ่มก็พาไปกินอาหารเช้าใน cafe แห่งหนึ่งบริเวณโฮสเทลเรานั่นแหละ แต่เดินไกลหน่อย
คือ อย่างที่บอก เป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปอาหารและร้านอาหาร เลยจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร
แต่ไป search google คาเฟ่แถว north point เลยได้ชื่อคาเฟ่มาจ้ะ
ชื่อว่า Cafe de Coral ซึ่งเป็น fast food อาหารเช้าของฮ่องกง มีหลายสาขาเลย
ขอเอาภาพมาจาก google ละกัน


Image Hosted by PicturePush







เข้าไปเกือบ 11 โมง คนยังเต็มคาเฟ่เลย
หนุ่มบอกว่า เค้าบอกคาเฟ่นี้ กินอาหารเช้าถูกดี
แต่เอิ่ม นี่ถูกบ้านแกแล้วใช่มั้ย เซ็ทนึงถูกสุดก็ $30+ ก็อย่างน้อย 150 บาทเข้าไปแล้ว
อาหารรอบนี้จำได้ว่าเราสั่งเซ็ทที่เป็นโจ๊กฮ่องกง กับคล้าย ๆ ข้าวห่อใบบัวบ้านเรา แล้วชานมร้อน 1 แก้ว
กะว่าจะแย่งหนุ่มจ่ายมื้อแรกซะหน่อย มัวแต่งมดูแบงค์
หนุ่มตัดหน้าเอาบัตร octopus จ่ายไปซะนี่
อ่อ....เพิ่งรู้ว่าเราสามารถใช้บัตร octopus จ่ายได้ด้วย
คราวหน้าจะได้แย่งติ๊ดบัตรกะหนุ่มได้

ร้านนี้สมเป็น fast food มากอ่ะ
ต่อคิวจ่ายเงิน แล้วไปเคาร์เตอร์ รอรับอาหารได้เลย
กินเสร็จปวดฉี่
เลยบอกหนุ่มว่าเดี๋ยวมานะ ขอไปฉี่ที่ห้องน้ำสาธารณะก่อน
ก็ถามเค้าว่าห้องน้ำสาธารณะตึกนี้อยู่ไหน
พอไปถึง
เอิ่ม............ ไม่กล้าเข้าจริง ๆ ห้องน้ำสาธารณะตามตึกอาคารบ้านเรือนหรือร้านอาหารข้างใต้แบบนี้เนี่ย
มันสกปรกซกมกมากอย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะฮ่องกงก็เป็นประเทศที่เจริญแล้ว แต่ห้องน้ำสาธารณะโสโครกอย่างที่สุด
เดินคอตกกลับมาบอกหนุ่มว่า
กลั้นใจเข้าห้องน้ำสาธารณะไม่ได้จริง ๆ ขอกลับไปเข้าที่โฮสเทลได้มั้ย
หนุ่มก็หัวเราะ แล้วบอกว่า ไอกะจะบอกยูเหมือนกันแหละ แต่ยูดันรีบลุกไปซะก่อน
ว่าจะให้ไปเข้าตึกออฟฟิศสำนักงานหรือในห้างดีกว่า สะอาดกว่า 5555
แล้วหนุ่มก็พาเข้าห้างเข้าห้องน้ำเรียบร้อย พร้อมเดินทาง

อ้อ จริง ๆ วันนี้เรารู้นะว่าจะต้องไปปีนเขา แล้วดูแล้ว ระหว่างทางไม่น่าจะมีห้องน้ำ
เราเลยพยายามไม่กินน้ำเยอะ
กินเยอะ 1 ลิตรเฉพาะตอนตื่นนอน
แต่กินตั้งแต่ 8 โมงครึ่งแล้ว ฉี่ไปสองรอบก่อนมาเจอหนุ่ม
แล้วก็ฉี่อีกรอบหลังกินเสร็จตอนเกือบเที่ยง
แล้วกระเป๋าเป้เราหนักมาก
เพราะพยากรณ์ว่าฝนจะตก เลยพกร่มพับแต่ก็หนัก เพราะกันลมอย่างดี
แล้วน้ำ 500 มิลอีกสองขวดเต็ม กลัวหิวน้ำ

แล้วหนุ่มก็พาขึ้นรถรางไป Shau Kei Wan เพื่อไปขึ้นรถบัสที่นั่นเพื่อไปปีนเขาที่ Dragon's Back
ไปกับคน local ก็ดีงี้นะ ได้นั่งขนส่งสาธารณะหลายแบบ
แล้วเรามีหน้าที่ตามอย่างไม่ต้องกลัวกังวลว่าจะหลง
สบายใจ มีเพื่อนกิน เพื่อนคุย เพื่อนเที่ยว

Image Hosted by PicturePush



ระหว่างนั่งรถราง ซึ่งจริง ๆ ไม่ค่อยมีคนนั่งนะ เพราะมันช้าแล้วเส้าทางมันซ้ำกับทางใต้ดิน
ทุกคนก็ใช้ใต้ดินมากกว่า สะดวกและรวดเร็วกว่า
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่เวลาไม่มีค่าอย่างเรา
หนุ่มเลยพาขึ้นรถรางดูวิวข้างทางไปเรื่อย แล้วก็นั่งคุยกันไป

