เที่ยวมาเลย์คนเดียววันสุดท้าย...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด จบ
ใครเพิ่งมาอ่านบล็อคนี้ครั้งแรกลองกลับไปอ่านตอนแรก ๆ ก่อนได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้นะคะเพื่อความต่อเนื่องเที่ยวมาเลย์คนเดียววันแรก...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิดเที่ยวมาเลย์คนเดียววันแรก...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด ตอนที่ 2เที่ยวมาเลย์คนเดียววันที่สอง...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด เที่ยวมาเลย์คนเดียววันที่สอง...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด ตอนที่2เที่ยวมาเลย์คนเดียววันที่สาม...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิดเที่ยวมาเลย์คนเดียววันสุดท้าย...ไม่ปลอดภัยกว่าที่คิด จบวันสุดท้ายในมาเลย์ตื่นมา 7 โมงกว่า อาบน้ำแต่งตัว แพ็คของ ซึ่งใช้เวลาประมาณนึงกะว่ากระเป๋าจะว่าง เพราะขนมต่าง ๆ ที่หอบมาจากเมืองไทยก็แจกจ่ายไปเกือบหมดแล้วอ้อ จริง ๆ คือ เหลืออีก 1 ชุดเพราะวันเสาร์มีหนุ่มที่ว่าจะเจอกันวันจันทร์ส่งข้อความมาบอกว่า มาเจอไม่ได้แล้วนะ เพราะป้าเค้าเสียเราก็เออ ๆ อืม ๆ ไม่เป็นไรทริปนี้ หนุ่มตี๋มาเลชั้น แผนพังหมดก่อนมาคิดไว้สวย ๆ เจอหนุ่มวันละคน ให้พาเที่ยวทั้งวันไม่ต้องคิดว่าจะเที่ยวไหน กินอะไร พาไปเลย คุยกันมุ้งมิ้งความจริงมันโหดร้าย ได้เจอหนุ่มคนเดียว แถมได้เจอตอนทุ่มนึง เวงกำแต่ในความโชคร้ายนั้น ก็มีความโชคดีตรงที่ได้หนุ่มสิงคโปร์มาเที่ยวด้วยทุกวันยกเว้นวันแรกที่ได้สาวมาเลพาเที่ยวเหลือเที่ยวจริง ๆ เดี่ยว ๆ แค่ครึ่งวันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องเพราะหนุ่มสิงคโปร์ต้องกลับตอนบ่ายโมงกว่า เราก็ต้องแพ็คของกลับ ซึ่งของก็เยอะเหมือนตอนมาเลยเพราะได้ขนมถุงใหญ่หลายชิ้นจากหนุ่มตี๋มาเลแล้วก็ของที่เหล่าเพื่อน ๆ ฝากซื้อและซื้อฝากอีกหลายถุงสรุป ตอนมาก็หนัก ตอนกลับก็หนักไม่ต่างกัน 555 แพ็คของเสร็จส่งข้อความไปหาผู้ชายผู้ชายเพิ่งตื่นจ้าเออ ไม่ว่ากัน เพราะไม่ได้นัดกันอยู่แล้วผู้ชายก็ถามว่าอยากไปไหนเราก็บอกว่าไม่มีไอเดียเลย ไปไหนก็ได้ยูอยากไปไหนมันบอกว่าอยากไปกินร้านอาหารจีนร้านนึงที่ china town เราก็โอเคทันใดเพราะเราไม่มีแผนอยู่แล้วจริง ๆ มานี่ก็ไม่ได้ทำการบ้านใด ๆ เลยกะมาพึ่งผู้ชาย 3 คน 3 วันเลยนี่ล่ะหนา เค้าถึงว่า ควรจะเตรียนแผนสำรองไว้บ้างเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราจะได้ทำการเที่ยวของเราเองได้แต่จากเหตุการณ์น้องพม่าและอิแขกขายซิมแล้วทำเอาเราไม่อยากเดินไปเที่ยวที่ไหนคนเดียวอีกเลย เราก็ให้เวลาผู้ชายอาบน้ำ แพ็คของ จัดกระเป๋าแล้วเราก็ขึ้นไปกินข้าวบน roof top