เราก็ถามหนุ่มถึงเรื่องที่เค้าไปเดิน 100 กิโล ภายใน 48 ชั่วโมงทั้งกลางวันกลางคืน
กลุ่มนึงมี 4 คนว่าเป็นยังไงบ้าง ถึงเส้นชัยรึเปล่ายังไง
หนุ่มก็ตอบหน้าเศร้ากลับมาว่า ไปไม่ถึงเส้นชัย
แล้วหนุ่มก็เล่าให้ฟังว่า
เดินไปได้ประมาณ 20 ชั่วโมงได้
เพื่อนคนนึงในทีมก็เดินช้าแบบผิดปรกติ
พอสอบถาม ได้ความว่าเท้าเค้าพองตั้ง 5 ตุ่ม ทำให้เดินแล้วทรมานมาก
พวกเราก็เลยหยุดพัก แล้วเค้าก็ปฐมพยาบาลเพื่อนคนนั้น
ซึ่งหัวหน้าทีมซึ่งเป็นเพื่อนอีกคนหงุดหงิดมาก เพราะเค้าต้องการไปให้ถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุด
ไม่อยากเสียเวลามานั่งปฐมพยาบาลเพื่อนคนนี้ซึ่งทำให้เสียเวลาไปมาก
แล้วดูเหมือนว่า กลุ่มเค้าอยู่ top 3 หรือ top 5 เรื่องความเร็วในการเดินเนี่ยแหละ
คือถ้ารักษาเวลาได้ดี ได้เหรียญแน่นอน
แต่พอคนนึงแย่ เพื่อนร่วมทีมก็ต้องหยุดเดิน
แล้วระหว่างที่หนุ่มเรากำลังช่วยเพื่อนอยู่นั้น
กัปตันทีมก็เสนอให้เพื่อนคนนั้นออกจากการแข่งขัน
แล้วอีก 3 คนเดินหน้าต่อไปเพื่อไม่ให้เสียเวลา

แต่หนุ่มเราก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลย
อุตส่าซ้อมเดินร่วมกันมาตั้งหลายเดือน
ถ้าไปถึงเส้นชัยก็ควรจะไปพร้อมกันทั้ง 4 คนสิ
แล้วเพื่อนอีกคนก็ไม่สนใจอะไรเลย ก้มหน้าก้มตาถ่ายรูปอัพลง facebook อยู่นั่นแหละ
ไม่ได้สนใจเลยว่าเพื่อนทะเลาะกันอยู่ว่าจะเอายังไง
แล้วก็คงเดินต่อไปอีก แล้วเพื่อนคนที่เจ็บก็ยังเจ็บอยู่ แล้วก็ไม่ไหว หรือไหวก็คงต้องเดินช้ามาก
สุดท้าย กัปตันเลยตัดสินใจให้ทีมถอนตัวออกจากการแข่งขันแล้วแยกย้ายกันกลับ
ซึ่งทำให้หนุ่มเศร้ามาก
คิดว่าคงไม่แข่งกับคนพวกนี้อีกแล้ว
แต่คบต่อก็คงคบได้ แต่คงไม่สนิทใจ
เราว่าหนุ่มคงแคร์ความรู้สึกเพื่อนเป็นหลักมากกว่าชัยชนะ
ซึ่งถ้าทุกคนมีความเห็นไม่เหมือนกัน ทีมก็ต้องแตก
เป็นเรา ๆ ก็คิดเหมือนหนุ่มเรานะ ซ้อมมาด้วยกัน จะมาทิ้งกันได้ไง
มาแข่งก็จริง แต่มิตรภาพสำคัญกว่าชัยชนะนะเราว่า

Image Hosted by PicturePush


แล้วก็คุยถึงเรื่องที่แม่เค้าป่วย
ซึ่งเราก็ได้เล่าละเอียดไปแล้วบล็อคที่แล้ว ขอข้ามละกัน
แล้วเราก็มาถึง Shau Kei Wan เพื่อไปต่อรถเพื่อไปปีนเขาที่ Dragon's Back
ซึ่งหนุ่มรู้ทางมาก เพราะมาปีนบ่อย ว่าต้องลงรถป้ายไหนยังไง อุ่นใจดีจริง ๆ
บนรถเมล์