ข้างบนที่เรามีคูปองอาหารเช้าฟรีซึ่งผู้ชายจองทีหลัง ไม่มีอาหารเช้าฟรีนะแจ๊ะ2 เช้าที่ผ่านมา เราขึ้นมากินตอน 9 โมงกว่ารอบนึง แล้วก็ 7 โมงเช้ารอบนึง เลยยังไม่ค่อยเห็นใครแต่วันนี้ขึ้นมากินตอน 8 โมงครึ่งคนเต็มคาเฟ่เลยคือมองแล้ว มีทั้งหน้าเอเชียและฝรั่งหัวทองพอ ๆ กัน ครึ่ง ๆ เลยส่วนใหญ่ฝรั่งหัวทองมาเป็นครอบครัว แล้วก็เป็นวัยรุ่นคู่รักส่วนเอเชีย ส่วนใหญ่เป็นเกาหลีเกือบหมดเลยตลกดี ที่พักที่เราจองต่างประเทศนะ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเกาหลีด้วยนะสงสัยเรามีความชอบเหมือนคนเกาหลี ฮา ๆเกาหลีก็ส่วนใหญ่มาเป็นกลุ่ม ไม่ก็เป็นคู่ทั้งคาเฟ่ มีอินี่คนเดียวจ้าที่นั่งคนเดียว โห มองไปแล้วก็เศร้าใจรีบกินอย่างแรงกินไปเขินไป เพราะเป็นโต๊ะเดียวจริง ๆ ที่นั่งอยู่คนเดียวทุกโต๊ะ นั่งกันเป็นคู่และเป็นกลุ่มหมดเลย กินเสร็จ กลับมาห้อง เช็คความเรียบร้อยของห้องอีกรอบแล้วไปเช็คเอาท์ตอนเกือบ 10 โมง เอา 100 ริงกิตคืน ถ้าไม่ได้ทำอะไรเสียหายแล้วก็นั่งรอผู้ชายอยู่ตรงล็อบบี้นั่นแหละอีก 15 นาที ผู้ชายก็วิ่งหน้าตื่นมาเช็คเอาท์แหม ไม่ต้องรีบ เรามีเวลา เพราะเราไม่มีที่เที่ยวอยู่แล้ว แผนของผู้ชายก็คือเค้าจะฝากกระเป๋าเค้าไว้ที่นี่ซึ่งกระเป๋าผู้ชายเล็กมากเป็นแค่กระเป๋าหูรูดสะพายหลัง ใส่เสื้อผ้าแค่ 2-3 ชุด แค่นั้นเลยจริง ๆแล้วก็ถุงพลาสติกถุงใหญ่ ก็อิขนมจากเมืองไทยที่เราให้และขนมที่เค้าซื้อจากมะละกาแค่นั้นจริง ๆ ง่ายมาก คือเค้าจะฝากของเค้าไว้ที่โรงแรมเพราะเค้านั่งรถบัสมาจากสิงคโปร์แล้วนั่งรถบัสกลับ ซึ่งที่ขึ้นรถบัสอยู่ใกล้ ๆ โรงแรมเนี่ยแหละ เค้าจะไป KL sentral ซึ่งเป็นที่ขึ้นรถบัสไปสนามบินของเราแล้วเอากระเป๋าไปฝากล็อกเกอร์ไว้ก่อนแล้วเรานั่งรถไฟฟ้าไปกินอาหารจีนกันที่ china townนี่แหละคือแผนการเที่ยวของเราวันนี้เรายังไงก็ได้อยู่แล้วมีมันเที่ยวเป็นเพื่อน โคดจะอุ่นใจ มันก็เรียก uber ให้ไปส่งที่ KL Sentralแล้วก็เดินวนหาล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าซึ่งมีน้อยมาก มีอยู่จุดเดียวเองมีอยู่แค่ 2 ราคา คือ 10 ริงกิต กับ 40 ริงกิต เวงกำด้วยความที่เราเอาใบ ประมาณ 22-24 นิ้วมาแบบที่ขึ้นเครื่องไม่ได้ เลยต้องใส่แบบ 40 ริงกิตเสียดายมาก เพราะจริง ๆ เกือบใส่แบบ 10 ริงกิตได้แล้วแต่ติดแค่ล้อเกินมาหน่อยนึงเลยเลยใส่ไม่เข้ามีแขกมาบอก แล้วก็บอกว่าเอาเงินมา 40 ริงกิตเราก็งงดิ กลัวโดนแขกหลอกอีก เพราะคิดว่า coin locker เราก็หยอดเหรียญเองได้นี่หว่าแต่เราก็ให้แบงค์ 50 ไปนะมันก็เดินไปเข้าเครื่องแลกเป็นเหรียญมาให้แล้วหยอดเหรียญ เอากุญแจพร้อมตังทอน 10 ริงกิตก่อนจะหมุนกุญแจ ฮีก็ย้ำอีกรอบว่าไม่มีอะไรใส่แล้วใช่มั้ยเพราะตู้แม่งใหญ่มาก เหมาะกับกระเป๋า 28 นิ้ว 2 ใบใส่เข้าไปได้อ่ะแต่เราใส่กระเป๋าแค่ 22-24 นิ้วแค่ใบเดียว โคดไม่คุ้มอ่ะแล้วเราฝากไว้ไม่กี่ชั่วโมงเอง รู้สึกว่ามันฝากได้ 24 ชั่วโมงนะอันนี้รูปตอนกลับมาเอาจ้ะสั่งเกตได้ว่ามันก็แพงสำหรับนักเรียนจ้ะเลยไม่ฝาก แต่กองไว้หน้าตู้มันนั่นแหละ ฮา ๆ ก็บอกว่าไม่มีแล้ว มันก็ล็อคตู้แล้วเอากุญแจให้เราแล้วบอกว่าห้ามทำกุญแจหายถึงเวลาก็มาไขตู้แล้วค้างกุญแจไปตรงตู้นี่แหละแล้วก็ได้เวลาเสาะหาอาหาร งานถนัดของผู้ชายกัน ก่อนไปก็เข้าห้องน้ำสาธารณะตรงสถานีกันก่อนอ้อเรายังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าห้องน้ำสาธารณะที่มาเลแม่งเหม็นและสกปรกทุกที่ตั้งแต่สนามบินยันขนส่งถ้าเป็นไปได้ หาห้างหรือโรงแรมแวบเข้าเถอะแล้วห้องน้ำห้าง รู้สึกจะเสียเงินด้วยนะ ที่ขนส่งบางที่ก็เสียเงินไอ้ที่ขนส่งเสียเงิน แล้วเข้าไปเจอความโสโครกนี่ อารมณ์เสียมากมาย เสร็จแล้วเราก็ซื้อตั๋วรถไฟไปสถานี Pasar Seni เพื่อไป China Town กันทำไมไม่เรียกว่าสถานี China Town เลยวะ นักท่องเที่ยวจะได้ไม่สับสนแค่ 1 สถานีจาก KL Sentralไปถึงก็เดินเล่นเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรจะซื้อหรอกมันก็เหมือนเดินแหล่งท่องเที่ยวบ้านเราเหมือนเดินแผงสีลมตอนกลางคืนน่ะ แผงขายของเหมือนกันเลยพวกของขายฝรั่งน่ะคนขายก็มีแต่หน้าแขก ๆ หน้าตาน่ากลัว กึ๋ย ๆจริง ๆ เราก็มาแล้วรอบนึงในคืนแรกกับเพื่อนสาวมาเลของเราซึ่งก็ได้รับสายตาจับจ้องแบบนี้แหละสายตาแขกนี่มันน่ากลัวจริง ๆ แล้วก็ตามผู้ชายไปที่ร้านอาหารจีนแถวนั้นก่อนเข้าร้านก็แวะซื้อร้านน้ำร้านนึงเป็นน้ำลำไยหล่อฮั่งก้วย เหมือนร้านที่เราซื้อกินที่มะละกาเลยแต่ร้านนี้มีขายอย่างเดียว ไม่มีเฉาก๊วยขายเหมือนที่มะละกาคิวยาวมาก ส่วนใหญ่มีแต่วัยรุ่น นักท่องเที่ยวจีนซึ่งคงเป็นร้านดังย่านนี้ซื้อมากินก็อร่อยดี แก้วเล็ก ๆ ดูด 3 ทีหมด 555 แล้วก็มีเต้าฮวยขายด้วย วันนี้แดดเปรี้ยงเหมือนอยู่กรุงเทพเลยไม่สามารถกินเต้าฮวยน้ำขิงร้อน ๆ ตอนเที่ยงได้นะจ๊ะ ขอบายแล้วเราก็ไปกินร้านอาหารที่ผู้ชายอยากกินเป็นร้านอาหารจีนที่เต็มไปด้วยอาตี๋ อาหมวยหน้าจีน ไม่มีหน้าแขก หน้าฝรั่งเจือปนเลยแม้แต่น้อย ฮา ๆผู้ชายก็จับหลักเราได้แล้ว คือ ไม่ต้องถามเราสั่งสิ่งที่ตัวเองอยากกิน แล้วเดี๋ยวเราขอแทะเล็มเองแต่ไม่ค่อยได้คุยกับผู้ชายหรอกนะอย่างที่บอก มันติดมือถือมาก แชทกับสาวคนนึงตลอดถ้าไม่แชทกับสาว ก็ search หาที่กินว่าจะไปกินไหนแต่ละมื้อ ฮา ๆเราเลยจะได้เห็นฮีอยู่กับมือถือแบบนี้ตลอดเวลาจริง ๆ เราคิดว่าเราจะสนิทกันมากกว่านี้นะแต่เอาจริง ๆ แล้ว เวลาที่จะคุยกัน เราแทบไม่ได้คุยกันเลยเพราะไม่ว่าฮีจะนั่งแท็กซี่ นั่งกินข้าว เดินถนน ฮีอยู่กับมือถือแทบจะตลอดเวลา!