Image Hosted by PicturePush


วิวระหว่างทาง


Image Hosted by PicturePush


ก่อนขึ้น รู้สึกว่าอยากเข้าห้องน้ำก่อนเดิน เพราะตอนเดินคงอย่างต่ำ 2-3 ชั่วโมง
รู้สึกว่ากระเพาะปัสสาวะเรามีฉี่ประมาณ 50% แล้ว
แต่....................
ตรงทางขึ้น
มีส้วมพลาสติกอยู่ 2 ห้อง ชาย 1 หญิง 1
ซึ่งกลิ่นตลบอบอวลจนไม่กล้าที่จะเปิดเข้าไปดู
แล้วหนุ่มก็บอกว่า ยูน่าจะเข้าไม่ได้ ฮา ๆ
ก็เลย เอาวะ ถ้าเราไม่กินน้ำเพิ่ม ก็น่าจะเดินได้จนสุดทาง
เอิ่ม แล้วน้ำ 1 ลิตรบนบ่า กรูจะแบกขึ้นเขามาเพื่อ?????????
วันนี้อากาศดีมาก แดดจ้า ฟ้าใสกิ๊ง ๆ
รู้สึกโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะแอบเฟลกับพยากรณ์อากาศว่าฝนจะตกไปแล้วเมื่อเช้า
เดินขึ้นก็ไม่ค่อยลำบาก แต่ติดว่าเราใส่กางเกงยีนส์มา แล้วทับด้วยเลคกิ้ลฮีคเทคอีกชั้น
คือจริง ๆ อยากใส่เลคกิ้งออกกำลังกายมาอ่านะ
แต่เห็นว่าฝนจะตก แล้วบนเขาลมก็แรง กลัวหนาวมาก เลยใส่มาสองชั้น
เวลาก้าวขึ้นบันไดหินช่วงยาว ๆ ก็มีแอบรั้งกางเกงบ้าง
แต่หนุ่มอิชั้น ใส่มาพร้อมปีนเขาค่ะ
คือใส่ขาสั้น เสื้อโปโลตัวใน แจ็คเก็ตปล้อง ๆ ด้านนอก ถุงเท้าแบบยาว พร้อมร้องเท้าเดินเขา
หนุ่มก็บอกว่า
เวลามาปีนเขา ควรไม่ควรใส่ยีนส์ เพราะมันไม่ยืด ทำให้ก้าวขาลำบาก
แล้วไม่ควรใส่ถุงเท้าสั้นแบบเห็นข้างนอกนึกว่าไม่ได้ใส่ถุงเท้า
เพราะปีนนาน ๆ ถุงเท้ามันจะร่มไปกองอยู่ส้นเท้าทำให้เราต้องดึงขึ้นบ่อย ๆ
แล้วพยายามหาถุงเท้าที่ใส่พอดี ไม่หลวมหรือฟิตไป เพราะจะทำให้เท้าพอง เจ็บแล้วเดินต่อไปสนุก
โห ความรู้มาเต็มมาก
ก่อนขึ้นหนุ่มก็ถอดเสื้อนอกออก แล้วก็เดินเข้าทั้งเสื้อโปโลนั่นแหละ เพราะแดดแรง
แต่ลมก็เย็นอยู่นะ อากาศประมาณ 22-23 องศาได้


Image Hosted by PicturePush


วันที่เราไปปีนเป็นวันธรรมดาตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ
คนเลยไม่เยอะ ตอนขึ้น แทบจะมีกันอยู่แค่สองคน หนุ่มก็เดินนำให้ก่อนตามประสาคนชำนาญทาง
ก็มีสวนลงมาทางเราบ้าง คิดว่าน่าจะขึ้นได้ทั้งสองที่ หรือบางคนอาจจะเดินไม่สุดทาง
เดินไปครึ่งทางแล้วก็กลับทางเดิม
ซึ่งหนุ่มเราก็ทักทุกคนที่เดินสวนลงมาเลยว่า โจ๋วสั่น
แต่.....................
หนุ่มไม่ได้แค่ทักทุกคนที่เดินสวนมา
แต่หนุ่มพูดคนเดียวด้วย!!!!!!!!!!!
คือแบบว่า พูดคนเดียวเป็นภาษากวางตุ้งเป็นเรื่องเป็นราวหลาย ๆ ประโยคเลยอ๊ะ
เฮ้ย มันเป็นปกติเหรอวะ
ถามว่าเราพูดคนเดียวมั้ย
ก็มีพูดคนเดียวนะ เวลาเราอยู่คนเดียวเดียวแล้วคิดถึงเหตุการณ์หรือจินตนาการเหตุการณ์ต่าง ๆ
แต่เราไม่พูดคนเดียวเวลาเราอยู่กับคนอื่น!!!!!!!!!!!

เป็นอย่างแรกนะที่เรารู้สึกว่าประหลาด ๆ
แต่โดยรวมเค้าก็เป็นคนน่ารัก นิสัยดี เทคแคร์เราดีมากกกกกกกกกก
สมกับที่อินจะชั้นมาก
แต่ชั้นไม่ได้อินกะแก๊ (มากขนาดแกอินกะช้านนนนนน)


Image Hosted by PicturePush


แล้วเราก็เดินมาถึงจุดชมวิวจุดที่ 1
สวยนะ ชอบเลย หยุดถ่ายหลายช็อต ให้สมกับที่ปีนขึ้นมา
แต่หนุ่มบอกว่า ไม่ต้องถ่ายเยอะ ข้างบนสวยกว่านี้ อ่อ โอเค

Image Hosted by PicturePush



Image Hosted by PicturePush


พอไปถึงจุดที่สอง เดินมาชั่วโมงกว่า
แล้วสิ่งที่ชั้นกลัวก็เกิดขึ้น!!!!!!!!!!!
เราปวดฉี่!!!!!!!!!!!!!!!!!!
คือแบบ เดินช้าอย่างเห็นได้ชัด
หนุ่มก็ถามว่ายูเป็นอะไรรึเปล่า
เราก็ถามหนุ่มว่า อีกไกลมั้ยกว่าจะถึงอีกฝั่งนึง
หนุ่มก็เล่าซะตื่นเต้นว่า อ๋อ อีก 2 ชั่วโมง
แล้วหลังจากตรงนั้นนะ มันจะมีแยกไปทะเล ซึ่งสวยมาก ทรายละเอียดมาก
ซึ่งเราก็สามารถมองเห็นได้จากจุดชมวิวแล้วล่ะ
หนุ่มก็ถามว่า มีอะไรรึเปล่า
เอิ่ม ยูว์...........ชั้นปวดฉี่!!!!!!!!!
หนุ่มก็แบบ
เอิ่ม ทำไงดี ระหว่างทางไม่มีห้องน้ำเลยอ่ะยู
ถ้ายูเป็นผู้ชาย ไอจะดูต้นทางให้ละ


Image Hosted by PicturePush

และหลังจากนั้นร่วม 2 ชั่วโมง
เป็นการเดินเขาที่ไม่สนุกเอาซะเลย เพราะเราต้องเดินแบบอั้นฉี่ไปตลอดทางเลย ฮือ ๆ


Image Hosted by PicturePush



Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

ไปถึงจุดพีคบนยอดเขา ลมแรงมาก
ถ่ายรูปยังไงก็ไม่สวย หัวกระเจิงสุด ๆ แล้วไม่ค่อยมีอารมณ์ถ่ายด้วย ปวดฉี่

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush



ตอนขึ้นว่าหนักแล้ว
ตอนลงหนักกว่า เพราะมันกระแทกกระเพาะปัสสาวะตลอดทางลงเลย
พยายามเกรงเพื่อจะลงให้เบาที่สุด
แต่ทุกครั้งที่เกรงขา มันก็จะเกรงกระเพาะปัสสาวะ โอ้ว ชีวิต!!!!!!!
กลั้นใจเดินให้สุดทาง
แล้วหนุ่มก็มาโฆษณาอีกว่า
ตรงนี้สุดทาง เป็นทางแยกนะยู
สามารถแยกไปชายหาดที่สวยมาก เดินอีกแค่ 2 กิโลเอง ไม่ต้องปีนป่ายขึ้นลงแล้ว
ทางเดินเรียบด้วย
กับอีกทางคือทางรอรถกลับเข้าท่ารถที่เราขึ้นมา
เราตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า
กลับเมืองเดี๋ยวนี้
ตูปวดฉี่จะแย่อยู่แล้ว (กลั้นมา 2-3 ชั่วโมงแล้วด้วย)


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush



หนุ่มก็ทำหน้าจ๋อย เพราะคิดว่าเราจะเปลี่ยนใจไปเดินชายหาดที่ฮีโฆษณาเอาไว้
ระหว่างรอรถเป็นอะไรที่ทรมานมาก
เพราะมันไม่มีอะไรทำ ทำให้คิดถึงเรื่องปวดฉี่ตลอดเวลา
ตอนขึ้นรถก็ยิ่งทรมาน
เพราะรถขับลงเขา มันคดไปเคี้ยวมาแล้วมันไม่มีที่นั่ง ได้แต่ยืนจับราวให้แน่น
แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าได้นั่งอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้
พอถึงท่ารถ
หนุ่มคงลืมไปแล้วเราว่าปวดฉี่
ก็พาเดินเล่นดูร้านรวงแถวนั้น
แต่เราบอกหนุ่มเลยว่า หาห้องน้ำสะอาด ๆ ให้ด่วน
ซึ่งแถวนั้นแทบไม่มีห้องน้ำสะอาด ๆ เลย
ต้องเดินไปไกลประมาณ 1-2 ป้ายรถเมล์ได้เพื่อไปตึกอะไรซักอย่าง
ที่แสดงนิทรรศการของรัฐบาลที่มีห้องน้ำสะอาด

เราใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานมากกกกกกกกกกก
ไม่ใช่เพราะคิวยาว
แต่ด้วยควาที่เราอั้นฉี่มานานมาก ทำให้เราฉี่ไม่ค่อยออก
คิดว่าทุกคนเคยเป็นและสามารถจิตนาการได้เวลาเราอั้นฉี่นานแล้วแล้วได้ฉี่
เราจะฉี่ได้ช้ามาก แล้วฉี่เหมือนจะหมด แต่จริง ๆ ฉี่ได้แค่ครึ่งกระเพาะ ประมาณนั้น

เสร็จแล้วเราก็เข้าเมือง ไปกินข้าวหมูแดง เป็ดย่าง มิชลินสตาร์ในราคาไม่ถึง 50 เหรียญกัน
ร้านที่เราไปชื่อ Joy Hing Food Shop อยู่ในย่าน Wanchai ตามหนังสือคู่มือเที่ยวฮ่องกงที่เค้าแนะนำที่เราถ่ายรูปมา





เอิ่ม คือ ไม่อยากจะบอกว่า ร้านอาหารแนะนำในหนังสือ เราถ่ายรูปมาน้อยมาก
เพราะเราเลือกแต่เฉพาะจานละไม่เกิน 50 เหรียญ มื้อนึงเราไม่ควรกินเกิน 200-300 บาทนะ ให้เหมาะกับฐานะ (ยากจน) อย่างเรา 5555
หนุ่มก็รู้จักร้านนี้ ไปถึงย่านนั้น ก็พาเดินไปที่ร้านเลย
ขึ้นมาจากใต้ดิน โหย เสียงแตรรถอึกทึกครึกโครมเลย
เพราะเป็นย่านในเมือง รถก็ติด
จริง ๆ เรามองว่าจะนอนโฮสเทลย่านนี้นะ ดีนะที่เต็มไปซะก่อน
เลยได้ไปนอน north point ไกลเมืองออกไปหน่อย ไม่ต้องได้ยินเสียงบีบแตรกับรถติด
เออ
อีกสิ่งนึงที่เราไม่ชอบในฮ่องกงคือ
แยกมันจะเยอะไปไหน
ถ้าคนขับรถ เราว่าคงรำคาญน่าดู
ขับได้ 200 เมตรมีสัญญาณไฟ เจอแยก อีก 200 เมตรเจออีกแยก
เสมืองขับอยู่บนถนนสาทร
แล้วแม่งก็ติดเกือบทุกไฟแดง
ขับแล้วจอด ๆๆๆๆ อยู่อย่างนั้นมันทุกแยก เซ็งตาย
ดีนะคมนาคมบ้านเค้าดี คนเลยใช้รถเมล์กับ subway กันสะดวกสบาย ไม่ต้องขับรถเอง ไม่ขับเครียดแย่ ในความคิดเรานะ แต่คนบ้านเค้าอาจจะชินก็ได้


Image Hosted by PicturePush



เราก็นั่งใต้ดินไปลงสถานี Wanchai ระหว่างอยู่ในสถานี
ด้วยความที่หนุ่มขับรถไฟเนอะ ก็จะได้สวัสดิการขึ้นรถไฟใต้ดินฟรี
รู้สึกว่าหนุ่มเราจะขับอยู่สองสาย สองสีนะ สีนึงจากสนามบินเนี่ยแหละ
อีกสายนึงจะสั้น ๆ คือไม่ได้ขับสายที่ข้ามระหว่างเกาะฮ่องกงกับฝั่งเกาลูน
หนุ่มก็ชี้ชวนให้ดู station control ในสถานี ให้ดูว่าจอนี้เป็นยังไง เลทไปกี่นาทีแล้ว
ส่วนใหญ่ก็จะเลททุกขบวนเพราะต้องพยายามปิดประตูให้ได้
ยิ่งเวลาเร่งด่วน ไม่ได้เลทเป็นวินาทีนะ แต่เลทเป็นนาทีเลย
เพราะพยายามปิดประตูแล้วอาจจะหนีบสัมภาระผู้โดยสารก็จะต้องเปิดประตูแล้วพยายามจะปิดใหม่
แต่พอเปิดประตู ก็จะมีคนออที่จะเบียดเข้าให้ได้ ก็ต้องรีบปิดแต่ต้องระวังไม่ให้ไปหนีบผู้โดยสาร
บางครั้งต้องเปิดแล้วปิดตั้ง 7-8 ครั้งกว่าจะปิดได้จริง ๆ ทำให้เลทไปหลายนาทีใน 1 ขบวน

แล้วหนุ่มก็แวะหาเพื่อนที่กำลังทำงานอยู่ด้วย ทักทายนิดหน่อย
หนุ่มคุยเก่งมาก พยายามที่จะอธิบายทุกอย่าง เพราะเห็นว่าเรามาฮ่องกงครั้งแรก
ก็ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีอ่ะเนอะ

เราไปถึงหน้าร้านตอนบ่าย 4 โมงกว่าได้
เป็นร้านเล็กมากกกก คูหาเดียวมั้ง ด้านในก็แคบมาก
บรรจุโต๊ะ เก้าอี้ไว้เต็มสตีมที่จะยัดคนเข้าไปได้ แบบว่าห้ามนั่งหลังงอนะ เพราะจะติดหลังคนด้านหลังเลยทีเดียว
คือนั่งกินเนี่ย ต้องแชร์กับคนอื่น เพราะคนต้องเต็มทุกเก้าอี้
คนก็จะรอคิวกันเยอะไปไหน บ่าย 4 โมงไม่ใช่เวลาอาหารเย็นนะเว้ยเฮ้ย
คนทั้งนักท่องเที่ยวและ local เข้ามากินเข้าออกตลอดเวลา
จริง ๆ เรานี้ดังห่านย่างนะ
แต่พอดีเราไม่กินเป็น ไม่กินห่าน
เลยให้หนุ่มสั่งข้าวหน้าหมูแดง หมูกรอบมาแทน
ส่วนหนุ่มก็สั่งห่านย่างมากิน
เวลากิน ไม่มีใครพูดกันซักคน
เพราะไม่ได้เป็นร้านนั่งชิล
มันเป็นร้านที่ต้องรีบกินรีบลุก
เพราะคนรอหน้าร้านเยอะ พนักงานก็ดุ
เพราะเป็นร้านครอบครัวน่ะ ทำกันเอง

ได้ข้าวตัวเองมา
โหย
แค่นี้เหรอ จานละ 200 บาท
ดูหน้าตาเอาเองแล้วกัน


Image Hosted by PicturePush


ไม่มีน้ำราดเหมือนข้าวหมูแดงหมูกรอบบ้านเรานะจ๊ะ
แต่มีน้ำสีดำ ๆ เป็นเครื่องปรุงให้ราด น่าจะเป็นซอสเปรี้ยวตัดความเลี่ยนมากกว่า
ดีนะเป็นสายกินจืด ไม่กินเผ็ด กินอะไรไม่ต้องการเครื่องปรุงอยู่แล้ว เลยอยู่ประเทศนี้สบาย(ปาก) แต่ไม่สบาย(กระเป๋าสตางค์)
หมูแดงมันก็ต้องอร่อยอยู่แล้วล่ะ เพราะเค้าย่างจริง ๆ
แต่หมูกรอบเนี่ย จะมันไปไหน
บางชิ้นกินไม่ได้จริง ๆ ต้องหนีบให้หนุ่มกินแทน 555
พอถึงเวลาจ่ายตัง
ไอ้เราก็ควัดบัตร Octopus มาแย่งจ่ายซะดิบดี
เวงกำ ร้านนี้ไม่รับ รับแต่เงินสด เลยเสร็จหนุ่มไปอีกจนได้มื้อนึง
เอิ่ม ตั้งแต่มาอยู่ฮ่องกง 2 วัน ยังไม่ได้จ่ายค่าข้าวเองเลย
จ่ายแต่ค่าน้ำ ซึ่งใน 7-11 จะแพงไปไหน น้ำเปล่า 500 มิลขวดละ 50 บาท บ้าไปแล้ว
ซื้อไม่ลงเลย
เลยกลับมาซื้อในโฮสเทลขวดละ 6 เหรียญ 2 ขวด แล้ววันอื่นก็มากรอกน้ำเอาในห้องครัว
ก็มีบ่นให้หนุ่มวันแรกฟังเรื่องน้ำแพงนะ
หนุ่มบอกว่า local เค้าไม่ซื้อน้ำเปล่าจากใน 7-11 หรอก
เพราะ 7-11 อะไรก็แพง
เค้าซื้อเอาในพวกร้าน discount store เป็นแพ็ค ๆ โน่นถึงจะประหยัด
ให้เค้าซื้อใน 7-11 เค้าก็ไม่ซื้อ มันแพงงงงง
เข้า 7-11 เราซื้ออย่างเดียวเลยคือ ไอ้กาแฟขวด Chun Cui He จากไต้หวัน
ซึ่งเราซื้อกินทุกวันเลย อร่อยมาก
ติดใจตั้งแต่ไปซื้อกินที่ไต้หวันตั้งแต่ต้นปีละ
ที่ไต้หวันมีเป็น 10 รสเลย



Image Hosted by PicturePush



แต่มาฮ่องกงเหลือแค่ 2 รส คือชานมกับกาแฟลาเต้



Image Hosted by PicturePush



แล้วขอโทษ ขวดนึงไม่ได้ถูกเลยนะ ซื้อ ไต้หวันประมาณ 35 บาท ซื้อฮ่องกงแม่งขวดละ 60!!! แต่ก็ยังซื้อกินทุกวัน เพราะเมืองไทยไม่มี ฮา ๆ

กินเสร็จ
เราก็ลอง line คุยกับน้องผู้หญิงคนไทยคนนึงที่เราเจอที่สนามบินที่น้องเค้าจับพลัดจับผลูต้องมาเที่ยวคนเดียว
ก็ถามน้องว่าทำอะไรอยู่ยังไง
เลยนัดมาดู symphony of light ด้วยกันคืนนี้
แล้วหนุ่มก็แนะนำว่า ให้ลองนั่ง ferry ข้ามจาก wanchai ในเกาะฮ่องกงไป Tsim Sha Tsui
ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดี แถวหนุ่มบอกว่าถูกกว่านั่งใต้ดินด้วย
แต่คนมักไม่นั่ง เพราะด้วยความที่ต้องเดินไกลไปเรื่อย ๆ กว่าจะถึงท่าเรือ
เพราะเค้าถมทะเลเป็นที่ดิน ทำให้จากเมื่อก่อนเดินใกล้ ๆ ก็ต้องเดินไกลออกไปประมาณนึง
แล้วต้องเสียเวลารอเรือข้ามฝากด้วย
ส่วนใหญ่ก็เป็นคน local ที่ไม่รีบ หรือเป็นนักท่องเที่ยวอย่างเราเนี่ยแหละที่ใช้บริการ
หนุ่มบอกว่าเรือข้ามฟากมีขึ้นได้ 2 ที่
คือจากย่าน Central หรือ Wanchai ไป Tsim Sha Tsui
แต่ถ้าขึ้นจาก Central ไป Tsim Sha Tsui จะมีสองราคา
คือชั้น 1 กับชั้น 2 ราคาไม่เท่ากัน
แต่เรือข้ามฝากขาดทุนทุกปีก็รัฐบาลก็ยังต้องอุ้มในมีเรือข้ามฟากเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