แล้วเรารู้ชื่อร้านวันนี้ก็จากรูปที่แอบถ่ายมือฮีเนี่ยแหละ นี่คือร้านที่เรามากิน ผู้ชายก็สั่งผัดก๋วยเตี๋ยวดำมาจานนึง แล้วก็ซุปหอยลายซึ่งก็ตลกดีผู้ชายตี๋แม่งต้องชอบซุบหอยลายแน่เลยเพราะตอนให้ตี๋มาเลสั่ง 1 ในอาหารที่เค้าสั่งก็มีไอ้ซุปหอยลายเนี่ยแหละแต่รสชาตไม่เหมือนกันนะร้านนั้นกับตี๋มาเล มันออกอมเปรี้ยวหน่อยหอมขิงข่า (เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยมื้อนั้น เพราะแทะไก่มื้อเปื้อน)แต่ร้านนี้กินกับตี๋สิงคโปร์ มันอมหวานแล้วหอมขิงแล้วฮีก็สั่งผัดฮกเกี้ยนหมี่ดำมาอีกจานคือผัดเส้นดำจานแรกเนี่ย จะคล้าย ๆ ผัดซีอิ้ว แต่เส้นคล้าย ๆ เกี้ยมอี๋อ่ะเส้นมันจะหนึบ ๆ ลื่น ๆ กินกับซีอิ๊วดำปรุงรส ไม่มีผักเลยแฮะ แล้วก็หอยลาย (อยู่บ้านตัวเอง ไม่กินหอยนะจ๊ะ กินอยู่หอยเดียวคือหอยเชลล์ แต่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ได้หมดจ้ะ ลองทุกอย่าง)แล้วจานสุดท้าย ฮกเกี้ยนหมี่ดำเราไม่ค่อยชอบนะ เพราะเส้นหมี่ไข่อันนี้ กลิ่นแป้งแรงมาก ขนาดผัดกับซีอิ๊วดำแล้ว กลิ่นแป้งยังแรงอยู่เลยก็บอกฮีไป ฮีบอกว่ายูพูดเหมือนแฟนเก่าชั้นเลยนางก็ไม่ชอบกลิ่นแป้งเหมือนกัน เวลาชั้นอยากกินต้องมากินคนเดียว ฮา ๆแล้วฮีก็ลุกไปหาชามมาใส่เปลือกหอยแหม่ มีผู้ชายมาด้วยมันดีงี้นี่เองมีคนแบกเป้ให้ ถ่ายรูปให้ เรียกแท็กซี่ให้ เปิดประตูรถแท็กซี่ให้ สั่งอาหารให้ ตักอาหารให้ ไปซื้อน้ำ ซื้อขนมมาให้ ตามใจหมดทุกอย่างขอแค่บอกว่าอยากไปไหน ไปทำอะไร เดี๋ยวจัดการให้หมดคือทุกทีเวลาเที่ยวคนเดียวก็ทำเองหมดทุกอย่างอ่านะ ลก ๆ ลน ๆ หลง ๆ เมื่อย ๆ เหนื่อย ๆแต่จะดีหน่อย ตอนได้เจอผู้ชายซึ่งผู้ชายบางคนก็ช่วยแบกเป้ให้ ถ้าเค้ามาตัวเปล่าหรือกระเป๋าสะพายข้างอ่านะเค้าก็จะช่วยแบกเป้ข้างหลังให้แล้วเป้เราเนี่ย หนักเอาเรื่องอยู่นะ เพราะเราใส่น้ำเปล่าด้วยจริง ๆ ถ้าไม่ใส่น้ำเปล่าก็หนักประมาณนึงแล้วนะเพราะมันมีทั้งกระเป๋าสตางค์ passport พวกกระดาษ print out ทั้งหลายกันเหนียวพวกโรงแรม เที่ยวบิน ประกันแถมยังมีทั้งอุปกรณ์เข้าห้องน้ำสาธารณะอีก ไม่ว่าจะเป็นทิชชู่เปียก ทิชชู่แห้ง แอลกอฮอล์นี่ยังไม่รวมร่ม power bank ยาดม ยากิน ยาฉีด ยาหม่อง สารพัดยาไหนจะกระเป๋าเครื่องสำอางไว้ touch up ระหว่างวัน (มีนิดเดียว แค่ลิปกะกระจก แต่ลิปหลายแท่ง ฮา ๆ) แต่หนักสุดก็คงจะเป็นน้ำเปล่าเนี่ยแหละ แต่ทริปมาเล น้ำเปล่าถูกก็ไม่แบกนะแต่ไปฮ่องกง สิงคโปร์ น้ำเปล่าขวดละ 50 นี่ เราต้องกรอกน้ำเปล่าจากโฮสเทลติดตัวไปด้วยเลย 2 ขวดระหว่างวันคือเราแบกน้ำ 1 ลิตรในกระเป๋านะจ๊ะอันนี้คือสิ่งที่คิดได้ในเป้นะ ยังมีอะไรจุ๊กจิ๊กอีกประปราย แต่จำไม่ได้ แต่หลัก ๆ คือประมาณนี้อันนี้รูปก่อนแยกกัน เราชอบตึกนี้มากเลย มันเรียบง่าย แต่ สวย less is more จริง ๆ อย่างตอนไปฮ่องกง ไปปีนเขา ผู้ชายก็จะมีเป้ของเค้าอยู่แล้วเค้าก็ไม่ได้จะมาถือให้เราแต่ประทับใจทริปสิงคโปร์มากอ่ะทริปสิงคโปร์นี่ เจอผู้ชาย 4 คน2 คนที่ไม่ได้ขับรถ แล้วเราอยู่กับ 2 คนนี้นานที่สุดจะมี common sense ที่ดีมากมาถึงปุ๊บ ให้เราถอดเป้บนหลังเลย บอกว่าเดี๋ยวสะพายให้ น่าร้ากกกกกกกกก กรี๊ดมากกกกกกกอีก 2 คนขับรถ เจอแป๊บ ๆ ชั่วโมงกว่า 2 ชั่วโมงเค้าก็ไม่ได้จะช่วยอะไร แต่คิดว่าด้วยความที่มีรถด้วยมั้ง เลยไม่คิดว่าเป้จะหนักแล้ว 1 ใน 2 คนที่ช่วยแบกเป้ให้ ยังคุยกันจนถึงทุกวันนี้จ้าแต่อีกคนเค้าก็เลิกคุยไปละ คงเพราะไม่มีโอกาสเจอกันล่ะมั้งแต่เราก็บอกคนที่ยังคุยกันอยู่นะว่า เราจะไปสิงคโปร์อีกเค้าก็เลยยังคุยกับเราอยู่มั้งแต่คนนี้ก็แอบอยากคบนะคิดว่าไปสิงคโปร์คราวหน้าคงใช้เวลาอยู่กับคนนี้คนเดียว ถ้าเค้ามีเวลาให้เราทั้งทริปอ่านะ เราก็ขอบคุณผู้ชายแล้วก็บอกผู้ชายแบบที่เราเขียนแบบนี้นะฮีก็ขำแล้วบอกว่า งั้นยูก็หาผู้ชายของตัวเองซักคนสิแหม่ ถ้ามันหาได้ง่าย ๆ ก็ดีสิพร้อมไปนะโว้ย สิงคโปร์เนี่ย ตั๋วไปกลับกรุงเทพ-สิงคโปร์ก็โคดจะถูกPassport สิงคโปร์ก็โคดอยากจะได้ แม่งไม่ต้องขอวีซ่าซักประเทศดูของไทยซิ ทุกประเทศที่เจริญแล้วแม่งต้องขอหมดแล้วค่าวีซ่าแม่งก็ไม่ใช่ถูก ๆ เผลอ ๆ แพงกว่าค่าตั๋วเครื่องบินอีกเสียไปแล้วก็ใช่ว่าจะได้วีซ่าเลย ต้องลุ้นอีกโอ๊ย เรื่องเยอะ อยากได้ passport สิงคโปร์จุงเบยแต่ผู้ชายบอกว่างั้นยูก็ต้องหาหนุ่มสิงคโปร์แต่งงานอ่านะแต่ใช่ว่าแต่งแล้วจะได้สัญชาตินะยูตอนนี้ได้สัญชาติสิงคโปร์ยากมากต้องแต่ง 5 ปีขึ้นไปแล้วอะไรอีกหลายอย่างไม่ใช่แต่งปุ๊บได้ปั๊บนะแจ๊ะโห่ แต่งแล้วก็ลุ้นงั้นขอจ่ายเงินค่าวีซ่าแล้วลุ้นเองยังดีกว่าแต่งไปแล้วอยู่ไม่ได้ มีปัญหา อึดอัดคับข้องใจ มันใหญ่กว่าเรื่องเงินเยอะเลย กินเสร็จก็ได้เวลาแยกย้ายกับผู้ชายเค้าก็เดินมาส่งตรงสถานีรถไฟแล้วเค้าก็เรียก uber กลับโรงแรมคราวนี้ได้เวลาเที่ยวคนเดียวจริง ๆ แล้วเราก็เงอะ ๆ งะ ๆ กับการหาสถานีเพราะมันปิดซ่อมไปส่วนนึงเดินผิดทาง เป็นทางเชื่อมเข้าตึกอีก เวงกำเลยถามหนุ่มออฟฟิศแถวนั้นมากัน 2 คน แขกคน จีนคน แต่ดูแก่กว่าเราเยอะเค้าก็บอกว่าให้ตามเค้าสองคนมาเพราะเค้าก็กำลังจะไปเหมือนกันแล้วเราเหลือเงินเป็นแบงค์ 50 ริงกิตซึ่งค่ารถไฟมัน 1.3 หรือ 1.6 ริงกิตเองก็ต้องเดินไปแตกแบงค์เพราะตู้มันไม่รับแบงค์ใหญ่ ๆ สุดแค่ 5 ริงกิตเรากำลังจะเดินไปแลกแต่พี่แขกบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเอาเงินเค้าจ่ายให้เราโอ๊ยอยู่มา 4 วัน เพิ่งจะเจอแขกดีก็วันนี้แล้วเค้าก็เดินจากไป ไม่คุกคามเราอีกก็ขอบคุณเค้าไปหลายรอบมาก พอกลับมา KL Sentral มันจะมีห้าง NU Sentral เราก็ไม่รู้จะฆ่าเวลาอะไรเลยเดินมันอยู่ในห้างนั่นแหละร่วม 2 ชั่วโมงคิดดูสิ ทรมานมากเลยเพราะเราเป็นผู้หญิงไม่เดินห้าง และไม่ชอบเดินซุปเปอร์เออ เพิ่งรู้ว่าในซุปเปอร์สิงคโปร์ มีป๊อกกี้และเพรสรสลาบและทุกรสจ้ะแต่ต้องมาฆ่าเวลาในห้าง 2-3 ชั่วโมงเดินไปได้ชั่วโมงกว่าก็ทนไม่ไหวไปเปิดล็อกเกอร์ เอากระเป๋าขึ้นรถบัสไปสนามบินดีกว่าไปถึงสนามบินก่อนเวลาเยอะ ๆ แล้วไปนั่งเล่นเน็ทที่นั่นดีกว่ามานั่งเดินห้างฆ่าเวลาหลายชั่วโมง หลังจากประสบการณ์ประสบการณ์ตั้งแต่จำเวลาขึ้นเครื่องผิดเกือบตกเครื่องเกือบตกรถบัสเข้าเมืองโดน uber เบี้ยวนัดไปมะละกา เกือบตกรถบัสไปมะละกาทำให้เรารู้สึกว่า ไปเผื่อเวลาดีกว่าต้องมานั่งวิ่งลุ้นเลยไปถึงสนามบินก่อนไฟล์ 4 ชั่วโมงกว่าขากลับนั่งการบินไทยกลับจ้า ในราคา 2 พันตั๋วเที่ยวเดียวจากมาเลกลับกรุงเทพถูกกว่าในประเทศอีกมั้ง อ้อจริง ๆ สามารถเช็คอินออนไลน์ได้ 24+1 ชม.ก่อนไฟล์บินแต่เมื่อคืนเหนื่อยมาก ลืมสนิทมานึกขึ้นได้ตอนเที่ยงที่ผู้ชายพูดถึงไฟล์กลับเลยมาเช็คอินออนไลน์ตอนเที่ยงเข้าไปดู แทบไม่เหลือที่แล้ว เหลือแต่ที่ตรงกลาง ซึ่งไม่อยากนั่งไอ้ที่ติดหน้าต่างหรือทางเดินก็อยู่ท้ายลำเลยหรือที่ exit row ข้างทางเดินที่อยู่กลางเครื่อง ไม่รอช้ารีบบุ๊คเลยทีเดียวเป็นครั้งแรกที่ได้นั่ง exit row เลยนะ ถึงแม้ว่าจะแค่ 2 ชั่วโมงก็เถอะได้ลองนั่งยืดขาก็ดีเหมือนกันถามว่าเปิดประตูเครื่องได้มั้ย อีกเรื่องนึงนะก็หวังว่าไม่ต้องมีโอกาสได้เปิด ไปถึงเคาร์เตอร์ TG ยังไม่มีพนักงานมาทำงานเพราะเค้าจะมาทำตอน 3 ชั่วโมงก่อนไฟล์เลยไปเดินเล่นรอบ ๆ สนามบิน ซึ่งก็ไม่มีอะไรเหลืออีก 20 นาทีก่อนเคาร์เตอร์เปิดก็รีบมาต่อแถวโหยยยยยยยยยคิวยาวแล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีพนักงานมากันเร็วสุดยอดแล้วเท่าที่เห็น คนไทย 10% เองนอกนั้นเป็นแขกอีกแล้ววววววว ต่อแถวอยู่ 45 นาทีได้นี่ขนาดอยู่แถวที่โหลดกระเป๋าอย่างเดียวนะ เพราะเช็คอินออนไลน์มาแล้ว ก็ยังยาวเลยโหลดกระเป๋าเสร็จแล้วก็เข้าไป ตม ขาออก เช็คกระเป๋าแปลกใจมากที่ตรงสายพานเช็คกระเป๋า เค้าแทบไม่ตรวจไม่ดูอะไรเลยผ่านทุกคนแล้วก็มาตรงดิวตี้ฟรีซึ่งไม่มีอะไรน่าซื้อสำหรับเราแล้วดิวตี้ฟรีเค้าเล็กมากแล้ว gate เราต้องนั่งรถไฟไปอีกที่นึงพอนั่งไปถึง ดิวตี้ฟรีตรงนั้นก็ยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ เดินแป๊บเดียวก็หมดเลยหาที่นั่งเล่นเน็ท หลังจากช้อปผ้าอนามัย Kotex ที่บ้านเราไม่มีและมีคนบอกว่าดีไปหมดริงกิตเหลือติดตัวไม่ถึง 1 ริงกิตถ้าเกิดอะไรขึ้นนี่ เราไม่มีเงินริงกิตเหลือติดตัวเลยนะเราก็นั่งเล่นเน็ทมั่ง งีบมั่งGate ก็เปลี่ยนอีก แต่อันนี้รู้ล่วงหน้าละ เพราะไปดูบอร์ดก่อนไปนั่งเล่นเน็ทแต่ เราก็เอ๋ออีกละ ไปจำเวลาเครื่องออก แทนที่จะจำเวลา boarding timeวิ่งเลยล่ะทีนี้แล้วการบินไทย เครื่องลำใหญ่ คนหลายร้อยเลยต่อแถวกันอยู่ ไม่ได้ตกเครื่องมีการแสกนกระเป๋ากันอีกรอบดีนะ เราไม่ซื้อที่ล้างเครื่องสำอางเพราะถ้าซื้อในดิวตี้ฟรีได้ทิ้งเลยมั้งเพราะหน้าเกท เค้าแสกนเข้มงวด พวกของมีคนและน้ำดื่มเราก็ว่าอยู่ว่าทำไมสแกนรอบแรก เค้าไม่เห็นเช็ค ตรวจตัวหรืออะไรเลย ผ่านกันทุกคนมาตรวจอีกรอบหน้าเกทนี่เอง แล้วเราก็ได้ขึ้นเครื่องอย่างปลอดภัยตอนแรกแอบสงสัยว่าคนนั่ง exit row งี้ก็ไม่มีหน้าจอเป็นของตัวเองสิไหนจะถาดอาหารด้วย งี้ทำไงขึ้นไปถึง หนาวมาก ทำไม exit row เค้าให้แต่หมอน ไม่ให้ผ้าห่มแต่คิดว่าเพื่อความปลอดภัยมั้งพอขอแอร์ ๆ ก็หน้าดุ ๆ เหวี่ยง ๆ ใส่ บอกว่าเดี๋ยวเอาให้ตอนเครื่องขึ้นแล้วแล้วแอร์ก็บอกว่า เดี๋ยวขอผ้าห่มคืนก่อนเครื่องลงด้วยคิดว่าเพื่อความปลอดภัยนะ กรณีฉุกเฉิน ผ้าห่มก็เป็นสิ่งกีดขวางแถว exit row เหมือนกันแต่แถวเค้าก็วางไว้ให้สามารถห่มได้ตั้งแต่ก่อนเครื่องขึ้นนะ แล้วตอนเสริฟอาหาร ไอ้ถาดมันพับเก็บไว้นี่เองจริง ๆ exit row ก็มีถาดอาหาร และมีจอ เพียงแต่มันถูกพับเก็บข้างที่วางแขนนี่เองถ้าไม่ได้มีโอกาสมานั่งก็ไม่รู้นะเนี่ย คิดว่าเค้าจะไม่มีเพื่อและกับที่ยืดขาได้กว้างขึ้นอยู่ exit row เราจะได้นั่งประจันหน้ากับแอร์ด้วย เพราะแอร์จะนั่งตรง jump seatแอร์ไฟล์มาเลจะเหวี่ยง ๆ หน่อยเพราะรู้มาว่า บินมาเลเนี่ย งานหนักเงินน้อยเพราะบินมาเลแค่ 2 ชั่วโมง ต้องเสริฟแบบ full คือเสริฟข้าวด้วยรอบนึง เครื่องดื่มรอบนึง เก็บอีกรอบนึงแล้วการเสริฟข้าว คือต้องอุ่นอาหารมือเป็นระวิงต้องทำทุกอย่างในเวลาแค่ชั่วโมงครึ่งได้มั้งหรือไม่ถึงด้วย เพราต้องเผื่อเวลาเครื่องขึ้นลงที่ทำอะไรไม่ได้อีกแถมเงินยังได้น้อยว่าบินในประเทศ ที่เสริฟแค่ของว่างพร้อมน้ำรอบเดียวแล้วเก็บ อะไรประมาณนี้ดังนั้นไฟล์มาเลเนี่ย ลูกเรือจะแกล้งป่วยกันเยอะ เพราะงานหนัก เงินน้อย ผู้โดยสารเป็นแขกเยอะ ไม่มีใครอยากทำทำให้ไฟล์มาเล ลูกเรือจะไม่ค่อยครบเต็มกำลังการทำงานคนก็ไม่ครบ ทำงานก็ยิ่งหนักขึ้น แล้วเงินก็ได้น้อย ใครมันจะอยากไปทำล่ะเนอะแต่ลูกเรือทุกคนก็ได้ไฟล์มาเลกันทุกเดือนนะ แหม เอาง่าย ๆ ถูกการบินไทยจากมาเลมาไทยก็แค่สองพันเองถูกกว่าแอร์เอเชียรวมทุกอย่างอีกนะ ตอนเราจองล่วงหน้าแค่ 2 อาทิตย์น่ะเป็นใคร ๆ ก็เลือกการบินไทยสิอย่างนี้นี่เอง ตั๋วถูก แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปให้ลูกเรือล่ะเนอะแอร์เลยหน้าหงิกกันเกือบทั้งลำ ฮา ๆไม่เป็นไร เราเข้าใจ เพราะเรารู้เบื้องหลัง เราเลยไม่เรียกร้องอะไรจากแอร์เลยให้กินก็กิน เครื่องดื่มก็เอาอะไรก็ได้ แล้วก็หลับ ไม่เรียกร้องอะไรทำตัวเป็นผู้โดยสารนิสัยดี ให้อะไรมาก็เอา อะไรหมดก็ไม่เป็นไร แล้วเราก็ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพประทับใจมั้ย ก็ประทับใจต้องขอบคุณหนุ่มสิงคโปร์จริง ๆ ที่มาเที่ยวกับเราเกือบทั้งทริปทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่อยากให้มันมาด้วยเลย เพราะเรานัดหนุ่มมาเลไว้หมดแล้วทุกวันแต่แหม หนุ่มตี๋มาเลก็ทำชั้นได้นะก็หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป รักษาความสัมพันธ์นี้ไว้เราเที่ยวด้วยกันได้ ไม่มีดราม่า ไม่มีโกรธหรือทะเลาะกันเลยเริ่มรู้สึกชอบเที่ยวกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงซะละเพราะเคยเที่ยวกับผู้หญิง กลับมาก็ดราม่าใส่กันบ้างต่างคนต่าต้องช่วยแบกกันเอง แรงก็ไม่ค่อยจะมีกันมากับผู้ชาย มีแรงช่วยแบก ช่วยขน ช่วยยก มันสบายอย่างนี้นี่เองก็หวังว่าเราจะมีผู้ชายส่วนตัวของเราไปเที่ยวเมืองนอกด้วยกันไว ๆเอาใจช่วยเรากันหน่อยนะคะทุกคนอ่านแล้วเม้นท์ให้กำลังใจหน่อยนะจ๊ะ อย่างน้อยจะได้รับรู้ว่าก็มีคนอ่านอะไรยาว ๆ ที่เราใช้เวลาหลายชั่วโมงนั่งพิมพ์เหมือนกันนะรักคนอ่านนะคะ บล็อคนี้ไม่ใช่บล็อคแรกที่ไปเจอหนุ่มทางออนไลน์นะแจ๊ะเคยไปเจอแล้วทั้งสิงคโปร์และฮ่องกงตามไปอ่านประสบการณ์ฟิน ๆ ของหนุ่มที่เราไปเจอเมืองนอกกันต่อได้เล้ยอันนี้ของสิงคโปร์ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 1อันนี้ของฮ่องกงเครื่องลงฮ่องกงปุ๊บก็นัดบอดหนุ่มฮ่องกงมากินข้าวมื้อแรกด้วยกันเล้ยอันนี้คือประสบการณ์ความเซ็งเมื่อไปเจอหนุ่มตี๋อินเตอร์ใน กทม เนี่ยแหละรวบรวมสถานการณ์เซ็ง ๆ จากผู้ชายที่ไปเจอทางออนไลน์ตอนที่ 1รวบรวมสถานการณ์เซ็ง ๆ จากผู้ชายที่ไปเจอทางออนไลน์ตอนที่ 2รวบรวมสถานการณ์เซ็ง ๆ จากผู้ชายที่ไปเจอทางออนไลน์ตอนที่ 3ส่วนอันนี้ ประสบการณ์การเล่น tinder ก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่เล้ยเชิญเสพย์ต่อด้านล่างจ้ะ เจ้ไม่ได้มาเล่น ๆ เจ้เล่นจริงจัง เก็บมาเม้าได้หลายบล็อคเลย ฮา ๆเม้าฝรั่งที่เจอในแอพ tinder หลังจากเพิ่งเล่นได้แค่อาทิตย์เดียวเสียเซลฟ์กับหนุ่มใน tinder อีกละเรามาอ่าน tinder profile ขำ ๆ แย่ ๆ หรือสร้างสรรค์กันดีกว่ามาอ่าน tinder profile ขำ ๆ กันต่อดีกว่ามาอ่าน tinder profile สนุก ๆ ฝึกภาษากันต่อนะเม้าเรื่องที่แชทคุยกับหนุ่มสิงคโปร์แชทคุยกับคนปลกหน้าที่เป็นผู้หญิงด้วยกันกว่า 4 ชม. เกี่ยวกับด้านมืดของเธอลองให้หนุ่ม ๆ ทายหัวข้อนิทรรศการภาพถ่ายนึง มาดูซิหนุ่มแต่ละอาชีพทายกันว่าอะไรบ้างเม้าเรื่องต่าง ๆ ที่ได้แชทกะคนสิงคโปร์คุยมาก็หลายเดือน ถึงเวลาเอาตัวเองบินไปเจอหนุ่มซักทีปีหน้านัดหนุ่มที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเข้าไปจับกันในความมืดเป็นชั่วโมง แล้วไกด์ก็ฮามาก ได้ใจสุด ๆนัดเจอหนุ่มทางเน็ทครั้งแรก แต่หนุ่มไม่ได้มาแค่ 1 แต่มาถึง 3!!!!เรื่องเศร้า ๆ เคล้าคำพูดแย่ ๆ ของหนุ่มสิงคโปร์ที่คุยด้วยจากใน tinderแชทน่ารัก ๆ ฟิน ๆ ของหนุ่มสิงคโปร์ที่ได้คุยด้วย