เราไปถึง Tsim Sha Tsui ริมแม่น้ำที่ ๆ จัดแสดง symphony of light ก่อนน้องเค้า
ระหว่างทาง มีไอติมที่เป็นรถตู้ที่เป็นหนึ่งในหน้าอาหารที่เราถ่ายรูปบอกกับหนุ่มว่าหาที่ไหน
หนุ่มก็ตอบว่ารถแบบนี้อยู่แหล่งนักท่องเที่ยว อยู่ไม่แน่นอน และเวลาไม่แน่นอน
แต่เราโชคดีเจอไอติมนี้พอดี จัดมา 1 โคน 9 เหรียญ หวานเว่อร์ หวานเกิน ทำให้ไม่อร่อย
แล้วอิชั้น กินไอติมตอนอากาศประมาณ 18-20 องศา หนาว ๆ แล้วกินไอติม ให้มันได้อย่างเน้
แล้วก็ไปริมน้ำตรงที่เค้าจะแสดงแสง สี เสียง เดินเล่น ถ่ายรูป อากาศค่อนข้างเย็น ต้องเอามือซุกกระเป๋าเสื้อหนาว แต่ฟ้าปิด ฟ้าแดงมาเชียว คาดว่าฝนจะตกในไม่ช้า ลมเย็นยะเยือก
จริง ๆ ต้องเรียกว่า บรรยากาศชวนโรแมนติกนะ
ริมน้ำมีแต่คู่รักมาถ่ายรูปคู่และรอดูการแสดงตอนสองทุ่ม


Image Hosted by PicturePush



แต่ก็มีกรุ๊ปทัวร์จีน ที่มีเหล่าอาซิ้ม อาซ้อโหวกเหวกโวยวายบ้างตามประสาแหล่งท่องเที่ยว
เราก็แค่เดินหนีจากเหล่ากรุ๊ปทัวร์จีนนั้นไป
จะแดงไปไหน แดงกันทั้งกรุ๊ป แล้วถ่ายรูปมาจะมีใครเด่นแตกต่างมั้ยเนี่ย


Image Hosted by PicturePush


เดินเล่นซักพัก
เอิ่ม หนุ่ม หาห้องน้ำให้หน่อย ทำไมวันนี้ทั้งวัน ชั้นปวดฉี่บ่อยเหลือเกิน
ทั้ง ๆ ที่กินน้ำแค่ 1 ลิตรตอน 8 โมงครึ่งแค่นั้นนะ
แล้วก็จิบน้ำนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เกิน 200 มิลตลอดทั้งวัน แต่เข้าห้องน้ำหลายรอบและ
แล้วแบบ เกรงใจหนุ่มมาก เพราะปวดฉี่แต่ละที ต้องให้หนุ่มหาห้องน้ำสะอาดให้ 555
หนุ่มก็เลยพาเข้าห้องน้ำใน Hong Kong Cultural Centre
ซึ่งหนุ่มบอกว่าเพื่อนก็มาแต่งงานที่นี่นะ





แล้วเราก็ออกมาเดินชิลริมอ่าว Victoria
เดินคุยกันไปกันมา หนุ่มเริ่มเอามือมาโอบเว้ยเฮ้ย
เอิ่ม ตูไม่ได้อินขนาดนั้น ถึงแม้ว่าบรรยากาศจะโรแมนติกมากก็เหอะ
เลยพยายามจะฝืน ๆ ไหล่นิดนึง หนุ่มก็โอเค เอามือออก 555
มาเที่ยวคนเดียว ต้องมีสตินะแจ๊ะ ไม่รู้เหมือนกันถ้าอินจะหนุ่มอาจจะซบตอบไปและ ก๊าก ๆ

ก็มานั่งคุยรอน้องคนไทย
ระหว่างรอ ก็ให้หนุ่มถ่ายรูปให้น้องเค้า ซึ่งน้องเค้าใช้กล้อง mirrorless แล้วหนุ่มเราก็เล่นกล้อง DSLR อยู่แล้ว
เลยปรับแสง ปรับอะไรให้มันสวยงามได้
แล้วก็นั่งดูการแสดง แสง สี เสียงกันสามคน
โชคไม่ดีที่รอบสองทุ่มคืนวันนี้เป็นภาษาจีนกลาง แล้วฝนก็เริ่มตกพรำ ๆ ทำให้อากาศที่หนาวและลมแรงอยู่แล้วยิ่งหนาวหนักเข้าไปอีก
ดูไปอย่างไม่รู้เรื่อง ถ้ารู้เรื่องอาจจะหันตามแสงทัน นี่มันโผล่มาจากตรงนู้น ตรงนี้ บางครั้งก็ดูไม่ทัน ฮา ๆ
แต่เราก็ไม่ได้พิศวาสกับพวกแสง สี เสียงอะไรนั่นมากนักหรอก
แค่ตอนค่ำยังไม่อยากกลับโฮสเทลเลยหาอะไรทำแก้เบื่อ ไม่อยากเดินช้อปปิ้ง ไม่มีตัง 555


Image Hosted by PicturePush

เสร็จแล้วก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ เรานัดหนุ่มคนเดิมไปไหว้พระที่ repulse bay อีกวัน
ด้วยความที่มันเป็นวันธรรมดา หนุ่มคนอื่นไม่ว่าง แล้วฮีก็ว่างอยู่ก็เลยถามดู แล้วฮีดันโอเค
ก็ดีเหมือนกัน repulse bay มันดูไปยาก ไม่ใช่ว่าขึ้นใต้ดินแล้วเจอเลย
เพราะมันต้องขึ้นรถเมล์ไป ลงป้ายไหนก็ไม่รู้ ต้องดูที่ดูทางดี ๆ
อย่ากระนั้นเลย ไปกับ local ดีกว่า สบาย
เลยนัดแนะกับหนุ่มป้ายรถเมล์ตรงข้ามโฮสเทลเราเรียบร้อย

วันนี้ไปเที่ยวกะหนุ่มสนุกมาก
ได้ใช้คมนาคมขนส่งของฮ่องกงซะเกือบครบเลยมั้ง
ทั้งรถราง รถเมล์ ใต้ดิน เรือข้ามฟาก จะเหลือก็แต่แท็กซี่กับรถส่วนตัวละมั้งที่ยังไม่ได้ลอง

กลับมาถึงโฮสเทล เจอรูมเมทคนใหม่
เป็นสาวเกาหลี ดูมีอายุแล้ว ถามอายุก็บอกว่าเป็นความลับ
คิดว่าน่าจะ 45+ ดูจากรอยตีนกา แต่หุ่นและหน้ายังดูเด็กอยู่เลย
มานอน 5 คืน มาจากมาเก๊า นอน 5 คืนแล้วเดี๋ยวกลับมาเก๊าแล้วค่อยกลับเกาหลี
มาเที่ยวคนเดียว มีสามีแต่ไม่มีลูก
สามีไม่ชอบเที่ยวสั้น ๆ ชอบเที่ยวประเทศนึงเป็นเดือนหรือหลายเดือน
ส่วนอาเจ้ชอบเที่ยวทริปสั้น ๆ เลยต้องเที่ยวคนเดียว
อาเจ้มีธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับพวกจองตั๋วเที่ยวหรืออะไรเนี่ยแหละ
ก็ทำงานนิด ๆ หน่อย ๆ ผ่านเน็ท
อาเจ้เลยเที่ยวคนเดียวได้ปีนึง 4-5 ประเทศ ๆ ละ 7-10 วัน
ก็บินโลว์คอส นอนโฮสเทลรวมแบบเราเนี่ยแหละ
แล้วก็สะสมไมล์เอาไปเที่ยวที่ไกล ๆ
เดี๋ยวปีหน้าเจจะไปสเปนกับโปรตุเกสคนเดียวเดือนนึง สุดยอดมาก
สร้างแรงบันดาลใจฝุด ๆ อาเจ้น่ารัก คุยเก่ง ภาษาอังกฤษฟังรู้เรื่อง
ก็คุยกันหอมปากหอมคอก็ต่างคนต่างนอน
แต่ แต่ แต่
อาเจ้กรน!!!! เราเลยหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืนเลย เจ้นะเจ้ 5555

ไว้มาต่อวันที่สามในบล็อคถัดไปนะค้า ถ้ารอนานอย่าว่ากันน้า บล็อคนึงเรื่องเม้าเพียบ รูปเพียบ ใช้เวลาเขียนหลายวันกว่าจะได้แต่ละบล็อค แหะ ๆ
ใครติดตามอ่านแล้วรออ่านวันต่อ ๆ ไป พิมพ์คอมเม้นท์มาบอกกันหน่อยนะจ๊ะ จะได้มีกำลังใจในการพิมเม้าตอนต่อไปเร็ว ๆ ค่า อิอิ
รักคนอ่านทุกคนค่า เลิฟ ๆ




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2559
2 comments
Last Update : 26 มีนาคม 2560 20:44:52 น.
Counter : 2635 Pageviews.

 

ไปเดินdragon's backมาเมื่อปลายปี15กับเพื่อนสาวค่าา เจอแต่คนแก่(ที่แข็งแรงม้ากก) และฝรั่งที่พาสุนัขมาเดินเล่น
ส่วนชายหาด คลื่นแรงมากๆคะ มีแต่ฝรั่งที่มาเล่นโต้คลื่นกัน คนฮ่องกงเองแทบไม่มีเลย จนนึกว่าไม่ได้อยู่ฮ่องกง

 

โดย: Moomin IP: 27.55.236.136 2 มกราคม 2560 13:11:39 น.  

 

รอค่าสนุกมากก ชอบ

 

โดย: Fon IP: 101.51.139.8 5 มกราคม 2560 10:03:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.